เช้านี้ ท้องฟ้าโปร่ง แดดอ่อน
จุดหมายสำคัญที่อยากไปเยือนคือ วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า)
ชื่อวัดบ่งบอกความสำคัญ แต่กลับไม่เป็นที่รู้จัก ไม่เคยมีกิจกรรมใดเกี่ยวกับวัดนี้ปรากฏแก่สาธารณชน
แผนที่ดาวเทียมแสดงให้เห็นชัดเจนว่าวัดมีแต่พระอุโบสถอยู่หลังเดียวเท่านั้น
ปัจจุบัน พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาสอยู่ภายในสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า)
บริเวณนี้แต่เดิมเคยเป็นสวนที่ประพาสของสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้าในรัชกาลที่ 1) มีตำหนักอยู่ในสวนหลังหนึ่ง ต่อมาสมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงพระราชอุทิศให้แก่มารดาที่บวชเป็นชีของนักองอี พระสนมเอก (ราชธิดาสมเด็จพระอุไทยราชา พระเจ้ากรุงกัมพูชา) และพวกหลวงชีที่เป็นบริษัทใช้เป็นที่จำศีลภาวนา ที่บริเวณนั้นจึงเรียกกันว่า 'วัดหลวงนางชี'
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย วัดหลวงนางชีไม่มีหลวงชีอยู่ดังแต่ก่อน สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ (วังหน้าในรัชกาลที่ 2) จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อกุฏิที่ร้างและชำรุดนั้นลงเสีย และโปรดเกล้าฯ ให้ทำเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย
ครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ (วังหน้าในรัชกาลที่ 3) ทรงพระราชอุทิศสวนเลี้ยงกระต่ายนี้ให้เป็นที่สร้างวัดถวายเป็นพุทธบูชา เรียกว่า วัดพระแก้ววังหน้า และได้สร้างเจดีย์ถ่ายแบบเจดีย์สำคัญๆ ไว้หลายองค์ การก่อสร้างวัดพระแก้ววังหน้ามาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานนามว่า 'วัดบวรสถานสุทธาวาส'
ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราว พ.ศ. 2417-2418 ทรงเริ่มปฏิรูปการปกครองประเทศโดยรวมอำนาจเข้าศูนย์กลาง ทรงตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อรวบรวมการเก็บภาษีมาอยู่ที่เดียว ซึ่งกระทบกระเทือนการเก็บรายได้ สร้างความไม่พอใจแก่เจ้านายและขุนนางเก่าเป็นอันมาก โดยเฉพาะกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (วังหน้าในรัชกาลที่ 5) ซึ่งเดิมมีรายได้แผ่นดินถึง 1 ใน 3 มีทหารในสังกัดถึง 2,000 นาย และมีข้าราชบริพารเป็นจำนวนมาก จึงเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ มีการสะสมอาวุธ และระดมกำลังทหารเพิ่ม
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย วัดหลวงนางชีไม่มีหลวงชีอยู่ดังแต่ก่อน สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ (วังหน้าในรัชกาลที่ 2) จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อกุฏิที่ร้างและชำรุดนั้นลงเสีย และโปรดเกล้าฯ ให้ทำเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย
ครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ (วังหน้าในรัชกาลที่ 3) ทรงพระราชอุทิศสวนเลี้ยงกระต่ายนี้ให้เป็นที่สร้างวัดถวายเป็นพุทธบูชา เรียกว่า วัดพระแก้ววังหน้า และได้สร้างเจดีย์ถ่ายแบบเจดีย์สำคัญๆ ไว้หลายองค์ การก่อสร้างวัดพระแก้ววังหน้ามาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานนามว่า 'วัดบวรสถานสุทธาวาส'
ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราว พ.ศ. 2417-2418 ทรงเริ่มปฏิรูปการปกครองประเทศโดยรวมอำนาจเข้าศูนย์กลาง ทรงตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อรวบรวมการเก็บภาษีมาอยู่ที่เดียว ซึ่งกระทบกระเทือนการเก็บรายได้ สร้างความไม่พอใจแก่เจ้านายและขุนนางเก่าเป็นอันมาก โดยเฉพาะกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (วังหน้าในรัชกาลที่ 5) ซึ่งเดิมมีรายได้แผ่นดินถึง 1 ใน 3 มีทหารในสังกัดถึง 2,000 นาย และมีข้าราชบริพารเป็นจำนวนมาก จึงเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ มีการสะสมอาวุธ และระดมกำลังทหารเพิ่ม
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี คบค้าสนิทสนมกับนายโทมัส น็อกซ์ กงสุลอังกฤษ ประกอบกับในสมัยนั้น อังกฤษคุกคามสยาม ถึงขั้นเรียกเรือรบมาปิดปากแม่น้ำ ทางวังหลวงจึงหวาดระแวง เชื่อว่ามีแผนการจะแบ่งดินแดนเป็นสองส่วนคือ ทางเหนือถึงเชียงใหม่ ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯครอง ทางใต้ให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญครอง นัยว่าเมื่อแบ่งสยามให้เล็กลงแล้ว จะได้อ่อนแอ ง่ายต่อการเอาเป็นเมืองขึ้น
ความขัดแย้งบาดหมางระหว่างวังหลวงกับวังหน้ารุนแรงจนเกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง เรียกเหตุการณ์ขัดแย้งนี้ว่า 'วิกฤตการณ์วังหน้า'
ความขัดแย้งบาดหมางระหว่างวังหลวงกับวังหน้ารุนแรงจนเกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง เรียกเหตุการณ์ขัดแย้งนี้ว่า 'วิกฤตการณ์วังหน้า'
ปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2417 เกิดระเบิดขึ้นที่ตึกดินในวังหลวง ไฟไหม้ลุกลามไปถึงพระบรมมหาราชวัง ทางวังหลวงเข้าใจว่าวังหน้าเป็นผู้วางระเบิด และไม่ส่งคนมาช่วยดับไฟ แต่กลับนำทหารพร้อมอาวุธมา วังหลวงจึงไม่อนุญาตให้เข้า ฝ่ายกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงระแวงว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงกำจัดหรือลิดรอนสิทธิอำนาจของพระองค์ จึงทรงหนีไปอยู่ในสถานกงสุลอังกฤษ ไม่ยอมเสด็จออกมาและเรียกร้องให้ข้าหลวงอังกฤษช่วยไกล่เกลี่ย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเชิญสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ไกล่เกลี่ย และไม่ให้อังกฤษแทรกแซง วิกฤตการณ์วังหน้านี้ยุติลงในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เสด็จทิวงคตเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2428 พระชนมายุ 46 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงแต่งตั้งผู้ใด ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงว่าง จนถึงพ.ศ. 2429 ทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นมกุฎราชกุมาร และยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระราชวังบวรสถานมงคลจึงไม่ได้ใช้เป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลอีกต่อไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้รื้อป้อมปราการและกำแพงของพระราชวังบวรฯลง ตลอดจนเจดีย์ต่างๆ คงเหลือไว้แต่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เสด็จทิวงคตเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2428 พระชนมายุ 46 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงแต่งตั้งผู้ใด ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงว่าง จนถึงพ.ศ. 2429 ทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นมกุฎราชกุมาร และยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระราชวังบวรสถานมงคลจึงไม่ได้ใช้เป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลอีกต่อไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้รื้อป้อมปราการและกำแพงของพระราชวังบวรฯลง ตลอดจนเจดีย์ต่างๆ คงเหลือไว้แต่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส
หลังจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาสเป็นพระเมรุพิมานประดิษฐานพระศพเวลาสมโภชและบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อปี พ.ศ. 2443 พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาสจึงเปลี่ยนเป็น 'พระเมรุพิมาน' พร้อมกันนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ปลูกพระเมรุน้อยสำหรับพระราชทานเพลิงพระศพต่อออกมาทางด้านเหนือของพระอุโบสถ พระเมรุน้อยแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงพระศพเจ้านายอีกหลายพระองค์
ตอนสาย นั่งรถเมล์ไปเทเวศร์ ต่อรถสาย 65 ไปลงแถววิทยาลัยนาฏศิลป์ ซึ่งยกฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ผ่านประตูรั้ว ยาม 2 คนดูแลอยู่ ป้ายเตือนสถาบันศึกษา บุคคลภายนอกให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ จึงเข้าไปบอกเขาว่าจะมาชมวัดบวรสถานสุทธาวาส ไม่ทราบอยู่ตรงไหน ยามได้ยินแค่ 'วัดบวร' ชี้ไปทางบางลำพู ผมบอกว่าไม่ใช่ วัดอยู่ข้างในนี้ ยามอีกคนบอกว่าในนี้มีแต่ 'วัดพระแก้ววังหน้า' ผมว่าใช่แล้ววัดพระแก้ววังหน้า เขาจึงชี้ไปที่พระอุโบสถหลังใหญ่อยู่ตรงหน้าห่างไปแค่ 50 เมตร ผมไม่ได้มองตอนผ่านรั้วเข้ามา มัวแต่มุ่งมาหายาม
ยามให้ข้อมูลว่าพระอุโบสถอยู่ระหว่างการบูรณะขนานใหญ่โดยกรมศิลปากร ภายนอกเสร็จแล้ว ส่วนภายในกำลังบูรณะจิตรกรรมฝาผนัง นั่งร้านเต็มไปหมด ห้ามเข้า กำหนดแล้วเสร็จ มีนาคม 2558 รู้สึกผิดหวังเพราะตั้งใจอยากชมภายในด้วย
ภายนอกพระอุโบสถ
พระอุโบสถตั้งอยู่บนฐานชั้นที่สอง แต่ละฐานสูงจากกันหลายขั้นบันได มีระเบียงกว้างโดยรอบทั้งสองฐาน พระอุโบสถจึงโดดเด่น สง่างาม
พระอุโบสถจตุรมุข หลังคาเป็นชั้นลด กระเบื้องเคลือบสี มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ทำเป็นนาคสามเศียรที่เรียกว่านาคเบือน หน้าบันจำหลักลาย ประดับกระจก ระหว่างชั้นลดเหนือหลังคามุขเว้นผนังไว้เป็นคอสอง ประดับลายดอกไม้ปูนปั้นเขียนสี ประตูหน้าต่าง มีซุ้มเป็นลายดอกไม้ทำด้วยปูนปั้น ประดับกระจกสีและทำด้วยเครื่องถ้วยต่าง ๆ
เดินชมรอบพระอุโบสถหลายรอบ สถาปัตยกรรมภายนอกที่บูรณะแล้ว งดงามยิ่ง
เห็นประตูเข้าพระอุโบสถบานหนึ่งเปิดแง้มอยู่ มีรองเท้าวาง 1 คู่ จึงชะโงกหน้าเข้าไปมองดู แสงไฟจากโคมไฟระย้าเพดานส่องเห็นความยิ่งใหญ่ภายใน นั่งร้านเต็มโถงตามที่ยามบอก ผมไม่ควรพลาดโอกาสที่จะเห็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การบูรณะจิตรกรรมฝาผนังของวัดบวรสถานสุทธาวาสอันยิ่งใหญ่นี้ ถอดรองเท้า ก้าวเข้าไปภายใน
ภายในพระอุโบสถ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส เหมือนอย่างพระแก้วมรกตที่ประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อฐานชุกชีที่จะตั้งบุษบกกลางพระอุโบสถ และเขียนภาพฝาผนังเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์ แต่จนสิ้นรัชกาลก็ไม่ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน ส่วนจิตรกรรมฝาผนังที่โปรดเกล้าฯ ให้เขียนไว้ ยังคงปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
ช่างศิลป์หลายคนอยู่บนนั่งร้านสูงคนละมุม คนละผนัง บรรจงทำงานของตนไป บางคนเหลือบมองลงมาที่ผม ผมค้อมศีรษะให้ ผมเชื่อว่าช่างศิลป์เข้าใจความคิดและเจตนาของผม
เดินหลบนั่งร้าน เข้าชมจิตรกรรมทีละผนัง ส่วนที่ยังไม่ได้บูรณะถูกปิดด้วยพลาสติคใส รวมทั้งองค์พระประธาน แม้ไม่อาจเห็นรายละเอียดชัดเจน แต่กลับยินดีที่มีโอกาสร่วมรับรู้การบูรณะครั้งนี้ ปีหน้าเมื่องานเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์ จะได้กลับมาชื่นชมใหม่
ออกจากวัด ข้ามถนนราชินี ลอดใต้สะพานพระปิ่นเกล้า ข้ามถนนเจ้าฟ้า เดินเลาะไปตามถนนเจ้าฟ้า ผ่านพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ที่มาชมสัปดาห์ก่อน หยุดถ่ายรูปด้านหน้าหอศิลป คราวก่อนฝนตกหนัก ไม่มีโอกาสยืนมองมุมนี้ เดินต่ออีกนิด ตรงมุมถนนเจ้าฟ้าหักโค้งเข้าถนนจักรพงษ์ อาคารสองชั้นสีเหลือง มีกรอบประตู หน้าต่างเรียงตามความยาวตึก งดงาม ตั้งเด่นอยู่
พิพิธภัณฑ์เหรียญ
เงินตราไม่เพียงเป็นสื่อกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หากยังเปรียบเสมือนนักเดินทางผู้ทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวของมนุษยชาติ
กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ปรับโฉมอาคารสำนักบริหารเงินตรา เป็นพิพิธภัณฑ์เหรียญ เพื่อแสดงวิวัฒนาการเหรียญกษาปณ์ไทย เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชน เพิ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อสิงหาคม 2557
นิทรรศการถาวร เป็นส่วนนำชม (guided tour) ทุก 20 นาที ใช้เวลารอบละ 30 นาที นำชม 2 ห้อง
ผมไปถึงพิพิธภัณฑ์ใกล้เที่ยง ได้ชมรอบ 12.00 น. เป็นผู้เยี่ยมชมคนเดียว หนึ่งต่อหนึ่งกับผู้นำชม
ปฐมบทแห่งเงินตรา animation สี่มิติ ฉายบนผนังถ้ำ แบบ 360 องศา เล่าจุดเริ่มต้นการแลกเปลี่ยนสินค้าของสังคมมนุษย์ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สู่การใช้สื่อกลาง และการปรับปรุงสื่อกลางเมื่อโลกค้นพบโลหะ
เส้นทางวิวัฒนาการเงินตรา จากเปลือกหอย เขี้ยวสัตว์ หนังสัตว์ และอื่นๆ ที่ใช้เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนสินค้า สู่เหรียญโลหะ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้ปฏิรูปเหรียญกษาปณ์ไทย ห้องนี้เดินชมเองได้
นิทรรศการหมุนเวียน
เงินตรา นักเดินทางแห่งสุวรรณภูมิ จัดแสดงเหรียญเงินสมัยฟูนัน ทวารวดี และศรีวิชัย ดินแดนสุวรรณภูมิ แหล่งการค้าที่รุ่งเรืองในสมัยโบราณ
เหรียญกษาปณ์สมัยรัตนโกสินทร์ จากเงินกำไล เงินวงแหวน มาสู่เงินพดด้วง และเหรียญกษาปณ์
เหรียญนานาชาติ จัดแสดงเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนของประเทศต่างๆกว่า 40 ประเทศ และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่น่าสนใจ
เหรียญของพ่อ จัดแสดงเหรียญสมัยรัชกาลปัจจุบัน อันสัมพันธ์กับพระราชกรณียกิจ
อาคารพิพิธภัณฑ์เหรียญ งดงามทั้งภายนอกและภายใน โถงต้อนรับ ระเบียง โอ่อ่า โปร่ง รับแสงจากภายนอกผ่านช่องประตู หน้าต่างที่เรียงรายตลอดความยาวของอาคาร
ห้องจัดแสดง ออกแบบอย่างทันสมัย น่าสนใจ ทั้งส่วนนิทรรศการถาวรและส่วนหมุนเวียน
เจ้าหน้าที่ล้วนสุภาพ กระตือรือร้น รอบรู้งานของตน
ออกจากพิพิธภัณฑ์เหรียญ เดินเลียบถนนจักรพงษ์ไปทางบางลำพู เพียง 80 เมตร ก็ถึงวัดชนะสงคราม เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานโดยกระทรวงยุติธรรม ผู้คนคราคร่ำ
ผ่านประตูรั้ว ด้านหน้าพระอุโบสถมีศาล ภายในมีพระรูป สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้าในรัชกาลที่ 1)
วัดชนะสงครามเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร เป็นวัดโบราณแต่ครั้งอยุธยา เดิมเรียกว่า 'วัดกลางนา' เพราะรอบๆวัดเป็นทุ่งนา สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาขึ้นใหม่ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น 'วัดตองปุ' เลียนชื่อวัดในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดพระสงฆ์รามัญที่เคร่งวินัย และทรงโปรดให้วัดนี้เป็นวัดพระสงฆ์รามัญเช่นกัน เพื่อเทิดเกียรติทหารรามัญในกองทัพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ที่ร่วมกับทหารไทยรบได้ชัยชนะถึงสามครั้ง
กล่าวกันว่า เมื่อสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทนำทัพกลับจากสงคราม ทรงมาหยุดพัก ณ วัดนี้ เพื่อทำพิธีสรงน้ำและเปลี่ยนเครื่องทรง โปรดให้นำฉลองพระองค์ลงยันต์คลุมถวายองค์พระประธานในพระอุโบสถ เมื่อทรงสถาปนาวัดนี้ขึ้นใหม่ จึงโปรดให้ช่างเอาปูนพอกทั้งเสื้อยันต์และผ้ายันต์ลงไป ปั้นองค์พระประธานขึ้นใหม่ ขนาดใหญ่กว่าเดิม แล้วถวายวัดนี้เป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงทรงพระราชทานนามใหม่ว่า 'วัดชนะสงคราม'
ในสมัยรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้จัดทำที่บรรจุอัฐิเจ้านายวังหน้า ที่เฉลียงพระอุโบสถหลังพระประธาน
พระอุโบสถมีขนาดกว้างขวาง ฝีมือช่างวังหน้าสมัยรัชกาลที่ 1 หน้าบันเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ล้อมรอบด้วยเทวดา ลงรักปิดทองงดงาม หน้าบันตรงปั้นลมเป็นนาคลำยอง อันเป็นลักษณะพิเศษของช่างวังหน้าที่ไม่นิยมนาคสะดุ้ง ชายคาเป็นปีกนกลดหลั่นลงมา 3 ชั้น มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ใบเสมาติดกับผนังโบสถ์ ซุ้มประตูด้านนอกเป็นรูปปั้นลายกระหนก บานหน้าต่างด้านนอกเป็นลายรดน้ำ
คนแน่นวัด และเต็มพระอุโบสถ พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานใกล้เริ่ม ไม่มีมุมถ่ายรูป จึงลัดเลาะไปสังฆาวาส
ลอดซุ้มของหอระฆังสูงสี่ชั้น รูปแบบและเครื่องประดับหอระฆังงดงาม ผ่านเข้าเขตสังฆาวาส กุฏิทรงไทย ปลูกเรียงกันเป็นระเบียบ ต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม น่าเสียดาย รถเก๋งจอดเต็มบริเวณ ขัดแย้งบรรยากาศสงบของสังฆาวาส
พื้นที่เดิมของวังหน้าเต็มไปด้วยอดีตที่ไม่เป็นที่รับรู้ ความร่วมมือร่วมใจในยามสงคราม กลับกลายเป็นความขัดแย้งบาดหมาง ระแวงกันในยามปลอดสงคราม บทเรียนจากประวัติศาสตร์สะท้อนโลกธรรม
ข้อน่ายินดีคือกรมศิลปากรกำลังบูรณะวัดบวรสถานสุทธาวาส เมื่อสำเร็จและเปิดให้ประชาชนเข้าชม ย่อมเป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นเลิศ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ และศิลปะแก่สาธารณะ
เดินเที่ยววันนี้ ได้เรียนความรู้ใหม่หลายเรื่อง เกิดความรู้สึกปะปนกันหลายประการ (mixed feeling)
ค่ารถไปกลับ 14.50 บาท
ข้อมูล วัดบวรสถานสุทธาวาส และวัดชนะสงคราม ค้นจาก
นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
th.wikipedia.org
lib.su.ac.th
ข้อมูล พิพิธภัณฑ์เหรียญ ค้นจาก
แผ่นพับพิพิธภัณฑ์เหรียญ
coinmuseum.treasury.go.th
ท่องเมืองกรุงตอนนี้ เหมือนอ่านวิชาประวัติศาสตร์เตรียมสอบ หลายครั้งต้องอ่านซ้ำกลับไปมาเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้น ยอมรับว่ายังมีสถานที่ต่างๆทางประวัติศาสตร์อีกมากมายที่ควรได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกับศิลปะอันหลากหลาย ในแต่ละยุคสมัยของประวัติศาสตร์ ขอบคุณที่เล่าเรื่องดีๆมีคุณค่าให้ฟังค่ะ
ReplyDelete