จาก Hai Cang Restaurant ถนน Nguyen Chi Thanh นั่งแท็กซี่ไปยัง Museum of Ethnology ถนน Nguyen Van Huyen ระยะทางราว 3.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 15 นาที เราไปถึง 14.20 น.
Museum of Ethnology
พิพิธภัณฑ์ตั้งบนพื้นที่กว่า 10 เอเคอร์ จัดแสดงวิถีชนเผ่า 54 ชาติพันธุ์ของเวียดนาม ก่อสร้างระหว่างปี 1987-1995 เปิดเมื่อ 12 พฤศจิกายน 1997
จากทางเข้าด้านตะวันตก อาคารนิทรรศการถาวร รูปทรงคล้ายกลองมโหระทึก (Bronze-Drum Building) มี 2 ชั้น พื้นที่จัดแสดงกว่า 2,000 ตารางเมตร ด้านหลังอาคารทางทิศตะวันออกเป็นส่วนนิทรรศการกลางแจ้ง (Open-Air Exhibition) พื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร และทางทิศใต้เป็นอาคารอุษาคเนย์ (Southeast Asia Building)
อาคารนิทรรศการถาวร (Bronze-Drum Building)
ชั้นล่าง จัดแสดง
วิถีชาว Viet (Kinh) ซึ่งเป็นเชื้อชาติกลุ่มใหญ่สุด (ร้อยละ 86 ของประชากร) สิ่งแสดงได้แก่ เครื่องดนตรี ตุ๊กตาไม้ (ใช้ประกอบการขับร้องเพลงพื้นบ้าน Hat boi) หัตถกรรมไม้ฝังมุก
วิถีชาว Muong อาทิ พิธีศพ ชาว Muong อาศัยอยู่ตามหุบเขาในจังหวัด Hoa Binh และ Thanh Hoa อุดมด้วยวรรณกรรมพื้นบ้าน และเพลงประกอบพิธีกรรมต่างๆ
ชั้นบน จัดแสดง
วิถีชาว Thai Thanh จากจังหวัด Nghe An ชุดแต่งกายสตรี ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ทอลวดลายงดงาม
หมวกสานไผ่และใบลาน ของชาว Nung Loi จากจังหวัด Cao Bang ชาว Nung เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม Thai-Tay อาศัยตามหุบสูงทางภาคเหนือของเวียดนาม
ชาว Yao อพยพมาจากตอนใต้ของประเทศจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 อาศัยตามเขาทางภาคเหนือ ภาษาเขียนใช้ตัวอักษรจีน สิ่งแสดงได้แก่ ดาบประกอบพิธีกรรมของหมอผี
ชาว Hmong อาศัยบนเขาสูงทางภาคเหนือ สิ่งแสดงได้แก่กระโปรงจีบทอลาย ของ Black Hmong จากจังหวัด Son La อวดฝีมือย้อมครามและบาติก
ชาว Lolo เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม Tibeto-Burman อาศัยบนเขาทางภาคเหนือ สิ่งแสดงได้แก่ ชุดสตรีจากจังหวัด Ha Giang ตกแต่งด้วยผ้าชิ้นสี่เหลี่ยมลวดลายสีสันสดใส เย็บต่อๆ กัน สไตล์โดดเด่น
ชาว Sedang เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม Mon-Khmer อาศัยตามที่ราบสูงทางภาคกลาง สิ่งแสดงได้แก่ ตะกร้าสานเป็นเป้หลัง ฝีมือประณีต
ชาว Giarai เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม Austronesian นับการสืบสกุลฝ่ายมารดา อาศัยตามที่ราบสูงทางภาคกลาง สิ่งแสดงได้แก่ zither เครื่องดนตรีสาย ทำด้วยลำไม้ไผ่แบบขลุ่ย มีกะลาเป็นกำทอนที่ปลายด้านหนึ่ง
ชาว Cham อาศัยตามที่ราบลุ่มชายฝั่งทางภาคกลางและภาคใต้ ชำนาญในการทอผ้าและทำเครื่องดินเผา สิ่งแสดงได้แก่ เกวียนสำหรับขนข้าว
ชาว Hoa ชนชาติจีน อพยพจากตอนใต้ของประเทศจีน อาศัยตามที่ราบลุ่มชายฝั่งทางภาคกลางและภาคใต้ของเวียดนาม โดยเฉพาะย่านการค้าใน Ho Chi Minh City ชาว Hoa ยังคงรักษาขนบของถิ่นเดิมที่จากมา สิ่งแสดงได้แก่ ชุดเจ้าสาวสีแดง ลวดลายแพรวพราว อันเล็งถึงความสุข โชคดี และความรุ่งเรืองแห่งอนาคต
นิทรรศการกลางแจ้ง (Open-Air Exhibition)
เรือนของชนเผ่าต่างๆ สร้างโดยช่างจากหมู่บ้าน ตามจารีตนิยมของชาติพันธุ์นั้นๆ เรียงรายตามทางเดินโค้งไปมา ไม่บดบังกัน ประกอบกับสระน้ำยาวคดเคี้ยว ให้ทางเดินทอดสะพานข้ามเป็นช่วงๆ บนพื้นที่กว้างขวาง ภูมิทัศน์งดงาม มีชั้นเชิง
เรือน Tay จากตำบล Dinh Hoa จังหวัด Thai Nguyen ยกพื้นสูง ใต้ถุนใช้เป็นคอกสัตว์เลี้ยง เก็บของ และทำกิจกรรมอื่น อาทิ ทอผ้า ย้อมผ้า
เรือนชุมนุมของชาว Bahnar หลังนี้โดดเด่นมาก สูงถึง 19 เมตร หลังคาจั่วสูงชัน สร้างเมื่อปี 2003 โดยชาวบ้าน 42 คนจากหมู่บ้าน Kon Rbang เมือง Kontum แถบที่ราบสูงภาคกลาง เรือนชุมนุมนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงทักษะและความเข้มแข็งของชาวบ้าน Bahnar
เรือนสุสานของชาว Giarai กลุ่มย่อย Arap จากจังหวัด Gia Lai รอบเรือนมีไม้แกะสลักรูปคนขนาดใหญ่เรียงราย แทนผู้ติดตามคนตายสู่ปรโลก ไม้แกะรูปคนนี้แสดงอวัยวะเพศขนาดใหญ่และหญิงตั้งครรภ์เป็นสัญลักษณ์ของการเจริญพันธุ์
เรือนยาวของชาว Ede สร้างตามแบบเรือนยาวที่หมู่บ้าน Ky เมือง Buon Ma Thuot จังหวัด Dak Lak ตัวเรือนยาวถึง 42 เมตร สำหรับครอบครัวของบุตรสาว และหลานสาวต่อๆ ไปตามคติการสืบสกุลฝ่ายมารดา นับแต่ทศวรรษ 1980 เรือนยาวและเรือนชุมนุมอันตรธานไปอย่างรวดเร็วจากแถบที่ราบสูงภาคกลาง
เรือน Viet จากจังหวัด Thanh Hoa โถงหลักใช้สำหรับบูชาบรรพบุรุษต่อกับห้องอ่านหนังสือ คานไม้แกะสลักอายุร่วมร้อยปี โถงกลางและครัวโอบรอบลานด้านหน้าตามจารีตนิยมของชาว Viet ในชนบท
นอกจากนี้ ยังมีเรือน Cham หลังคาสูง เรือน Hmong สร้างด้วยไม้กระดานแผ่นใหญ่ เรือน Yao ตั้งบนที่ลาดเอียง ด้านหนึ่งรับด้วยเสา อีกด้านตั้งบนพื้น เรือน Hani ทำด้วยดิน และเรือนสุสานของ Katu
อาคารอุษาคเนย์ (Southeast Asia Building)
แม้ว่าอารยธรรมอินเดีย จีน อาหรับ และตะวันตก มีอิทธิพลต่อวิถีและศาสนาของอุษาคเนย์ หากวัฒนธรรมถิ่นยังคงรักษาอัตลักษณ์ของชนชาติ ดังปรากฏในหัตถกรรม งานศิลป์ พิธีกรรม ความเชื่อ และชีวิตประจำวัน ที่จัดแสดงในอาคารอุษาคเนย์นี้
ผ้าทอ ลวดลายงดงาม อาทิ บาติกของชวาและมาเลย์ Ikat ของกัมพูชาและอินโดนีเซีย
เรือน ยกพื้นสูง สร้างจากวัสดุธรรมชาติ เสาไม้ ฝาไม้ไผ่ หลังคาจาก ทรงจั่วแผ่ชายคากว้าง
ข้าว อาหารหลัก จากนาลุ่มพื้นราบ และนาขั้นบันไดตามภูเขา พิธีกรรมตามวงรอบการเพาะปลูก อันเล็งถึงความอุดมสมบูรณ์
หัตถกรรม เครื่องไม้ ภาชนะไม้เคลือบเงา เครื่องทองและเงินสลักลวดลาย
หมาก เชี่ยนหมากและอุปกรณ์ ล้วนเป็นงานศิลป์
จารึก อักขระบาลี สันสกฤต (ในภาษาเขมร เมียนมา ไทย และลาว) อักขระอารบิค (ในคัมภีร์อัลกุรอ่าน) และอักขระละติน (ในภาษามาเลย์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์)
กาลแห่งวัย สถานะสังคม แสดงออกด้วยรูปทรง และเครื่องประดับ เช่น หมวก กริช
การสมรส การสืบสกุลฝ่ายบิดา หรือฝ่ายมารดา
งานศพ การฝัง การเผา เป็นไปตามศรัทธาแห่งศาสนา
ศิลปะการแสดง การเชิดหุ่นเล่นเงา หุ่นกระบอก โขน
ศาสนา การนับถือผีสางแต่ดั้งเดิม พุทธ พราหมณ์ อิสลาม และคริสต์
Museum of Ethnology นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปวัฒนธรรมของชาติพันธุ์อันหลากหลายในเวียดนาม จัดแสดงบนพื้นที่กว้างขวางกลางนครหลวงได้อย่างประณีตและทรงคุณค่า
17.00 น. ออกจากพิพิธภัณฑ์ Dr. Nguyen Tho Anh ชวนพวกเราไปร้านกาแฟเก่าแก่ ย่าน Old Quarter ที่เขาคุ้นเคยแต่วัยเด็ก
รถแท็กซี่พาไปยังถนน Nguyen Huu Huan ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบ Hoan Kiem ร้านรวงเรียงต่อกันแน่นขนัด แม้แต่คนขับรถแท็กซี่และ Dr. Nguyen Tho Anh เจ้าถิ่น ยังมองหาร้านกาแฟเก่าแก่นั้นไม่เห็น ต้องวนรถอยู่สองรอบ
Cafe Giang เปิดมาตั้งแต่ปี 1946 อยู่ในซอย Egg Coffee Lane ถนน Nguyen Huu Huan ที่นั่งจิบกาแฟอยู่บนชั้นสอง ดัดแปลงจากดาดฟ้า ผนังทาสีเหลือง มีไม้กระถางประดับตามขอบพองาม โต๊ะเก้าอี้เตี้ยๆ บรรยากาศแบบบ้านเก่า กาแฟดำใส่นมข้นแบบโบราณ ชวนให้วงสนทนาผ่อนคลายยิ่ง
Dr. Nguyen Tho Anh เล่าถึงระบบการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านและภาระงานในโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย เขาอยากทำงานต่อที่นี่ภายหลังสำเร็จการฝึกอบรม แต่โรงพยาบาลไม่มีตำแหน่งให้ เขาผิดหวังและรู้สึกว่า ‘เส้นสาย’ เป็นตัวกำหนดหลักของ ‘ตำแหน่งว่าง’
ที่ดิน ร้านรวง ย่าน Old Quarter นี้ ราคาทะยานขึ้นไปทุกปี แต่ก็เป็นแค่ตัวเลข ด้วยสภาพที่ตึกเบียดเสียด ถนนแคบคดโค้ง ยากที่จะปรับโฉมใหม่ จึงไม่มีใครซื้อ คุณปู่ของ Dr. Nguyen Tho Anh เคยมีที่ดินและร้านจำนวนหนึ่งในแถบนี้ แต่ต่อมาถูกยึดไปเมื่อคราว Viet Minh ปฏิรูปที่ดินในเขตยึดครองของตน (1953-1956) การปฏิรูปดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงท้ายสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) นัยเพื่อแสวงความสนับสนุนจากชาวนายากจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ในการสู้รบกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส คุณปู่ต้องพาครอบครัวอพยพไปอยู่เวียดนามใต้ ด้วยมิอาจอยู่ใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตามที่สุดฝ่ายเวียดนามเหนือมีชัยในสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง หรือสงครามเวียดนาม หรือสงครามอเมริกัน (1960-1975) รวมประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวสำเร็จ ยังความขมขื่นอีกครั้งต่อครอบครัวของ Dr. Nguyen Tho Anh เขาเห็นว่าผู้คนมีความคิดความเชื่อทางการเมืองต่างกัน เดิมแบ่งแยกเป็น 2 ประเทศก็ดีอยู่แล้ว และน่าจะดีกว่ารวมกัน
ผมหนุนกำลังใจ Dr. Nguyen Tho Anh ให้ใช้พลังและศรัทธาของคนหนุ่ม มุ่งมั่นพัฒนาประเทศเวียดนามหนึ่งเดียว ที่วันนี้มีเอกราช ไม่เป็นอาณานิคม ไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร และที่สำคัญเป็นประเทศของเขาอย่างแท้จริง
วงเสวนาที่มีคุณค่ายุติลงราว 18.30 น.
เราร่ำลา ขอบคุณน้ำใจของ Dr. Nguyen Tho Anh ที่ดูแลคณะเราอย่างเป็นกันเอง
ข้อมูลค้นจาก
Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
wikipedia.org
vme.org.vn