ตื่นเช้า เก็บข้าวของ
08.30 น. กินมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโซนบ้านเอราวัณ ส่วนนี้แม้อยู่นอกเขตสำนักงานเขื่อน แต่กลับสงบสุขและตกแต่งไว้อย่างงาม ห้องอาหารอยู่ท่ามกลางสวนไม้ดอก ต้นไม้ใหญ่รายรอบ มีทิวเขาเป็นฉากหลัง
ตอนแรกมีคณะ 7-8 คน สักครู่ก็ทยอยออกไป เหลือเพียงเราสองคนนั่งกินอาหารในสวนสวย บรรยากาศผ่อนคลาย ชวนให้มื้อเช้านี้ผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง
09.30 น. Check-out แล้วขับรถขึ้นไปชมสันเขื่อน
เขื่อนศรีนครินทร์เป็นเขื่อนหินถมแกนดินเหนียว ใหญ่ที่สุดในประเทศ สูง 140 เมตร สันเขื่อนยาว 610 เมตร กว้าง 15 เมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำ 419 ตารางกิโลเมตร ความจุมากเป็นอันดับหนึ่งคือ 17,745 ล้านลูกบาศก์เมตร โรงไฟฟ้ามีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 5 เครื่อง เครื่องที่ 1-3 กำลังผลิตเครื่องละ 120,000 กิโลวัตต์ เครื่องที่ 4-5 เป็นระบบสูบกลับ กำลังผลิตเครื่องละ 180,000 กิโลวัตต์ รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 720,000 กิโลวัตต์
เขื่อนนี้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2516 แล้วเสร็จ พ.ศ. 2523
สันเขื่อนเป็นที่ที่ควรเดินเล่น ชมความขัดแย้งของสองฝั่ง อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนคือสุสานยักษ์แห่งป่าไม้เดิมที่จมน้ำตาย คลุมพื้นที่ 419 ตารางกิโลเมตร ฝั่งใต้เขื่อน แม่น้ำแควใหญ่ (แม่กลอง) กลายเป็นลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ ออกจากโรงไฟฟ้า สามัญสำนึกเตือนว่านี่คือการท้าทายธรรมชาติอย่างอาจหาญและอวดดีของมนุษย์
ผลกระทบทางสังคมวิทยา การบังคับย้ายถิ่นประชากร ความเสียหายของระบบนิเวศ เป็นต้นทุนของชาวบ้านและท้องถิ่น จึงไม่ถูกประเมินหรือคำนวณในเชิงเศรษฐศาสตร์ อีกทั้งไม่อาจต่อรอง ต่อกรกับการใช้อำนาจรัฐของหน่วยงานเจ้าของเขื่อน และนายทุนเจ้าของเทคโนโลยี
บรรดาเขื่อนทั้งหลายมักอวดอ้างประโยชน์ด้านชลประทาน คือกักเก็บน้ำช่วยบรรเทาอุทกภัยในฤดูฝน และทดน้ำเข้าพื้นที่เกษตรในฤดูแล้ง หากหลายปีที่ผ่านมา กลับเกิดปรากฏการณ์ตรงข้าม นั่นคือในหน้าฝน อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนมีปริมาณน้ำเกินกำลังรับ จำต้องปล่อยลงซ้ำเติมอุทกภัยท้ายเขื่อน ส่วนยามหน้าแล้ง อ่างเก็บน้ำกลับแห้งขอด ไม่อาจทดน้ำเลี้ยงไร่นาได้ ชาวนาถูกห้ามทำนาปรัง และบางครั้งเลยเถิดไปถึงนาปี
เขื่อนยังคงทำหน้าที่ชลประทานที่พึงเป็น...หรือไม่?
นับแต่การสร้างเขื่อนแห่งแรกในโครงการไฟฟ้ายันฮี (ก่อสร้าง พ.ศ. 2500-2507 ปิดกั้นแม่น้ำปิง ที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก) ถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 60 ปี เกิดเขื่อนขนาดใหญ่อีกหลายสิบแห่ง เราได้สรุปบทเรียนอะไร...หรือไม่?
10.30 น. ออกจากเขื่อน กลับเข้ากาญจนบุรีตามทางหลวง 3199 ถนนเลาะฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแควใหญ่ (แม่กลอง) สองข้างทางอุดมไปด้วยป่าไผ่เขียวงดงาม ราว 70 กิโลเมตร ถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว (แม่กลอง) เวลา 11.30 น. ต้องวนหาที่จอดรถครู่ใหญ่
นักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่ ร้านค้าแผงลอยรกรุงรังไร้ระเบียบ บดบังตัวสะพาน เสียงดังผ่านลำโพงประชันกันฟังไม่ได้ศัพท์ แดดร้อน
เรารีบเดินไปจนถึงสะพาน ยืนตรงกลางรางรถไฟ มองทะลุไปตลอดความยาวที่ขนาบด้วยโครงเหล็กทะมึนทั้งสองฟาก จินตนาการลบภาพผู้คนจำนวนมากที่ยืนเซลฟี่อยู่เต็มทาง
สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายไทย-พม่า ที่กองทัพญี่ปุ่นสร้างขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สะพานนี้ยังใช้เดินรถไฟจนถึงปัจจุบัน เป็นวัตถุแห่งความทรงจำที่คงอยู่ให้รำลึกถึงประวัติศาสตร์ทารุณกรรมในตอนสร้างทางนั้น…
ญี่ปุ่นสมัยโชวะ (1926-1989 คือรัชสมัยจักรพรรดิฮิโรฮิโต) ตั้งแต่ต้นสมัยจนถึงสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง (1945) เป็นเวลาแห่งอำนาจนิยมและลัทธิทหาร ญี่ปุ่นผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจจักรวรรดินิยมใหม่ ต้องการทำลายล้างมหาอำนาจจักรวรรดินิยมเก่าตะวันตก คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา และสหรัฐอเมริกา ที่ครอบครองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด เพื่อตนเข้าครอบครองแทน ญี่ปุ่นโฆษณาลัทธิเอเชีย (Asianism) เอเชียของชาวเอเชียเพื่อชาวเอเชีย และ ‘วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา’ (The Greater East Asia Co-Prosperity Sphere) เตรียมการสู่สงคราม
5 พฤศจิกายน 1941 (พ.ศ. 2484) ในการประชุมที่มีสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นประธาน หัวหน้าเสนาธิการ Sugiyama Hajime ได้รายงานเกี่ยวกับขอบเขตยุทธการทางใต้แถบมหาสมุทรแปซิฟิกและเอเชียอาคเนย์ว่า
‘...เป้าหมายการจู่โจมครั้งนี้มี กวม ฮ่องกง มลายู พม่า บอร์เนียว สุมาตรา ชวา เซลีเบส และหมู่เกาะบิสมาร์ก ซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของแปซิฟิก เป็นต้น จะมีการรบหนักที่มลายูและฟิลิปปินส์ จากนั้นก็จะเปิดศึกที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นอาณานิคมของฮอลันดา’
‘...และเมื่อเริ่มเปิดศึกแล้วก็จะยาตราทัพเข้าไปประจำการในประเทศไทยเพื่อรักษาความมั่นคงของไทยและอินโดจีนไว้ เมื่อทำศึกได้ระยะหนึ่งหากสถานการณ์อำนวยก็จะเตรียมทำศึกเพื่อควบคุมพม่า’
2 ธันวาคม 1941 (พ.ศ. 2484) ญี่ปุ่นตกลงใจให้วันที่ 8 ธันวาคม 1941 (พ.ศ. 2484) เป็นวันเปิดศึก หัวหน้าเสนาธิการ นำความกราบทูลสมเด็จพระจักรพรรดิ เมื่อกำหนดเวลาเปิดศึกแล้ว ก็ได้ตระเตรียมกำลังพลเพื่อบุกลงตอนใต้ของเอเชีย เป็นจำนวน 11 กองพล ทหารถึง 360,000 คน ในบังคับบัญชาของกองทัพใหญ่แห่งภาคพื้นทิศใต้
8 ธันวาคม 1941 (พ.ศ. 2484) กองทัพญี่ปุ่นบุกหลายประเทศในเอเชียอาคเนย์ ในไทยเกิดการสู้รบกันช่วงต้น การเจรจานำสู่ ‘ข้อตกลงระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับการยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านเขตแดนประเทศไทย’
21 ธันวาคม 1941 (พ.ศ. 2484) รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทำ ‘สนธิสัญญาพันธมิตรระหว่างไทยกับญี่ปุ่น’
25 มกราคม 1942 (พ.ศ. 2485) ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
15 กุมภาพันธ์ 1942 (พ.ศ. 2485) กองทัพญี่ปุ่นยึดสิงคโปร์
8 มีนาคม 1942 (พ.ศ. 2485) กองทัพญี่ปุ่นยึดเมืองย่างกุ้ง พม่า
กลางเดือนมีนาคม กองบัญชาการกองทัพใหญ่แห่งภาคพื้นทิศใต้ประกาศนโยบายสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่า
4 มิถุนายน 1942 (พ.ศ. 2485) กองทัพญี่ปุ่นยึดครองพม่า
23 มิถุนายน 1942 (พ.ศ. 2485) เชลยศึกผิวขาวรุ่นแรกเดินทางถึงบ้านโป่ง
28 มิถุนายน 1942 (พ.ศ. 2485) หน่วยทหารคามิยะปักป้ายหลักกิโลเมตร 0 ที่สถานีทันบิวซายัต (Thanbyuzayat) ราว 30 กิโลเมตรทางตอนใต้ของเมืองมะละแหม่ง พม่า เริ่มสร้างทางรถไฟจากฝั่งพม่า
5 กรกฎาคม 1942 (พ.ศ. 2485) หน่วยทหารซากาโมโตะปักป้ายหลักกิโลเมตร 0 ที่สถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง เริ่มสร้างทางรถไฟจากฝั่งไทย
13 ตุลาคม 1942 (พ.ศ. 2485) เชลยศึกสัมพันธมิตรที่สิงคโปร์เดินทางไปบ้านโป่งอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันนี้
25 ตุลาคม 1943 (พ.ศ. 2486) ทางรถไฟสายไทย-พม่าสร้างเสร็จ เชื่อมต่อกันที่สถานีแก่งคอยท่า (Konkoita) ลึกเข้ามาฝั่งไทยราว 40 กิโลเมตรจากด่านเจดีย์สามองค์ รวมเวลาก่อสร้าง 1 ปี 4 เดือน
ทางรถไฟสายไทย-พม่า นี้ มีความยาวทั้งสิ้น 415 กิโลเมตร อยู่ในไทย 304 กิโลเมตร ในพม่า 111 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่กองทัพญี่ปุ่นจะเชื่อมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากสิงคโปร์ มลายู จากอินโดจีนของฝรั่งเศส ผ่านไทยตามทางรถไฟที่มีอยู่ ไปยังพม่าตามทางรถไฟสายไทย-พม่า (หนองปลาดุก-ทันบิวซายัต) ผ่านพม่าตามทางรถไฟที่มีอยู่ เพื่อเข้ายึดอินเดียจากอังกฤษ
กองทัพญี่ปุ่นจับเชลยศึกฝรั่งราว 6 หมื่นคน (รวมอยู่ ณ ค่ายกักกันชางงี สิงคโปร์) และแรงงานชาวเอเชียราว 1 แสน 8 หมื่นคน (‘โรมุชะ’ ในภาษาญี่ปุ่น เรียกแรงงานที่ต้องใช้แรงกายมากๆ) ส่วนใหญ่ถูกจับมาจากมลายูและอินโดนีเซีย คนเหล่านี้เป็นเสมือน ‘ทาสเชลย’ สถานภาพย่ำแย่กว่า ‘เชลยศึก’ ที่มีกฎหมายสงครามคุ้มกัน มีพื้นที่ในประวัติศาสตร์ มีสุสาน อนุสรณ์สถาน ส่วนทาสเชลยเป็นเพียง ‘คนตัวเล็กตัวน้อย’ และ ‘นิรนาม’ นอกจากนี้ ยังมีกรรมกรรับจ้างอีกราว 1 แสนคน ทั้งหมดถูกบังคับให้ทำงานหนักในการสร้างทางรถไฟ ผ่านป่าทึบเขตมรสุม ตัดภูเขา ขาดอาหาร บาดเจ็บล้มตายด้วยไข้ป่า อหิวาต์ แผลติดเชื้อ และยิ่งสาหัสในช่วงเร่งงาน (‘Speedo’) และช่วงสุดโหดที่ ‘ช่องเขาขาด’ (Hellfire Pass)
ทาสเชลยและกรรมกรเสียชีวิตราว 9 หมื่นคน (32%)
เชลยศึกเสียชีวิต 12,399 คน (20%)
ความตายมากมาย รายทางรถไฟสายไทย-พม่า...‘ทางรถไฟสายมรณะ’...
ผู้บัญชาการ Ishida Hidekuma ซึ่งมารับตำแหน่งก่อนที่ทางรถไฟจะเสร็จ ในระหว่างตรวจสถานที่ก่อสร้างได้เห็นสุสานที่มีป้ายปักอยู่บนหลุมศพของเชลยศึกและกรรมกร ได้เห็นสภาพที่น่าสังเวชของโรงพยาบาลเชลยศึกที่นิเถะ (Ni Thea) รู้สึกว่าจำเป็นต้องทำพิธีส่งดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตไปสู่สุคติ จึงได้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นในฝั่งไทยที่ริมฝั่งแม่น้ำเชิงสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองในเดือนธันวาคม 1943 (พ.ศ. 2486) สร้างเจดีย์ขึ้นในพม่าที่ทันบิวซายัต ในเดือนมกราคม 1944 (พ.ศ. 2487) และทำพิธีรำลึกถึงผู้เสียชีวิต
ณ อนุสาวรีย์ที่ยังคงอยู่เชิงสะพานข้ามแม่น้ำแคว มีคำจารึกเนื้อความว่า
‘ขอสร้างหลักศิลานี้เพื่อกรรมกรของประเทศฝ่ายใต้และเชลยศึกที่ล้มป่วยและเสียชีวิตระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่า และขอส่งดวงวิญญาณเหล่านั้นไปสู่สุคติ เดือนกุมภาพันธ์ ปีโชวะที่ 19 (1944) กองสร้างทางรถไฟทหารญี่ปุ่น’
ที่ผนังทั้ง 4 ด้าน รอบอนุสาวรีย์มีศิลาจารึกด้วยภาษาไทย จีน เวียดนาม มลายู ทมิฬ และอังกฤษ
ญี่ปุ่นได้ใช้เส้นทางสายนี้ราว 2 ปี ก่อนแพ้สงครามเมื่อ 15 สิงหาคม 1945 (พ.ศ. 2488) ทางรถไฟที่แต่เดิมสร้างเพื่อส่งกำลังบำรุงไปยังพม่า กลายเป็นทางส่งทหารบาดเจ็บกลับ และที่สุดเป็นทางของทหารญี่ปุ่นที่แพ้สงครามหลบหนีเข้ามาไทย
ภายหลังสงครามยุติ ทางรถไฟสายไทย-พม่านี้ตกเป็นสมบัติของฝ่ายสัมพันธมิตร อังกฤษได้รื้อทางจากเขตแดนเข้ามาฝั่งไทย 3.95 กิโลเมตร ส่วนที่เหลือ 300 กิโลเมตร รัฐบาลอังกฤษขายให้รัฐบาลไทยในราคา 1.25 ล้านปอนด์ เมื่อปี 1947 (พ.ศ. 2490)
ต่อมาระหว่างปี 1951-1954 (พ.ศ. 2494-2497) การรถไฟฯ ได้รับอนุมัติให้รื้อรางจากปลายทางชายแดนพม่าจนถึงสถานีน้ำตก รวมทางที่เหลืออยู่ 130.6 กิโลเมตร (หนองปลาดุก-น้ำตก)
การค้นหาหลุมฝังร่างเชลยศึกที่เสียชีวิตโดยคณะจากกองทัพอังกฤษ ออสเตรเลีย และฮอลันดา ระหว่างกันยายน-ตุลาคม 1945 (พ.ศ. 2488) เริ่มต้นที่ทันบิวซายัตถึงนครปฐม พบหลุมฝัง 10,549 หลุม ในสุสานรายทางรถไฟ 144 แห่ง ร่างที่ฝังระหว่างทันบิวซายัตกับนิเถะ (Ni Thea) ย้ายไปยังสุสานทันบิวซายัต (3,512 หลุม) ที่ฝังระหว่างนิเถะกับนครปฐม ย้ายไปยังสุสานดอนรัก (6,982 หลุม) และสุสานช่องไก่ (1,740 หลุม) อำเภอเมือง กาญจนบุรี
เราขับรถต่อไปยังสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก ถนนแสงชูโต (323)
ฝั่งตรงข้ามถนนเจ้าขุนเณร ถนนเลียบสุสานด้านตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า
Death Railway Museum and Research Centre
พิพิธภัณฑ์แบ่งเป็น 8 ห้อง
-นำเรื่อง/ ลำดับเวลา
ทางเข้าพาผ่านลอดใต้สะพานไม้ สร้างแบบสะพานรถไฟจริง บนผนังแสดงการบุกยึดเอเชียอาคเนย์ของญี่ปุ่น การจับกุมและการขนย้ายเชลยศึก ถัดมาเป็นตู้สินค้าที่ใช้ขนส่งเชลยจากสิงคโปร์และมลายูสู่ไทย รวมทั้งแผนที่เส้นทาง
-เตรียมการ/ ก่อสร้าง/ ขนส่ง
เล่าเรื่องการวางแผน ออกแบบ และก่อสร้างทางรถไฟของวิศวกรญี่ปุ่น ความจำเป็นในการใช้แรงงานคนเป็นหลัก ด้วยขาดเครื่องมือหนัก นอกจากนี้ยังจัดแสดงชิ้นส่วนอุปกรณ์ก่อสร้างที่พบและเก็บจากรายทางรถไฟในช่วงปลายทศวรรษ 1990
-ภูมิศาสตร์ทางรถไฟ
แบบจำลองย่อส่วน 1:50,000 ยาว 9 เมตร แสดงภูมิศาสตร์ทางรถไฟในลุ่มน้ำแคว ติดหลอดไฟแสดงตำแหน่งค่ายก่อสร้างทุกแห่ง ภาพเปรียบเทียบเส้นทางสมัยสงครามกับปัจจุบัน ตลอดจนแบบจำลองสะพานรถไฟ
-ความเป็นอยู่
เล่าเรื่องที่พักและอาหารของเชลยศึก เปรียบเทียบสภาพแต่ละค่ายกับโอกาสรอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเร่งงาน (‘Speedo’) ระหว่างมีนาคมถึงกันยายน 1943 ที่เชลยศึกเสียชีวิตมากที่สุด
-การแพทย์
กระท่อมโรงพยาบาลค่ายจำลอง เล่าเรื่องความกล้าหาญ ความทุ่มเท ความสามารถดัดแปลงอุปกรณ์เพื่อใช้ดูแลผู้เจ็บป่วยของนายแพทย์ทหารที่เป็นเชลยศึก
-ความตาย
แผนภูมิแสดงรายละเอียดจำนวนผู้เสียชีวิตแยกตามสัญชาติ กราฟแท่งแทนด้วยรูปไม้หมอนและรางรถไฟ
-สุดทางรถไฟ
ห้องกว้างแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเล่าถึงการเดินรถไฟเมื่อทางสร้างเสร็จของกองทัพญี่ปุ่น ส่วนที่สองแสดงเหตุการณ์ต่อมาเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายได้เปรียบและทิ้งระเบิดถล่มทางรถไฟ ส่วนสุดท้ายเล่าเรื่องการปลดปล่อยเชลยศึกและกรรมกรภายหลังการยอมแพ้สงครามของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีส่วนแสดงลึก 3 เมตรจำลองการสร้างทางตอนกลางคืน และตู้เก็บระเบิด AZON ระเบิดนำวิถีแบบแรกของโลกซึ่งได้ใช้ทำลายสะพานรถไฟบนทางสายนี้ด้วย
-หลังสงคราม
เน้นถึงอิสรภาพจากการกักขังและจากทาสแรงงาน ของเชลยศึกและกรรมกรเกณฑ์ภายหลังสงครามยุติ การค้นหาและย้ายร่างผู้เสียชีวิต การสร้างสุสานในกาญจนบุรีและทันบิวซายัต และการขายทางรถไฟให้รัฐบาลไทยในปี 1947
ร้านหนังสือพิพิธภัณฑ์มีหนังสือน่าสนใจหลายเล่ม
ร้านกาแฟอยู่ชั้นสอง เปิดมุมมองกว้างขวางของสุสานดอนรัก
ออกจากพิพิธภัณฑ์ข้ามถนนเจ้าขุนเณรเข้าไปเยี่ยมสุสาน
สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก
ซุ้มทางเข้า 3 ช่อง นำสู่โถงพัก ซุ้มทางออกอีกด้านเปิดสู่สุสานโล่งกว้างขวาง
ผนังด้านในระหว่างช่องทางเข้าติดแผ่นจารึกสองแผ่นสองภาษาว่า
คริสต์ศักราช 1939-1945
แผ่นดินซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งสุสานนี้
เป็นสมบัติของประชาชาวไทย
ได้อุทิศให้เป็นสถานที่พักตลอดกาล
สำหรับทหารเรือ ทหารบก และทหารอากาศ
ผู้ซึ่งได้รับเกียรติ ณ ที่นี้
1939-1945
THE LAND ON WHICH THIS CEMETERY STANDS
IS THE GIFT OF THE THAI PEOPLE
FOR THE PERPETUAL RESTING PLACE
OF THE SAILORS SOLDIERS AND AIRMEN
WHO ARE HONOURED HERE
ปีกด้านหนึ่งของโถงพัก ทำเสมือนแท่นบูชา ติดแผ่นจารึกว่า
IN HONOURED REMEMBRANCE OF THE FORTITUDE AND SACRIFICE
OF THAT VALIANT COMPANY WHO PERISHED WHILE BUILDING
THE RAILWAY FROM THAILAND TO BURMA
DURING THEIR LONG CAPTIVITY
THOSE WHO HAVE NO KNOWN GRAVE ARE COMMEMORATED BY NAME
AT RANGOON SINGAPORE AND HONG KONG
AND THEIR COMRADES REST IN THE THREE WAR CEMETERIES
OF KANCHANABURI CHUNGKAI AND THANBYUZAYAT
I will make you a name and a praise among all people of the earth
when I turn back your captivity before your eyes, saith the LORD.
เชลยศึกที่พักตลอดกาล ณ สุสานนี้ มีจำนวน 6,982 นาย เป็นทหารอังกฤษ 3,563 นาย ฮอลันดา 1,896 นาย ออสเตรเลีย 1,362 นาย มลายู 110 นาย อินเดีย 12 นาย นิวซีแลนด์ 2 นาย แคนาดา 1 นาย ไม่ทราบสัญชาติ 36 นาย
รัฐบาลอังกฤษซื้อที่ดินผืนนี้ เนื้อที่ 17 ไร่ สร้างสุสานเมื่อปี 1946 ดูแลรักษาโดย Commonwealth War Graves Commission
นอกจากนี้ รัฐบาลอังกฤษยังเช่าที่ดินตรงข้ามสุสานจากกรมรถไฟ (ปัจจุบันคือการรถไฟฯ) เป็นเวลา 99 ปี เพื่อมิให้มีการสร้างอาคารใดขึ้นบังภูมิทัศน์หน้าสุสาน
หลุมศพเรียงแถวเป็นระเบียบ ด้านบนหลุมเป็นแท่งหินปิดด้วยแผ่นโลหะสีดำ มีรูปกางเขนสีทองคล่ำอยู่ทางซ้าย ทางขวามีตราประเทศ เลขประจำตัว ชื่อ สังกัด วันมรณะ อายุ และคำอาลัย
บริเวณสุสานตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ บรรยากาศสงบสันติ
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติมีสงครามเป็นองค์ประกอบเสมอ อำนาจนิยม ลัทธิทหาร ความละโมบในทรัพยากรของผู้อื่น เป็นปัจจัยสำคัญสู่การก่อสงคราม และคงเป็นเช่นนี้ต่อไป…
ข้อมูลค้นจาก
internationalrivers.org
livingriversiam.org
wikipedia.org
Dams and development. The report of the world commission on dams. London: Earthscan, 2000.
โยชิกาวา โทชิฮารุ. ทางรถไฟสายไทย-พม่า ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา. แปลโดย อาธร ฟุ้งธรรมสาร และคณะ. กรุงเทพ: อมรินทร์, 2538.
อัศวิน โกมลเมนะ. ไม้หมอนแห่งความตาย บนเส้นทางรถไฟสายมรณะ. กรุงเทพ: เอ็น เอส พี พริ้นติ้ง, 2550.
ชาญวิทย์-นิมิตร เกษตรศิริ. บ้านโป่ง กับ พ่อและแม่: ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว. กรุงเทพ: Dream Catcher Graphic, 2557.
Beattie R. The death railway. Kanchanaburi: TBRC, 2015.
tbrconline.com