June 1, 2020

Bangkok on Foot: วังปารุสกวัน: 30.12.2016

อากาศเย็นลง ลมจากทิศเหนือพัดแรงช่วงเช้า
ใกล้หยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ผู้คนทยอยกลับบ้านต่างจังหวัด ถนนหนทางในกรุงโล่งกว่าวานนี้
บรรยากาศสงบ สมควรเดินเที่ยว

10.45 น. นั่งรอรถเมล์ ตั้งใจไปเยือนวังปารุสกวัน
     ไม่มีรถผ่านมาเลย ทั้งรถร้อน รถเย็น มีแต่รถเมล์ครีมแดงที่เขียนป้ายบนหัวว่า 'Shuttle Bus' เลี้ยวมาจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ป้ายข้างรถเขียนว่าไปสนามหลวง ตะบึงอยู่เลนขวาสุด ผมโบกขอไปด้วยคันแล้วคันเล่า ก็ไม่จอด คงเพราะนโยบายไม่จอดระหว่างทาง ผมเชื่อว่า Shuttle Bus เหล่านี้เบียดบังเอาจากรถเมล์ที่บริการปกติมาใช้ใน ‘ภารกิจพิเศษ’ ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2559 'รถประจำทาง' จึงลดน้อยลง

11.00 น. จำต้องเรียกแท็กซี่ ผิดเจตนารมณ์โครงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ ราว 20 นาทีถึงวังปารุสกวัน ตรงหัวมุมถนนศรีอยุธยาตัดกับถนนราชดำเนินนอก
     ตอนที่ไปถึง ผมเป็นผู้เข้าชมคนเดียว เขาให้ไปดูวิดีโอแนะนำภูมิหลังของวังก่อน สักครู่มีคนมาเพิ่มอีกสาม หลังดูวิดีโอจบ จึงมีเจ้าหน้าที่นำชม (guided tour)

วังปารุสกวัน
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้สร้างวังปารุสกวัน เมื่อ พ.ศ. 2446 ด้วยเงินจากพระคลังข้างที่ เพื่อรักษาไว้เป็นของหลวง มีสถาปนิกชาวอิตาลี 3 คนช่วยกันออกแบบ แต่ 2 คนป่วยระหว่างการก่อสร้าง (นาย Tamagno ป่วยเป็นอหิวาตกโรคและต้องเดินทางกลับยุโรป นาย Scots ป่วยเป็นไข้ทรพิษและเสียชีวิต) คงเหลือแต่นาย Beyroleyri รับผิดชอบจนการก่อสร้างแล้วเสร็จในตอนปลาย พ.ศ. 2448
     ภายในวังประกอบด้วย 2 ตำหนัก คือ ตำหนักปารุสกวันและตำหนักจิตรลดา
     พ.ศ. 2449 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ (ภายหลังจบการศึกษาและปฏิบัติงานในกองทัพบกรัสเซีย ตำแหน่ง ‘นายพันเอก’ แห่งกรมทหารม้าฮุสซาร์) พระองค์ได้รับพระราชทานตำหนักปารุสกวันเป็นที่ประทับ จากนั้นหม่อมคัทริน (แคทยา นามเดิม Ekaterina Ivanova Desnitsky) พระชายาชาวรัสเซีย ตามเสด็จมาอยู่ด้วยกัน และต่อมาให้กำเนิดพระโอรสคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2450 เวลา 23.58 น. ณ ห้องแดง ตำหนักปารุสกวัน
     ส่วนตำหนักจิตรลดา เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมาร เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ (พ.ศ. 2453) ทรงย้ายไปประทับที่พระราชวังดุสิต จึงพระราชทานตำหนักจิตรลดาและที่ดินรอบๆ แลกเปลี่ยนกับที่ดินบริเวณท่าวาสุกรี ของสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ และตกลงให้ทำบริเวณใหญ่ทั้งหมด โดยมีถนนรอบทั้งสี่ด้านเป็นวังปารุสกวัน เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงจัดการรื้อกำแพงระหว่างสองบริเวณเดิม ติดตราประจำพระองค์คือ จักรและตะบองตามประตูกำแพง ทุกประตูรอบบริเวณวัง
     ‘แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม’ ดำเนินชีวิตครอบครัวอย่างสงบสุข ณ วังปารุสกวันแห่งนี้ราว 12 ปี...
     พ.ศ. 2462 เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงหย่าหม่อมคัทริน หลังจากแคทยาเดินทางออกจากกรุงเทพฯ วังปารุสกวันก็เงียบเหงา ทุกคนในวังต่างคิดถึงเธอ ด้วยเธอเคยเอาใจใส่ดูแลเป็นภาระเรื่องในวังทุกเรื่องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งการตกแต่งสวน ทั้งเวลาที่มีคนไม่สบายไม่ว่าจะเป็นข้าไพร่บริวารหรือพระโอรส และจนกระทั่งการกินอยู่ของนกและสิงสาราสัตว์ในสวนสัตว์เล็กๆ ที่เธอทำไว้
     พ.ศ. 2463 เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ เสด็จทิวงคตด้วยไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish influenza)
     พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระราชอำนาจ ระงับพินัยกรรมของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ที่ระบุให้ยกทรัพย์สินทั้งหมดแก่หม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาส ชายาพระองค์ใหม่ อีกทั้งมีพระบรมราชโองการให้โอนวังปารุสกวันกลับคืนเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
     ภายหลังการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 วังปารุสกวันถูกเวนคืน
     ปัจจุบันเป็นที่ทำการของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ตำรวจ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล


ตำหนักปารุสกวันอยู่ในบริเวณสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ไม่เปิดให้เข้าชม
ตึกที่เปิดให้ชมคือ ตำหนักจิตรลดา
     ตึกสีเหลืองครีม 2 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องว่าวสีแดง วงกบประตูหน้าต่างทาสีเขียว สถาปัตยกรรมแบบอิตาเลียนวิลล่า ด้านหน้าตรงกลางตึกเป็นมุขยื่นออกมา ชั้นล่างของมุขนี้คือที่เทียบรถ รับถนนซึ่งตีโค้งมาจากประตูรั้ว ผนังภายนอก ซุ้มประตูและหน้าต่างประดับปูนปั้นเป็นลายช่อดอกไม้ หน้าต่างเป็นบานเกล็ดไม้ตอนล่างเปิดเป็นบานกระทุ้งได้ ช่องลมเหนือประตูหน้าต่างเป็นไม้ฉลุลาย ‘หม้อบูรณฆฏะ’ (หม้อน้ำแห่งความอุดมสมบูรณ์)
     เจ้าหน้าที่นำชมทีละห้อง ส่วนใหญ่เป็นห้องโล่ง ไม่มีสิ่งจัดแสดงที่สำคัญ หากที่น่าสนใจคือห้องเต้นรำซึ่งเมื่อครั้ง พ.ศ. 2463 เคยเป็นที่ตั้งพระโกศพระศพของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ เพดานห้องนั้นสูงไม่พอที่จะตั้งพระโกศและแขวนเศวตฉัตร 5 ชั้น จึงต้องเจาะเพดานเป็นช่องแปดเหลี่ยม ปัจจุบันช่องดังกล่าวถูกปิดเรียบแล้ว
     บริเวณโดยรอบตำหนักจิตรลดาเป็นสวนร่มรื่น มีประติมากรรมหินอ่อนรูปสตรี 2-3 ชิ้นประดับตามทางเดิน มีศาลาพักผ่อนอยู่ริมสระน้ำพุ และหลุมหลบภัยซ่อนอยู่ด้านหลัง

วันนี้ ครบรอบ 53 ปี 30 ธันวาคม พ.ศ. 2506 วันสิ้นพระชนม์ของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ผู้เดียวซึ่ง ‘เกิดวังปารุสก์’

พิพิธภัณฑ์ตำรวจ
     อาคารกระจก ริมรั้วด้านหลัง (ทิศใต้)
     สิ่งจัดแสดง ได้แก่ เครื่องแบบ หมวก ตรา ของตำรวจในแต่ละยุค
     ชุมชนจำลอง เล่าเรื่องการทำงานของตำรวจในท้องที่
     โถงสูง ประดับประติมากรรม รูปตำรวจอุ้มคนเจ็บ ถ่ายแบบจาก ‘อนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน’ ฝีมือศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่เคยตั้งอยู่หน้ากรมตำรวจ
     ผนังจารึกรายนามอธิบดีตำรวจ (เปลี่ยนชื่อตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2541) ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนปัจจุบัน
     นอกจากนี้ ยังมี ‘แหวนอัศวิน' จัดแสดงไว้ พร้อมบรรยายว่าเป็นรางวัลที่อธิบดี พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ มอบให้นายตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่นด้านการปราบปราม เป็นรางวัลที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับนายตำรวจสมัยนั้น
     แท้ที่จริง แหวนอัศวินเป็นสัญลักษณ์อันอื้อฉาวในยุคอธิบดี พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ (ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2494-2500) เจ้าของคำขวัญ ‘ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้’...
     ...พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ เป็นผู้ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายเกรงกลัวอย่างยิ่ง หลังเกิดการสังหารอดีตรัฐมนตรีสายเสรีไทยสี่นาย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2492 (รัฐมนตรีสี่นาย ได้แก่ นายถวิล อุดล, นายทองเปลว ชลภูมิ์, นายจำลอง ดาวเรือง และนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ถูกจับกุมในกรณีกบฏวังหลวง 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492) ทั้งสี่ถูก ‘ยิงทิ้ง’ ที่ กม. 14-15 บางเขน ถนนพหลโยธิน ขณะถูกย้ายจากเรือนจำหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งโดยมีตำรวจควบคุมตัวไป ฝ่ายกองกำลังตำรวจของ พล.ต.อ. เผ่า อ้างว่าเป็นการกระทำของฝ่ายเสรีไทยที่พยายามจะชิงตัวนักโทษ
     เหล่าบริวารของ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เรียกกันว่า ‘อัศวิน’ พวกอัศวินคือนายตำรวจที่ พล.ต.อ. เผ่าเลือกมาทำงานให้ตน และเป็นที่รู้กันได้จากแหวนทองหรือแหวนเพชรที่ พล.ต.อ. เผ่ามอบให้ บุคคลเหล่านี้ทำงานไม่บริสุทธิ์ ความโหดร้ายทารุณของตำรวจจากบงการของ พล.ต.อ. เผ่า เป็นส่วนทำให้เกิดสภาพ ‘รัฐตำรวจ’ (police state) ตอนที่มีอำนาจมากที่สุดนั้นกรมตำรวจมีกำลังพลเกือบ 43,000 นาย ซึ่งมากพอที่จะยืนหยัดเป็นคู่แข่งกับกองทัพบก
     อเมริกันเองก็สนับสนุน พล.ต.อ. เผ่า สหรัฐอเมริกาได้ส่งรถถัง รถหุ้มเกราะ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ เรือ และอาวุธปืนทันสมัยให้แก่กรมตำรวจ นัยเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสม์ กรมตำรวจมีกองพลร่ม โรงเรียนฝึกพลร่ม ของตนเอง นอกจากนี้ CIA ยังร่วมฝึกตำรวจไทยในการต่อสู้แบบกองโจร
     การใช้เงินอุดหนุนกลไกทางการเมืองของ พล.ต.อ. เผ่า ในสภา และอุดหนุนบริวารของตนในกองกำลังตำรวจนั้น พล.ต.อ. เผ่าต้องอาศัยการค้าฝิ่น เป็นความลับที่เปิดเผยว่า ‘อัศวิน’ ของเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ในขณะที่การค้าฝิ่นให้ผลตอบแทนมากที่สุด พล.ต.อ. เผ่ายังพัวพันกับธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทไม่น้อยกว่า 26 แห่ง บัญชีธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์ของเขาเป็นที่เล่าลือ ภายหลังลี้ภัยรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2500 พล.ต.อ. เผ่ายังสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายในคฤหาสน์ริมทะเลสาบเจนีวา จ้างคนขับรถชาวอังกฤษ ตลอดจนพา ‘อัศวิน’ ที่จงรักภักดีสองคนพร้อมครอบครัวติดตามไปด้วย…

‘ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้’
‘แหวนอัศวิน’
‘ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์’

...พิพิธภัณฑ์ตำรวจมีมโนทัศน์เช่นไรหนอ?...


ข้อมูลค้นจาก  
     หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ และ ไอรีน ฮันเตอร์. แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม. สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์. 2538.
     พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์. เกิดวังปารุสก์. สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์. 2557.
     ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. ปรีดี พนมยงค์ และ 4 รัฐมนตรีอีสาน +1. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 2544.
     ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 2561.
     th.wikipedia.org
     saranitet.police.go.th





No comments:

Post a Comment