‘เจ็ดวันอันตราย’ ช่วงปีใหม่ผ่านไปแล้ว อากาศยังเย็นสบาย ชวนให้คิดถึงป่าเขาลำเนาไพร
10.30 น. ออกเดินทาง รถติดเช่นทุกวัน จนเข้าถนนบรมราชชนนีค่อยโล่งขึ้น ผ่านนครปฐม ราชบุรี บ้านโป่ง กาญจนบุรี ออกทางเลี่ยงเมือง (367) แวะปั๊มเติมน้ำมันและกินมื้อเที่ยง
หลังอาหาร เดินทางต่อเข้าทางหลวง 3199 มุ่งหน้าสู่อำเภอศรีสวัสดิ์ รถแล่นไปราว 20 กิโลเมตร ผ่านศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหารเขาชนไก่
ความทรงจำกว่า 40 ปีก่อน หวนกลับมา...
สมัยนั้น หลักสูตรวิชาทหาร 3 ปี เริ่มเรียนปีหนึ่งตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา 4 (มศ.4) ปีสองตอน มศ.5 และจบปีสามตอนสิ้นปี 1 มหาวิทยาลัย ก่อนจบต้องผ่านภาคสนาม 5 วัน ณ ค่ายเขาชนไก่
เมษายน 2516
ปิดภาคเรียนฤดูร้อน ปี 1 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
กรมรักษาดินแดน (รด.) กำหนดให้นักศึกษาวิชาทหารปีสาม จากทุกมหาวิทยาลัย ฝึกภาคสนามช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน นัดรวมพล ณ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ถนนตรีเพชร
จ่าเรียกแถวแยกตามสถาบัน ตรวจหัวหูแต่ละคน ใครผมยาวให้ไปตัดทันที เช้าวันนั้น กัลบกร้านตัดผมหลังโรงเรียนต้องทำงานกันมือเป็นระวิง เมื่อหัวเกรียนทั้งฝูงแล้ว จึงขึ้นรถได้
รถเมล์ รสพ. ที่เหมามานับสิบคัน แล่นต่อกันเป็นแถวยาวออกจากโรงเรียน ตะบึงข้ามสะพานพุทธฯ มุ่งหน้าสู่กาญจนบุรี
ถึงตำบลลาดหญ้า ถนนลูกรังแยกจากทางหลวงเข้าค่ายเขาชนไก่ คนขับยังคงไม่ชะลอรถ ฝุ่นตลบ พวกเรารีบปิดหน้าต่าง ครั้นถึงค่าย ลงจากรถ ครูฝึกเรียกแถว เมื่อเห็นหน้าต่างรถปิดหมดทุกคัน ก็เข้าใจดีว่าพวกเราไม่ชอบรับฝุ่น จึงสั่งแถวให้นอนลง กลิ้งไปซ้ายสามรอบ แล้วกลิ้งกลับมาขวาสามรอบ เป็นอันมอมฝุ่นกันถ้วนหน้า
ตรวจหัวหูอีกรอบ พวกผมยาวที่กระหยิ่มว่ารอดตาจากกรุงเทพฯ คราวนี้หนีไม่พ้น แถมกัลบกเฉพาะกิจเป็นไอ้เณร และไม่ได้ตัดหัวเกรียนให้ฟรีๆ
จากนั้นไปรับถุงทะเลใส่ของใช้ประจำตัวคือเข็มขัด กระติกน้ำ ผ้าห่ม
ส่วนปืน ปลยบ 88 จ่ายให้คู่บัดดี้ 2 คนต่อ 1 กระบอก
เต็นท์นอนขนาด 20 คน เรียงตับ 2 แถว แถวละ 10 คน หันหัวชนกันตรงแนวกลางเต็นท์ เท้าชี้ออกด้านนอก เต็นท์เปิดโล่งทุกด้านทั้งวันทั้งคืนด้วยอากาศร้อนจัด พื้นดินปูทับด้วยผ้าใบหนา ใครเจอรากไม้ตอไม้ตรงที่นอนก็ลำบากหน่อย
อาหารมีรถบรรทุกมาส่งเป็นหม้อใหญ่ เวรครัวจัดผลัดกัน มีหน้าที่ตักอาหารใส่ถาดหลุม เมื่อกินเสร็จแล้ว แต่ละคนต้องล้างถาดเอง ส่วนใหญ่ก็ล้างกันลวกๆ ก่อนเอาไปคว่ำตากแดด ถาดแทบทุกใบจึงติดคราบมันพร้อมกลิ่นหืนถาวร ส่วนพวกเชื้อโรคน่าจะตายหมดหลังตากแดดทั้งวัน อาหารแต่ละมื้อเหลือทิ้งเกินครึ่ง ด้วยรสชาติสุดกลืน
เรือนอาบน้ำ ตรงกลางเป็นบ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ใส่น้ำที่สูบขึ้นมาจากคลองตะเพิน รอบบ่อเป็นที่ยืนอาบได้พร้อมกันคราวละ 20-30 คน ปูพื้นด้วยไม้ระแนงเพื่อให้ระบายน้ำได้รวดเร็ว ขันน้ำ สบู่ ของใครของมัน การอาบน้ำกำกับด้วยเสียงนกหวีด 2 ครั้งของนายสิบที่คุม ปิ๊ดแรกอาบได้ ปิ๊ดสองหยุดอาบ ระยะห่างของทั้งสองหวีดอยู่ที่น้ำใจของคนคุม ใครมัวโอ้เอ้ฟอกสบู่นานก็อาจล้างตัวไม่ทัน แต่ละวันให้อาบน้ำครั้งเดียวในตอนเย็น
คืนแรกก็มีคนลองดี... ‘เกรียง’ เพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่สวนกุหลาบ ตอนนี้เรียน chem tech จุฬา แอบไปอาบน้ำตอนค่ำ สิบเวรได้ยินเสียงและจับเขาได้ขณะตัวยังเปียก โดนลงโทษให้กลิ้งคลุกดิน นายเกรียงเลยเข้านอนด้วยตัวเลอะเทอะกว่าเก่า
การฝึกแบ่งเป็นฐาน ส่วนมากอยู่ในช่วงเช้า ตกบ่ายร้อนจัดถึง 42 องศา ครูฝึกมักให้เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืด กางเกงขาสั้น และพักบริเวณป่าไผ่ฝั่งตรงข้ามคลอง เครื่องแบบ รด. ที่มีชุดเดียวได้ซักคร่าวๆ ตอนนี้ ตากเพียงชั่วโมงเดียวก็แห้งผาก
ฐานฝึกอยู่ห่างจากกัน แต่ละหมู่หมุนเวียนสลับไป คนกระจายไม่แออัด มีเพิงขายของของเมียจ่าประจำอยู่ทุกฐาน บริการน้ำดำใส่น้ำแข็งถุงละ 7 บาท แตงโมฝานเป็นชิ้นบางเฉียบโปร่งแสงมองทะลุได้ชิ้นละ 5 บาท แดดร้อนจัด น้ำในกระติกประจำกายเป็นเสมอน้ำร้อน น้ำดำใส่น้ำแข็ง แตงโมจึงขายดียิ่ง น้ำแข็งไม่กี่ก้อนครู่เดียวละลายหายหมด ยิ่งกินยิ่งกระหาย ยิ่งตาลาย ตอนหลังพบว่าสู้อดทนดื่มน้ำร้อนจากกระติกให้เพียงพอกลับสบายกว่า
‘ซิ้ม’ เพื่อนที่คณะวิทยาศาสตร์ เชี่ยวชาญทางดูลายมือ กิจกรรมนี้ถูกใจบรรดาเมียจ่า สุดท้ายนายซิ้มไม่ต้องฝึกสนาม วันวันนั่งดูลายมือ แถมกินข้าวกินน้ำแข็งแตงโมสบายใจ
กลับจากฐานคลานศอก-ลอดลวดหนาม บ่ายวันที่สอง เกิดเรื่องชวนหวาดเสียว งูเหลือมตัวเขื่องมุดหลบในถุงทะเลเต็นท์ข้างๆ ดีว่าไม่มีใครเป็นอันตราย ส่วนงูที่จับได้ไม่รู้ว่าไปปล่อยที่ไหน ตั้งแต่นั้นพวกเราก็ต้องระแวงระวังบริเวณที่นอนยิ่งขึ้น
คืนนั้น หลังกำหนดเวลาเข้านอน 21.00 น. ‘เท้า’ ยังส่องไฟฉายทำอะไรง่วนอยู่ตรงที่นอน สิบเวรเห็นแสงไฟ ก็มาตรวจ นายเท้ากำลังเขียนจดหมายรักถึงแฟน สิบเวรถามว่าทำไมไม่นอน เขาตอบว่านอนไม่หลับ เรื่องลงเอยโดยนายเท้าได้วิ่งรอบเต็นท์ห้ารอบพร้อมร้องไปด้วยว่า ‘ผมนอนไม่หลับครับ ผมนอนไม่หลับครับ ฯลฯ’
วันที่สามเป็นฐานเดินทางไกลกลางวัน วันนี้เดินทั้งวันจริงๆ ทำเอาพวกเราขาลากกันทุกคน ปลยบ 88 ปืนประจำกาย น้ำหนัก 4.31 กิโลกรัม เป็นภาระที่อยากโยนทิ้งเต็มที ดีว่ามีบัดดี้อีกคนช่วยผลัดกันแบกปืน
ตอนค่ำ จู่ๆ เกิดไฟไหม้ป่าไผ่ฝั่งตรงข้ามคลองตะเพิน ไฟลุกโชน ผู้พัน ผบ.ค่าย ยืนโดดเด่นตะโกนท้าทายไปที่ไฟ นัยว่ามีผู้ก่อกวน ไม่มีเสียงตอบโต้นอกจากเสียงต้นไผ่ติดไฟ ผมคิดว่าไฟไหม้ป่าเป็นเรื่องปกติของสภาพอากาศร้อนจัดและแห้งขนาดที่ค่ายนี้ ผู้พันคงเห็นอย่างเดียวกันแต่อาจอยากแสดงบทบาทแก้เหงา
วันที่สี่ ฐานคืบหน้าหลบห่ากระสุน ฐานนี้น่าตื่นเต้น รังปืนกล ใช้กระสุนจริง (จ่าว่าอย่างนั้น) ระดมยิงใส่พวกเราที่วิ่ง หลบ หมอบ คลานศอก ลอดลวดหนาม เข้าหาฐานยิง ระหว่างทางมีระเบิดหลายจุด ฐานนี้บูรณาการทุกฐานที่ผ่านมา ผมเห็นมุมเงยมากของปืนกลก็ใจชื้นว่าคงไม่เกิดผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เกือบได้เรื่องในรอบหนึ่ง เมื่อตรงจุดระเบิดตูมนั้นใกล้ ‘สหายเทพ’ มาก จนมองเห็นกลุ่มควันคลุมตัวเขา ครูฝึกคนกดระเบิดโดนจ่าเอ็ดตะโรเสียยกใหญ่ (หลายปีต่อมา นายสหายเทพเปลี่ยนชื่อเป็น ‘สหเทพ’ เพื่อมิให้พ้องไปในทำนองชื่อจัดตั้ง)
ตอนค่ำ ฝึกฐานเดินทางไกลกลางคืน รถบรรทุกพาพวกเราออกไปปล่อยห่างจากฐานราว 5 กิโลเมตร ให้เราเดินกลับ งานนี้ไม่ลำบาก ลมพัดเย็นสบาย แสงจันทร์สว่างพอควร บรรยากาศผ่อนคลายเกินคาด
วันสุดท้าย เราฝึกผ่านครบทุกฐานแล้ว วันนี้มีรางวัลให้ยิง ปลยบ 88 ด้วยกระสุนจริง คนละหนึ่งนัด (ประหยัดสุดๆ) แรงกระแทกหนักเอาการ
ปลยบ 88 เป็นอาวุธปืนเล็กยาวกึ่งอัตโนมัติประจำกาย ผลิตในสหรัฐอเมริกา ชื่อ M1-Garand ประจำการกองทัพสหรัฐอเมริกา 1936-1957 ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเกาหลี ต่อมารัฐบาลสหรัฐอเมริกามอบปืนบางส่วนแก่ประเทศไทยผ่านโครงการความช่วยเหลือทางทหาร (JUSMAG) ประจำการในไทยเมื่อ พ.ศ. 2488 ก่อนจะทยอยปลดเป็นอาวุธสำรองและใช้เป็นปืนฝึกท่าอาวุธสำหรับนักศึกษาวิชาทหาร
ภาคสนามห้าวันนี้เป็นประสบการณ์ที่ดี
ความทรงจำนี้มีคุณค่ายิ่ง
จากค่ายเขาชนไก่ รถแล่นต่อไปราว 10 กิโลเมตร ผ่านทางเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ...
ตุลาคม 2517
ปิดภาคเรียนกลางปี ปี 3 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
กลุ่มป่า ชมรมนิเวศวิทยา จัดกิจกรรมติดตั้งป้าย ‘อนุรักษ์’ ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เราเตรียมการล่วงหน้าหลายอย่าง อาทิ เนื้อหาของป้าย จำนวนป้าย อุปกรณ์และเครื่องมือช่างไม้ ตลอดจนประสานกรมทางหลวงทำตัวอักษรอลูมิเนียมพ่นสีขาวสะท้อนแสง
ส่วนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระเตรียมเสา ปีกไม้แผ่น กำหนดจุดตั้งป้าย
คณะเราสิบคนเดินทางถึงสลักพระโดยราบรื่น ใช้เวลาติดตั้งป้าย 3 วัน หัวหน้าเขตฯ และเจ้าหน้าที่เป็นมิตรและอำนวยความสะดวกอย่างดี ภูมิทัศน์ป่าเขาทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ชวนให้สงบสุข
เสร็จภารกิจที่สลักพระ เราไปต่อยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร หัวหน้าเขตฯ สลักพระ กับเจ้าหน้าที่อีก 2 คน รวมทั้งเด็กหญิงลูกสาวตัวน้อยของหัวหน้า ร่วมคณะไปด้วย เดินทางด้วยรถยีเอ็มซีทหาร 2 คัน มีรถจี๊ปนำ 1 คัน รถทั้งสามติดตั้งขอเกี่ยว สลิงและรอกกว้านที่หน้ารถ จากสลักพระไปศรีสวัสดิ์รถแล่นตามทางหลวง แต่หลังจากนั้นเป็นทางป่า แล้วค่อยๆ หายไปมองไม่เป็นทาง ป่าดิบทึบขึ้นทึบขึ้น พื้นเป็นเลนลื่น ตอนนี้ได้เห็นวิธีการใช้ขอเกี่ยวสลิงรอบต้นไม้ใหญ่ รอกกว้านพร้อมกับเร่งเครื่องรถไปข้างหน้า รู้สึกเห็นใจทั้งพลขับและพลเกี่ยวขอ รถคืบหน้าไปทีละน้อย ทางยากยาวไกลยาวนาน ผมไม่ทราบว่าคนขับรู้ทิศทางอย่างไร เรารอนแรมบนรถยีเอ็มซีราว 20 ชั่วโมง ก่อนผ่านเข้าทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ทางแน่นและแข็งแรงขึ้น ต้นปรงโบราณเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นๆ ถัดมาอีกหนึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อา...เกือบหนึ่งวันเต็มทีเดียวจากสลักพระถึงทุ่งใหญ่ นี่เองที่ทำให้ที่นี่ยังคงเป็น ‘บ้าน’ ของสัตว์ป่าอย่างแท้จริง
สามวันในทุ่งใหญ่เป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่ได้เดินป่าโบราณ ชมต้นปรงโบราณ ในทุ่งหญ้ายิ่งใหญ่ ได้ซาบซึ้งน้ำใจไมตรี ความอดทนทรหดของเจ้าหน้าที่ ได้รับรู้ความยากลำบากในการเดินทางเข้าออกเขตฯ ของคนทำงาน ฯลฯ
ผมได้พบกับคุณเสริมศรี เอกชัย (สนทะเล) นักเขียนนักหนังสือพิมพ์ พักอยู่คนเดียวในกระท่อมแถวที่ทำการ เธอก็เช่นเดียวกับคณะของเราที่เข้าทุ่งใหญ่เพื่อมาอยู่มาเห็นด้วยตนเองถึงธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้ และเพื่อทบทวนสมเพช ‘ชนชั้นนำ’ ต่อกรณีใช้เฮลิคอปเตอร์และยุทโธปกรณ์ของกองทัพล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่เมื่อปีก่อนหน้า จนบาปกรรมตามสนองในทันที
29 เมษายน 2516
เฮลิคอปเตอร์เบลล์ หมายเลข ทบ. 6102 ตกที่บางเลน นครปฐม มีผู้เสียชีวิต 6 คน บาดเจ็บ 4 คน และพบซากสัตว์ป่า โดยเฉพาะซากกระทิง เป็นจำนวนมาก
คณะนายทหารและนายตำรวจ ประมาณ 50-60 คน รวมถึง พันเอกณรงค์ กิตติขจร (บุตรชายจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี) พันโทสุพัฒน์ สารสิน (นายทหารคนสนิทของจอมพลประภาส จารุเสถียร และเป็นบุตรชายนายพจน์ สารสิน) ตลอดจนดาราสาว เมตตา รุ่งรัตน์ ได้เดินทางไปตั้งค่ายพักแรม เพื่อฉลองวันเกิด และใช้อาวุธสงครามล่าสัตว์ป่าภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ระหว่างวันที่ 26-29 เมษายน 2516 โดยไม่นำพา ไม่สะทกสะท้านต่อความพยายามขัดขวางของเจ้าหน้าที่เขตฯ สื่อมวลชนและนิสิตนักศึกษาชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ
ต่อมาคณะนี้เดินทางกลับกรุงเทพมหานครด้วยเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก จำนวน 2 ลำ แต่เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง (ทบ. 6102) เกิดอุบัติเหตุตกระหว่างทางดังกล่าว
จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี แถลงว่า เฮลิคอปเตอร์ลำที่ตกได้เดินทางไปปฏิบัติราชการลับเกี่ยวกับความมั่นคง ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องนอกจากไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายใหญ่หลวงที่เกิดแล้ว ยังถือว่าเป็นการปฏิบัติราชการอีกด้วย
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่นักศึกษา ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้ออกหนังสือชื่อ ‘บันทึกลับจากทุ่งใหญ่’ เปิดโปงเกี่ยวกับกรณีนี้ ตามด้วยหนังสือชื่อ ‘มหาวิทยาลัยที่ไม่มีคำตอบ’ โดยชมรมคนรุ่นใหม่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีข้อความ 4 บรรทัด พาดพิงเรื่องทุ่งใหญ่กับการต่ออายุราชการของจอมพลถนอม กิตติขจร ว่า
‘สภาสัตว์ป่าแห่งทุ่งใหญ่ฯ
มีมติให้ต่ออายุสัตว์ป่าอีก 1 ปี
เนื่องจากสถานการณ์ภายในและภายนอก
เป็นที่ไม่น่าไว้วางใจ’
ส่งผลให้ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ดร. ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์) สั่งลบชื่อนักศึกษาจำนวน 9 คน ออกจากมหาวิทยาลัย ด้วยข้อหาเขียนข้อความเสียดสีรัฐบาล
การใช้อำนาจบาตรใหญ่ไร้ขื่อแป ไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี ผู้นำมุสา ขาดหิริโอตตัปปะ เป็นเหตุเบื้องต้นแห่งการประท้วงอย่างต่อเนื่อง จนที่สุดนำสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516...
จากสลักพระ ต่อไปตามทางหลวง 3199 ราว 40 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายข้ามแม่น้ำแควใหญ่ เข้าทางหลวงชนบท 6043 ฝนตกปรอยๆ ตลอดทาง ราว 50 กิโลเมตร ถึงอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เวลา 15.30 น.
อุทยานเงียบสงบมาก เราเข้าที่พักที่จองไว้ บ้านวังหน้าผา 102/1 เก็บสัมภาระแล้วออกมาเดินเล่น น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้น 4 ชื่อ ‘ฉัตรแก้ว’ อยู่แถวที่ทำการ น้ำตกลงแอ่งเป็นชั้นๆ แมกไม้เขียวชุ่มชื้นโดยรอบ ช่างงดงาม
ร้านค้าสวัสดิการปิดเร็วมาก เราได้ข้าวกล่องง่ายๆ เป็นมื้อเย็นกลับไปกินที่บ้านพัก
เพื่อนบ้านคืนนี้มีเพียงคนรัสเซีย 3 คน กับมอเตอร์ไซค์ 2 คัน
เมฆมาก ฝนตกทั้งคืน ไม่มีดาวให้เห็น
เสียงสรรพสัตว์ระงมอยู่ไกลๆ กล่อมให้นอนหลับอย่างสบาย
ข้อมูลค้นจาก
wikipedia.org
matichon.co.th
No comments:
Post a Comment