November 27, 2014

Bangkok on Foot: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร: 20.11.2014

จุดหมายวันนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในอุษาคเนย์
คาดว่าคงใช้เวลาหลายชั่วโมง และคงชมไม่หมด เพราะสิ่งแสดงและบริเวณกว้างขวางมาก

11.00 น. นั่งรถเมล์ไปลงเทเวศร์ ต่อรถไปสนามหลวง รถวิ่งฉิวจนถึงถนนเจ้าฟ้า ติดนิ่ง สภาพเหมือนสองสัปดาห์ก่อนตอนไปวัดมหาธาตุฯ คราวนี้ไม่รอแล้ว ลงจากรถเลย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป อยู่ต่อหน้าต่อตาตรงที่ลง นิทรรศการหมุนเวียนจัดแสดง 2 งาน ได้แก่ 'พู่กันเก่า' และ 'นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต' สมควรแวะเข้าไปชมเป็น hors d'oeuvre
    'นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต' แสดงผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม กว่า 150 ชิ้น ของนักเรียน นักศึกษาระดับต่างๆ ที่ส่งประกวดในงานครั้งที่ 26 จัดโดยกลุ่มโตชิบา ร่วมกับกรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยศิลปากร เดินผ่านชมคร่าวๆ
    'พู่กันเก่า' แสดงผลงานของกลุ่มลูกศิษย์อาจารย์ศิลป์ พีระศรี จำนวน 25 คน ส่วนใหญ่เป็นภาพเขียน หลากเทคนิค อาทิ สีน้ำมันบนผ้าใบ สีอะคริลิกบนผ้าใบ สีนำ้บนกระดาษ ผลงานเหล่านี้งดงามยิ่ง ผมค่อยๆ เดินชมราว 40 นาที ด้วยความรื่นรมย์ ขอบคุณที่รถติด เป็นเหตุให้ได้เข้ามาชม แวะซื้อหนังสือประกอบนิทรรศการก่อนออกจากหอศิลป เดินต่อไป...

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
    บริเวณที่ตั้งคือพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า สร้างเมื่อ พ.ศ. 2325 คราวเดียวกับพระบรมมหาราชวัง เมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ อาณาบริเวณของวังหน้าเริ่มตั้งแต่ถนนพระจันทร์ ผ่านกลางสนามหลวง จนถึงถนนราชดำเนินใน วกตามแนวถนนราชินีถึงท่าช้างวังหน้า ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 กำแพงพระราชวังถูกรื้อไปเกือบหมด เหลือเพียงส่วนหนึ่งคือกำแพงด้านทิศใต้ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน
    พระราชวังบวรสถานมงคลเคยเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราช 5 พระองค์ ดังนี้
    สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช พ.ศ. 2325-2346 (วังหน้าในรัชกาลที่ 1)
    สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ พระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช พ.ศ. 2352-2360 (วังหน้าในรัชกาลที่ 2)
    สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช พ.ศ. 2367-2375 (วังหน้าในรัชกาลที่ 3)
    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน พ.ศ. 2394-2408
    สมเด็จกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช พ.ศ. 2411-2428 (วังหน้าในรัชกาลที่ 5)
    ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราช ภายหลังกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต วังหน้าจึงว่างลง โปรดเกล้าฯ ให้ 'มิวเซียมหลวง' ณ หอคองคอเดีย ในพระบรมมหาราชวัง มาตั้งแสดง ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เมื่อ พ.ศ. 2430
    พ.ศ. 2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชมณเฑียรสถานในวังหน้าทั้งหมด ให้จัดตั้งเป็น 'พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร' และเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469 ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
    ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลได้จัดตั้งกรมศิลปากรเมื่อ พ.ศ. 2476 พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครจึงสังกัดกรมศิลปากร และเปลี่ยนเป็น 'พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร' เมื่อ พ.ศ. 2477
    พ.ศ. 2510 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สร้างอาคารจัดแสดงเพิ่มอีกสองหลัง ทางทิศใต้และทิศเหนือของหมู่พระวิมาน ตั้งชื่อคล้องจองกันว่า 'มหาสุรสิงหนาท' ตามพระนามของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ผู้ก่อตั้งพระราชวังแห่งนี้ และ 'ประพาสพิพิธภัณฑ์' ตามชื่อพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่ทรงรวบรวมไว้ตั้งแต่ครั้งยังทรงผนวช คำว่า 'พิพิธภัณฑ์' ปรากฏครั้งแรกจากนามของพระที่นั่งองค์นี้
 
การจัดแสดง
ประวัติศาสตร์แห่งแผ่นดิน: พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
    ที่มาของชนชาติไทย ผ่านยุคสมัย เกิดรัฐสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์
    โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ อาทิ
    ศิลาจารึกหลักที่ 1 (พ.ศ. 1826)
    ตำราพิชัยสงครามฉบับหลวง (พ.ศ. 2358) สมุดไทย ขนาดยาว 38 ซม. กว้าง 12.3 ซม. หนา 10 ซม. ความยาวตลอดเล่ม 1,037.5 ซม.
    กลองวินิจฉัยเภรี (พ.ศ. 2380)
    พระเก้าอี้สนามพับ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท สำหรับเชิญตามเสด็จในการสงคราม ขนาดสูง 93.5 ซม.
    พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สีนำ้มันบนผ้าใบ ประดิษฐานไว้ตั้งแต่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานเป็นหอพระสมุดวชิรญาณ ด้านหน้ามีโต๊ะเป็นกระดานชนวน ทรงใช้คำนวณทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์
    สิ่งของที่เกี่ยวเนื่องกับการที่ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 สมัยรัชกาลที่ 6

ประณีตศิลป์สืบสมัย: หมู่พระวิมาน
    งานประณีตศิลป์ชิ้นเอก จัดแสดงภายในหมู่พระวิมาน พระราชฐานชั้นใน

ประวัติศาสตร์ศิลป์ไทยสืบสาน:
อาคารมหาสุรสิงหนาท
    จัดแสดงประวัติศาสตร์ศิลปะไทย ก่อนพุทธศตวรรษที่ 18 ได้แก่ ศิลปะเอเชีย ก่อนประวัติศาสตร์ ศิลปะทวารวดี ศิลปะชวา ศิลปะศรีวิชัย ศิลปะลพบุรี เทวรูปรุ่นเก่า
อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์
    จัดแสดงประวัติศาสตร์ศิลปะไทย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 ได้แก่ ประติมากรรมขนาดใหญ่ ศิลปะล้านนา เทวรูปสุโขทัย ศิลปะสุโขทัย ศิลปะอยุธยา ศิลปะรัตนโกสินทร์ ประณีตศิลป์ เงินตรา ธนบัตร

โบราณสถานวังหน้า:
    อาคารทั้งหลายในพิพิธภัณฑ์เป็นโบราณสถาน เป็นสถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยมแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
    สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2325 เป็นพระที่นั่งโถงแบบพระที่นั่งทรงปืนในพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา จึงเรียกพระที่นั่งองค์นี้อีกชื่อว่า 'พระที่นั่งทรงปืน' ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกขุนนางและบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ เมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคต พระศพได้ประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งองค์นี้
    หลังคาพระที่นั่งมุงกระเบื้องดินเผา ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันจำหลักลายลงรักปิดทอง พื้นประดับกระจกสี หน้าบันด้านตะวันออกจำหลักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ด้านตะวันตกจำหลักรูปพระพรหมทรงหงส์

พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
    สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2330 เป็นพระที่นั่งชั้นเดียวยกพื้นสูง ด้านหน้าและด้านหลังทำเป็นชานยื่นต่อออกมาจากองค์พระที่นั่ง หลังคาเป็นชั้นลด 2 ชั้น คอสองประดับลายปูนปั้นเขียนสี ประดับตกแต่ง หน้าบัน ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ คันทวย ซุ้มประตู หน้าต่าง ฝีมือประณีต วิจิตรบรรจง หาที่ใดเทียบได้ยาก
    ภายในประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาแต่ครั้งโบราณ ภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนภาพเทพชุมนุมและเรื่องปฐมสมโพธิ เป็นศิลปกรรมทรงคุณค่าที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง และอยู่ในสภาพดียิ่ง พระที่นั่งพุทไธสวรรย์จึงเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ
    พระพุทธสิหิงค์นี้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท อัญเชิญมาจากเชียงใหม่ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2394 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คืนพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานยังพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ตามเดิม เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังคงประดิษฐาน ณ พระที่นั่งองค์นี้สืบต่อมาจนทุกวันนี้

พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย
    เป็นพระที่นั่งชั้นเดียว มีระเบียงด้านหน้า บานหน้าต่างและประตูเขียนลายพันธุ์พฤกษาลงรักปิดทอง หลังคาเป็นชั้นลด มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์
    สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ในรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นท้องพระโรงในคราวที่ทรงปฏิสังขรณ์หมู่พระวิมาน โดยสร้างต่อออกมาทางด้านหน้าของหมู่พระวิมาน ใช้เป็นที่เสด็จออกแขกเมืองและบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต ได้ประดิษฐานพระศพไว้ในพระที่นั่งองค์นี้
    ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ใช้เป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ กำลังแสดงเรื่อง 'สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีกับการอนุรักษ์มรดกไทย: พิพิธภัณฑสถาน โบราณคดี และประวัติศาสตร์ ตามรอยพระบาทสยามบรมราชกุมารี'

หมู่พระวิมาน
    คือกลุ่มพระที่นั่งที่สร้างขึ้นเป็นพระวิมานที่ประทับของกรมพระราชวังบวรแต่ครั้งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระวิมาน ลักษณะและขนาดเดียวกัน 3 หลัง มีชาลาคั่นกลาง สำหรับประทับในฤดูต่างๆ และสร้างมุขต่อจากพระวิมานออกไปอีกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีหลังคาเชื่อมกับหลังคาพระวิมาน รวมเป็นพระที่นั่งหมู่ใหญ่ 11 องค์ รอบนอกมีระเบียงเป็นทางเดินในร่มติดต่อถึงกันได้ตลอดทุกองค์ หลังคาเป็นชั้นลดชั้นเดียว มุงกระเบื้องดินเผา ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันจำหลักลายลงรักปิดทอง พื้นประดับกระจก หน้าต่าง ประตูไม่มีซุ้ม แต่สลักลายที่พนักกับหูช้างเป็นแบบต่างๆ กัน ฝีมือประณีต งดงามมาก
    หมู่พระวิมานเป็นพระราชมณเฑียรที่สำคัญที่สุดในพระราชวังบวรสถานมงคล พระที่นั่งประธาน 3 หลังมีชื่อคล้องจองกัน เรียงจากทิศใต้ไปทิศเหนือ ดังนี้
    พระที่นั่งวสันตพิมาน สำหรับฤดูฝน ชั้นล่างจัดแสดงเครื่องถ้วย ชั้นบนจัดแสดงเครื่องงาช้าง
    พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ สำหรับฤดูหนาว จัดแสดงบุษบกยอดปราสาท ซึ่งเคยประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ และจัดแสดงเครื่องทอง ส่วนหนึ่งเป็นโบราณวัตถุที่พบจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา
    พระที่นั่งพรหมเมศธาดา สำหรับฤดูร้อน ชั้นล่างจัดแสดงผ้าและเครื่องแต่งกาย ชั้นบนจัดแสดงเครื่องใช้ในพระพุทธศาสนา
    ส่วนพระที่นั่งอื่นที่เป็นส่วนประกอบในหมู่พระวิมาน เชื่อมต่อกันเป็นมุขหน้าหลังของพระที่นั่งประธาน 3 หลัง มีชื่อตามทิศดังนี้
    พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร จัดแสดงเครื่องราชยานคานหาม
    พระที่นั่งปฤษฎางค์ภิมุข จัดแสดงเครื่องอาวุธ
    พระที่นั่งบูรพาภิมุข จัดแสดงเครื่องดนตรี
    พระที่นั่งทักษิณาภิมุข จัดแสดงเครื่องการละเล่น หุ่น หัวโขน หนังใหญ่ เครื่องแต่งกายละคร
    พระที่นั่งอุตราภิมุข จัดแสดงศิลาจารึก
    พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข จัดแสดงเครื่องมุก
    มุขเด็จด้านตะวันตก จัดแสดงเครื่องไม้จำหลัก ที่สำคัญได้แก่ บานประตูวัดสุทัศน์เทพวรารามซึ่งถูกไฟไหม้
    กรมศิลปากรกำลังบูรณะหลังคา เพดาน หมู่พระวิมาน ด้านตะวันตก
   
พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์
    เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง เป็นพระที่นั่ง 2 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก บันไดเป็นมุขขึ้นด้านนอก ด้านหน้าถัดจากบันไดเป็นเฉลียงโถง ทรงใช้เป็นที่ประทับและรับแขกเมือง ชั้นบนเป็นที่ประทับ ชั้นล่างเป็นที่พนักงานอาศัย การตกแต่งภายในทั้งหมดเป็นแบบฝรั่ง แม้พระแท่นบรรทมก็สั่งจากเมืองนอก เป็นพระแท่นคู่ มีรูปช้างเผือกสลักที่พนัก ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตที่พระที่นั่งองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดห้องโถงกลางซึ่งเคยใช้เป็นที่เสวยเดิม เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ
    พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ปิดบูรณะขนานใหญ่ เข้าชมไม่ได้

พระตำหนักแดง
    เดิมอยู่ในพระบรมมหาราชวัง คู่กับพระตำหนักเขียว เป็นหมู่พระตำหนักไม้ทรงไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น พระราชทานเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้รื้อหมู่พระตำหนักไม้ทั้งหมด สร้างเป็นพระตำหนักตึก จึงรื้อพระตำหนักแดงไปปลูกถวายสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 2 ที่พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี ด้วยสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีประทับที่พระตำหนักนี้มาแต่เดิม
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระโอรสองค์น้อยของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังบวรฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระตำหนักแดงเข้ามาปลูกรักษาไว้ในพระราชวังบวรสถานมงคลด้วย
    พระตำหนักแดงจัดแสดงสิ่งของส่วนพระองค์สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และเครื่องใช้ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ศาลา
    ในบริเวณพิพิธภัณฑ์ มีพระที่นั่งที่เป็นศาลาโถง ได้แก่ พระที่นั่งมังคลาภิเษก พระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนย ศาลาลงสรง ศาลาสำราญมุขมาตย์ ล้วนงดงามและทรงคุณค่า

โรงราชรถ
    เป็นที่เก็บรักษาราชรถใหญ่น้อย และเครื่องใช้เนื่องในงานพระเมรุ สิ่งแสดงที่สำคัญ ได้แก่
    พระมหาพิชัยราชรถ เป็นราชรถองค์ใหญ่ สร้างในรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2328 สำหรับอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกออกถวายพระเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. 2339 ต่อมาได้ใช้เป็นราชรถทรงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีเกือบทุกพระองค์
    เวชยันตรราชรถ สร้าง พ.ศ. 2342 สำหรับอัญเชิญพระโกศสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ออกพระเมรุท้องสนามหลวง คู่กับพระโกศสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี ซึ่งทรงพระมหาพิชัยราชรถ
    ราชรถน้อย เป็นรถบุษบกขนาดย่อม มี 3 องค์ สร้างคราวเดียวกับพระมหาพิชัยราชรถ ใช้สำหรับสมเด็จพระสังฆราชทรงอ่านพระธรรมนำ รถโยงพระบรมโกศ และรถโปรยข้าวตอกดอกไม้ ใช้ครั้งแรกในงานพระเมรุสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก เมื่อ พ.ศ. 2339
    รถโถง มี 2 หลัง ใช้เป็นรถทรงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่
    ยานมาศสามลำคาน ใช้สำหรับอัญเชิญพระโกศจากพระบรมมหาราชวังมาขึ้นราชรถ หรือใช้ในการเวียนพระเมรุ

ชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วันนี้ ได้เพียงไม่ถึงหนึ่งในห้าของสิ่งแสดง ได้เข้าชมพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน (ประวัติศาสตร์ชาติไทย) พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ (พระพุทธสิหิงค์) พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร (เครื่องราชยานคานหาม) พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ (บุษบกยอดปราสาทและเครื่องทอง) พระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข (เครื่องอาวุธ) มุขเด็จ (เครื่องไม้จำหลัก) และโรงราชรถ รวมทั้งเดิมชมโบราณสถานทั้งหมดที่ไม่ปิดบูรณะ
    พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทรงคุณค่ายิ่ง อาคารทุกหลังเป็นโบราณสถานที่มีประวัติสำคัญยาวนาน ศิลปะสถาปัตยกรรมงดงาม ล้ำค่า สิ่งแสดงแม้มีจำนวนมหาศาลแต่แบ่งหมวดหมู่ชัดเจน ไม่สับสน และล้วนเป็นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่สำคัญ องค์ประกอบทั้งหมดสมศักดิ์ศรีนาม 'พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร'
ค่ารถไปกลับ 21.50 บาท

ข้อมูล ค้นจาก
    นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
    นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรมศิลปากร พ.ศ. 2548
    th.wikipedia.org

     



    
    


    


1 comment:

  1. เป็นการท่องเที่ยวและศึกษาศิลปะ สถาปัตยกรรมที่พวกเราเยาวชนรุ่นหลังควรแก่การเรียนรู้ เป็นอย่างยิ่ง วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ได้ติดตามอ่านอย่างสนุกสนาน โดยไม่ต้องเสียค่ารถเมล์ตั้ง21.50บาทเลย ขอบคุณมากค่ะ

    ReplyDelete