June 19, 2020

Kanchanaburi: เอราวัณ - เขื่อนเจ้าเณร: 13.01.2017

เมื่อคืนฝนไม่ตกเลย อุณหภูมิลดลงเหลือ 20 องศา
เช้านี้อากาศปลอดโปร่ง เย็นสบาย ท้องฟ้าสีครามสดใส
มื้อเช้า กินขนมปังที่บ้านพัก

09.30 น. ออกจากอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ขับรถย้อนกลับตามทางหลวงชนบท 6043 ราว 45 กิโลเมตร ผ่านเทศบาลตำบลเอราวัณ สถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีสวัสดิ์ จากนั้นทางคดเคี้ยวขึ้นลงเขาอีกราว 1.5 กิโลเมตร ถึงอุทยานแห่งชาติเอราวัณ เวลา 10.20 น.

อุทยานแห่งชาติเอราวัณ
     แดดจ้า แสงสี contrast กับป่าเขาทะมึน ทางเดินไปน้ำตกเอราวัณผ่านป่าไผ่และป่าดิบเขางดงาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งยุโรป จีน เกาหลี ญี่ปุ่น จำนวนมากกว่าชาวไทย หลายคนตั้งใจไปเล่นน้ำกัน ด้วยแต่ละชั้นมีแอ่งใหญ่ใต้น้ำตกที่ร่มรื่นและเชิญชวน
     ป้ายบอกระยะทางของน้ำตกทั้ง 7 ชั้น ชัดเจน เพื่อคนเดินทางประเมินกำลังและเวลาได้อย่างเหมาะสม
     7 ภูผาเอราวัณ  2,000 เมตร
     6 ดงพฤกษา     1,750 เมตร
     5 เบื่อไม่ลง       1,550 เมตร
     4 อกนางผีเสื้อ  1,050 เมตร
     3 ผาน้ำตก          700 เมตร
     2 วังมัจฉา           600 เมตร
     1 ไหลคืนรัง         500 เมตร
     ผืนป่าใหญ่ ธารน้ำตกกว้าง สูงถึง 7 ชั้น ช่วยกระจายนักเดินทางไม่ให้แออัด แวดล้อมจึงคงสงบสุข
     เราค่อยๆ เดิน พักชมน้ำตกไปทีละชั้น แต่ละชั้นบรรยากาศงดงามแตกต่างกัน อาทิ
     ชั้น 1 ไหลคืนรัง น้ำใสไหลเย็น คนลงเล่นน้ำกันคึกคัก
     ชั้น 2 วังมัจฉา ฝูงปลาพลวงจำนวนมากแหวกว่ายอยู่ทั่วไป
     ชั้น 3 ผาน้ำตก ท้าทายคนใจกล้าโหนเชือกทิ้งตัวลงแอ่งน้ำอย่างสนุกสนาน
     เราเดินถึงชั้น 4 อกนางผีเสื้อ ไม่ไปต่อ ด้วยทางไกลและลำบากมากขึ้น
     กลับออกจากน้ำตก พักกินมื้อกลางวันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไก่ย่างบางตาล ข้าวเหนียว ส้มตำ รออยู่หลายร้าน

13.30 น. ออกจากอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ขับรถย้อนขึ้นทางเหนือ ผ่านสถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีสวัสดิ์ ตลาดเทศบาลตำบลเอราวัณ ไปยังเขื่อนศรีนครินทร์ ระยะทางราว 6 กิโลเมตร

เขื่อนศรีนครินทร์
     เดิมชื่อเขื่อนเจ้าเณร เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ เพื่อผลิตไฟฟ้าและชลประทาน กั้นแม่น้ำแควใหญ่บริเวณบ้านเจ้าเณร ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี เริ่มก่อสร้าง พ.ศ. 2516 แล้วเสร็จ พ.ศ. 2523
     สำนักงานและบ้านพักส่วนใหญ่อยู่ริมทะเลสาบเหนือเขื่อน ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแควใหญ่
     เราจอง ‘บ้านเอราวัณ’ ไว้ ด้วยบ้านพักริมทะเลสาบเต็มหมด เพิ่งรู้ว่าส่วนนี้อยู่นอกเขตสำนักงานเขื่อน แยกไปฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ อย่างไรก็ตาม พื้นที่โดยรอบตกแต่งด้วยสวนไม้ดอกสีสันงดงาม สงบร่มรื่น รอบนอกเป็นป่าเบญจพรรณ
     16.30 น. แดดอ่อนลง จึงขับรถเข้าไปเที่ยวบริเวณสำนักงานเขื่อน

สวนเวลารำลึก
     สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533 ในศุภมงคลสมัยที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเจริญพระชนมายุ 90 พรรษา บนเนื้อที่ 30 ไร่ บริเวณเชิงเขาริมอ่างเก็บน้ำ ใกล้ท่าเรือเขื่อน
     สิ่งน่าสนใจได้แก่
     นาฬิกาแดด ประติมากรรมคอนกรีตขนาดใหญ่ ทำเป็นแผงหน้าปัด วัดตามแนวโค้งยาว 23.80 เมตร ส่วนกว้างสุด 9.95 เมตร ส่วนแคบสุด 6.25 เมตร หนา 0.80 เมตร หน้าปัดเอียง 28.6 องศา ผิวหน้าปิดด้วยกระเบื้องเคลือบสีเทาขาว ประกอบด้วยเส้นบอกเวลา (07.00-18.00) และเส้นกำกับเดือน เข็มรับแสงอาทิตย์ หล่อด้วยโลหะผสม ยาว 6.50 เมตร กว้าง 1.00 เมตร ตั้งหันหน้าลงทิศใต้
     สวนสมเด็จย่า มีประตูรั้วที่จำลองจากวังสระปทุม ทำเสมือนเป็นทางเข้าสู่สวนกว้างใหญ่ซึ่งประกอบด้วย ไม้ยืนต้น สวนไม้ดอก สระบัว ทางเดินร่มรื่นพาสู่ส่วนต่างๆ อย่างผ่อนคลาย แสงทองยามเย็นขับให้ธรรมชาติสีเขียวสดงดงามยิ่ง
     เราเดินเล่นในสวนจนถึง 18.00 น.

มื้อค่ำ กินที่ ’เรือนธารา’ ร้านอาหารอร่อยของเขื่อน จากชั้นบนมองเห็นทะเลสาบใหญ่อยู่ถัดจากสวนสวยของร้านออกไปจนสุดสายตา
หลังอาหาร กลับที่พัก บ้านเอราวัณ
ที่เที่ยวที่อยู่ที่กิน ช่างสะดวกสบายจริงๆ...


ข้อมูลค้นจาก
     dnp.go.th
     wikipedia.org
     irre.ku.ac.th

June 10, 2020

Kanchanaburi: ห้วยแม่ขมิ้น: 12.01.2017

ฝนตกตลอดคืน เช้านี้ตกหนักกว่าเย็นวาน
เรากินขนมปังเป็นมื้อเช้า ฝนยังไม่มีทีท่าจะหยุด ตัดสินใจลุย มิฉะนั้นเราจะติดกับอยู่ในบ้านพัก
ขับรถไปร้านค้าสวัสดิการ ดื่มกาแฟ ฝนยังไม่หยุด

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เป็นไฮไลต์ของอุทยาน
     เราเคยมาที่นี่ด้วยกันพร้อมเพื่อนๆ รวมสิบคน เมื่อกว่า 30 ปีก่อน (2527) ตอนนั้นถนนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแควใหญ่ยังตัดไม่ถึงอุทยานเช่นทุกวันนี้ รถตู้ที่เหมามาต้องลงแพขนานยนต์ข้ามน้ำ 2 จุด จากถนนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแควใหญ่ แม้เดินทางลำบาก แต่ก็สนุกตื่นเต้นดี...

10.00 น. เดินหน้า ลุยฝน เธอกางร่ม ผมใส่แจ็คเก็ตกันฝน เราค่อยๆ เดินไปยังน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้น 4 ‘ฉัตรแก้ว’ ห่างจากร้านค้าไปไม่ไกล
     ป้ายบอกระยะทางของน้ำตกทั้ง 7 ชั้น ชัดเจน เพื่อคนเดินทางประเมินกำลังและเวลาได้อย่างเหมาะสม
     7 ร่มเกล้า      1,185 เมตร
     6 ดงผีเสื้อ      1,035 เมตร
     5 ไหลจนหลง    245 เมตร
     4 ฉัตรแก้ว        110 เมตร
     3 วังหน้าผา      210 เมตร
     2 ม่านขมิ้น       480 เมตร
     1 ดงว่าน          565 เมตร
     หลังป้ายเป็นทางเข้าน้ำตก
     จากทางเดินด้านบน หุบลึกลงไปทางซ้ายคือ ชั้น 4 ‘ฉัตรแก้ว’ แอ่งหินกว้างใหญ่รับน้ำตกลดหลั่นเป็นชั้นๆ ซ้อนกันอย่างวิจิตร ท่ามกลางป่าไม้ครึ้ม เพียงแค่เริ่มต้นทางเข้าก็สวยงามขนาดนี้
     เราเลือกเดินลงก่อน ทางลงเป็นบันได ทางเดินเป็นทางไม้กระดาน (boardwalk) แข็งแรงประณีต ทางไม้กระดานนี้เลาะลำธารน้ำตกไปจนถึงชั้นล่างสุด
     ฝนตกทำให้น้ำไหลแรง ต้นไม้เขียวขจี พื้นดินชุ่มชื้น แสงแดดอ่อนโยน ป่าสงบ มีเพียงเราสองคนที่เดินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติงดงามนี้
     ชั้น 3 ‘วังหน้าผา’ น้ำตกแรงทีเดียว
     ชั้น 2 ‘ม่านขมิ้น’ น้ำตกเล็กลง แต่ธารน้ำยังคงไหลแรง
     ชั้น 1 ‘ดงว่าน’ บริเวณโดยรอบ มีต้นไม้สวยงาม
     เราเดินเลยดงว่านไปอีกหน่อย แล้วจึงย้อนกลับตามทางเดิม ดื่มด่ำกับธรรมชาติยิ่งใหญ่งดงามอีกรอบอย่างช้าๆ รู้สึกยินดีที่เราได้เดินป่ารับฝนปรอยๆ สายฝนทำให้แวดล้อมสมบูรณ์แบบและปราศจากผู้คนอื่น สงบสุขอย่างไม่เคยมาก่อน

เที่ยงเศษ เรากลับถึงร้านค้าสวัสดิการ พักเหนื่อย กินมื้อกลางวัน
บ่าย ยังคงมีฝนตกสลับแดดออกบ้าง
     ทางขึ้น เป็นทางดินกว้างขวาง ไม่มีทางไม้กระดาน
     ป่าไผ่ ลำโต ทอดโค้งงดงาม ไผ่เสียดสีกันยามลมพัด เสียงดังน่าเกรงขาม
     ชั้น 5 ‘ไหลจนหลง’ น้ำตกแห้งขอด ไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับชั้นล่าง
     เราตัดสินใจไม่ขึ้นต่อ ด้วยระยะทางไกลจากชั้น 5 ไป 6 และคาดว่าน้ำตกน่าจะน้อยลง
     กลับย้อนลงมาเดินเล่นแถวที่ทำการ มีลานเถาวัลย์ใหญ่ระโยงระยางน่าสนใจ
     มื้อเย็น เรากินที่ร้านค้า ตอน 17.00 น. แม่ครัวใจดี ยอมทำอาหารให้ แม้ว่าร้านจะปิดแล้วในเวลานั้น

ตอนค่ำ ดวงจันทร์วันเพ็ญโผล่พ้นเมฆ สะท้อนผิวน้ำทะเลสาบที่อยู่ทางทิศตะวันออกอย่างงดงาม
เราเป็นเพียงสองคนเดินทางที่ค้างแรมในอุทยานคืนนี้
สงบสุข...สันโดษ...


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     dnp.go.th

June 8, 2020

Kanchanaburi: เขาชนไก่ - สลักพระ: 11.01.2017

 ‘เจ็ดวันอันตราย’ ช่วงปีใหม่ผ่านไปแล้ว อากาศยังเย็นสบาย ชวนให้คิดถึงป่าเขาลำเนาไพร

10.30 น. ออกเดินทาง รถติดเช่นทุกวัน จนเข้าถนนบรมราชชนนีค่อยโล่งขึ้น ผ่านนครปฐม ราชบุรี บ้านโป่ง กาญจนบุรี ออกทางเลี่ยงเมือง (367) แวะปั๊มเติมน้ำมันและกินมื้อเที่ยง
     หลังอาหาร เดินทางต่อเข้าทางหลวง 3199 มุ่งหน้าสู่อำเภอศรีสวัสดิ์ รถแล่นไปราว 20 กิโลเมตร ผ่านศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหารเขาชนไก่
     ความทรงจำกว่า 40 ปีก่อน หวนกลับมา...
     สมัยนั้น หลักสูตรวิชาทหาร 3 ปี เริ่มเรียนปีหนึ่งตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา 4 (มศ.4) ปีสองตอน มศ.5 และจบปีสามตอนสิ้นปี 1 มหาวิทยาลัย ก่อนจบต้องผ่านภาคสนาม 5 วัน ณ ค่ายเขาชนไก่

เมษายน 2516
     ปิดภาคเรียนฤดูร้อน ปี 1 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  
     กรมรักษาดินแดน (รด.) กำหนดให้นักศึกษาวิชาทหารปีสาม จากทุกมหาวิทยาลัย ฝึกภาคสนามช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน นัดรวมพล ณ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ถนนตรีเพชร
     จ่าเรียกแถวแยกตามสถาบัน ตรวจหัวหูแต่ละคน ใครผมยาวให้ไปตัดทันที เช้าวันนั้น  กัลบกร้านตัดผมหลังโรงเรียนต้องทำงานกันมือเป็นระวิง เมื่อหัวเกรียนทั้งฝูงแล้ว จึงขึ้นรถได้
     รถเมล์ รสพ. ที่เหมามานับสิบคัน แล่นต่อกันเป็นแถวยาวออกจากโรงเรียน ตะบึงข้ามสะพานพุทธฯ มุ่งหน้าสู่กาญจนบุรี
     ถึงตำบลลาดหญ้า ถนนลูกรังแยกจากทางหลวงเข้าค่ายเขาชนไก่ คนขับยังคงไม่ชะลอรถ ฝุ่นตลบ พวกเรารีบปิดหน้าต่าง ครั้นถึงค่าย ลงจากรถ ครูฝึกเรียกแถว เมื่อเห็นหน้าต่างรถปิดหมดทุกคัน ก็เข้าใจดีว่าพวกเราไม่ชอบรับฝุ่น จึงสั่งแถวให้นอนลง กลิ้งไปซ้ายสามรอบ แล้วกลิ้งกลับมาขวาสามรอบ เป็นอันมอมฝุ่นกันถ้วนหน้า
     ตรวจหัวหูอีกรอบ พวกผมยาวที่กระหยิ่มว่ารอดตาจากกรุงเทพฯ คราวนี้หนีไม่พ้น แถมกัลบกเฉพาะกิจเป็นไอ้เณร และไม่ได้ตัดหัวเกรียนให้ฟรีๆ
     จากนั้นไปรับถุงทะเลใส่ของใช้ประจำตัวคือเข็มขัด กระติกน้ำ ผ้าห่ม
     ส่วนปืน ปลยบ 88 จ่ายให้คู่บัดดี้ 2 คนต่อ 1 กระบอก
     เต็นท์นอนขนาด 20 คน เรียงตับ 2 แถว แถวละ 10 คน หันหัวชนกันตรงแนวกลางเต็นท์ เท้าชี้ออกด้านนอก เต็นท์เปิดโล่งทุกด้านทั้งวันทั้งคืนด้วยอากาศร้อนจัด พื้นดินปูทับด้วยผ้าใบหนา ใครเจอรากไม้ตอไม้ตรงที่นอนก็ลำบากหน่อย
     อาหารมีรถบรรทุกมาส่งเป็นหม้อใหญ่ เวรครัวจัดผลัดกัน มีหน้าที่ตักอาหารใส่ถาดหลุม เมื่อกินเสร็จแล้ว แต่ละคนต้องล้างถาดเอง ส่วนใหญ่ก็ล้างกันลวกๆ ก่อนเอาไปคว่ำตากแดด ถาดแทบทุกใบจึงติดคราบมันพร้อมกลิ่นหืนถาวร ส่วนพวกเชื้อโรคน่าจะตายหมดหลังตากแดดทั้งวัน อาหารแต่ละมื้อเหลือทิ้งเกินครึ่ง ด้วยรสชาติสุดกลืน
     เรือนอาบน้ำ ตรงกลางเป็นบ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ใส่น้ำที่สูบขึ้นมาจากคลองตะเพิน รอบบ่อเป็นที่ยืนอาบได้พร้อมกันคราวละ 20-30 คน ปูพื้นด้วยไม้ระแนงเพื่อให้ระบายน้ำได้รวดเร็ว ขันน้ำ สบู่ ของใครของมัน การอาบน้ำกำกับด้วยเสียงนกหวีด 2 ครั้งของนายสิบที่คุม ปิ๊ดแรกอาบได้ ปิ๊ดสองหยุดอาบ ระยะห่างของทั้งสองหวีดอยู่ที่น้ำใจของคนคุม ใครมัวโอ้เอ้ฟอกสบู่นานก็อาจล้างตัวไม่ทัน แต่ละวันให้อาบน้ำครั้งเดียวในตอนเย็น
     คืนแรกก็มีคนลองดี... ‘เกรียง’ เพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่สวนกุหลาบ ตอนนี้เรียน chem tech จุฬา แอบไปอาบน้ำตอนค่ำ สิบเวรได้ยินเสียงและจับเขาได้ขณะตัวยังเปียก โดนลงโทษให้กลิ้งคลุกดิน นายเกรียงเลยเข้านอนด้วยตัวเลอะเทอะกว่าเก่า
     การฝึกแบ่งเป็นฐาน ส่วนมากอยู่ในช่วงเช้า ตกบ่ายร้อนจัดถึง 42 องศา ครูฝึกมักให้เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืด กางเกงขาสั้น และพักบริเวณป่าไผ่ฝั่งตรงข้ามคลอง เครื่องแบบ รด. ที่มีชุดเดียวได้ซักคร่าวๆ ตอนนี้ ตากเพียงชั่วโมงเดียวก็แห้งผาก
     ฐานฝึกอยู่ห่างจากกัน แต่ละหมู่หมุนเวียนสลับไป คนกระจายไม่แออัด มีเพิงขายของของเมียจ่าประจำอยู่ทุกฐาน บริการน้ำดำใส่น้ำแข็งถุงละ 7 บาท แตงโมฝานเป็นชิ้นบางเฉียบโปร่งแสงมองทะลุได้ชิ้นละ 5 บาท แดดร้อนจัด น้ำในกระติกประจำกายเป็นเสมอน้ำร้อน น้ำดำใส่น้ำแข็ง แตงโมจึงขายดียิ่ง น้ำแข็งไม่กี่ก้อนครู่เดียวละลายหายหมด ยิ่งกินยิ่งกระหาย ยิ่งตาลาย ตอนหลังพบว่าสู้อดทนดื่มน้ำร้อนจากกระติกให้เพียงพอกลับสบายกว่า
     ‘ซิ้ม’ เพื่อนที่คณะวิทยาศาสตร์ เชี่ยวชาญทางดูลายมือ กิจกรรมนี้ถูกใจบรรดาเมียจ่า สุดท้ายนายซิ้มไม่ต้องฝึกสนาม วันวันนั่งดูลายมือ แถมกินข้าวกินน้ำแข็งแตงโมสบายใจ
     กลับจากฐานคลานศอก-ลอดลวดหนาม บ่ายวันที่สอง เกิดเรื่องชวนหวาดเสียว งูเหลือมตัวเขื่องมุดหลบในถุงทะเลเต็นท์ข้างๆ ดีว่าไม่มีใครเป็นอันตราย ส่วนงูที่จับได้ไม่รู้ว่าไปปล่อยที่ไหน ตั้งแต่นั้นพวกเราก็ต้องระแวงระวังบริเวณที่นอนยิ่งขึ้น
     คืนนั้น หลังกำหนดเวลาเข้านอน 21.00 น. ‘เท้า’ ยังส่องไฟฉายทำอะไรง่วนอยู่ตรงที่นอน สิบเวรเห็นแสงไฟ ก็มาตรวจ นายเท้ากำลังเขียนจดหมายรักถึงแฟน สิบเวรถามว่าทำไมไม่นอน เขาตอบว่านอนไม่หลับ เรื่องลงเอยโดยนายเท้าได้วิ่งรอบเต็นท์ห้ารอบพร้อมร้องไปด้วยว่า ‘ผมนอนไม่หลับครับ ผมนอนไม่หลับครับ ฯลฯ’
     วันที่สามเป็นฐานเดินทางไกลกลางวัน วันนี้เดินทั้งวันจริงๆ ทำเอาพวกเราขาลากกันทุกคน ปลยบ 88 ปืนประจำกาย น้ำหนัก 4.31 กิโลกรัม เป็นภาระที่อยากโยนทิ้งเต็มที ดีว่ามีบัดดี้อีกคนช่วยผลัดกันแบกปืน
     ตอนค่ำ จู่ๆ เกิดไฟไหม้ป่าไผ่ฝั่งตรงข้ามคลองตะเพิน ไฟลุกโชน ผู้พัน ผบ.ค่าย ยืนโดดเด่นตะโกนท้าทายไปที่ไฟ นัยว่ามีผู้ก่อกวน ไม่มีเสียงตอบโต้นอกจากเสียงต้นไผ่ติดไฟ ผมคิดว่าไฟไหม้ป่าเป็นเรื่องปกติของสภาพอากาศร้อนจัดและแห้งขนาดที่ค่ายนี้ ผู้พันคงเห็นอย่างเดียวกันแต่อาจอยากแสดงบทบาทแก้เหงา
     วันที่สี่ ฐานคืบหน้าหลบห่ากระสุน ฐานนี้น่าตื่นเต้น รังปืนกล ใช้กระสุนจริง (จ่าว่าอย่างนั้น) ระดมยิงใส่พวกเราที่วิ่ง หลบ หมอบ คลานศอก ลอดลวดหนาม เข้าหาฐานยิง ระหว่างทางมีระเบิดหลายจุด ฐานนี้บูรณาการทุกฐานที่ผ่านมา ผมเห็นมุมเงยมากของปืนกลก็ใจชื้นว่าคงไม่เกิดผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เกือบได้เรื่องในรอบหนึ่ง เมื่อตรงจุดระเบิดตูมนั้นใกล้ ‘สหายเทพ’ มาก จนมองเห็นกลุ่มควันคลุมตัวเขา ครูฝึกคนกดระเบิดโดนจ่าเอ็ดตะโรเสียยกใหญ่ (หลายปีต่อมา นายสหายเทพเปลี่ยนชื่อเป็น ‘สหเทพ’ เพื่อมิให้พ้องไปในทำนองชื่อจัดตั้ง)
     ตอนค่ำ ฝึกฐานเดินทางไกลกลางคืน รถบรรทุกพาพวกเราออกไปปล่อยห่างจากฐานราว 5 กิโลเมตร ให้เราเดินกลับ งานนี้ไม่ลำบาก ลมพัดเย็นสบาย แสงจันทร์สว่างพอควร บรรยากาศผ่อนคลายเกินคาด
     วันสุดท้าย เราฝึกผ่านครบทุกฐานแล้ว วันนี้มีรางวัลให้ยิง ปลยบ 88 ด้วยกระสุนจริง คนละหนึ่งนัด (ประหยัดสุดๆ) แรงกระแทกหนักเอาการ
     ปลยบ 88 เป็นอาวุธปืนเล็กยาวกึ่งอัตโนมัติประจำกาย ผลิตในสหรัฐอเมริกา ชื่อ M1-Garand ประจำการกองทัพสหรัฐอเมริกา 1936-1957 ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเกาหลี ต่อมารัฐบาลสหรัฐอเมริกามอบปืนบางส่วนแก่ประเทศไทยผ่านโครงการความช่วยเหลือทางทหาร (JUSMAG) ประจำการในไทยเมื่อ พ.ศ. 2488 ก่อนจะทยอยปลดเป็นอาวุธสำรองและใช้เป็นปืนฝึกท่าอาวุธสำหรับนักศึกษาวิชาทหาร
     ภาคสนามห้าวันนี้เป็นประสบการณ์ที่ดี
     ความทรงจำนี้มีคุณค่ายิ่ง
   
จากค่ายเขาชนไก่ รถแล่นต่อไปราว 10 กิโลเมตร ผ่านทางเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ...

ตุลาคม 2517
     ปิดภาคเรียนกลางปี ปี 3 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
     กลุ่มป่า ชมรมนิเวศวิทยา จัดกิจกรรมติดตั้งป้าย ‘อนุรักษ์’ ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เราเตรียมการล่วงหน้าหลายอย่าง อาทิ เนื้อหาของป้าย จำนวนป้าย อุปกรณ์และเครื่องมือช่างไม้  ตลอดจนประสานกรมทางหลวงทำตัวอักษรอลูมิเนียมพ่นสีขาวสะท้อนแสง
     ส่วนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระเตรียมเสา ปีกไม้แผ่น กำหนดจุดตั้งป้าย
     คณะเราสิบคนเดินทางถึงสลักพระโดยราบรื่น ใช้เวลาติดตั้งป้าย 3 วัน หัวหน้าเขตฯ และเจ้าหน้าที่เป็นมิตรและอำนวยความสะดวกอย่างดี ภูมิทัศน์ป่าเขาทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ชวนให้สงบสุข
     เสร็จภารกิจที่สลักพระ เราไปต่อยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร หัวหน้าเขตฯ สลักพระ กับเจ้าหน้าที่อีก 2 คน รวมทั้งเด็กหญิงลูกสาวตัวน้อยของหัวหน้า ร่วมคณะไปด้วย เดินทางด้วยรถยีเอ็มซีทหาร 2 คัน มีรถจี๊ปนำ 1 คัน รถทั้งสามติดตั้งขอเกี่ยว สลิงและรอกกว้านที่หน้ารถ จากสลักพระไปศรีสวัสดิ์รถแล่นตามทางหลวง แต่หลังจากนั้นเป็นทางป่า แล้วค่อยๆ หายไปมองไม่เป็นทาง ป่าดิบทึบขึ้นทึบขึ้น พื้นเป็นเลนลื่น ตอนนี้ได้เห็นวิธีการใช้ขอเกี่ยวสลิงรอบต้นไม้ใหญ่ รอกกว้านพร้อมกับเร่งเครื่องรถไปข้างหน้า รู้สึกเห็นใจทั้งพลขับและพลเกี่ยวขอ รถคืบหน้าไปทีละน้อย ทางยากยาวไกลยาวนาน ผมไม่ทราบว่าคนขับรู้ทิศทางอย่างไร เรารอนแรมบนรถยีเอ็มซีราว 20 ชั่วโมง ก่อนผ่านเข้าทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ทางแน่นและแข็งแรงขึ้น ต้นปรงโบราณเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นๆ ถัดมาอีกหนึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อา...เกือบหนึ่งวันเต็มทีเดียวจากสลักพระถึงทุ่งใหญ่ นี่เองที่ทำให้ที่นี่ยังคงเป็น ‘บ้าน’ ของสัตว์ป่าอย่างแท้จริง
     สามวันในทุ่งใหญ่เป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่ได้เดินป่าโบราณ ชมต้นปรงโบราณ ในทุ่งหญ้ายิ่งใหญ่ ได้ซาบซึ้งน้ำใจไมตรี ความอดทนทรหดของเจ้าหน้าที่ ได้รับรู้ความยากลำบากในการเดินทางเข้าออกเขตฯ ของคนทำงาน ฯลฯ
     ผมได้พบกับคุณเสริมศรี เอกชัย (สนทะเล) นักเขียนนักหนังสือพิมพ์ พักอยู่คนเดียวในกระท่อมแถวที่ทำการ เธอก็เช่นเดียวกับคณะของเราที่เข้าทุ่งใหญ่เพื่อมาอยู่มาเห็นด้วยตนเองถึงธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้ และเพื่อทบทวนสมเพช ‘ชนชั้นนำ’ ต่อกรณีใช้เฮลิคอปเตอร์และยุทโธปกรณ์ของกองทัพล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่เมื่อปีก่อนหน้า จนบาปกรรมตามสนองในทันที
   
29 เมษายน 2516
     เฮลิคอปเตอร์เบลล์ หมายเลข ทบ. 6102 ตกที่บางเลน นครปฐม มีผู้เสียชีวิต 6 คน บาดเจ็บ 4 คน และพบซากสัตว์ป่า โดยเฉพาะซากกระทิง เป็นจำนวนมาก
     คณะนายทหารและนายตำรวจ ประมาณ 50-60 คน รวมถึง พันเอกณรงค์ กิตติขจร (บุตรชายจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี) พันโทสุพัฒน์ สารสิน (นายทหารคนสนิทของจอมพลประภาส จารุเสถียร และเป็นบุตรชายนายพจน์ สารสิน) ตลอดจนดาราสาว เมตตา รุ่งรัตน์ ได้เดินทางไปตั้งค่ายพักแรม เพื่อฉลองวันเกิด และใช้อาวุธสงครามล่าสัตว์ป่าภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ระหว่างวันที่ 26-29 เมษายน 2516 โดยไม่นำพา ไม่สะทกสะท้านต่อความพยายามขัดขวางของเจ้าหน้าที่เขตฯ สื่อมวลชนและนิสิตนักศึกษาชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ
     ต่อมาคณะนี้เดินทางกลับกรุงเทพมหานครด้วยเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก จำนวน 2 ลำ แต่เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง (ทบ. 6102) เกิดอุบัติเหตุตกระหว่างทางดังกล่าว
     จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี แถลงว่า เฮลิคอปเตอร์ลำที่ตกได้เดินทางไปปฏิบัติราชการลับเกี่ยวกับความมั่นคง ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องนอกจากไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายใหญ่หลวงที่เกิดแล้ว ยังถือว่าเป็นการปฏิบัติราชการอีกด้วย
     เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่นักศึกษา ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้ออกหนังสือชื่อ ‘บันทึกลับจากทุ่งใหญ่’ เปิดโปงเกี่ยวกับกรณีนี้ ตามด้วยหนังสือชื่อ ‘มหาวิทยาลัยที่ไม่มีคำตอบ’ โดยชมรมคนรุ่นใหม่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีข้อความ 4 บรรทัด พาดพิงเรื่องทุ่งใหญ่กับการต่ออายุราชการของจอมพลถนอม กิตติขจร ว่า
     ‘สภาสัตว์ป่าแห่งทุ่งใหญ่ฯ
     มีมติให้ต่ออายุสัตว์ป่าอีก 1 ปี
     เนื่องจากสถานการณ์ภายในและภายนอก
     เป็นที่ไม่น่าไว้วางใจ’
     ส่งผลให้ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ดร. ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์) สั่งลบชื่อนักศึกษาจำนวน 9 คน ออกจากมหาวิทยาลัย ด้วยข้อหาเขียนข้อความเสียดสีรัฐบาล
     การใช้อำนาจบาตรใหญ่ไร้ขื่อแป ไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี ผู้นำมุสา ขาดหิริโอตตัปปะ เป็นเหตุเบื้องต้นแห่งการประท้วงอย่างต่อเนื่อง จนที่สุดนำสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516...

จากสลักพระ ต่อไปตามทางหลวง 3199 ราว 40 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายข้ามแม่น้ำแควใหญ่ เข้าทางหลวงชนบท 6043 ฝนตกปรอยๆ ตลอดทาง ราว 50 กิโลเมตร ถึงอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เวลา 15.30 น.
     อุทยานเงียบสงบมาก เราเข้าที่พักที่จองไว้ บ้านวังหน้าผา 102/1 เก็บสัมภาระแล้วออกมาเดินเล่น น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ชั้น 4 ชื่อ ‘ฉัตรแก้ว’ อยู่แถวที่ทำการ น้ำตกลงแอ่งเป็นชั้นๆ แมกไม้เขียวชุ่มชื้นโดยรอบ ช่างงดงาม
     ร้านค้าสวัสดิการปิดเร็วมาก เราได้ข้าวกล่องง่ายๆ เป็นมื้อเย็นกลับไปกินที่บ้านพัก
     เพื่อนบ้านคืนนี้มีเพียงคนรัสเซีย 3 คน กับมอเตอร์ไซค์ 2 คัน
     เมฆมาก ฝนตกทั้งคืน ไม่มีดาวให้เห็น
     เสียงสรรพสัตว์ระงมอยู่ไกลๆ กล่อมให้นอนหลับอย่างสบาย


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     matichon.co.th
   

June 1, 2020

Bangkok on Foot: วังปารุสกวัน: 30.12.2016

อากาศเย็นลง ลมจากทิศเหนือพัดแรงช่วงเช้า
ใกล้หยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ผู้คนทยอยกลับบ้านต่างจังหวัด ถนนหนทางในกรุงโล่งกว่าวานนี้
บรรยากาศสงบ สมควรเดินเที่ยว

10.45 น. นั่งรอรถเมล์ ตั้งใจไปเยือนวังปารุสกวัน
     ไม่มีรถผ่านมาเลย ทั้งรถร้อน รถเย็น มีแต่รถเมล์ครีมแดงที่เขียนป้ายบนหัวว่า 'Shuttle Bus' เลี้ยวมาจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ป้ายข้างรถเขียนว่าไปสนามหลวง ตะบึงอยู่เลนขวาสุด ผมโบกขอไปด้วยคันแล้วคันเล่า ก็ไม่จอด คงเพราะนโยบายไม่จอดระหว่างทาง ผมเชื่อว่า Shuttle Bus เหล่านี้เบียดบังเอาจากรถเมล์ที่บริการปกติมาใช้ใน ‘ภารกิจพิเศษ’ ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2559 'รถประจำทาง' จึงลดน้อยลง

11.00 น. จำต้องเรียกแท็กซี่ ผิดเจตนารมณ์โครงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ ราว 20 นาทีถึงวังปารุสกวัน ตรงหัวมุมถนนศรีอยุธยาตัดกับถนนราชดำเนินนอก
     ตอนที่ไปถึง ผมเป็นผู้เข้าชมคนเดียว เขาให้ไปดูวิดีโอแนะนำภูมิหลังของวังก่อน สักครู่มีคนมาเพิ่มอีกสาม หลังดูวิดีโอจบ จึงมีเจ้าหน้าที่นำชม (guided tour)

วังปารุสกวัน
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้สร้างวังปารุสกวัน เมื่อ พ.ศ. 2446 ด้วยเงินจากพระคลังข้างที่ เพื่อรักษาไว้เป็นของหลวง มีสถาปนิกชาวอิตาลี 3 คนช่วยกันออกแบบ แต่ 2 คนป่วยระหว่างการก่อสร้าง (นาย Tamagno ป่วยเป็นอหิวาตกโรคและต้องเดินทางกลับยุโรป นาย Scots ป่วยเป็นไข้ทรพิษและเสียชีวิต) คงเหลือแต่นาย Beyroleyri รับผิดชอบจนการก่อสร้างแล้วเสร็จในตอนปลาย พ.ศ. 2448
     ภายในวังประกอบด้วย 2 ตำหนัก คือ ตำหนักปารุสกวันและตำหนักจิตรลดา
     พ.ศ. 2449 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ (ภายหลังจบการศึกษาและปฏิบัติงานในกองทัพบกรัสเซีย ตำแหน่ง ‘นายพันเอก’ แห่งกรมทหารม้าฮุสซาร์) พระองค์ได้รับพระราชทานตำหนักปารุสกวันเป็นที่ประทับ จากนั้นหม่อมคัทริน (แคทยา นามเดิม Ekaterina Ivanova Desnitsky) พระชายาชาวรัสเซีย ตามเสด็จมาอยู่ด้วยกัน และต่อมาให้กำเนิดพระโอรสคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2450 เวลา 23.58 น. ณ ห้องแดง ตำหนักปารุสกวัน
     ส่วนตำหนักจิตรลดา เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมาร เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ (พ.ศ. 2453) ทรงย้ายไปประทับที่พระราชวังดุสิต จึงพระราชทานตำหนักจิตรลดาและที่ดินรอบๆ แลกเปลี่ยนกับที่ดินบริเวณท่าวาสุกรี ของสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ และตกลงให้ทำบริเวณใหญ่ทั้งหมด โดยมีถนนรอบทั้งสี่ด้านเป็นวังปารุสกวัน เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงจัดการรื้อกำแพงระหว่างสองบริเวณเดิม ติดตราประจำพระองค์คือ จักรและตะบองตามประตูกำแพง ทุกประตูรอบบริเวณวัง
     ‘แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม’ ดำเนินชีวิตครอบครัวอย่างสงบสุข ณ วังปารุสกวันแห่งนี้ราว 12 ปี...
     พ.ศ. 2462 เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงหย่าหม่อมคัทริน หลังจากแคทยาเดินทางออกจากกรุงเทพฯ วังปารุสกวันก็เงียบเหงา ทุกคนในวังต่างคิดถึงเธอ ด้วยเธอเคยเอาใจใส่ดูแลเป็นภาระเรื่องในวังทุกเรื่องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งการตกแต่งสวน ทั้งเวลาที่มีคนไม่สบายไม่ว่าจะเป็นข้าไพร่บริวารหรือพระโอรส และจนกระทั่งการกินอยู่ของนกและสิงสาราสัตว์ในสวนสัตว์เล็กๆ ที่เธอทำไว้
     พ.ศ. 2463 เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ เสด็จทิวงคตด้วยไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish influenza)
     พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระราชอำนาจ ระงับพินัยกรรมของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ที่ระบุให้ยกทรัพย์สินทั้งหมดแก่หม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาส ชายาพระองค์ใหม่ อีกทั้งมีพระบรมราชโองการให้โอนวังปารุสกวันกลับคืนเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
     ภายหลังการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 วังปารุสกวันถูกเวนคืน
     ปัจจุบันเป็นที่ทำการของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ตำรวจ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล


ตำหนักปารุสกวันอยู่ในบริเวณสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ไม่เปิดให้เข้าชม
ตึกที่เปิดให้ชมคือ ตำหนักจิตรลดา
     ตึกสีเหลืองครีม 2 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องว่าวสีแดง วงกบประตูหน้าต่างทาสีเขียว สถาปัตยกรรมแบบอิตาเลียนวิลล่า ด้านหน้าตรงกลางตึกเป็นมุขยื่นออกมา ชั้นล่างของมุขนี้คือที่เทียบรถ รับถนนซึ่งตีโค้งมาจากประตูรั้ว ผนังภายนอก ซุ้มประตูและหน้าต่างประดับปูนปั้นเป็นลายช่อดอกไม้ หน้าต่างเป็นบานเกล็ดไม้ตอนล่างเปิดเป็นบานกระทุ้งได้ ช่องลมเหนือประตูหน้าต่างเป็นไม้ฉลุลาย ‘หม้อบูรณฆฏะ’ (หม้อน้ำแห่งความอุดมสมบูรณ์)
     เจ้าหน้าที่นำชมทีละห้อง ส่วนใหญ่เป็นห้องโล่ง ไม่มีสิ่งจัดแสดงที่สำคัญ หากที่น่าสนใจคือห้องเต้นรำซึ่งเมื่อครั้ง พ.ศ. 2463 เคยเป็นที่ตั้งพระโกศพระศพของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ เพดานห้องนั้นสูงไม่พอที่จะตั้งพระโกศและแขวนเศวตฉัตร 5 ชั้น จึงต้องเจาะเพดานเป็นช่องแปดเหลี่ยม ปัจจุบันช่องดังกล่าวถูกปิดเรียบแล้ว
     บริเวณโดยรอบตำหนักจิตรลดาเป็นสวนร่มรื่น มีประติมากรรมหินอ่อนรูปสตรี 2-3 ชิ้นประดับตามทางเดิน มีศาลาพักผ่อนอยู่ริมสระน้ำพุ และหลุมหลบภัยซ่อนอยู่ด้านหลัง

วันนี้ ครบรอบ 53 ปี 30 ธันวาคม พ.ศ. 2506 วันสิ้นพระชนม์ของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ผู้เดียวซึ่ง ‘เกิดวังปารุสก์’

พิพิธภัณฑ์ตำรวจ
     อาคารกระจก ริมรั้วด้านหลัง (ทิศใต้)
     สิ่งจัดแสดง ได้แก่ เครื่องแบบ หมวก ตรา ของตำรวจในแต่ละยุค
     ชุมชนจำลอง เล่าเรื่องการทำงานของตำรวจในท้องที่
     โถงสูง ประดับประติมากรรม รูปตำรวจอุ้มคนเจ็บ ถ่ายแบบจาก ‘อนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน’ ฝีมือศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่เคยตั้งอยู่หน้ากรมตำรวจ
     ผนังจารึกรายนามอธิบดีตำรวจ (เปลี่ยนชื่อตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2541) ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนปัจจุบัน
     นอกจากนี้ ยังมี ‘แหวนอัศวิน' จัดแสดงไว้ พร้อมบรรยายว่าเป็นรางวัลที่อธิบดี พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ มอบให้นายตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่นด้านการปราบปราม เป็นรางวัลที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับนายตำรวจสมัยนั้น
     แท้ที่จริง แหวนอัศวินเป็นสัญลักษณ์อันอื้อฉาวในยุคอธิบดี พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ (ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2494-2500) เจ้าของคำขวัญ ‘ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้’...
     ...พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ เป็นผู้ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายเกรงกลัวอย่างยิ่ง หลังเกิดการสังหารอดีตรัฐมนตรีสายเสรีไทยสี่นาย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2492 (รัฐมนตรีสี่นาย ได้แก่ นายถวิล อุดล, นายทองเปลว ชลภูมิ์, นายจำลอง ดาวเรือง และนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ถูกจับกุมในกรณีกบฏวังหลวง 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492) ทั้งสี่ถูก ‘ยิงทิ้ง’ ที่ กม. 14-15 บางเขน ถนนพหลโยธิน ขณะถูกย้ายจากเรือนจำหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งโดยมีตำรวจควบคุมตัวไป ฝ่ายกองกำลังตำรวจของ พล.ต.อ. เผ่า อ้างว่าเป็นการกระทำของฝ่ายเสรีไทยที่พยายามจะชิงตัวนักโทษ
     เหล่าบริวารของ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เรียกกันว่า ‘อัศวิน’ พวกอัศวินคือนายตำรวจที่ พล.ต.อ. เผ่าเลือกมาทำงานให้ตน และเป็นที่รู้กันได้จากแหวนทองหรือแหวนเพชรที่ พล.ต.อ. เผ่ามอบให้ บุคคลเหล่านี้ทำงานไม่บริสุทธิ์ ความโหดร้ายทารุณของตำรวจจากบงการของ พล.ต.อ. เผ่า เป็นส่วนทำให้เกิดสภาพ ‘รัฐตำรวจ’ (police state) ตอนที่มีอำนาจมากที่สุดนั้นกรมตำรวจมีกำลังพลเกือบ 43,000 นาย ซึ่งมากพอที่จะยืนหยัดเป็นคู่แข่งกับกองทัพบก
     อเมริกันเองก็สนับสนุน พล.ต.อ. เผ่า สหรัฐอเมริกาได้ส่งรถถัง รถหุ้มเกราะ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ เรือ และอาวุธปืนทันสมัยให้แก่กรมตำรวจ นัยเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสม์ กรมตำรวจมีกองพลร่ม โรงเรียนฝึกพลร่ม ของตนเอง นอกจากนี้ CIA ยังร่วมฝึกตำรวจไทยในการต่อสู้แบบกองโจร
     การใช้เงินอุดหนุนกลไกทางการเมืองของ พล.ต.อ. เผ่า ในสภา และอุดหนุนบริวารของตนในกองกำลังตำรวจนั้น พล.ต.อ. เผ่าต้องอาศัยการค้าฝิ่น เป็นความลับที่เปิดเผยว่า ‘อัศวิน’ ของเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ในขณะที่การค้าฝิ่นให้ผลตอบแทนมากที่สุด พล.ต.อ. เผ่ายังพัวพันกับธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทไม่น้อยกว่า 26 แห่ง บัญชีธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์ของเขาเป็นที่เล่าลือ ภายหลังลี้ภัยรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2500 พล.ต.อ. เผ่ายังสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายในคฤหาสน์ริมทะเลสาบเจนีวา จ้างคนขับรถชาวอังกฤษ ตลอดจนพา ‘อัศวิน’ ที่จงรักภักดีสองคนพร้อมครอบครัวติดตามไปด้วย…

‘ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้’
‘แหวนอัศวิน’
‘ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์’

...พิพิธภัณฑ์ตำรวจมีมโนทัศน์เช่นไรหนอ?...


ข้อมูลค้นจาก  
     หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ และ ไอรีน ฮันเตอร์. แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม. สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์. 2538.
     พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์. เกิดวังปารุสก์. สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์. 2557.
     ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. ปรีดี พนมยงค์ และ 4 รัฐมนตรีอีสาน +1. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 2544.
     ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 2561.
     th.wikipedia.org
     saranitet.police.go.th