เช้านี้ แดดอ่อน ฟ้าโปร่ง
เตรียมไปเยือนวัดมหาธาตุฯ และย่านศิลปากร
10.30 น. นั่งรถเมล์ไปเทเวศร์ ต่อรถไปท่าพระจันทร์ รถวิ่งฉิว จนถึงถนนเจ้าฟ้ากลับไม่ขยับ ข้างหน้า รถที่ลอดสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าเข้าถนนราชินีแล้วก็ไม่ขยับเช่นกัน รออยู่ 15 นาที ไม่ดีขึ้น ลงเดินดีกว่า
ค่อยๆเดินผ่านสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ โรงละครแห่งชาติ โค้งเข้าถนนหน้าพระธาตุ สนามหลวง หญ้าเขียวสด อยู่ด้านซ้ายตรงข้ามถนน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครอยู่ด้านขวา พระที่นั่งพุทไธสวรรย์สง่างาม วันนี้ยังไม่เข้าชม เดินต่อไปธรรมศาสตร์
รถทัวร์ขนาดใหญ่ทยอยเข้ามารับฝูงนักท่องเที่ยวหัวดำ ล้งเล้ง ยืนระเกะระกะ หลายฝูงหลายกลุ่ม มีธงประจำกลุ่มควบคุม นี่เองสาเหตุรถติดสาหัส สภาพการท่องเที่ยวแบบนี้ ชวนให้นึกถึงอาจารย์ยงยุทธ จรรยารักษ์ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เจ้าของ 'วิชาอะไร' ที่เคยนิยามไว้ว่า 'นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นแดก แยกเป็นหลง ลงเป็นช็อป'
เดินหลบหลีกฝูงคน ถึงมุมถนนพระจันทร์ตัดกับถนนหน้าพระธาตุ ก่อนทางเข้าวัดมหาธาตุฯ แวะพระบวรราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พวงมาลาจำนวนมากเต็มลาน ถวายบังคมวันคล้ายวันสวรรคต 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2346
พระรูปหล่อด้วยสำริด รมดำ ขนาดเท่าครึ่งพระองค์จริง ประทับยืนหันพระพักตร์ออกสู่ท้องสนามหลวง ยกพระแสงดาบอยู่ในพระหัตถ์ทั้งสอง
สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระนามเดิมว่า 'บุญมา' ประสูติเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2286 ในรัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐ์ เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า พ.ศ. 2310 นั้น กรมพระราชวังบวรฯ ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นนายสุดจินดา ได้ร่วมกับพระยาวชิรปราการ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสิน) และหลวงยกกระบัตร (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) กู้เอกราชคืนมา
เมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นครองราชย์ นายสุดจินดา พร้อมด้วยพระเชษฐา เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ก็ได้เข้ารับราชการมีตำแหน่งเป็นทหารคู่พระทัย ทั้งสองร่วมทำศึกได้รับชัยชนะหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญที่สุดคือ ที่เวียงจันทน์ ซึ่งภายหลังการรบได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาด้วย
เมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นครองราชย์ นายสุดจินดา พร้อมด้วยพระเชษฐา เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ก็ได้เข้ารับราชการมีตำแหน่งเป็นทหารคู่พระทัย ทั้งสองร่วมทำศึกได้รับชัยชนะหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญที่สุดคือ ที่เวียงจันทน์ ซึ่งภายหลังการรบได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาด้วย
ครั้นเมื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ใหม่ให้แก่พระอนุชาเป็น สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพ การรบครั้งที่สำคัญที่สุด คือ สงครามที่ลาดหญ้า เมื่อ พ.ศ. 2328 พระองค์ได้ทรงนำทหาร 3 หมื่นคน เข้ารบพุ่งกับทหารพม่าจำนวน 8 หมื่นคน ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม
พระองค์ทรงเป็นแม่ทัพที่เข้มแข็งและเด็ดขาด จึงทำให้คนทั่วไปถวายพระนามว่า 'พระยาเสือ' ทรงประกอบมหาวีรกรรมอันเป็นคุณยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติไว้มากมาย แต่พระนามของพระองค์กลับไม่เป็นที่รู้จัก
พระองค์ทรงเป็นแม่ทัพที่เข้มแข็งและเด็ดขาด จึงทำให้คนทั่วไปถวายพระนามว่า 'พระยาเสือ' ทรงประกอบมหาวีรกรรมอันเป็นคุณยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติไว้มากมาย แต่พระนามของพระองค์กลับไม่เป็นที่รู้จัก
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระบรมมหาราชวัง หันหน้าออกท้องสนามหลวง อยู่ระหว่างวังหลวงและวังหน้า เป็นวัดที่สร้างมาตั้งแต่ครั้งกรุงเก่าชื่อ 'วัดสลัก'
สมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดสลักขึ้นใหม่ วัดสลักเป็นวัดโบราณขนาดเล็ก เมื่อคราวเสด็จล่องเรือหนีพม่า ได้เคยพักอาศัยที่วัดนี้ ทรงสถาปนาวัดสลักเป็นพระอารามหลวงขนาดใหญ่ พระราชทานนามว่า 'วัดนิพพานาราม'
ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2331 มีการสังคายนาพระไตรปิฎกที่วัดนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดเกล้าฯให้นามใหม่เป็น 'วัดพระศรีสรรเพชดาราม'
พ.ศ. 2346 ภายหลังสมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯให้ประชุมพระราชาคณะสอบไล่พระปริยัติธรรมพระภิกษุสามเณรที่วัดนี้ โปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนนามอีกเป็น 'วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ'
พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เพิ่มสร้อยต่อนาม 'ยุวราชรังสฤษดิ์' ภายหลังทรงบริจาคพระราชทรัพย์ของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ซึ่งสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2437 เพื่อปฏิสังขรณ์พระอาราม
เดินผ่านซุ้มประตูตึกงามหลังยาวที่ทำหน้าที่เป็นรั้วของวัด ภายในปลอดนักท่องเที่ยว
พระระเบียง รอบสี่ด้าน หลังคาชั้นลดสามระดับ ออกแบบงดงาม
พระพุทธรูปที่สร้างเรียงรายไว้ในพระระเบียงโดยรอบทั้ง 4 ด้าน นับได้ 108 องค์ (ไม่นับองค์มุมทั้งสี่ สันนิษฐานว่าสร้างเพิ่มภายหลัง) จำนวน 108 นั้นถือเป็นมงคลเรียกว่า 'อัฏฐตตรุสตมงคล' แปลว่า มงคล 108 หมายถึง ลายในฝ่าพระบาทพระพุทธเจ้าที่อยู่รอบจักร
บริเวณพระระเบียง มีบุรุษหลายคน เนื้อตัว เสื้อผ้า สกปรก นอนเหยียดยาว ตรงนั้นตรงนี้ สตรีหลายคนท่าทางเหมือนแม่ค้านั่งเหยียดขา พร้อมข้าวของ ภาชนะจิปาถะ วางเกะกะ
บริเวณพระระเบียง มีบุรุษหลายคน เนื้อตัว เสื้อผ้า สกปรก นอนเหยียดยาว ตรงนั้นตรงนี้ สตรีหลายคนท่าทางเหมือนแม่ค้านั่งเหยียดขา พร้อมข้าวของ ภาชนะจิปาถะ วางเกะกะ
พระมณฑป
สร้างแต่ครั้งสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาวัดนิพพานาราม ให้เป็นประธานของวัด โดยสร้างไว้ข้างหน้าพระอุโบสถและพระวิหาร พระมณฑปเดิมมีเครื่องยอดอย่างปราสาท ประดิษฐานพระเจดีย์ทอง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นศิลปะสมัยรัชกาลที่ 1 ที่ยังเหลือบริบูรณ์ชิ้นหนึ่งในปัจจุบัน ต่อมาเกิดไฟไหม้หลังคาเดิมหมด จึงโปรดเกล้าฯให้ทำหลังคาใหม่เป็นหลังคาโรง หน้าบันรูปนารายณ์ทรงครุฑแล้วสร้างพระมณฑปทองสูง 10 วา ขึ้นไว้ข้างในครอบพระเจดีย์ทองไว้แทนพระมณฑปที่ไฟไหม้
สร้างแต่ครั้งสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาวัดนิพพานาราม ให้เป็นประธานของวัด โดยสร้างไว้ข้างหน้าพระอุโบสถและพระวิหาร พระมณฑปเดิมมีเครื่องยอดอย่างปราสาท ประดิษฐานพระเจดีย์ทอง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นศิลปะสมัยรัชกาลที่ 1 ที่ยังเหลือบริบูรณ์ชิ้นหนึ่งในปัจจุบัน ต่อมาเกิดไฟไหม้หลังคาเดิมหมด จึงโปรดเกล้าฯให้ทำหลังคาใหม่เป็นหลังคาโรง หน้าบันรูปนารายณ์ทรงครุฑแล้วสร้างพระมณฑปทองสูง 10 วา ขึ้นไว้ข้างในครอบพระเจดีย์ทองไว้แทนพระมณฑปที่ไฟไหม้
พระอุโบสถและพระวิหาร
ของเดิมที่สร้างคู่กันครั้งสถาปนาวัดนิพพานาราม ได้ถูกไฟไหม้พร้อมพระมณฑป ใน พ.ศ. 2344 กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงโปรดให้สร้างใหม่ สันนิษฐานว่าคงรื้อสร้างใหม่ทั้งหลังให้ใหญ่โตกว่าแต่ก่อน ขยายแนวผนังออกมาถึงแนวสีมาเดิม พระอุโบสถใหม่จึงกระชั้นพระมณฑป และติดสีมาไว้กับผนังเหมือนพระอุโบสถวัดชนะสงคราม ส่วนพระวิหารสร้างตามอย่างเดิม สำหรับลวดลายที่ปรากฏทุกวันนี้ เช่น ภาพเขียนที่ผนังเป็นเรื่องชาดกต่าง ๆ และรูปเทพชุมนุม เสาทาสีเขียวลายทรงข้าวบิณฑ์ เพดานลายฉลุทอง เป็นของที่สร้างขึ้นในครั้งนั้น
ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระวิหารครั้งใหญ่ ส่วนผนังภายในพระอุโบสถมาเขียนใหม่ในรัชกาลที่ 4
ของเดิมที่สร้างคู่กันครั้งสถาปนาวัดนิพพานาราม ได้ถูกไฟไหม้พร้อมพระมณฑป ใน พ.ศ. 2344 กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงโปรดให้สร้างใหม่ สันนิษฐานว่าคงรื้อสร้างใหม่ทั้งหลังให้ใหญ่โตกว่าแต่ก่อน ขยายแนวผนังออกมาถึงแนวสีมาเดิม พระอุโบสถใหม่จึงกระชั้นพระมณฑป และติดสีมาไว้กับผนังเหมือนพระอุโบสถวัดชนะสงคราม ส่วนพระวิหารสร้างตามอย่างเดิม สำหรับลวดลายที่ปรากฏทุกวันนี้ เช่น ภาพเขียนที่ผนังเป็นเรื่องชาดกต่าง ๆ และรูปเทพชุมนุม เสาทาสีเขียวลายทรงข้าวบิณฑ์ เพดานลายฉลุทอง เป็นของที่สร้างขึ้นในครั้งนั้น
ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระวิหารครั้งใหญ่ ส่วนผนังภายในพระอุโบสถมาเขียนใหม่ในรัชกาลที่ 4
สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระวิหารอีกครั้ง และที่หน้าบันพระวิหาร เปลี่ยนลายเป็นรูปจุลมงกุฎของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เป็นศิลปะจำหลักไม้หน้าบัน ประดับกระจกลงรักที่งดงามมากชิ้นหนึ่ง
พระปรางค์และพระเจดีย์ราย
ในเขตพระระเบียงด้านเหนือพระวิหารและด้านใต้พระอุโบสถ มีพระเจดีย์ด้านละ 2 องค์ พระปรางค์ด้านละองค์ เป็นของสร้างมาแต่รัชกาลที่ 1 หุ้มด้วยดีบุก มาซ่อมในรัชกาลที่ 3 เอาดีบุกออก ซึ่งยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีพระปรางค์อีก 2 องค์ สร้างเรียงไว้ติด ๆ กันที่ริมลานวัดด้านเหนือ แต่ถูกรื้อไปสร้างใหม่ข้างนอกพระระเบียงด้านเหนือในสมัยรัชกาลที่ 3
ในเขตพระระเบียงด้านเหนือพระวิหารและด้านใต้พระอุโบสถ มีพระเจดีย์ด้านละ 2 องค์ พระปรางค์ด้านละองค์ เป็นของสร้างมาแต่รัชกาลที่ 1 หุ้มด้วยดีบุก มาซ่อมในรัชกาลที่ 3 เอาดีบุกออก ซึ่งยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีพระปรางค์อีก 2 องค์ สร้างเรียงไว้ติด ๆ กันที่ริมลานวัดด้านเหนือ แต่ถูกรื้อไปสร้างใหม่ข้างนอกพระระเบียงด้านเหนือในสมัยรัชกาลที่ 3
ส่วนพระปรางค์องค์ใหญ่ 2 องค์ ซึ่งอยู่ในพระระเบียงตรงมุขด้านหน้าพระมณฑป สร้างสมัยรัชกาลที่ 2 สันนิษฐานว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิธาตุของสมเด็จพระสังฆราช (ศุข) องค์หนึ่ง และสมเด็จพระสังฆราช (มี) องค์หนึ่ง
บริเวณรอบพุทธาวาส ในเขตพระระเบียง ปรากฏกองวัสดุ โครงเหล็กนั่งร้าน วางระเกะระกะ ทำลายภูมิทัศน์อันศาสนสถานพึงเป็นอย่างน่าเสียดาย เกิดปุจฉาถึงศรัทธา ความเกรงใจ และสามัญสำนึก ของเจ้าของกองวัสดุ เจ้าของโครงเหล็กนั่งร้าน และเจ้าบ้าน ว่าเป็นเช่นไร
ทางเดินรก เลอะเทอะ ทำให้หมดอารมณ์ที่จะต่อไปยังสังฆาวาส จึงไม่ได้ชมตำหนักสมเด็จพระสังฆราช
ออกจากวัดต่อไปยังกรมศิลปากรซึ่งอยู่ติดกัน
ตึกรามภายใน อนุรักษ์ของเก่าไว้ได้อย่างงาม ทุกหลังขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ
ตรงมุมถนนหน้าพระธาตุตัดกับถนนหน้าพระลาน...
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์
อาคารโบราณทรงสูงชั้นเดียว มีหน้าต่างใหญ่ 3 บาน เป็นกระจกใส เปิดรับแสงและลมจากธรรมชาติได้ตลอดวัน สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 โดยการออกแบบของศาสตราจารย์ Corrado Feroci
อาคารโบราณทรงสูงชั้นเดียว มีหน้าต่างใหญ่ 3 บาน เป็นกระจกใส เปิดรับแสงและลมจากธรรมชาติได้ตลอดวัน สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 โดยการออกแบบของศาสตราจารย์ Corrado Feroci
ศาสตราจารย์ Corrado Feroci สำเร็จการศึกษาจากราชวิทยาลัยศิลปะแห่งนครฟลอเรนซ์ อิตาลี เข้ามารับราชการเป็นช่างปั้นประจำกรมศิลปากร กระทรวงวัง เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2466 โดยได้รับการวินิจฉัยคัดเลือกจากสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนวิชาช่างปั้น ท่านใช้อาคารนี้เป็นสถานที่ทำงานตลอดชีวิตของท่าน
ปี พ.ศ. 2476 กรมศิลปากรจัดตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรม เพื่อฝึกสอนการเขียนภาพและปั้นรูปตามแบบยุโรป ภายใต้การอำนวยการของศาสตราจารย์ Corrado Feroci ใช้หลักสูตรของ Royal Academy of Fine Arts, Florence, Italy นักเรียนที่จบการศึกษาจึงมีฝีมือสูง ปี พ.ศ. 2478 โรงเรียนประณีตศิลปกรรมเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนศิลปากร จน พ.ศ. 2486 ได้ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร ศาสตราจารย์ Corrado Feroci ได้รับแต่งตั้งเป็น 'คณบดีปฏิมากรรม'
ปี พ.ศ. 2476 กรมศิลปากรจัดตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรม เพื่อฝึกสอนการเขียนภาพและปั้นรูปตามแบบยุโรป ภายใต้การอำนวยการของศาสตราจารย์ Corrado Feroci ใช้หลักสูตรของ Royal Academy of Fine Arts, Florence, Italy นักเรียนที่จบการศึกษาจึงมีฝีมือสูง ปี พ.ศ. 2478 โรงเรียนประณีตศิลปกรรมเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนศิลปากร จน พ.ศ. 2486 ได้ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร ศาสตราจารย์ Corrado Feroci ได้รับแต่งตั้งเป็น 'คณบดีปฏิมากรรม'
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วง พ.ศ. 2486-2487 ก่อนที่อิตาลีจะพ่ายแพ้แก่ฝ่ายพันธมิตร มีการเจรจาทางลับโดยรัฐบาลใหม่ของอิตาลี เพื่อเปลี่ยนฝ่ายจากฝ่ายอักษะเป็นฝ่ายพันธมิตร ต่อมาอิตาลีประกาศสงครามกับญี่ปุ่น ชาวอิตาเลียนในประเทศไทยจึงตกเป็นเชลยของญี่ปุ่น แต่รัฐบาลไทยขอควบคุมตัวศาสตราจารย์ Corrado Feroci ไว้เอง และหลวงวิจิตรวาทการได้ทำเรื่องโอนสัญชาติของท่านเป็นสัญชาติไทย และเปลี่ยนชื่อของท่านเป็น 'ศิลป์ พีระศรี'
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี มีผลงานออกแบบอนุสาวรีย์สำคัญของประเทศหลายแห่ง ท่านเป็นผู้ริเร่ิมให้จัดตั้งสถาบันศิลปะในระดับอุดมศึกษา ให้จัดแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ และท่านยังเป็นผู้นำศิลปะไทยไปเผยแพร่สู่นานาชาติ
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ถึงแก่กรรมภายหลังรับการผ่าตัด ณ โรงพยาบาลศิริราช
อาคารสถานที่ทำงานของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ถูกทอดทิ้งให้รกร้างว่างเปล่า จนถึง พ.ศ. 2527 จึงเกิดโครงการพิพิธภัณฑ์ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ โดยความร่วมมือระหว่างบรรดาลูกศิษย์และผู้ใกล้ชิด เพื่อรำลึกถึงเกียรติคุณของท่านในฐานะผู้ให้กำเนิดการศึกษาศิลปะสมัยใหม่ ศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย และในฐานะผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร พิพิธภัณฑ์เปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2527 ซึ่งตรงกับวาระวันคล้ายวันเกิดครบ 92 ปี ของศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี โดย ฯพณฯ ชวน หลีกภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ต่อมาวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2530 กระทรวงศึกษาธิการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาให้ชื่อว่า 'พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์'
นิทรรศการถาวร จัดแสดง 2 ห้อง
ห้องชั้นนอก จัดแสดงผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ ของบรรดาลูกศิษย์รุ่นแรกๆ อาทิ
เฟื้อ หริพิทักษ์ (2453-2536) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) 2528
ทวี นันทขว้าง (2468-2534) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) 2533
สวัสดิ์ ตันติสุข (2468-2552) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) 2534
ประยูร อุลุชาฎะ (2471- ) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) 2535
ชลูด นิ่มเสมอ (2472- ) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) 2541
จำรัส เกียรติก้อง (2459-2509) ศิลปินผู้ที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี กล่าวว่าเป็น 'ช่างเขียนภาพเหมือนที่ดีที่สุดของเรา'
เขียน ยิ้มศิริ (2465-2514)
ผลงานส่วนใหญ่เป็นงานศิลปกรรมยุคเริ่มแรกของศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย ตามแนวทางและหลักวิชาการที่ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้วางรากฐาน
สิ่งแสดง ประติมากรรม 9 ชิ้น จิตรกรรม 23 ชิ้น ที่สำคัญได้แก่
สิ่งแสดง ประติมากรรม 9 ชิ้น จิตรกรรม 23 ชิ้น ที่สำคัญได้แก่
เสียงขลุ่ยทิพย์ (Musical Rhythm) สำริด 38x38x58 ซม. 2492 ศิลปิน: เขียน ยิ้มศิริ รางวัลเหรียญทองคำ อันดับหนึ่ง ประเภทประติมากรรม งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2492
มาลินี พีระศรี (Madam Malinee Bhirasri) สำริด 20x20x38 ซม. 2502 ศิลปิน: ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ปั้นและหล่อเป็นปูนปลาสเตอร์ให้เป็นของขวัญแก่คุณมาลินี พีระศรี ภรรยาชาวไทย เมื่อตอนแต่งงานจดทะเบียนสมรสกับท่าน
มาลินี พีระศรี (Madam Malinee Bhirasri) สำริด 20x20x38 ซม. 2502 ศิลปิน: ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ปั้นและหล่อเป็นปูนปลาสเตอร์ให้เป็นของขวัญแก่คุณมาลินี พีระศรี ภรรยาชาวไทย เมื่อตอนแต่งงานจดทะเบียนสมรสกับท่าน
ชายฉกรรจ์ (Adult) สีน้ำมันบนผ้าใบ 53x35 ซม. 2493 ศิลปิน: จำรัส เกียรติก้อง รางวัลเหรียญทองคำ อันดับหนึ่ง ประเภทจิตรกรรม งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2493
น้ำเงิน-เขียว (Blue-Green) สีน้ำมันบนผ้าใบ 66x90 ซม. 2501 ศิลปิน: เฟื้อ หริพิทักษ์ รางวัลเหรียญทองคำ อันดับหนึ่ง ประเภทจิตรกรรม งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2501
ห้องชั้นใน จัดแสดงห้องทำงานของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งประกอบไปด้วย โต๊ะทำงาน เก้าอี้ เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องมือปั้น ของใช้และเอกสารส่วนตัว ตู้หนังสือ ตลอดจนแบบร่างอนุสาวรีย์และประติมากรรมชิ้นสำคัญ เช่น แบบร่างพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 แบบร่างพระศรีศากยทศพลญาณ พระประธานพุทธมณฑล และแบบร่างพระเศียรรัชกาลที่ 8 เป็นต้น
สิ่งแสดง ประติมากรรม 15 ชิ้น จิตรกรรม 20 ชิ้น ที่สำคัญได้แก่
พระเจ้าแผ่นดิน (The King Rama IX) ปูนปลาสเตอร์ 64x62 ซม. 2505 ศิลปิน: ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี รูปปั้นโครงร่างยังไม่เสร็จเรียบร้อย เป็นงานชิ้นสุดท้ายของท่าน
จันทบุรี (Chanthaburi) สีน้ำมันบนผ้าใบ 80x110 ซม. 2498 ศิลปิน: ประยูร อุลุชาฎะ รางวัลเหรียญทองคำ อันดับหนึ่ง ประเภทจิตรกรรม งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2498
ดอกบัว (Lotus Flowers) สีน้ำมันบนผ้าใบ 140x202 ซม. 2499 ศิลปิน: ทวี นันทขว้าง รางวัลเหรียญทองคำ อันดับหนึ่ง ประเภทจิตรกรรม งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2499
ความบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติ (Immaculate) ไม้แกะ 62 ซม. 2499 ศิลปิน: ชลูด นิ่มเสมอ รางวัลเหรียญเงิน งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2499
พื้นที่เพียงสองห้องของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ ทำหน้าที่ตามชื่อได้อย่างน่านิยม ทั้งในฐานะพิพิธภัณฑ์และในฐานะอนุสรณสถาน ห้องทำงาน เครื่องมือเครื่องใช้ในงานปั้น งานวาด ของใช้และเอกสารส่วนตัว แบบร่างประติมากรรม ตลอดจนผลงานของลูกศิษย์ซึ่งหลายคนเป็นศิลปินแห่งชาติในเวลาต่อมา สะท้อนชีวิต ความมุ่งมั่น และคุณูปการของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ทั้งในการสร้างงานศิลปะและการสร้างคนให้แก่ประเทศไทย
ถัดจากพิพิธภัณฑ์เข้าไปราว 20 เมตร เป็นหอประติมากรรมต้นแบบ
อาคารสองชั้น ทรงสูง ติดกระจก ออกแบบให้แสงสว่างเข้าทางทิศเหนือเพื่อความเหมาะสมสำหรับการปั้นงานประติมากรรม และอาคารสามารถระบายความร้อนได้ดีขณะหล่อโลหะทำอนุสาวรีย์ เดิมเป็น 'โรงปั้นหล่อ' ของกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร ใช้เป็นที่ปั้นรูปขนาดใหญ่และหล่อโลหะ โดยศิลปินชั้นครูคนสำคัญของชาติคือ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
ผลงานสำคัญจากโรงปั้นหล่อได้แก่ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประดิษฐานหน้าสวนลุมพินี) พระบรมราชานุสาวรีย์พระนเรศวรมหาราชทรงช้างศึก (สุพรรณบุรี) พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชทรงม้า (วงเวียนใหญ่) พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช (อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย) พระราชานุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทอง (พระนครศรีอยุธยา)
ต่อมาพื้นที่โรงปั้นหล่อไม่เพียงพอ จึงย้ายไปยังสถานที่ใหม่ที่ศาลายา นครปฐม โรงปั้นหล่อเดิมได้รับการปรับปรุงเพื่อเป็น 'พิพิธภัณฑ์หุ่นร่างและต้นแบบอนุสาวรีย์แห่งชาติ' ส่วนงานประติมากรรมต้นแบบได้รับการซ่อมแซมเพื่อเก็บรักษาและจัดแสดง ใช้ชื่ออาคารว่า 'หอประติมากรรมต้นแบบ' เปิดเมื่อ พ.ศ. 2542
สิ่งแสดง
ประติมากรรมต้นแบบอนุสาวรีย์ ภาพร่างต้นแบบ ประติมากรรมสำหรับการเรียนการสอน ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี อาทิ
ต้นแบบอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 2475
ต้นแบบอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี 2477
ต้นแบบทหารอากาศ ประกอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 2485
ต้นแบบพระเศียรของพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 2497
ต้นแบบพระศรีศากยทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ 2500
ประติมากรรมต้นแบบของศิลปินหลายท่านซึ่งเป็นลูกศิษย์เอกของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
พื้นที่แสดงสาธิตการหล่อโลหะเดิม
หอประติมากรรมต้นแบบเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นแหล่งเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสุนทรียภาพของงานประติมากรรม
นิราศกรุงเทพวันนี้ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ศิลปะ ได้เห็นความต้ังใจของคนจำนวนมากในการรักษาโบราณสถาน โบราณวัตถุ ตลอดจนงานที่มีคุณค่าไว้เป็นสมบัติของชาติ
ออกจากหอประติมากรรมต้นแบบ ฝนเริ่มตกปรอยๆ ครู่เดียวก็เทลงมาอย่างหนัก ไม่มีท่าว่าจะหยุด น้ำเริ่มท่วมถนน ต้องเรียกรถแท็กซี่กลับที่พัก เสียความตั้งใจของโครงการในการใช้รถโดยสารสาธารณะเป็นหลัก
ค่ารถไปกลับ 100.00 บาท
ข้อมูล วัดมหาธาตุฯ และอนุสาวรีย์กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ค้นจาก
นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
th.wikipedia.org
lib.su.ac.th
ข้อมูล พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ และหอประติมากรรมต้นแบบ ค้นจาก
เปิดบ้านศิลปากร เอกสารกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
หอประติมากรรมต้นแบบ เอกสารกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
nationalmuseums.finearts.go.th
th.wikipedia.org
พาเที่ยวชมกรุงเทพมหานครฉบับนี้ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่สมัยเด็กท่องอ่านเพื่อทำข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์ให้ผ่านไปได้ ยอมรับว่ายากจริงๆ และได้ส่งกลับคืนครูที่สอนไปหมดแล้ว ..นอกจากได้รำลึกถึงประวัติศาสตร์ในยุคต้นกรุงรัตนโกสิทร์แล้ว ปฏิมากรรม สถาปัตยกรรม และศิลปะต่างๆอันหลากหลายได้ถูกนำมาเล่าขาน ถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราวที่ชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง ต้องขอขอบคุณอาจารย์ไมตรี อนันต์โกศล ที่ได้นำสิ่งดีๆมีคุณค่ามาให้เราได้ภาคภูมิใจ และช่วยกันอนุรักษ์ไว้อยูคู่บ้านเมืองต่อไป
ReplyDelete