July 25, 2020

Kanchanaburi: ทางรถไฟสายมรณะ: 14.01.2017

วันสุดท้ายของทริปกาญจนบุรี
ตื่นเช้า เก็บข้าวของ

08.30 น. กินมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโซนบ้านเอราวัณ ส่วนนี้แม้อยู่นอกเขตสำนักงานเขื่อน แต่กลับสงบสุขและตกแต่งไว้อย่างงาม ห้องอาหารอยู่ท่ามกลางสวนไม้ดอก ต้นไม้ใหญ่รายรอบ มีทิวเขาเป็นฉากหลัง
     ตอนแรกมีคณะ 7-8 คน สักครู่ก็ทยอยออกไป เหลือเพียงเราสองคนนั่งกินอาหารในสวนสวย บรรยากาศผ่อนคลาย ชวนให้มื้อเช้านี้ผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง

09.30 น. Check-out แล้วขับรถขึ้นไปชมสันเขื่อน
     เขื่อนศรีนครินทร์เป็นเขื่อนหินถมแกนดินเหนียว ใหญ่ที่สุดในประเทศ สูง 140 เมตร สันเขื่อนยาว 610 เมตร กว้าง 15 เมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำ 419 ตารางกิโลเมตร ความจุมากเป็นอันดับหนึ่งคือ 17,745 ล้านลูกบาศก์เมตร โรงไฟฟ้ามีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 5 เครื่อง เครื่องที่ 1-3 กำลังผลิตเครื่องละ 120,000 กิโลวัตต์ เครื่องที่ 4-5 เป็นระบบสูบกลับ กำลังผลิตเครื่องละ 180,000 กิโลวัตต์ รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 720,000 กิโลวัตต์
     เขื่อนนี้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2516 แล้วเสร็จ พ.ศ. 2523
     สันเขื่อนเป็นที่ที่ควรเดินเล่น ชมความขัดแย้งของสองฝั่ง อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนคือสุสานยักษ์แห่งป่าไม้เดิมที่จมน้ำตาย คลุมพื้นที่ 419 ตารางกิโลเมตร ฝั่งใต้เขื่อน แม่น้ำแควใหญ่ (แม่กลอง) กลายเป็นลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ ออกจากโรงไฟฟ้า สามัญสำนึกเตือนว่านี่คือการท้าทายธรรมชาติอย่างอาจหาญและอวดดีของมนุษย์
     ผลกระทบทางสังคมวิทยา การบังคับย้ายถิ่นประชากร ความเสียหายของระบบนิเวศ เป็นต้นทุนของชาวบ้านและท้องถิ่น จึงไม่ถูกประเมินหรือคำนวณในเชิงเศรษฐศาสตร์ อีกทั้งไม่อาจต่อรอง ต่อกรกับการใช้อำนาจรัฐของหน่วยงานเจ้าของเขื่อน และนายทุนเจ้าของเทคโนโลยี
     บรรดาเขื่อนทั้งหลายมักอวดอ้างประโยชน์ด้านชลประทาน คือกักเก็บน้ำช่วยบรรเทาอุทกภัยในฤดูฝน และทดน้ำเข้าพื้นที่เกษตรในฤดูแล้ง หากหลายปีที่ผ่านมา กลับเกิดปรากฏการณ์ตรงข้าม นั่นคือในหน้าฝน อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนมีปริมาณน้ำเกินกำลังรับ จำต้องปล่อยลงซ้ำเติมอุทกภัยท้ายเขื่อน ส่วนยามหน้าแล้ง อ่างเก็บน้ำกลับแห้งขอด ไม่อาจทดน้ำเลี้ยงไร่นาได้ ชาวนาถูกห้ามทำนาปรัง และบางครั้งเลยเถิดไปถึงนาปี
     เขื่อนยังคงทำหน้าที่ชลประทานที่พึงเป็น...หรือไม่?
     นับแต่การสร้างเขื่อนแห่งแรกในโครงการไฟฟ้ายันฮี (ก่อสร้าง พ.ศ. 2500-2507 ปิดกั้นแม่น้ำปิง ที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก) ถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 60 ปี เกิดเขื่อนขนาดใหญ่อีกหลายสิบแห่ง เราได้สรุปบทเรียนอะไร...หรือไม่?

10.30 น. ออกจากเขื่อน กลับเข้ากาญจนบุรีตามทางหลวง 3199 ถนนเลาะฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแควใหญ่ (แม่กลอง) สองข้างทางอุดมไปด้วยป่าไผ่เขียวงดงาม ราว 70 กิโลเมตร ถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว (แม่กลอง) เวลา 11.30 น. ต้องวนหาที่จอดรถครู่ใหญ่
     นักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่ ร้านค้าแผงลอยรกรุงรังไร้ระเบียบ บดบังตัวสะพาน เสียงดังผ่านลำโพงประชันกันฟังไม่ได้ศัพท์ แดดร้อน
     เรารีบเดินไปจนถึงสะพาน ยืนตรงกลางรางรถไฟ มองทะลุไปตลอดความยาวที่ขนาบด้วยโครงเหล็กทะมึนทั้งสองฟาก จินตนาการลบภาพผู้คนจำนวนมากที่ยืนเซลฟี่อยู่เต็มทาง
     สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายไทย-พม่า ที่กองทัพญี่ปุ่นสร้างขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สะพานนี้ยังใช้เดินรถไฟจนถึงปัจจุบัน เป็นวัตถุแห่งความทรงจำที่คงอยู่ให้รำลึกถึงประวัติศาสตร์ทารุณกรรมในตอนสร้างทางนั้น…

ญี่ปุ่นสมัยโชวะ (1926-1989 คือรัชสมัยจักรพรรดิฮิโรฮิโต) ตั้งแต่ต้นสมัยจนถึงสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง (1945) เป็นเวลาแห่งอำนาจนิยมและลัทธิทหาร ญี่ปุ่นผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจจักรวรรดินิยมใหม่ ต้องการทำลายล้างมหาอำนาจจักรวรรดินิยมเก่าตะวันตก คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา และสหรัฐอเมริกา ที่ครอบครองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด เพื่อตนเข้าครอบครองแทน ญี่ปุ่นโฆษณาลัทธิเอเชีย (Asianism) เอเชียของชาวเอเชียเพื่อชาวเอเชีย และ ‘วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา’ (The Greater East Asia Co-Prosperity Sphere) เตรียมการสู่สงคราม
     5 พฤศจิกายน 1941 (พ.ศ. 2484) ในการประชุมที่มีสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นประธาน  หัวหน้าเสนาธิการ Sugiyama Hajime ได้รายงานเกี่ยวกับขอบเขตยุทธการทางใต้แถบมหาสมุทรแปซิฟิกและเอเชียอาคเนย์ว่า
     ‘...เป้าหมายการจู่โจมครั้งนี้มี กวม ฮ่องกง มลายู พม่า บอร์เนียว สุมาตรา ชวา เซลีเบส และหมู่เกาะบิสมาร์ก ซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของแปซิฟิก เป็นต้น จะมีการรบหนักที่มลายูและฟิลิปปินส์ จากนั้นก็จะเปิดศึกที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นอาณานิคมของฮอลันดา’
     ‘...และเมื่อเริ่มเปิดศึกแล้วก็จะยาตราทัพเข้าไปประจำการในประเทศไทยเพื่อรักษาความมั่นคงของไทยและอินโดจีนไว้ เมื่อทำศึกได้ระยะหนึ่งหากสถานการณ์อำนวยก็จะเตรียมทำศึกเพื่อควบคุมพม่า’
     2 ธันวาคม 1941 (พ.ศ. 2484) ญี่ปุ่นตกลงใจให้วันที่ 8 ธันวาคม 1941 (พ.ศ. 2484) เป็นวันเปิดศึก หัวหน้าเสนาธิการ นำความกราบทูลสมเด็จพระจักรพรรดิ เมื่อกำหนดเวลาเปิดศึกแล้ว ก็ได้ตระเตรียมกำลังพลเพื่อบุกลงตอนใต้ของเอเชีย เป็นจำนวน 11 กองพล ทหารถึง 360,000 คน ในบังคับบัญชาของกองทัพใหญ่แห่งภาคพื้นทิศใต้    
     8 ธันวาคม 1941 (พ.ศ. 2484) กองทัพญี่ปุ่นบุกหลายประเทศในเอเชียอาคเนย์ ในไทยเกิดการสู้รบกันช่วงต้น การเจรจานำสู่ ‘ข้อตกลงระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับการยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านเขตแดนประเทศไทย’
     21 ธันวาคม 1941 (พ.ศ. 2484) รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทำ ‘สนธิสัญญาพันธมิตรระหว่างไทยกับญี่ปุ่น’
     25 มกราคม 1942 (พ.ศ. 2485) ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
     15 กุมภาพันธ์ 1942 (พ.ศ. 2485) กองทัพญี่ปุ่นยึดสิงคโปร์
     8 มีนาคม 1942 (พ.ศ. 2485) กองทัพญี่ปุ่นยึดเมืองย่างกุ้ง พม่า
     กลางเดือนมีนาคม กองบัญชาการกองทัพใหญ่แห่งภาคพื้นทิศใต้ประกาศนโยบายสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่า  
     4 มิถุนายน 1942 (พ.ศ. 2485) กองทัพญี่ปุ่นยึดครองพม่า
     23 มิถุนายน 1942 (พ.ศ. 2485) เชลยศึกผิวขาวรุ่นแรกเดินทางถึงบ้านโป่ง
     28 มิถุนายน 1942 (พ.ศ. 2485) หน่วยทหารคามิยะปักป้ายหลักกิโลเมตร 0 ที่สถานีทันบิวซายัต (Thanbyuzayat) ราว 30 กิโลเมตรทางตอนใต้ของเมืองมะละแหม่ง พม่า เริ่มสร้างทางรถไฟจากฝั่งพม่า
     5 กรกฎาคม 1942 (พ.ศ. 2485) หน่วยทหารซากาโมโตะปักป้ายหลักกิโลเมตร 0 ที่สถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง เริ่มสร้างทางรถไฟจากฝั่งไทย
     13 ตุลาคม 1942 (พ.ศ. 2485) เชลยศึกสัมพันธมิตรที่สิงคโปร์เดินทางไปบ้านโป่งอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันนี้
     25 ตุลาคม 1943 (พ.ศ. 2486) ทางรถไฟสายไทย-พม่าสร้างเสร็จ เชื่อมต่อกันที่สถานีแก่งคอยท่า (Konkoita) ลึกเข้ามาฝั่งไทยราว 40 กิโลเมตรจากด่านเจดีย์สามองค์ รวมเวลาก่อสร้าง 1 ปี 4 เดือน
   
ทางรถไฟสายไทย-พม่า นี้ มีความยาวทั้งสิ้น 415 กิโลเมตร อยู่ในไทย 304 กิโลเมตร ในพม่า 111 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่กองทัพญี่ปุ่นจะเชื่อมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากสิงคโปร์ มลายู จากอินโดจีนของฝรั่งเศส ผ่านไทยตามทางรถไฟที่มีอยู่ ไปยังพม่าตามทางรถไฟสายไทย-พม่า (หนองปลาดุก-ทันบิวซายัต) ผ่านพม่าตามทางรถไฟที่มีอยู่ เพื่อเข้ายึดอินเดียจากอังกฤษ
     กองทัพญี่ปุ่นจับเชลยศึกฝรั่งราว 6 หมื่นคน (รวมอยู่ ณ ค่ายกักกันชางงี สิงคโปร์) และแรงงานชาวเอเชียราว 1 แสน 8 หมื่นคน (‘โรมุชะ’ ในภาษาญี่ปุ่น เรียกแรงงานที่ต้องใช้แรงกายมากๆ) ส่วนใหญ่ถูกจับมาจากมลายูและอินโดนีเซีย คนเหล่านี้เป็นเสมือน ‘ทาสเชลย’ สถานภาพย่ำแย่กว่า ‘เชลยศึก’ ที่มีกฎหมายสงครามคุ้มกัน มีพื้นที่ในประวัติศาสตร์ มีสุสาน อนุสรณ์สถาน ส่วนทาสเชลยเป็นเพียง ‘คนตัวเล็กตัวน้อย’ และ ‘นิรนาม’ นอกจากนี้ ยังมีกรรมกรรับจ้างอีกราว 1 แสนคน ทั้งหมดถูกบังคับให้ทำงานหนักในการสร้างทางรถไฟ ผ่านป่าทึบเขตมรสุม ตัดภูเขา ขาดอาหาร บาดเจ็บล้มตายด้วยไข้ป่า อหิวาต์ แผลติดเชื้อ และยิ่งสาหัสในช่วงเร่งงาน (‘Speedo’) และช่วงสุดโหดที่ ‘ช่องเขาขาด’ (Hellfire Pass)
     ทาสเชลยและกรรมกรเสียชีวิตราว 9 หมื่นคน (32%)
     เชลยศึกเสียชีวิต 12,399 คน (20%)
     ความตายมากมาย รายทางรถไฟสายไทย-พม่า...‘ทางรถไฟสายมรณะ’...

ผู้บัญชาการ Ishida Hidekuma ซึ่งมารับตำแหน่งก่อนที่ทางรถไฟจะเสร็จ ในระหว่างตรวจสถานที่ก่อสร้างได้เห็นสุสานที่มีป้ายปักอยู่บนหลุมศพของเชลยศึกและกรรมกร ได้เห็นสภาพที่น่าสังเวชของโรงพยาบาลเชลยศึกที่นิเถะ (Ni Thea) รู้สึกว่าจำเป็นต้องทำพิธีส่งดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตไปสู่สุคติ จึงได้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นในฝั่งไทยที่ริมฝั่งแม่น้ำเชิงสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองในเดือนธันวาคม 1943 (พ.ศ. 2486) สร้างเจดีย์ขึ้นในพม่าที่ทันบิวซายัต ในเดือนมกราคม 1944 (พ.ศ. 2487) และทำพิธีรำลึกถึงผู้เสียชีวิต
     ณ อนุสาวรีย์ที่ยังคงอยู่เชิงสะพานข้ามแม่น้ำแคว มีคำจารึกเนื้อความว่า
     ‘ขอสร้างหลักศิลานี้เพื่อกรรมกรของประเทศฝ่ายใต้และเชลยศึกที่ล้มป่วยและเสียชีวิตระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่า และขอส่งดวงวิญญาณเหล่านั้นไปสู่สุคติ เดือนกุมภาพันธ์ ปีโชวะที่ 19 (1944) กองสร้างทางรถไฟทหารญี่ปุ่น’
     ที่ผนังทั้ง 4 ด้าน รอบอนุสาวรีย์มีศิลาจารึกด้วยภาษาไทย จีน เวียดนาม มลายู ทมิฬ และอังกฤษ

ญี่ปุ่นได้ใช้เส้นทางสายนี้ราว 2 ปี ก่อนแพ้สงครามเมื่อ 15 สิงหาคม 1945 (พ.ศ. 2488) ทางรถไฟที่แต่เดิมสร้างเพื่อส่งกำลังบำรุงไปยังพม่า กลายเป็นทางส่งทหารบาดเจ็บกลับ และที่สุดเป็นทางของทหารญี่ปุ่นที่แพ้สงครามหลบหนีเข้ามาไทย
     ภายหลังสงครามยุติ ทางรถไฟสายไทย-พม่านี้ตกเป็นสมบัติของฝ่ายสัมพันธมิตร อังกฤษได้รื้อทางจากเขตแดนเข้ามาฝั่งไทย 3.95 กิโลเมตร ส่วนที่เหลือ 300 กิโลเมตร รัฐบาลอังกฤษขายให้รัฐบาลไทยในราคา 1.25 ล้านปอนด์ เมื่อปี 1947 (พ.ศ. 2490)
     ต่อมาระหว่างปี 1951-1954 (พ.ศ. 2494-2497) การรถไฟฯ ได้รับอนุมัติให้รื้อรางจากปลายทางชายแดนพม่าจนถึงสถานีน้ำตก รวมทางที่เหลืออยู่ 130.6 กิโลเมตร (หนองปลาดุก-น้ำตก)

การค้นหาหลุมฝังร่างเชลยศึกที่เสียชีวิตโดยคณะจากกองทัพอังกฤษ ออสเตรเลีย และฮอลันดา ระหว่างกันยายน-ตุลาคม 1945 (พ.ศ. 2488) เริ่มต้นที่ทันบิวซายัตถึงนครปฐม พบหลุมฝัง 10,549 หลุม ในสุสานรายทางรถไฟ 144 แห่ง ร่างที่ฝังระหว่างทันบิวซายัตกับนิเถะ (Ni Thea) ย้ายไปยังสุสานทันบิวซายัต (3,512 หลุม) ที่ฝังระหว่างนิเถะกับนครปฐม ย้ายไปยังสุสานดอนรัก (6,982 หลุม) และสุสานช่องไก่ (1,740 หลุม) อำเภอเมือง กาญจนบุรี

เราขับรถต่อไปยังสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก ถนนแสงชูโต (323)
ฝั่งตรงข้ามถนนเจ้าขุนเณร ถนนเลียบสุสานด้านตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า

Death Railway Museum and Research Centre
     พิพิธภัณฑ์แบ่งเป็น 8 ห้อง
     -นำเรื่อง/ ลำดับเวลา
          ทางเข้าพาผ่านลอดใต้สะพานไม้ สร้างแบบสะพานรถไฟจริง บนผนังแสดงการบุกยึดเอเชียอาคเนย์ของญี่ปุ่น การจับกุมและการขนย้ายเชลยศึก ถัดมาเป็นตู้สินค้าที่ใช้ขนส่งเชลยจากสิงคโปร์และมลายูสู่ไทย รวมทั้งแผนที่เส้นทาง
     -เตรียมการ/ ก่อสร้าง/ ขนส่ง
          เล่าเรื่องการวางแผน ออกแบบ และก่อสร้างทางรถไฟของวิศวกรญี่ปุ่น ความจำเป็นในการใช้แรงงานคนเป็นหลัก ด้วยขาดเครื่องมือหนัก นอกจากนี้ยังจัดแสดงชิ้นส่วนอุปกรณ์ก่อสร้างที่พบและเก็บจากรายทางรถไฟในช่วงปลายทศวรรษ 1990
     -ภูมิศาสตร์ทางรถไฟ
          แบบจำลองย่อส่วน 1:50,000 ยาว 9 เมตร แสดงภูมิศาสตร์ทางรถไฟในลุ่มน้ำแคว ติดหลอดไฟแสดงตำแหน่งค่ายก่อสร้างทุกแห่ง ภาพเปรียบเทียบเส้นทางสมัยสงครามกับปัจจุบัน ตลอดจนแบบจำลองสะพานรถไฟ
     -ความเป็นอยู่
          เล่าเรื่องที่พักและอาหารของเชลยศึก เปรียบเทียบสภาพแต่ละค่ายกับโอกาสรอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเร่งงาน (‘Speedo’) ระหว่างมีนาคมถึงกันยายน 1943 ที่เชลยศึกเสียชีวิตมากที่สุด
     -การแพทย์
          กระท่อมโรงพยาบาลค่ายจำลอง เล่าเรื่องความกล้าหาญ ความทุ่มเท ความสามารถดัดแปลงอุปกรณ์เพื่อใช้ดูแลผู้เจ็บป่วยของนายแพทย์ทหารที่เป็นเชลยศึก
     -ความตาย
          แผนภูมิแสดงรายละเอียดจำนวนผู้เสียชีวิตแยกตามสัญชาติ กราฟแท่งแทนด้วยรูปไม้หมอนและรางรถไฟ
     -สุดทางรถไฟ
          ห้องกว้างแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเล่าถึงการเดินรถไฟเมื่อทางสร้างเสร็จของกองทัพญี่ปุ่น ส่วนที่สองแสดงเหตุการณ์ต่อมาเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายได้เปรียบและทิ้งระเบิดถล่มทางรถไฟ ส่วนสุดท้ายเล่าเรื่องการปลดปล่อยเชลยศึกและกรรมกรภายหลังการยอมแพ้สงครามของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีส่วนแสดงลึก 3 เมตรจำลองการสร้างทางตอนกลางคืน และตู้เก็บระเบิด AZON ระเบิดนำวิถีแบบแรกของโลกซึ่งได้ใช้ทำลายสะพานรถไฟบนทางสายนี้ด้วย
     -หลังสงคราม
          เน้นถึงอิสรภาพจากการกักขังและจากทาสแรงงาน ของเชลยศึกและกรรมกรเกณฑ์ภายหลังสงครามยุติ การค้นหาและย้ายร่างผู้เสียชีวิต การสร้างสุสานในกาญจนบุรีและทันบิวซายัต และการขายทางรถไฟให้รัฐบาลไทยในปี 1947
     ร้านหนังสือพิพิธภัณฑ์มีหนังสือน่าสนใจหลายเล่ม
     ร้านกาแฟอยู่ชั้นสอง เปิดมุมมองกว้างขวางของสุสานดอนรัก

ออกจากพิพิธภัณฑ์ข้ามถนนเจ้าขุนเณรเข้าไปเยี่ยมสุสาน
สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก
     ซุ้มทางเข้า 3 ช่อง นำสู่โถงพัก ซุ้มทางออกอีกด้านเปิดสู่สุสานโล่งกว้างขวาง
     ผนังด้านในระหว่างช่องทางเข้าติดแผ่นจารึกสองแผ่นสองภาษาว่า
          คริสต์ศักราช 1939-1945
          แผ่นดินซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งสุสานนี้
          เป็นสมบัติของประชาชาวไทย
          ได้อุทิศให้เป็นสถานที่พักตลอดกาล
          สำหรับทหารเรือ ทหารบก และทหารอากาศ
          ผู้ซึ่งได้รับเกียรติ ณ ที่นี้

          1939-1945
          THE LAND ON WHICH THIS CEMETERY STANDS
          IS THE GIFT OF THE THAI PEOPLE
          FOR THE PERPETUAL RESTING PLACE
          OF THE SAILORS SOLDIERS AND AIRMEN
          WHO ARE HONOURED HERE

     ปีกด้านหนึ่งของโถงพัก ทำเสมือนแท่นบูชา ติดแผ่นจารึกว่า
          IN HONOURED REMEMBRANCE OF THE FORTITUDE AND SACRIFICE
          OF THAT VALIANT COMPANY WHO PERISHED WHILE BUILDING
          THE RAILWAY FROM THAILAND TO BURMA
          DURING THEIR LONG CAPTIVITY
          THOSE WHO HAVE NO KNOWN GRAVE ARE COMMEMORATED BY NAME
          AT RANGOON SINGAPORE AND HONG KONG
          AND THEIR COMRADES REST IN THE THREE WAR CEMETERIES
          OF KANCHANABURI CHUNGKAI AND THANBYUZAYAT
          I will make you a name and a praise among all people of the earth
          when I turn back your captivity before your eyes, saith the LORD.

     เชลยศึกที่พักตลอดกาล ณ สุสานนี้ มีจำนวน 6,982 นาย เป็นทหารอังกฤษ 3,563 นาย ฮอลันดา 1,896 นาย ออสเตรเลีย 1,362 นาย มลายู 110 นาย อินเดีย 12 นาย นิวซีแลนด์ 2 นาย แคนาดา 1 นาย ไม่ทราบสัญชาติ 36 นาย
     รัฐบาลอังกฤษซื้อที่ดินผืนนี้ เนื้อที่ 17 ไร่ สร้างสุสานเมื่อปี 1946 ดูแลรักษาโดย Commonwealth War Graves Commission
     นอกจากนี้ รัฐบาลอังกฤษยังเช่าที่ดินตรงข้ามสุสานจากกรมรถไฟ (ปัจจุบันคือการรถไฟฯ) เป็นเวลา 99 ปี เพื่อมิให้มีการสร้างอาคารใดขึ้นบังภูมิทัศน์หน้าสุสาน
     หลุมศพเรียงแถวเป็นระเบียบ ด้านบนหลุมเป็นแท่งหินปิดด้วยแผ่นโลหะสีดำ มีรูปกางเขนสีทองคล่ำอยู่ทางซ้าย ทางขวามีตราประเทศ เลขประจำตัว ชื่อ สังกัด วันมรณะ อายุ และคำอาลัย
     บริเวณสุสานตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ บรรยากาศสงบสันติ

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติมีสงครามเป็นองค์ประกอบเสมอ อำนาจนิยม ลัทธิทหาร ความละโมบในทรัพยากรของผู้อื่น เป็นปัจจัยสำคัญสู่การก่อสงคราม และคงเป็นเช่นนี้ต่อไป…


ข้อมูลค้นจาก
     internationalrivers.org
     livingriversiam.org
     wikipedia.org
     Dams and development. The report of the world commission on dams. London: Earthscan, 2000.
     โยชิกาวา โทชิฮารุ. ทางรถไฟสายไทย-พม่า ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา. แปลโดย อาธร ฟุ้งธรรมสาร และคณะ. กรุงเทพ: อมรินทร์, 2538.
     อัศวิน โกมลเมนะ. ไม้หมอนแห่งความตาย บนเส้นทางรถไฟสายมรณะ. กรุงเทพ: เอ็น เอส พี พริ้นติ้ง, 2550.
     ชาญวิทย์-นิมิตร เกษตรศิริ. บ้านโป่ง กับ พ่อและแม่: ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว. กรุงเทพ: Dream Catcher Graphic, 2557.
     Beattie R. The death railway. Kanchanaburi: TBRC, 2015.
     tbrconline.com

June 19, 2020

Kanchanaburi: เอราวัณ - เขื่อนเจ้าเณร: 13.01.2017

เมื่อคืนฝนไม่ตกเลย อุณหภูมิลดลงเหลือ 20 องศา
เช้านี้อากาศปลอดโปร่ง เย็นสบาย ท้องฟ้าสีครามสดใส
มื้อเช้า กินขนมปังที่บ้านพัก

09.30 น. ออกจากอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ขับรถย้อนกลับตามทางหลวงชนบท 6043 ราว 45 กิโลเมตร ผ่านเทศบาลตำบลเอราวัณ สถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีสวัสดิ์ จากนั้นทางคดเคี้ยวขึ้นลงเขาอีกราว 1.5 กิโลเมตร ถึงอุทยานแห่งชาติเอราวัณ เวลา 10.20 น.

อุทยานแห่งชาติเอราวัณ
     แดดจ้า แสงสี contrast กับป่าเขาทะมึน ทางเดินไปน้ำตกเอราวัณผ่านป่าไผ่และป่าดิบเขางดงาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งยุโรป จีน เกาหลี ญี่ปุ่น จำนวนมากกว่าชาวไทย หลายคนตั้งใจไปเล่นน้ำกัน ด้วยแต่ละชั้นมีแอ่งใหญ่ใต้น้ำตกที่ร่มรื่นและเชิญชวน
     ป้ายบอกระยะทางของน้ำตกทั้ง 7 ชั้น ชัดเจน เพื่อคนเดินทางประเมินกำลังและเวลาได้อย่างเหมาะสม
     7 ภูผาเอราวัณ  2,000 เมตร
     6 ดงพฤกษา     1,750 เมตร
     5 เบื่อไม่ลง       1,550 เมตร
     4 อกนางผีเสื้อ  1,050 เมตร
     3 ผาน้ำตก          700 เมตร
     2 วังมัจฉา           600 เมตร
     1 ไหลคืนรัง         500 เมตร
     ผืนป่าใหญ่ ธารน้ำตกกว้าง สูงถึง 7 ชั้น ช่วยกระจายนักเดินทางไม่ให้แออัด แวดล้อมจึงคงสงบสุข
     เราค่อยๆ เดิน พักชมน้ำตกไปทีละชั้น แต่ละชั้นบรรยากาศงดงามแตกต่างกัน อาทิ
     ชั้น 1 ไหลคืนรัง น้ำใสไหลเย็น คนลงเล่นน้ำกันคึกคัก
     ชั้น 2 วังมัจฉา ฝูงปลาพลวงจำนวนมากแหวกว่ายอยู่ทั่วไป
     ชั้น 3 ผาน้ำตก ท้าทายคนใจกล้าโหนเชือกทิ้งตัวลงแอ่งน้ำอย่างสนุกสนาน
     เราเดินถึงชั้น 4 อกนางผีเสื้อ ไม่ไปต่อ ด้วยทางไกลและลำบากมากขึ้น
     กลับออกจากน้ำตก พักกินมื้อกลางวันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไก่ย่างบางตาล ข้าวเหนียว ส้มตำ รออยู่หลายร้าน

13.30 น. ออกจากอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ขับรถย้อนขึ้นทางเหนือ ผ่านสถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีสวัสดิ์ ตลาดเทศบาลตำบลเอราวัณ ไปยังเขื่อนศรีนครินทร์ ระยะทางราว 6 กิโลเมตร

เขื่อนศรีนครินทร์
     เดิมชื่อเขื่อนเจ้าเณร เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ เพื่อผลิตไฟฟ้าและชลประทาน กั้นแม่น้ำแควใหญ่บริเวณบ้านเจ้าเณร ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี เริ่มก่อสร้าง พ.ศ. 2516 แล้วเสร็จ พ.ศ. 2523
     สำนักงานและบ้านพักส่วนใหญ่อยู่ริมทะเลสาบเหนือเขื่อน ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแควใหญ่
     เราจอง ‘บ้านเอราวัณ’ ไว้ ด้วยบ้านพักริมทะเลสาบเต็มหมด เพิ่งรู้ว่าส่วนนี้อยู่นอกเขตสำนักงานเขื่อน แยกไปฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ อย่างไรก็ตาม พื้นที่โดยรอบตกแต่งด้วยสวนไม้ดอกสีสันงดงาม สงบร่มรื่น รอบนอกเป็นป่าเบญจพรรณ
     16.30 น. แดดอ่อนลง จึงขับรถเข้าไปเที่ยวบริเวณสำนักงานเขื่อน

สวนเวลารำลึก
     สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533 ในศุภมงคลสมัยที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเจริญพระชนมายุ 90 พรรษา บนเนื้อที่ 30 ไร่ บริเวณเชิงเขาริมอ่างเก็บน้ำ ใกล้ท่าเรือเขื่อน
     สิ่งน่าสนใจได้แก่
     นาฬิกาแดด ประติมากรรมคอนกรีตขนาดใหญ่ ทำเป็นแผงหน้าปัด วัดตามแนวโค้งยาว 23.80 เมตร ส่วนกว้างสุด 9.95 เมตร ส่วนแคบสุด 6.25 เมตร หนา 0.80 เมตร หน้าปัดเอียง 28.6 องศา ผิวหน้าปิดด้วยกระเบื้องเคลือบสีเทาขาว ประกอบด้วยเส้นบอกเวลา (07.00-18.00) และเส้นกำกับเดือน เข็มรับแสงอาทิตย์ หล่อด้วยโลหะผสม ยาว 6.50 เมตร กว้าง 1.00 เมตร ตั้งหันหน้าลงทิศใต้
     สวนสมเด็จย่า มีประตูรั้วที่จำลองจากวังสระปทุม ทำเสมือนเป็นทางเข้าสู่สวนกว้างใหญ่ซึ่งประกอบด้วย ไม้ยืนต้น สวนไม้ดอก สระบัว ทางเดินร่มรื่นพาสู่ส่วนต่างๆ อย่างผ่อนคลาย แสงทองยามเย็นขับให้ธรรมชาติสีเขียวสดงดงามยิ่ง
     เราเดินเล่นในสวนจนถึง 18.00 น.

มื้อค่ำ กินที่ ’เรือนธารา’ ร้านอาหารอร่อยของเขื่อน จากชั้นบนมองเห็นทะเลสาบใหญ่อยู่ถัดจากสวนสวยของร้านออกไปจนสุดสายตา
หลังอาหาร กลับที่พัก บ้านเอราวัณ
ที่เที่ยวที่อยู่ที่กิน ช่างสะดวกสบายจริงๆ...


ข้อมูลค้นจาก
     dnp.go.th
     wikipedia.org
     irre.ku.ac.th

June 10, 2020

Kanchanaburi: ห้วยแม่ขมิ้น: 12.01.2017

ฝนตกตลอดคืน เช้านี้ตกหนักกว่าเย็นวาน
เรากินขนมปังเป็นมื้อเช้า ฝนยังไม่มีทีท่าจะหยุด ตัดสินใจลุย มิฉะนั้นเราจะติดกับอยู่ในบ้านพัก
ขับรถไปร้านค้าสวัสดิการ ดื่มกาแฟ ฝนยังไม่หยุด

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เป็นไฮไลต์ของอุทยาน
     เราเคยมาที่นี่ด้วยกันพร้อมเพื่อนๆ รวมสิบคน เมื่อกว่า 30 ปีก่อน (2527) ตอนนั้นถนนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแควใหญ่ยังตัดไม่ถึงอุทยานเช่นทุกวันนี้ รถตู้ที่เหมามาต้องลงแพขนานยนต์ข้ามน้ำ 2 จุด จากถนนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแควใหญ่ แม้เดินทางลำบาก แต่ก็สนุกตื่นเต้นดี...

10.00 น. เดินหน้า ลุยฝน เธอกางร่ม ผมใส่แจ็คเก็ตกันฝน เราค่อยๆ เดินไปยังน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้น 4 ‘ฉัตรแก้ว’ ห่างจากร้านค้าไปไม่ไกล
     ป้ายบอกระยะทางของน้ำตกทั้ง 7 ชั้น ชัดเจน เพื่อคนเดินทางประเมินกำลังและเวลาได้อย่างเหมาะสม
     7 ร่มเกล้า      1,185 เมตร
     6 ดงผีเสื้อ      1,035 เมตร
     5 ไหลจนหลง    245 เมตร
     4 ฉัตรแก้ว        110 เมตร
     3 วังหน้าผา      210 เมตร
     2 ม่านขมิ้น       480 เมตร
     1 ดงว่าน          565 เมตร
     หลังป้ายเป็นทางเข้าน้ำตก
     จากทางเดินด้านบน หุบลึกลงไปทางซ้ายคือ ชั้น 4 ‘ฉัตรแก้ว’ แอ่งหินกว้างใหญ่รับน้ำตกลดหลั่นเป็นชั้นๆ ซ้อนกันอย่างวิจิตร ท่ามกลางป่าไม้ครึ้ม เพียงแค่เริ่มต้นทางเข้าก็สวยงามขนาดนี้
     เราเลือกเดินลงก่อน ทางลงเป็นบันได ทางเดินเป็นทางไม้กระดาน (boardwalk) แข็งแรงประณีต ทางไม้กระดานนี้เลาะลำธารน้ำตกไปจนถึงชั้นล่างสุด
     ฝนตกทำให้น้ำไหลแรง ต้นไม้เขียวขจี พื้นดินชุ่มชื้น แสงแดดอ่อนโยน ป่าสงบ มีเพียงเราสองคนที่เดินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติงดงามนี้
     ชั้น 3 ‘วังหน้าผา’ น้ำตกแรงทีเดียว
     ชั้น 2 ‘ม่านขมิ้น’ น้ำตกเล็กลง แต่ธารน้ำยังคงไหลแรง
     ชั้น 1 ‘ดงว่าน’ บริเวณโดยรอบ มีต้นไม้สวยงาม
     เราเดินเลยดงว่านไปอีกหน่อย แล้วจึงย้อนกลับตามทางเดิม ดื่มด่ำกับธรรมชาติยิ่งใหญ่งดงามอีกรอบอย่างช้าๆ รู้สึกยินดีที่เราได้เดินป่ารับฝนปรอยๆ สายฝนทำให้แวดล้อมสมบูรณ์แบบและปราศจากผู้คนอื่น สงบสุขอย่างไม่เคยมาก่อน

เที่ยงเศษ เรากลับถึงร้านค้าสวัสดิการ พักเหนื่อย กินมื้อกลางวัน
บ่าย ยังคงมีฝนตกสลับแดดออกบ้าง
     ทางขึ้น เป็นทางดินกว้างขวาง ไม่มีทางไม้กระดาน
     ป่าไผ่ ลำโต ทอดโค้งงดงาม ไผ่เสียดสีกันยามลมพัด เสียงดังน่าเกรงขาม
     ชั้น 5 ‘ไหลจนหลง’ น้ำตกแห้งขอด ไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับชั้นล่าง
     เราตัดสินใจไม่ขึ้นต่อ ด้วยระยะทางไกลจากชั้น 5 ไป 6 และคาดว่าน้ำตกน่าจะน้อยลง
     กลับย้อนลงมาเดินเล่นแถวที่ทำการ มีลานเถาวัลย์ใหญ่ระโยงระยางน่าสนใจ
     มื้อเย็น เรากินที่ร้านค้า ตอน 17.00 น. แม่ครัวใจดี ยอมทำอาหารให้ แม้ว่าร้านจะปิดแล้วในเวลานั้น

ตอนค่ำ ดวงจันทร์วันเพ็ญโผล่พ้นเมฆ สะท้อนผิวน้ำทะเลสาบที่อยู่ทางทิศตะวันออกอย่างงดงาม
เราเป็นเพียงสองคนเดินทางที่ค้างแรมในอุทยานคืนนี้
สงบสุข...สันโดษ...


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     dnp.go.th

June 8, 2020

Kanchanaburi: เขาชนไก่ - สลักพระ: 11.01.2017

 ‘เจ็ดวันอันตราย’ ช่วงปีใหม่ผ่านไปแล้ว อากาศยังเย็นสบาย ชวนให้คิดถึงป่าเขาลำเนาไพร

10.30 น. ออกเดินทาง รถติดเช่นทุกวัน จนเข้าถนนบรมราชชนนีค่อยโล่งขึ้น ผ่านนครปฐม ราชบุรี บ้านโป่ง กาญจนบุรี ออกทางเลี่ยงเมือง (367) แวะปั๊มเติมน้ำมันและกินมื้อเที่ยง
     หลังอาหาร เดินทางต่อเข้าทางหลวง 3199 มุ่งหน้าสู่อำเภอศรีสวัสดิ์ รถแล่นไปราว 20 กิโลเมตร ผ่านศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหารเขาชนไก่
     ความทรงจำกว่า 40 ปีก่อน หวนกลับมา...
     สมัยนั้น หลักสูตรวิชาทหาร 3 ปี เริ่มเรียนปีหนึ่งตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา 4 (มศ.4) ปีสองตอน มศ.5 และจบปีสามตอนสิ้นปี 1 มหาวิทยาลัย ก่อนจบต้องผ่านภาคสนาม 5 วัน ณ ค่ายเขาชนไก่

เมษายน 2516
     ปิดภาคเรียนฤดูร้อน ปี 1 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  
     กรมรักษาดินแดน (รด.) กำหนดให้นักศึกษาวิชาทหารปีสาม จากทุกมหาวิทยาลัย ฝึกภาคสนามช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน นัดรวมพล ณ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ถนนตรีเพชร
     จ่าเรียกแถวแยกตามสถาบัน ตรวจหัวหูแต่ละคน ใครผมยาวให้ไปตัดทันที เช้าวันนั้น  กัลบกร้านตัดผมหลังโรงเรียนต้องทำงานกันมือเป็นระวิง เมื่อหัวเกรียนทั้งฝูงแล้ว จึงขึ้นรถได้
     รถเมล์ รสพ. ที่เหมามานับสิบคัน แล่นต่อกันเป็นแถวยาวออกจากโรงเรียน ตะบึงข้ามสะพานพุทธฯ มุ่งหน้าสู่กาญจนบุรี
     ถึงตำบลลาดหญ้า ถนนลูกรังแยกจากทางหลวงเข้าค่ายเขาชนไก่ คนขับยังคงไม่ชะลอรถ ฝุ่นตลบ พวกเรารีบปิดหน้าต่าง ครั้นถึงค่าย ลงจากรถ ครูฝึกเรียกแถว เมื่อเห็นหน้าต่างรถปิดหมดทุกคัน ก็เข้าใจดีว่าพวกเราไม่ชอบรับฝุ่น จึงสั่งแถวให้นอนลง กลิ้งไปซ้ายสามรอบ แล้วกลิ้งกลับมาขวาสามรอบ เป็นอันมอมฝุ่นกันถ้วนหน้า
     ตรวจหัวหูอีกรอบ พวกผมยาวที่กระหยิ่มว่ารอดตาจากกรุงเทพฯ คราวนี้หนีไม่พ้น แถมกัลบกเฉพาะกิจเป็นไอ้เณร และไม่ได้ตัดหัวเกรียนให้ฟรีๆ
     จากนั้นไปรับถุงทะเลใส่ของใช้ประจำตัวคือเข็มขัด กระติกน้ำ ผ้าห่ม
     ส่วนปืน ปลยบ 88 จ่ายให้คู่บัดดี้ 2 คนต่อ 1 กระบอก
     เต็นท์นอนขนาด 20 คน เรียงตับ 2 แถว แถวละ 10 คน หันหัวชนกันตรงแนวกลางเต็นท์ เท้าชี้ออกด้านนอก เต็นท์เปิดโล่งทุกด้านทั้งวันทั้งคืนด้วยอากาศร้อนจัด พื้นดินปูทับด้วยผ้าใบหนา ใครเจอรากไม้ตอไม้ตรงที่นอนก็ลำบากหน่อย
     อาหารมีรถบรรทุกมาส่งเป็นหม้อใหญ่ เวรครัวจัดผลัดกัน มีหน้าที่ตักอาหารใส่ถาดหลุม เมื่อกินเสร็จแล้ว แต่ละคนต้องล้างถาดเอง ส่วนใหญ่ก็ล้างกันลวกๆ ก่อนเอาไปคว่ำตากแดด ถาดแทบทุกใบจึงติดคราบมันพร้อมกลิ่นหืนถาวร ส่วนพวกเชื้อโรคน่าจะตายหมดหลังตากแดดทั้งวัน อาหารแต่ละมื้อเหลือทิ้งเกินครึ่ง ด้วยรสชาติสุดกลืน
     เรือนอาบน้ำ ตรงกลางเป็นบ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ใส่น้ำที่สูบขึ้นมาจากคลองตะเพิน รอบบ่อเป็นที่ยืนอาบได้พร้อมกันคราวละ 20-30 คน ปูพื้นด้วยไม้ระแนงเพื่อให้ระบายน้ำได้รวดเร็ว ขันน้ำ สบู่ ของใครของมัน การอาบน้ำกำกับด้วยเสียงนกหวีด 2 ครั้งของนายสิบที่คุม ปิ๊ดแรกอาบได้ ปิ๊ดสองหยุดอาบ ระยะห่างของทั้งสองหวีดอยู่ที่น้ำใจของคนคุม ใครมัวโอ้เอ้ฟอกสบู่นานก็อาจล้างตัวไม่ทัน แต่ละวันให้อาบน้ำครั้งเดียวในตอนเย็น
     คืนแรกก็มีคนลองดี... ‘เกรียง’ เพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่สวนกุหลาบ ตอนนี้เรียน chem tech จุฬา แอบไปอาบน้ำตอนค่ำ สิบเวรได้ยินเสียงและจับเขาได้ขณะตัวยังเปียก โดนลงโทษให้กลิ้งคลุกดิน นายเกรียงเลยเข้านอนด้วยตัวเลอะเทอะกว่าเก่า
     การฝึกแบ่งเป็นฐาน ส่วนมากอยู่ในช่วงเช้า ตกบ่ายร้อนจัดถึง 42 องศา ครูฝึกมักให้เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืด กางเกงขาสั้น และพักบริเวณป่าไผ่ฝั่งตรงข้ามคลอง เครื่องแบบ รด. ที่มีชุดเดียวได้ซักคร่าวๆ ตอนนี้ ตากเพียงชั่วโมงเดียวก็แห้งผาก
     ฐานฝึกอยู่ห่างจากกัน แต่ละหมู่หมุนเวียนสลับไป คนกระจายไม่แออัด มีเพิงขายของของเมียจ่าประจำอยู่ทุกฐาน บริการน้ำดำใส่น้ำแข็งถุงละ 7 บาท แตงโมฝานเป็นชิ้นบางเฉียบโปร่งแสงมองทะลุได้ชิ้นละ 5 บาท แดดร้อนจัด น้ำในกระติกประจำกายเป็นเสมอน้ำร้อน น้ำดำใส่น้ำแข็ง แตงโมจึงขายดียิ่ง น้ำแข็งไม่กี่ก้อนครู่เดียวละลายหายหมด ยิ่งกินยิ่งกระหาย ยิ่งตาลาย ตอนหลังพบว่าสู้อดทนดื่มน้ำร้อนจากกระติกให้เพียงพอกลับสบายกว่า
     ‘ซิ้ม’ เพื่อนที่คณะวิทยาศาสตร์ เชี่ยวชาญทางดูลายมือ กิจกรรมนี้ถูกใจบรรดาเมียจ่า สุดท้ายนายซิ้มไม่ต้องฝึกสนาม วันวันนั่งดูลายมือ แถมกินข้าวกินน้ำแข็งแตงโมสบายใจ
     กลับจากฐานคลานศอก-ลอดลวดหนาม บ่ายวันที่สอง เกิดเรื่องชวนหวาดเสียว งูเหลือมตัวเขื่องมุดหลบในถุงทะเลเต็นท์ข้างๆ ดีว่าไม่มีใครเป็นอันตราย ส่วนงูที่จับได้ไม่รู้ว่าไปปล่อยที่ไหน ตั้งแต่นั้นพวกเราก็ต้องระแวงระวังบริเวณที่นอนยิ่งขึ้น
     คืนนั้น หลังกำหนดเวลาเข้านอน 21.00 น. ‘เท้า’ ยังส่องไฟฉายทำอะไรง่วนอยู่ตรงที่นอน สิบเวรเห็นแสงไฟ ก็มาตรวจ นายเท้ากำลังเขียนจดหมายรักถึงแฟน สิบเวรถามว่าทำไมไม่นอน เขาตอบว่านอนไม่หลับ เรื่องลงเอยโดยนายเท้าได้วิ่งรอบเต็นท์ห้ารอบพร้อมร้องไปด้วยว่า ‘ผมนอนไม่หลับครับ ผมนอนไม่หลับครับ ฯลฯ’
     วันที่สามเป็นฐานเดินทางไกลกลางวัน วันนี้เดินทั้งวันจริงๆ ทำเอาพวกเราขาลากกันทุกคน ปลยบ 88 ปืนประจำกาย น้ำหนัก 4.31 กิโลกรัม เป็นภาระที่อยากโยนทิ้งเต็มที ดีว่ามีบัดดี้อีกคนช่วยผลัดกันแบกปืน
     ตอนค่ำ จู่ๆ เกิดไฟไหม้ป่าไผ่ฝั่งตรงข้ามคลองตะเพิน ไฟลุกโชน ผู้พัน ผบ.ค่าย ยืนโดดเด่นตะโกนท้าทายไปที่ไฟ นัยว่ามีผู้ก่อกวน ไม่มีเสียงตอบโต้นอกจากเสียงต้นไผ่ติดไฟ ผมคิดว่าไฟไหม้ป่าเป็นเรื่องปกติของสภาพอากาศร้อนจัดและแห้งขนาดที่ค่ายนี้ ผู้พันคงเห็นอย่างเดียวกันแต่อาจอยากแสดงบทบาทแก้เหงา
     วันที่สี่ ฐานคืบหน้าหลบห่ากระสุน ฐานนี้น่าตื่นเต้น รังปืนกล ใช้กระสุนจริง (จ่าว่าอย่างนั้น) ระดมยิงใส่พวกเราที่วิ่ง หลบ หมอบ คลานศอก ลอดลวดหนาม เข้าหาฐานยิง ระหว่างทางมีระเบิดหลายจุด ฐานนี้บูรณาการทุกฐานที่ผ่านมา ผมเห็นมุมเงยมากของปืนกลก็ใจชื้นว่าคงไม่เกิดผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เกือบได้เรื่องในรอบหนึ่ง เมื่อตรงจุดระเบิดตูมนั้นใกล้ ‘สหายเทพ’ มาก จนมองเห็นกลุ่มควันคลุมตัวเขา ครูฝึกคนกดระเบิดโดนจ่าเอ็ดตะโรเสียยกใหญ่ (หลายปีต่อมา นายสหายเทพเปลี่ยนชื่อเป็น ‘สหเทพ’ เพื่อมิให้พ้องไปในทำนองชื่อจัดตั้ง)
     ตอนค่ำ ฝึกฐานเดินทางไกลกลางคืน รถบรรทุกพาพวกเราออกไปปล่อยห่างจากฐานราว 5 กิโลเมตร ให้เราเดินกลับ งานนี้ไม่ลำบาก ลมพัดเย็นสบาย แสงจันทร์สว่างพอควร บรรยากาศผ่อนคลายเกินคาด
     วันสุดท้าย เราฝึกผ่านครบทุกฐานแล้ว วันนี้มีรางวัลให้ยิง ปลยบ 88 ด้วยกระสุนจริง คนละหนึ่งนัด (ประหยัดสุดๆ) แรงกระแทกหนักเอาการ
     ปลยบ 88 เป็นอาวุธปืนเล็กยาวกึ่งอัตโนมัติประจำกาย ผลิตในสหรัฐอเมริกา ชื่อ M1-Garand ประจำการกองทัพสหรัฐอเมริกา 1936-1957 ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเกาหลี ต่อมารัฐบาลสหรัฐอเมริกามอบปืนบางส่วนแก่ประเทศไทยผ่านโครงการความช่วยเหลือทางทหาร (JUSMAG) ประจำการในไทยเมื่อ พ.ศ. 2488 ก่อนจะทยอยปลดเป็นอาวุธสำรองและใช้เป็นปืนฝึกท่าอาวุธสำหรับนักศึกษาวิชาทหาร
     ภาคสนามห้าวันนี้เป็นประสบการณ์ที่ดี
     ความทรงจำนี้มีคุณค่ายิ่ง
   
จากค่ายเขาชนไก่ รถแล่นต่อไปราว 10 กิโลเมตร ผ่านทางเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ...

ตุลาคม 2517
     ปิดภาคเรียนกลางปี ปี 3 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
     กลุ่มป่า ชมรมนิเวศวิทยา จัดกิจกรรมติดตั้งป้าย ‘อนุรักษ์’ ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เราเตรียมการล่วงหน้าหลายอย่าง อาทิ เนื้อหาของป้าย จำนวนป้าย อุปกรณ์และเครื่องมือช่างไม้  ตลอดจนประสานกรมทางหลวงทำตัวอักษรอลูมิเนียมพ่นสีขาวสะท้อนแสง
     ส่วนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระเตรียมเสา ปีกไม้แผ่น กำหนดจุดตั้งป้าย
     คณะเราสิบคนเดินทางถึงสลักพระโดยราบรื่น ใช้เวลาติดตั้งป้าย 3 วัน หัวหน้าเขตฯ และเจ้าหน้าที่เป็นมิตรและอำนวยความสะดวกอย่างดี ภูมิทัศน์ป่าเขาทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ชวนให้สงบสุข
     เสร็จภารกิจที่สลักพระ เราไปต่อยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร หัวหน้าเขตฯ สลักพระ กับเจ้าหน้าที่อีก 2 คน รวมทั้งเด็กหญิงลูกสาวตัวน้อยของหัวหน้า ร่วมคณะไปด้วย เดินทางด้วยรถยีเอ็มซีทหาร 2 คัน มีรถจี๊ปนำ 1 คัน รถทั้งสามติดตั้งขอเกี่ยว สลิงและรอกกว้านที่หน้ารถ จากสลักพระไปศรีสวัสดิ์รถแล่นตามทางหลวง แต่หลังจากนั้นเป็นทางป่า แล้วค่อยๆ หายไปมองไม่เป็นทาง ป่าดิบทึบขึ้นทึบขึ้น พื้นเป็นเลนลื่น ตอนนี้ได้เห็นวิธีการใช้ขอเกี่ยวสลิงรอบต้นไม้ใหญ่ รอกกว้านพร้อมกับเร่งเครื่องรถไปข้างหน้า รู้สึกเห็นใจทั้งพลขับและพลเกี่ยวขอ รถคืบหน้าไปทีละน้อย ทางยากยาวไกลยาวนาน ผมไม่ทราบว่าคนขับรู้ทิศทางอย่างไร เรารอนแรมบนรถยีเอ็มซีราว 20 ชั่วโมง ก่อนผ่านเข้าทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ทางแน่นและแข็งแรงขึ้น ต้นปรงโบราณเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นๆ ถัดมาอีกหนึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อา...เกือบหนึ่งวันเต็มทีเดียวจากสลักพระถึงทุ่งใหญ่ นี่เองที่ทำให้ที่นี่ยังคงเป็น ‘บ้าน’ ของสัตว์ป่าอย่างแท้จริง
     สามวันในทุ่งใหญ่เป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่ได้เดินป่าโบราณ ชมต้นปรงโบราณ ในทุ่งหญ้ายิ่งใหญ่ ได้ซาบซึ้งน้ำใจไมตรี ความอดทนทรหดของเจ้าหน้าที่ ได้รับรู้ความยากลำบากในการเดินทางเข้าออกเขตฯ ของคนทำงาน ฯลฯ
     ผมได้พบกับคุณเสริมศรี เอกชัย (สนทะเล) นักเขียนนักหนังสือพิมพ์ พักอยู่คนเดียวในกระท่อมแถวที่ทำการ เธอก็เช่นเดียวกับคณะของเราที่เข้าทุ่งใหญ่เพื่อมาอยู่มาเห็นด้วยตนเองถึงธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้ และเพื่อทบทวนสมเพช ‘ชนชั้นนำ’ ต่อกรณีใช้เฮลิคอปเตอร์และยุทโธปกรณ์ของกองทัพล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่เมื่อปีก่อนหน้า จนบาปกรรมตามสนองในทันที
   
29 เมษายน 2516
     เฮลิคอปเตอร์เบลล์ หมายเลข ทบ. 6102 ตกที่บางเลน นครปฐม มีผู้เสียชีวิต 6 คน บาดเจ็บ 4 คน และพบซากสัตว์ป่า โดยเฉพาะซากกระทิง เป็นจำนวนมาก
     คณะนายทหารและนายตำรวจ ประมาณ 50-60 คน รวมถึง พันเอกณรงค์ กิตติขจร (บุตรชายจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี) พันโทสุพัฒน์ สารสิน (นายทหารคนสนิทของจอมพลประภาส จารุเสถียร และเป็นบุตรชายนายพจน์ สารสิน) ตลอดจนดาราสาว เมตตา รุ่งรัตน์ ได้เดินทางไปตั้งค่ายพักแรม เพื่อฉลองวันเกิด และใช้อาวุธสงครามล่าสัตว์ป่าภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ระหว่างวันที่ 26-29 เมษายน 2516 โดยไม่นำพา ไม่สะทกสะท้านต่อความพยายามขัดขวางของเจ้าหน้าที่เขตฯ สื่อมวลชนและนิสิตนักศึกษาชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ
     ต่อมาคณะนี้เดินทางกลับกรุงเทพมหานครด้วยเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก จำนวน 2 ลำ แต่เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง (ทบ. 6102) เกิดอุบัติเหตุตกระหว่างทางดังกล่าว
     จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี แถลงว่า เฮลิคอปเตอร์ลำที่ตกได้เดินทางไปปฏิบัติราชการลับเกี่ยวกับความมั่นคง ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องนอกจากไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายใหญ่หลวงที่เกิดแล้ว ยังถือว่าเป็นการปฏิบัติราชการอีกด้วย
     เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่นักศึกษา ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้ออกหนังสือชื่อ ‘บันทึกลับจากทุ่งใหญ่’ เปิดโปงเกี่ยวกับกรณีนี้ ตามด้วยหนังสือชื่อ ‘มหาวิทยาลัยที่ไม่มีคำตอบ’ โดยชมรมคนรุ่นใหม่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีข้อความ 4 บรรทัด พาดพิงเรื่องทุ่งใหญ่กับการต่ออายุราชการของจอมพลถนอม กิตติขจร ว่า
     ‘สภาสัตว์ป่าแห่งทุ่งใหญ่ฯ
     มีมติให้ต่ออายุสัตว์ป่าอีก 1 ปี
     เนื่องจากสถานการณ์ภายในและภายนอก
     เป็นที่ไม่น่าไว้วางใจ’
     ส่งผลให้ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ดร. ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์) สั่งลบชื่อนักศึกษาจำนวน 9 คน ออกจากมหาวิทยาลัย ด้วยข้อหาเขียนข้อความเสียดสีรัฐบาล
     การใช้อำนาจบาตรใหญ่ไร้ขื่อแป ไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี ผู้นำมุสา ขาดหิริโอตตัปปะ เป็นเหตุเบื้องต้นแห่งการประท้วงอย่างต่อเนื่อง จนที่สุดนำสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516...

จากสลักพระ ต่อไปตามทางหลวง 3199 ราว 40 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายข้ามแม่น้ำแควใหญ่ เข้าทางหลวงชนบท 6043 ฝนตกปรอยๆ ตลอดทาง ราว 50 กิโลเมตร ถึงอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เวลา 15.30 น.
     อุทยานเงียบสงบมาก เราเข้าที่พักที่จองไว้ บ้านวังหน้าผา 102/1 เก็บสัมภาระแล้วออกมาเดินเล่น น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้น 4 ชื่อ ‘ฉัตรแก้ว’ อยู่แถวที่ทำการ น้ำตกลงแอ่งเป็นชั้นๆ แมกไม้เขียวชุ่มชื้นโดยรอบ ช่างงดงาม
     ร้านค้าสวัสดิการปิดเร็วมาก เราได้ข้าวกล่องง่ายๆ เป็นมื้อเย็นกลับไปกินที่บ้านพัก
     เพื่อนบ้านคืนนี้มีเพียงคนรัสเซีย 3 คน กับมอเตอร์ไซค์ 2 คัน
     เมฆมาก ฝนตกทั้งคืน ไม่มีดาวให้เห็น
     เสียงสรรพสัตว์ระงมอยู่ไกลๆ กล่อมให้นอนหลับอย่างสบาย


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     matichon.co.th
   

June 1, 2020

Bangkok on Foot: วังปารุสกวัน: 30.12.2016

อากาศเย็นลง ลมจากทิศเหนือพัดแรงช่วงเช้า
ใกล้หยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ผู้คนทยอยกลับบ้านต่างจังหวัด ถนนหนทางในกรุงโล่งกว่าวานนี้
บรรยากาศสงบ สมควรเดินเที่ยว

10.45 น. นั่งรอรถเมล์ ตั้งใจไปเยือนวังปารุสกวัน
     ไม่มีรถผ่านมาเลย ทั้งรถร้อน รถเย็น มีแต่รถเมล์ครีมแดงที่เขียนป้ายบนหัวว่า 'Shuttle Bus' เลี้ยวมาจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ป้ายข้างรถเขียนว่าไปสนามหลวง ตะบึงอยู่เลนขวาสุด ผมโบกขอไปด้วยคันแล้วคันเล่า ก็ไม่จอด คงเพราะนโยบายไม่จอดระหว่างทาง ผมเชื่อว่า Shuttle Bus เหล่านี้เบียดบังเอาจากรถเมล์ที่บริการปกติมาใช้ใน ‘ภารกิจพิเศษ’ ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2559 'รถประจำทาง' จึงลดน้อยลง

11.00 น. จำต้องเรียกแท็กซี่ ผิดเจตนารมณ์โครงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ ราว 20 นาทีถึงวังปารุสกวัน ตรงหัวมุมถนนศรีอยุธยาตัดกับถนนราชดำเนินนอก
     ตอนที่ไปถึง ผมเป็นผู้เข้าชมคนเดียว เขาให้ไปดูวิดีโอแนะนำภูมิหลังของวังก่อน สักครู่มีคนมาเพิ่มอีกสาม หลังดูวิดีโอจบ จึงมีเจ้าหน้าที่นำชม (guided tour)

วังปารุสกวัน
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้สร้างวังปารุสกวัน เมื่อ พ.ศ. 2446 ด้วยเงินจากพระคลังข้างที่ เพื่อรักษาไว้เป็นของหลวง มีสถาปนิกชาวอิตาลี 3 คนช่วยกันออกแบบ แต่ 2 คนป่วยระหว่างการก่อสร้าง (นาย Tamagno ป่วยเป็นอหิวาตกโรคและต้องเดินทางกลับยุโรป นาย Scots ป่วยเป็นไข้ทรพิษและเสียชีวิต) คงเหลือแต่นาย Beyroleyri รับผิดชอบจนการก่อสร้างแล้วเสร็จในตอนปลาย พ.ศ. 2448
     ภายในวังประกอบด้วย 2 ตำหนัก คือ ตำหนักปารุสกวันและตำหนักจิตรลดา
     พ.ศ. 2449 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ (ภายหลังจบการศึกษาและปฏิบัติงานในกองทัพบกรัสเซีย ตำแหน่ง ‘นายพันเอก’ แห่งกรมทหารม้าฮุสซาร์) พระองค์ได้รับพระราชทานตำหนักปารุสกวันเป็นที่ประทับ จากนั้นหม่อมคัทริน (แคทยา นามเดิม Ekaterina Ivanova Desnitsky) พระชายาชาวรัสเซีย ตามเสด็จมาอยู่ด้วยกัน และต่อมาให้กำเนิดพระโอรสคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2450 เวลา 23.58 น. ณ ห้องแดง ตำหนักปารุสกวัน
     ส่วนตำหนักจิตรลดา เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมาร เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ (พ.ศ. 2453) ทรงย้ายไปประทับที่พระราชวังดุสิต จึงพระราชทานตำหนักจิตรลดาและที่ดินรอบๆ แลกเปลี่ยนกับที่ดินบริเวณท่าวาสุกรี ของสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ และตกลงให้ทำบริเวณใหญ่ทั้งหมด โดยมีถนนรอบทั้งสี่ด้านเป็นวังปารุสกวัน เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงจัดการรื้อกำแพงระหว่างสองบริเวณเดิม ติดตราประจำพระองค์คือ จักรและตะบองตามประตูกำแพง ทุกประตูรอบบริเวณวัง
     ‘แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม’ ดำเนินชีวิตครอบครัวอย่างสงบสุข ณ วังปารุสกวันแห่งนี้ราว 12 ปี...
     พ.ศ. 2462 เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงหย่าหม่อมคัทริน หลังจากแคทยาเดินทางออกจากกรุงเทพฯ วังปารุสกวันก็เงียบเหงา ทุกคนในวังต่างคิดถึงเธอ ด้วยเธอเคยเอาใจใส่ดูแลเป็นภาระเรื่องในวังทุกเรื่องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งการตกแต่งสวน ทั้งเวลาที่มีคนไม่สบายไม่ว่าจะเป็นข้าไพร่บริวารหรือพระโอรส และจนกระทั่งการกินอยู่ของนกและสิงสาราสัตว์ในสวนสัตว์เล็กๆ ที่เธอทำไว้
     พ.ศ. 2463 เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ เสด็จทิวงคตด้วยไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish influenza)
     พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระราชอำนาจ ระงับพินัยกรรมของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ที่ระบุให้ยกทรัพย์สินทั้งหมดแก่หม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาส ชายาพระองค์ใหม่ อีกทั้งมีพระบรมราชโองการให้โอนวังปารุสกวันกลับคืนเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
     ภายหลังการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 วังปารุสกวันถูกเวนคืน
     ปัจจุบันเป็นที่ทำการของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ตำรวจ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล


ตำหนักปารุสกวันอยู่ในบริเวณสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ไม่เปิดให้เข้าชม
ตึกที่เปิดให้ชมคือ ตำหนักจิตรลดา
     ตึกสีเหลืองครีม 2 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องว่าวสีแดง วงกบประตูหน้าต่างทาสีเขียว สถาปัตยกรรมแบบอิตาเลียนวิลล่า ด้านหน้าตรงกลางตึกเป็นมุขยื่นออกมา ชั้นล่างของมุขนี้คือที่เทียบรถ รับถนนซึ่งตีโค้งมาจากประตูรั้ว ผนังภายนอก ซุ้มประตูและหน้าต่างประดับปูนปั้นเป็นลายช่อดอกไม้ หน้าต่างเป็นบานเกล็ดไม้ตอนล่างเปิดเป็นบานกระทุ้งได้ ช่องลมเหนือประตูหน้าต่างเป็นไม้ฉลุลาย ‘หม้อบูรณฆฏะ’ (หม้อน้ำแห่งความอุดมสมบูรณ์)
     เจ้าหน้าที่นำชมทีละห้อง ส่วนใหญ่เป็นห้องโล่ง ไม่มีสิ่งจัดแสดงที่สำคัญ หากที่น่าสนใจคือห้องเต้นรำซึ่งเมื่อครั้ง พ.ศ. 2463 เคยเป็นที่ตั้งพระโกศพระศพของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ เพดานห้องนั้นสูงไม่พอที่จะตั้งพระโกศและแขวนเศวตฉัตร 5 ชั้น จึงต้องเจาะเพดานเป็นช่องแปดเหลี่ยม ปัจจุบันช่องดังกล่าวถูกปิดเรียบแล้ว
     บริเวณโดยรอบตำหนักจิตรลดาเป็นสวนร่มรื่น มีประติมากรรมหินอ่อนรูปสตรี 2-3 ชิ้นประดับตามทางเดิน มีศาลาพักผ่อนอยู่ริมสระน้ำพุ และหลุมหลบภัยซ่อนอยู่ด้านหลัง

วันนี้ ครบรอบ 53 ปี 30 ธันวาคม พ.ศ. 2506 วันสิ้นพระชนม์ของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ผู้เดียวซึ่ง ‘เกิดวังปารุสก์’

พิพิธภัณฑ์ตำรวจ
     อาคารกระจก ริมรั้วด้านหลัง (ทิศใต้)
     สิ่งจัดแสดง ได้แก่ เครื่องแบบ หมวก ตรา ของตำรวจในแต่ละยุค
     ชุมชนจำลอง เล่าเรื่องการทำงานของตำรวจในท้องที่
     โถงสูง ประดับประติมากรรม รูปตำรวจอุ้มคนเจ็บ ถ่ายแบบจาก ‘อนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน’ ฝีมือศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่เคยตั้งอยู่หน้ากรมตำรวจ
     ผนังจารึกรายนามอธิบดีตำรวจ (เปลี่ยนชื่อตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2541) ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนปัจจุบัน
     นอกจากนี้ ยังมี ‘แหวนอัศวิน' จัดแสดงไว้ พร้อมบรรยายว่าเป็นรางวัลที่อธิบดี พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ มอบให้นายตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่นด้านการปราบปราม เป็นรางวัลที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับนายตำรวจสมัยนั้น
     แท้ที่จริง แหวนอัศวินเป็นสัญลักษณ์อันอื้อฉาวในยุคอธิบดี พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ (ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2494-2500) เจ้าของคำขวัญ ‘ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้’...
     ...พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ เป็นผู้ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายเกรงกลัวอย่างยิ่ง หลังเกิดการสังหารอดีตรัฐมนตรีสายเสรีไทยสี่นาย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2492 (รัฐมนตรีสี่นาย ได้แก่ นายถวิล อุดล, นายทองเปลว ชลภูมิ์, นายจำลอง ดาวเรือง และนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ถูกจับกุมในกรณีกบฏวังหลวง 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492) ทั้งสี่ถูก ‘ยิงทิ้ง’ ที่ กม. 14-15 บางเขน ถนนพหลโยธิน ขณะถูกย้ายจากเรือนจำหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งโดยมีตำรวจควบคุมตัวไป ฝ่ายกองกำลังตำรวจของ พล.ต.อ. เผ่า อ้างว่าเป็นการกระทำของฝ่ายเสรีไทยที่พยายามจะชิงตัวนักโทษ
     เหล่าบริวารของ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เรียกกันว่า ‘อัศวิน’ พวกอัศวินคือนายตำรวจที่ พล.ต.อ. เผ่าเลือกมาทำงานให้ตน และเป็นที่รู้กันได้จากแหวนทองหรือแหวนเพชรที่ พล.ต.อ. เผ่ามอบให้ บุคคลเหล่านี้ทำงานไม่บริสุทธิ์ ความโหดร้ายทารุณของตำรวจจากบงการของ พล.ต.อ. เผ่า เป็นส่วนทำให้เกิดสภาพ ‘รัฐตำรวจ’ (police state) ตอนที่มีอำนาจมากที่สุดนั้นกรมตำรวจมีกำลังพลเกือบ 43,000 นาย ซึ่งมากพอที่จะยืนหยัดเป็นคู่แข่งกับกองทัพบก
     อเมริกันเองก็สนับสนุน พล.ต.อ. เผ่า สหรัฐอเมริกาได้ส่งรถถัง รถหุ้มเกราะ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ เรือ และอาวุธปืนทันสมัยให้แก่กรมตำรวจ นัยเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสม์ กรมตำรวจมีกองพลร่ม โรงเรียนฝึกพลร่ม ของตนเอง นอกจากนี้ CIA ยังร่วมฝึกตำรวจไทยในการต่อสู้แบบกองโจร
     การใช้เงินอุดหนุนกลไกทางการเมืองของ พล.ต.อ. เผ่า ในสภา และอุดหนุนบริวารของตนในกองกำลังตำรวจนั้น พล.ต.อ. เผ่าต้องอาศัยการค้าฝิ่น เป็นความลับที่เปิดเผยว่า ‘อัศวิน’ ของเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ในขณะที่การค้าฝิ่นให้ผลตอบแทนมากที่สุด พล.ต.อ. เผ่ายังพัวพันกับธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทไม่น้อยกว่า 26 แห่ง บัญชีธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์ของเขาเป็นที่เล่าลือ ภายหลังลี้ภัยรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2500 พล.ต.อ. เผ่ายังสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายในคฤหาสน์ริมทะเลสาบเจนีวา จ้างคนขับรถชาวอังกฤษ ตลอดจนพา ‘อัศวิน’ ที่จงรักภักดีสองคนพร้อมครอบครัวติดตามไปด้วย…

‘ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้’
‘แหวนอัศวิน’
‘ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์’

...พิพิธภัณฑ์ตำรวจมีมโนทัศน์เช่นไรหนอ?...


ข้อมูลค้นจาก  
     หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ และ ไอรีน ฮันเตอร์. แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม. สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์. 2538.
     พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์. เกิดวังปารุสก์. สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์. 2557.
     ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. ปรีดี พนมยงค์ และ 4 รัฐมนตรีอีสาน +1. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 2544.
     ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 2561.
     th.wikipedia.org
     saranitet.police.go.th





April 28, 2020

Thakhek: พะทาดโคดตะบอง: 19.11.2016

ตื่นแต่เช้าหวังชมอาทิตย์ขึ้นเหนือโขง แม้ท้องฟ้ามีเมฆเป็นแถบขวาง กระนั้นยังมีช่องว่างพอดีให้แสงทองของอาทิตย์อุทัยฉายออกมาอย่างงดงาม

หลังรองท้องด้วยมื้อเช้าเรียบง่าย เราเดินจากบ้านปันสุข เลียบริมโขง ถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ราว 10.00 น.
เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขง
     บัตรผ่านแดน ฝั่งไทย ราคา 46 บาท
     เรือข้ามโขง 60 บาท ใช้เวลาราว 15 นาที
     ด่านตรวจคนเข้าเมือง ฝั่งลาว ตั้ง 2 โต๊ะ โต๊ะแรก 60 บาท เป็นค่า ‘เหยียบแผ่นดิน’ โต๊ะที่สอง 50 บาท ไม่อธิบายว่าค่าอะไร เจ้าหน้าที่แต่ละคน ถมึงทึง ไม่เป็นมิตร!
     รถตุ๊กตุ๊กหลายคันจอดรออยู่หน้าด่าน
     เราตกลงนั่งรถชมเมือง คนขับขอ 200 บาท…

ตึกราม ร้านรวง ตลาด หน้าตาพื้นๆ
     โรงเรียนประถม ตึกเรียนเก่า สนามดินกว้าง หญ้าหร็อมแหร็ม มีเครื่องเล่นให้เด็กปีนป่ายตั้งอยู่ 2-3 ชิ้น เสียดายวันนี้วันเสาร์ ไม่มีเด็กนักเรียน ยิ่งเงียบเหงาไร้ชีวิตชีวา
     โรงเรียนมัธยมนาโบ ตึกใหม่ใหญ่โตกว่าโรงเรียนประถม
     ตึกทำงานของรัฐ เรียก ‘แผนก’ ต่างๆ (คือกรม กระทรวง) ประดับธงชาติลาว

คนขับรถชวนให้ไปชมวัดสีโคดตะบอง วัดเก่าแก่อยู่ริมโขง ห่างจากเมืองท่าแขกไปทางใต้ราว 6 กิโลเมตร ขอค่ารถเพิ่มอีก 200 บาท…

อาณาจักรโคตรบูร (ก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 7) (ลาวเรียกอาณาจักรโคดตะบอง)
     ตามตำนานอุรังคธาตุ เขตแดนของโคตรบูรอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง ฝั่งขวาตั้งแต่อุดรธานี หนองคาย นครพนม ลงไปจนจรดอุบลราชธานี ฝั่งซ้ายครอบคลุมแขวงบอลิคำไซ เวียงจันทน์ แขวงคำม่วน แขวงสุวรรณเขต แขวงสาละวัน แขวงจำปาสัก แขวงอัตตะปือ และแขวงเซกอง
     เมืองศรีโคตรบูรเป็นเมืองเอก อยู่ลึกจากปากน้ำเซบั้งไฟ เข้าไปราว 15 กิโลเมตร (ปากน้ำเซบั้งไฟอยู่ตรงข้ามอำเภอธาตุพนม) ต่อมาเกิดโรคระบาด ต้องย้ายเมืองข้ามโขงมาตั้งใหม่ทางเหนือของภูกำพร้า ให้ชื่อว่า ‘มรุกขนคร’
     อาณาจักรโคตรบูรเสื่อมอำนาจและสิ้นสุดลงเมื่อถูกเจ้าฟ้างุ้ม (1316-1374) แห่งอาณาจักรล้านช้างโจมตี โคตรบูรตกเป็นประเทศราชของล้านช้าง

วัดสีโคดตะบอง
     จากซุ้มประตูรั้ววัดด้านตะวันออก เหนือซุ้มเขียนว่า ‘สีโคตบูน’ ทางเดินยาวราว 100 เมตร พาผ่านสนามหญ้ากว้าง และศาลากลางน้ำทรงจตุรมุข ตรงสู่พระธาตุ ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำโขง
     พระธาตุโคตรบูร (ลาวเรียกพะทาดโคดตะบอง) ชาวบ้านเชื่อว่าสร้างแต่ครั้งอาณาจักรโคตรบูร (รุ่นเดียวกับพระธาตุพนม) บูรณะครั้งแรกสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราช (1534-1572) แห่งอาณาจักรล้านช้าง
     พระธาตุตั้งบนฐานไพทีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 50 เมตร มีกำแพงแก้วโดยรอบ ตรงกลางกำแพงแก้วแต่ละด้าน (ยกเว้นด้านทิศเหนือ) มีทางบันไดขึ้นจากพื้นด้านนอก ตรงมุมทั้งสี่ของกำแพงแก้วประดิษฐานพระธาตุน้อย
     ฐานพระธาตุรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 20 เมตร ชั้นที่สองและสาม ย่อมุม ทำเป็นรูปกลีบบัวสีขาว เจดีย์เหลี่ยมเรียวขึ้นไปทาสีทอง (แบบพระธาตุหลวงที่เวียงจันทน์) พระธาตุสูง 29 เมตร
     หน้าพระธาตุด้านตะวันออก มีเสมาหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่
     สิม (วิหาร) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระธาตุ หลังคาสามชั้นลด ศิลปะเชียงขวาง กลางสันหลังคามีช่อฟ้ารูปฉัตร 9 ยอด หน้าบันเป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับ มีวานรและช้างหมอบข้างซ้ายและขวา ภายในสิมประดิษฐานพระประธานปางสมาธิ สร้างแต่สมัยเจ้าอนุวงศ์ (ครองเวียงจันทน์ 1805-1827)
     อาณาบริเวณวัดกว้างขวาง สิ่งก่อสร้างไม่มาก ไม่รกตา นักท่องเที่ยวไม่กี่คน ลมจากแม่น้ำโขงพัดโชยเย็นสบาย ช่างสงบสุขจริงๆ

จากรั้ววัดไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 100 เมตร เป็นวงเวียนอนุสาวรีย์พระยาโคดตะบอง ในท่ายืน มือขวาชี้ไปข้างหน้า มือซ้ายถือตะบองอันใหญ่ อนุสาวรีย์นี้สร้างเมื่อปี 2009

เรากลับด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าแขก จ่ายค่า ‘อำลาแผ่นดิน’ 60 บาท
เรือข้ามโขง 60 บาท
กลับถึงฝั่งนครพนมราว 12.00 น.
กินมื้อกลางวันที่ร้านสบายดี@นครพนม ปลาเนื้ออ่อนทอดกรอบแสนอร่อย แม่น้ำโขงยังคงเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญเสมอ

หลังอาหาร เราเดินเล่นไปตามถนนริมโขง

หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์
     สถาปัตยกรรมเรียบง่าย หากสง่างาม ด้วยตั้งอยู่ตรงมุมสามเหลี่ยมที่ถนนศรีเทพแยกจากถนนชยางกูร หอนาฬิกาทรงสี่เหลี่ยม สูง 50 เมตร มีหน้าปัดบอกเวลาทั้งสี่ด้าน ด้านหน้าหอเป็นบ่อน้ำพุ (ชำรุด) ด้านหลังเป็นศาลาโล่งสองชั้น
     ใต้หน้าปัดนาฬิกาด้านทิศเหนือ จารึกอักษรไทยและเวียดนาม ความว่า ‘ชาวเวียตนามอนุสรณ์ คราวย้ายกลับปิตุภูมิ 2503’
     ช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) ชาวเวียดนามบางส่วนอพยพหนีภัยมาอยู่นครพนม กระทั่งวันที่ 7 พฤษภาคม 1954 สงครามยุติลงเมื่อฝรั่งเศสปราชัยอย่างย่อยยับในสมรภูมิ Dien Bien Phu ปิดฉากอาณานิคม ‘อินโดจีนของฝรั่งเศส’ ที่ดำรงมากว่าศตวรรษ
     คนเวียดนามในนครพนมจึงทยอยเดินทางกลับบ้านเกิด และได้สร้างหอนาฬิกาไว้เป็นอนุสรณ์แห่งมิตรภาพเมื่อปี 1960
   
เราเดินกลับถึงบ้านปันสุข 14.00 น.

15.00 น. คุณขำ ขับรถ SUV มารับเราตามที่นัดไว้ ไปส่งสนามบิน เจ้าของบริษัทนครโคราช ส่งลูกค้าเองเพราะรถตู้เต็มหมดทุกคัน กิจการรับส่งคนเดินทางจากสนามบินคึกคักยิ่ง
     คุณขำปรารภว่าสนามบินนครพนมเป็นปัจจัยหลักที่นำความเจริญสู่จังหวัด สร้างงานและสร้างฐานะแก่เธออย่างสำคัญ…

สนามบินนครพนมสร้างโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา! เริ่มเมื่อปี 1961 แล้วเสร็จปี 1962

ช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ขยายตัว ยังความประหวั่นแก่สหรัฐอเมริกา จนเกิดทฤษฎีโดมิโน (The Domino Theory) ซึ่งเสนอโดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Harry S. Truman เมื่อ Ho Chi Minh ประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในวันที่ 2 กันยายน 1945 ณ จัตุรัส Ba Dinh กรุง Hanoi ต่อหน้าฝูงชนกว่า 400,000 คน
     สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนฝรั่งเศสที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลับเข้ามายึดครองอินโดจีนต่อ อันนำไปสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและสร้างรายได้มหาศาลให้สหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแรงจูงใจสำคัญ ดังนั้นกว่าร้อยละ 80 ของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฝรั่งเศสใช้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งนี้ จึงมาจากสหรัฐอเมริกา
     ความปราชัยหมดรูปของฝรั่งเศสที่ Dien Bien Phu (1954) ทำให้ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ประกาศว่านี่เป็น 'falling domino' สำทับการเข้าแทรกแซงเต็มรูปแบบของสหรัฐอเมริกา สวมรอยฝรั่งเศสที่จำต้องถอนตัวออกไปจากอินโดจีน และที่สุดนำไปสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง (1960-1975) หรือสงครามเวียดนาม (ชื่อที่สหรัฐอเมริกาเรียก) หรือสงครามอเมริกัน (ชื่อที่เวียดนามเรียก)
     รัฐบาลไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ทำ ‘ข้อตกลงสุภาพบุรุษ’ (gentleman’s agreement) กับสหรัฐอเมริกาให้ใช้พื้นที่ของประเทศไทยในการทำสงครามเวียดนามและเลยเถิดถึง ‘สงครามที่ไม่ประกาศ’ ในลาว เริ่มด้วยการสร้างฐานบิน 7 แห่ง สำหรับกองทัพสหรัฐอเมริกาใช้ส่งกำลังบำรุงและส่งเครื่องบินโจมตีทางอากาศต่อเวียดนาม ฐานบิน 7 แห่งนี้ได้แก่ อู่ตะเภา ตาคลี อุดร นครพนม อุบล โคราช และดอนเมือง
     คุณโชคชัย บูลกุล เจ้าของฟาร์มโชคชัย ผู้เป็นที่รู้จัก บันทึกไว้ว่า ช่วงปี 1965-1969 เขาได้มีส่วนร่วมกับกองทัพสหรัฐอเมริกา ก่อสร้างสนามบิน 8 แห่ง 6 แห่งในไทย ได้แก่ ตาคลี สัตหีบ โคราช อุบล อุดร และนครพนม กับอีก 2 แห่งนอกไทย ได้แก่ ปากเซ ลาว และเวียดนาม
     เขาเริ่มต้นด้วยการให้เช่ารถตัก รถดัมพ์ รถผสมปูน ที่อุดร, ให้เช่าถังเก็บน้ำมันขนาด 20,000 ลิตร ที่ตาคลี, ต่อมาก่อสร้างทางวิ่ง ราดยางมะตอย ที่โคราช, ปรับปรุงลานบินที่อุดร, ติดตั้งเครื่องปั่นไฟส่องสว่างให้เครื่องบินลงจอดตอนกลางคืน ตลอดจนถึงขนาดรับจ้างขุดระเบิดที่เครื่องบินต้องปลดลงหลุมดินก่อนลงจอดที่นครพนม (กรณีเครื่องบินนั้นทิ้งระเบิดไม่หมดในเวียดนาม)
     รายได้อย่างงามจากธุรกิจเหล่านี้ ทำให้คุณโชคชัย บูลกุล ในวัยยี่สิบเศษ ถึงกับตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจว่า ‘โชคชัยเกิดแล้ว’ เงินแสนที่เขาหาได้ภายในเวลาเพียง 30 วัน เมื่อคราวให้เช่ารถตัก รถดัมพ์ รถผสมปูน ที่อุดร เป็นจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งที่จะตามมา
     กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา (The United States Air Force, USAF) ส่งเครื่องบินรบจำนวนมากมาประจำการในประเทศไทยตั้งแต่ปี 1961 ถึง 1975 กว่าร้อยละ 80 ของเครื่องบินอเมริกันที่ทิ้งระเบิดถล่มเวียดนามขึ้นจากฐานบินในประเทศไทย และช่วงปี 1969 มีนักบินอเมริกันประจำการในไทยมากกว่าในเวียดนามใต้
     ...ดอลลาร์สะพัด...

คำอีสานกล่าวไว้ว่า
‘ไปเสิกไปข่า ไปค่าไปตั๋วะ’
ไปศึกไปฆ่า ไปค้าไปมุสา  
เช่นนั้นแล้ว ไปค้าสงครามจะเป็นขนาดไหนหนอ?...

‘ข้อตกลงสุภาพบุรุษ’ ได้นำความมั่งคั่ง มั่นคง สู่ ‘ชนชั้นนำ’ ของไทยอย่างสำคัญ

น่ายินดี วันนี้สนามบินนครพนมเป็นสนามบินพลเรือน เป็นสนามบินพาณิชย์
เครื่องบินออกตามเวลา 16.55 น. เพียง 1 ชั่วโมงต่อมา ก็ร่อนลงดอนเมือง

นครพนม...นครแห่งความหลัง นครแห่งความรัก...
กว่า 35 ปี ที่จากลา คิดถึงเธอเสมอ...


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     ศรีศักร วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: มติชน. 2546.
     ศรัณย์ บุญประเสริฐ. คู่มือนำเที่ยวหลวงพระบาง. สำนักพิมพ์สารคดี. 2549.
     seabeemuseum.wordpress.com
     โชคชัย บูลกุล. ผมฝันอยากเป็นคาวบอยตั้งแต่เด็กๆ. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง. 2552.
   

April 13, 2020

Nakhon Phanom: รอบเมือง: 18.11.2016

ออกจากอนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ ลุงฮงขับรถลัดเลาะไปตามถนนเลียบอ่างเก็บน้ำหนองญาติ ราว 3 กิโลเมตร ก็บรรจบกับทางหลวง 2033 ตรงเทศบาลตำบลหนองญาติ ต่อไปอีก 300 เมตร ถึงศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานครพนม พื้นที่กว้างขวาง ภายในเปิดให้ชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและหอเฉลิมพระเกียรติ อาคารทั้งสองห่างกันราว 500 เมตร รถบัสหลายคันพาเด็กนักเรียนตัวน้อยมากับครู บรรยากาศคึกคัก

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ‘โลกของปลาแม่น้ำโขง’
     จัดแสดงปลาน้ำจืด เกือบ 100 ชนิด จากแม่น้ำโขง แม่น้ำสงคราม และแม่น้ำก่ำ สามสายน้ำสำคัญของนครพนม ตู้ปลาขนาดใหญ่ อุโมงค์ปลา และแววตาเป็นประกายของเด็กๆ ทำให้พิพิธภัณฑ์มีชีวิตชีวา นอกจากนี้ ยังมีแท็งค์ปลาบึก ราชินีแห่งแม่น้ำโขง แหวกว่ายอวดโฉม น่าตื่นตาตื่นใจ

หอเฉลิมพระเกียรติราชวงศ์จักรี
     อาคารขนาดใหญ่ ทรงจตุรมุข หันหน้าไปทางตะวันออก ตึกยาวตามแนวตะวันออก-ตกหลังคาจั่วสามชั้นลด ภายในมี 2 ชั้น
     ชั้นล่าง พื้นหินขัดเงา จัดแสดงภาพเขียนสีน้ำมัน รัชกาลที่ 1-9 และนิทรรศการเรื่องราชวงศ์จักรี
     ชั้นบน จัดแสดงเอกลักษณ์สำคัญทางมนุษยศาสตร์ของนครพนม: 8 พระธาตุ 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ
        8 พระธาตุ จัดแสดงด้วยภาพ คือ
           พระธาตุนคร วัดมหาธาตุ อำเภอเมือง
           พระธาตุท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน
           พระธาตุหินอ่อน วัดโพธิ์ไชย อำเภอท่าอุเทน
           พระธาตุพนม อำเภอธาตุพนม
           พระธาตุเรณู อำเภอเรณูนคร
           พระธาตุศรีคุณ อำเภอนาแก
           พระธาตุมหาชัย อำเภอปลาปาก
           พระธาตุประสิทธิ์ อำเภอนาหว้า
        8 ชนเผ่า จัดแสดงวิถีชีวิต ประเพณี ของ 8 ชนเผ่า อันได้แก่ ไทข่า ไทโส้ ไทญ้อ ไทกวน ไทกะเลิง ผู้ไท ไทแสก ไทอีสาน นอกจากนี้ ยังจัดแสดงชุดแต่งกายประจำชนเผ่า ทั้งชายและหญิง แบบ ผ้า สีสัน ลวดลาย ล้วนงดงาม น่าสนใจ
        2 เชื้อชาติ จัดแสดงวิถีชีวิต ประเพณี ของ 2 เชื้อชาติ คือ จีน และเวียดนาม

เที่ยงเศษ เราออกจากหนองญาติ กลับเข้าเมือง พักกินมื้อกลางวันที่ ‘เรือนริมน้ำ’ ถนนสุนทรวิจิตร ร้านอาหารตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง บรรยากาศผ่อนคลาย

หลังอาหาร เราเดินทางต่อ...วัดนักบุญอันนา หนองแสง ห่างไปเพียง 500 เมตร

วัดนักบุญอันนา หนองแสง
     วัดคาธอลิก สร้างเมื่อปี 1926 (พ.ศ. 2469) อาณาบริเวณกว้างขวาง ปลูกต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม
     จากถนนสุนทรวิจิตร (212) ถนนเลียบโขง ผ่านซุ้มรั้ววัดเข้าไปภายใน ลานกว้างด้านหน้ามีประติมากรรมรูปนักบุญอันนา (มารดา) ยืนอยู่หลัง สองแขนโอบไหล่พระนางมารี (บุตรสาว) ที่ยืนอยู่หน้า ดูอ่อนโยน อบอุ่น
     โบสถ์หันหน้าไปทางตะวันออกสู่แม่น้ำโขง ตึกเป็นหอคอยคู่ทรงสี่เหลี่ยมขนาบสองข้าง ส่วนบนหอคอยทำเป็นปิรามิดเรียวขึ้นไป ยอดเป็นไม้กางเขนโดดเด่น ตรงฐานปิรามิดเป็นดาดฟ้าเดินได้รอบ มีสะพานทางเดินโค้งเชื่อมดาดฟ้าหอคอยทั้งสองเข้าด้วยกัน
     ภายในโบสถ์ กำลังมีพิธีอาลัยผู้ตายก่อนฝัง เราจึงไม่ได้เข้าไปชม
     ถัดไปทางทิศใต้ของโบสถ์ เป็นตึกมูลนิธิบาทหลวงเอดัวรด์นำลาภ (1952) ก่อตั้งโดยคุณพ่อเอดัวรด์ (ยอแซฟ) ถัง นำลาภ (1893-1965) เจ้าอาวาสวัดนักบุญอันนา หนองแสง ช่วง 1929-1964 สถาปัตยกรรมของตึกงดงาม หากรกร้าง รอการบูรณะ?

ออกจากวัดนักบุญอันนา รถแล่นเลียบโขงลงใต้ไป 800 เมตร เลี้ยวขวาเข้าจวนผู้ว่าฯ หลังเก่า

พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม
     ตึกหลังนี้เป็นบ้านเก่าของพระยาพนมนครานุรักษ์ (อุ้ย นาครทรรภ) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2454-2468) สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2457 ต่อมาปี พ.ศ. 2468 ขายให้กระทรวงมหาดไทยใช้เป็นจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจนถึงปี พ.ศ. 2527
     กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนตึกเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. 2548 บูรณะและจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เมื่อปี พ.ศ. 2549
     ตึก 2 ชั้น หลังคาจั่ว มีหน้าต่างสูงโดยรอบทั้งชั้นบนและล่าง บานหน้าต่างและราวระเบียงไม้ทาสีเขียว ส่งให้ตึกสีเหลืองยิ่งงดงาม ประตูทางเข้าเป็นซุ้มโค้ง พื้นชั้นล่างปูกระเบื้องลายทแยงสลับสีขาวดำดูเคร่งขรึม
     สิ่งจัดแสดงได้แก่
          ห้องพื้นเมืองนคร เล่าเรื่องอาณาจักรโคตรบูร มรุกขนคร ก่อนเป็นนครพนม
          ห้องเจ้าเมืองเรืองนาม ประดับภาพผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนปัจจุบัน
          ห้องวัฒนธรรมหลากหลาย ของชนเผ่าต่างๆ
          ห้องเมื่อครั้งยังเสด็จ บันทึกการเสด็จเยี่ยมนครพนม 8 ครั้ง ของรัชกาลที่ 9 และพระราชินี
          ห้องคืนประทับแรม เป็นห้องพระบรรทมของรัชกาลที่ 9 และพระราชินี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498
          ห้องพสกนิกรแซ่ซ้อง แสดงภาพชาวบ้านรอรับเสด็จฯ เมื่อปี 2498 รวมทั้งภาพ ‘ยายตุ้มถวายดอกบัวเหี่ยว 3 ดอก’
          ห้องเปิดบันทึกท่านสง่า บันทึกการปรับปรุงจวนเพื่อรับเสด็จฯ เมื่อปี 2498 โดยท่านสง่า ปลัดจังหวัด
     ด้านหลังจวน มีเรือนหลังเล็กชั้นเดียว เรียก ‘เฮือนเฮือไฟ’ เล่าเรื่องประเพณี ‘ไหลเรือไฟ’ ของชาวนครพนมในวันออกพรรษา แบ่งเป็น 4 ห้อง ได้แก่ สืบสานประเพณี งามตาไหลเรือไฟ อัคคีแห่งศรัทธา และรวมใจไทนคร
             
จากพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าฯ รถแล่นเข้าถนนอภิบาลบัญชา ผ่านโรงพยาบาลนครพนม
     กว่า 35 ปี ที่จากมา ตึกรามเปลี่ยนไปมาก หน้าโรงพยาบาลติดป้าย 4 ภาษา: ไทย อังกฤษ ลาว เวียดนาม สะท้อนพื้นเพหลากหลายของคนนครพนม

ถัดมาราว 900 เมตร ถึงหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
     ตึก 3 ชั้น สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2458 เดิมเป็นศาลากลางจังหวัด ปรับปรุงเป็นหอสมุดเมื่อปี 2537 ได้รับคัดเลือกเป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่นปี 2540 และกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน
     บริเวณด้านหน้าตึกเป็นสนามกว้าง มีไม้ประดับตัดแต่งเป็นระเบียบ ตรงกลางประดิษฐานอนุสาวรีย์พระรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5
     ตึกหอสมุดใหญ่โตโอ่อ่า พื้นที่เกือบ 1,300 ตารางเมตร บันไดและราวบันไดไม้ขัดเงางดงาม จัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ ได้แก่ ห้องหนังสือทั่วไป ห้องหนังสืออ้างอิง ห้องวารสารและหนังสือพิมพ์ ห้องหนูรักหนังสือ ห้องโสตทัศนศึกษา และห้องศรีโคตรบูร (บริการเอกสารภาษาโบราณ เช่น สมุดไทย คัมภีร์ใบลาน รวมทั้งสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวกับท้องถิ่นอีสาน)
     ภูมิทัศน์ทั้งภายในและภายนอกหอสมุดรื่นรมย์ ชวนให้นั่งอ่านหนังสือจริงๆ
   
ออกจากหอสมุด รถแล่นลงใต้ ราว 3 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายวกกลับเข้าถนนสุนทรวิจิตร ถนนเลียบโขง เข้าไปจอดในวัดมหาธาตุ

วัดมหาธาตุ
     เป็นวัดเก่าแก่ เดิมชื่อ วัดมิ่งเมือง สร้างแต่ปี พ.ศ. 1150 โดยพระยามหาอำมาตย์ (ป้อม) แม่ทัพใหญ่จากเวียงจันทน์
     พระธาตุนคร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2465 ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง 5.85 เมตร สูง 24 เมตร เจดีย์ทรงบัวเหลี่ยมเรียว ประดับลายดอกไม้ร่วง
     รอบพระธาตุรายล้อมด้วยประติมากรรมสูงใหญ่จำนวนมาก ประดับลวดลายสีทองละลานตา บดบัง ทอนความสง่างามของพระธาตุลงอย่างน่าเสียดาย
   
จากวัดมหาธาตุ ลุงฮงขับรถต่อมาเพียง 2 นาที ถึงบ้านปันสุข เวลา 15.00 น.
ปิดทริปชมเมืองหนึ่งวันอันประทับใจ

นครพนม เมืองเก่าแก่ริมโขง ก่อนกำเนิดสยามประเทศ
นครพนม เมืองสงบ ผังเมืองงดงาม ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นน่าสนใจ น่าเรียนรู้
นครพนม เมืองที่รัก...


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     catholichaab.com