December 7, 2017

Hanoi Revisited: Museum of Ethnology: 30.08.2016

Dr. Nguyen Tho Anh แพทย์ประจำบ้านกุมารศัลยศาสตร์ ได้รับมอบหมายจาก Dr. Pham Duy Hien หัวหน้าแผนกศัลยกรรม ให้ดูแลคณะของเราในภาคบ่าย
จาก Hai Cang Restaurant ถนน Nguyen Chi Thanh นั่งแท็กซี่ไปยัง Museum of Ethnology ถนน Nguyen Van Huyen ระยะทางราว 3.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 15 นาที เราไปถึง 14.20 น.

Museum of Ethnology
     พิพิธภัณฑ์ตั้งบนพื้นที่กว่า 10 เอเคอร์ จัดแสดงวิถีชนเผ่า 54 ชาติพันธุ์ของเวียดนาม ก่อสร้างระหว่างปี 1987-1995 เปิดเมื่อ 12 พฤศจิกายน 1997
     จากทางเข้าด้านตะวันตก อาคารนิทรรศการถาวร รูปทรงคล้ายกลองมโหระทึก (Bronze-Drum Building) มี 2 ชั้น พื้นที่จัดแสดงกว่า 2,000 ตารางเมตร ด้านหลังอาคารทางทิศตะวันออกเป็นส่วนนิทรรศการกลางแจ้ง (Open-Air Exhibition) พื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร และทางทิศใต้เป็นอาคารอุษาคเนย์ (Southeast Asia Building)

     อาคารนิทรรศการถาวร (Bronze-Drum Building)
        ชั้นล่าง จัดแสดง
           วิถีชาว Viet (Kinh) ซึ่งเป็นเชื้อชาติกลุ่มใหญ่สุด (ร้อยละ 86 ของประชากร) สิ่งแสดงได้แก่ เครื่องดนตรี ตุ๊กตาไม้ (ใช้ประกอบการขับร้องเพลงพื้นบ้าน Hat boi) หัตถกรรมไม้ฝังมุก
           วิถีชาว Muong อาทิ พิธีศพ ชาว Muong อาศัยอยู่ตามหุบเขาในจังหวัด Hoa Binh และ Thanh Hoa อุดมด้วยวรรณกรรมพื้นบ้าน และเพลงประกอบพิธีกรรมต่างๆ
        ชั้นบน จัดแสดง
           วิถีชาว Thai Thanh จากจังหวัด Nghe An ชุดแต่งกายสตรี ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ทอลวดลายงดงาม
           หมวกสานไผ่และใบลาน ของชาว Nung Loi จากจังหวัด Cao Bang ชาว Nung เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม Thai-Tay อาศัยตามหุบสูงทางภาคเหนือของเวียดนาม
           ชาว Yao อพยพมาจากตอนใต้ของประเทศจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 อาศัยตามเขาทางภาคเหนือ ภาษาเขียนใช้ตัวอักษรจีน สิ่งแสดงได้แก่ ดาบประกอบพิธีกรรมของหมอผี
           ชาว Hmong อาศัยบนเขาสูงทางภาคเหนือ สิ่งแสดงได้แก่กระโปรงจีบทอลาย ของ Black Hmong จากจังหวัด Son La อวดฝีมือย้อมครามและบาติก
           ชาว Lolo เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม Tibeto-Burman อาศัยบนเขาทางภาคเหนือ สิ่งแสดงได้แก่ ชุดสตรีจากจังหวัด Ha Giang ตกแต่งด้วยผ้าชิ้นสี่เหลี่ยมลวดลายสีสันสดใส เย็บต่อๆ กัน สไตล์โดดเด่น
           ชาว Sedang เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม Mon-Khmer อาศัยตามที่ราบสูงทางภาคกลาง สิ่งแสดงได้แก่ ตะกร้าสานเป็นเป้หลัง ฝีมือประณีต
           ชาว Giarai เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม Austronesian นับการสืบสกุลฝ่ายมารดา อาศัยตามที่ราบสูงทางภาคกลาง สิ่งแสดงได้แก่ zither เครื่องดนตรีสาย ทำด้วยลำไม้ไผ่แบบขลุ่ย มีกะลาเป็นกำทอนที่ปลายด้านหนึ่ง
           ชาว Cham อาศัยตามที่ราบลุ่มชายฝั่งทางภาคกลางและภาคใต้ ชำนาญในการทอผ้าและทำเครื่องดินเผา สิ่งแสดงได้แก่ เกวียนสำหรับขนข้าว
           ชาว Hoa ชนชาติจีน อพยพจากตอนใต้ของประเทศจีน อาศัยตามที่ราบลุ่มชายฝั่งทางภาคกลางและภาคใต้ของเวียดนาม โดยเฉพาะย่านการค้าใน Ho Chi Minh City ชาว Hoa ยังคงรักษาขนบของถิ่นเดิมที่จากมา สิ่งแสดงได้แก่ ชุดเจ้าสาวสีแดง ลวดลายแพรวพราว อันเล็งถึงความสุข โชคดี และความรุ่งเรืองแห่งอนาคต

     นิทรรศการกลางแจ้ง (Open-Air Exhibition)
        เรือนของชนเผ่าต่างๆ สร้างโดยช่างจากหมู่บ้าน ตามจารีตนิยมของชาติพันธุ์นั้นๆ เรียงรายตามทางเดินโค้งไปมา ไม่บดบังกัน ประกอบกับสระน้ำยาวคดเคี้ยว ให้ทางเดินทอดสะพานข้ามเป็นช่วงๆ บนพื้นที่กว้างขวาง ภูมิทัศน์งดงาม มีชั้นเชิง
           เรือน Tay จากตำบล Dinh Hoa จังหวัด Thai Nguyen ยกพื้นสูง ใต้ถุนใช้เป็นคอกสัตว์เลี้ยง เก็บของ และทำกิจกรรมอื่น อาทิ ทอผ้า ย้อมผ้า
           เรือนชุมนุมของชาว Bahnar หลังนี้โดดเด่นมาก สูงถึง 19 เมตร หลังคาจั่วสูงชัน สร้างเมื่อปี 2003 โดยชาวบ้าน 42 คนจากหมู่บ้าน Kon Rbang เมือง Kontum แถบที่ราบสูงภาคกลาง เรือนชุมนุมนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงทักษะและความเข้มแข็งของชาวบ้าน Bahnar
           เรือนสุสานของชาว Giarai กลุ่มย่อย Arap จากจังหวัด Gia Lai รอบเรือนมีไม้แกะสลักรูปคนขนาดใหญ่เรียงราย  แทนผู้ติดตามคนตายสู่ปรโลก ไม้แกะรูปคนนี้แสดงอวัยวะเพศขนาดใหญ่และหญิงตั้งครรภ์เป็นสัญลักษณ์ของการเจริญพันธุ์
           เรือนยาวของชาว Ede สร้างตามแบบเรือนยาวที่หมู่บ้าน Ky เมือง Buon Ma Thuot จังหวัด Dak Lak ตัวเรือนยาวถึง 42 เมตร สำหรับครอบครัวของบุตรสาว และหลานสาวต่อๆ ไปตามคติการสืบสกุลฝ่ายมารดา นับแต่ทศวรรษ 1980 เรือนยาวและเรือนชุมนุมอันตรธานไปอย่างรวดเร็วจากแถบที่ราบสูงภาคกลาง
           เรือน Viet จากจังหวัด Thanh Hoa โถงหลักใช้สำหรับบูชาบรรพบุรุษต่อกับห้องอ่านหนังสือ คานไม้แกะสลักอายุร่วมร้อยปี โถงกลางและครัวโอบรอบลานด้านหน้าตามจารีตนิยมของชาว Viet ในชนบท
           นอกจากนี้ ยังมีเรือน Cham หลังคาสูง เรือน Hmong สร้างด้วยไม้กระดานแผ่นใหญ่ เรือน Yao ตั้งบนที่ลาดเอียง ด้านหนึ่งรับด้วยเสา อีกด้านตั้งบนพื้น เรือน Hani ทำด้วยดิน และเรือนสุสานของ Katu  

     อาคารอุษาคเนย์ (Southeast Asia Building)
        แม้ว่าอารยธรรมอินเดีย จีน อาหรับ และตะวันตก มีอิทธิพลต่อวิถีและศาสนาของอุษาคเนย์ หากวัฒนธรรมถิ่นยังคงรักษาอัตลักษณ์ของชนชาติ ดังปรากฏในหัตถกรรม งานศิลป์ พิธีกรรม ความเชื่อ และชีวิตประจำวัน ที่จัดแสดงในอาคารอุษาคเนย์นี้
        ผ้าทอ ลวดลายงดงาม อาทิ บาติกของชวาและมาเลย์ Ikat ของกัมพูชาและอินโดนีเซีย
        เรือน ยกพื้นสูง สร้างจากวัสดุธรรมชาติ เสาไม้ ฝาไม้ไผ่ หลังคาจาก ทรงจั่วแผ่ชายคากว้าง
        ข้าว อาหารหลัก จากนาลุ่มพื้นราบ และนาขั้นบันไดตามภูเขา พิธีกรรมตามวงรอบการเพาะปลูก อันเล็งถึงความอุดมสมบูรณ์
        หัตถกรรม เครื่องไม้ ภาชนะไม้เคลือบเงา เครื่องทองและเงินสลักลวดลาย
        หมาก เชี่ยนหมากและอุปกรณ์ ล้วนเป็นงานศิลป์
        จารึก อักขระบาลี สันสกฤต (ในภาษาเขมร เมียนมา ไทย และลาว) อักขระอารบิค (ในคัมภีร์อัลกุรอ่าน) และอักขระละติน (ในภาษามาเลย์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์)
        กาลแห่งวัย สถานะสังคม แสดงออกด้วยรูปทรง และเครื่องประดับ เช่น หมวก กริช
        การสมรส การสืบสกุลฝ่ายบิดา หรือฝ่ายมารดา
        งานศพ การฝัง การเผา เป็นไปตามศรัทธาแห่งศาสนา
        ศิลปะการแสดง การเชิดหุ่นเล่นเงา หุ่นกระบอก โขน
        ศาสนา การนับถือผีสางแต่ดั้งเดิม พุทธ พราหมณ์ อิสลาม และคริสต์

     Museum of Ethnology นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปวัฒนธรรมของชาติพันธุ์อันหลากหลายในเวียดนาม จัดแสดงบนพื้นที่กว้างขวางกลางนครหลวงได้อย่างประณีตและทรงคุณค่า

17.00 น. ออกจากพิพิธภัณฑ์ Dr. Nguyen Tho Anh ชวนพวกเราไปร้านกาแฟเก่าแก่ ย่าน Old Quarter ที่เขาคุ้นเคยแต่วัยเด็ก
     รถแท็กซี่พาไปยังถนน Nguyen Huu Huan ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบ Hoan Kiem ร้านรวงเรียงต่อกันแน่นขนัด แม้แต่คนขับรถแท็กซี่และ Dr. Nguyen Tho Anh เจ้าถิ่น ยังมองหาร้านกาแฟเก่าแก่นั้นไม่เห็น ต้องวนรถอยู่สองรอบ
     Cafe Giang เปิดมาตั้งแต่ปี 1946 อยู่ในซอย Egg Coffee Lane ถนน Nguyen Huu Huan ที่นั่งจิบกาแฟอยู่บนชั้นสอง ดัดแปลงจากดาดฟ้า ผนังทาสีเหลือง มีไม้กระถางประดับตามขอบพองาม โต๊ะเก้าอี้เตี้ยๆ บรรยากาศแบบบ้านเก่า กาแฟดำใส่นมข้นแบบโบราณ ชวนให้วงสนทนาผ่อนคลายยิ่ง
     Dr. Nguyen Tho Anh เล่าถึงระบบการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านและภาระงานในโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย เขาอยากทำงานต่อที่นี่ภายหลังสำเร็จการฝึกอบรม แต่โรงพยาบาลไม่มีตำแหน่งให้ เขาผิดหวังและรู้สึกว่า ‘เส้นสาย’ เป็นตัวกำหนดหลักของ ‘ตำแหน่งว่าง’
     ที่ดิน ร้านรวง ย่าน Old Quarter นี้ ราคาทะยานขึ้นไปทุกปี แต่ก็เป็นแค่ตัวเลข ด้วยสภาพที่ตึกเบียดเสียด ถนนแคบคดโค้ง ยากที่จะปรับโฉมใหม่ จึงไม่มีใครซื้อ คุณปู่ของ Dr. Nguyen Tho Anh เคยมีที่ดินและร้านจำนวนหนึ่งในแถบนี้ แต่ต่อมาถูกยึดไปเมื่อคราว Viet Minh ปฏิรูปที่ดินในเขตยึดครองของตน (1953-1956) การปฏิรูปดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงท้ายสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) นัยเพื่อแสวงความสนับสนุนจากชาวนายากจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ในการสู้รบกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส คุณปู่ต้องพาครอบครัวอพยพไปอยู่เวียดนามใต้ ด้วยมิอาจอยู่ใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตามที่สุดฝ่ายเวียดนามเหนือมีชัยในสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง หรือสงครามเวียดนาม หรือสงครามอเมริกัน (1960-1975) รวมประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวสำเร็จ ยังความขมขื่นอีกครั้งต่อครอบครัวของ Dr. Nguyen Tho Anh เขาเห็นว่าผู้คนมีความคิดความเชื่อทางการเมืองต่างกัน เดิมแบ่งแยกเป็น 2 ประเทศก็ดีอยู่แล้ว และน่าจะดีกว่ารวมกัน
     ผมหนุนกำลังใจ Dr. Nguyen Tho Anh ให้ใช้พลังและศรัทธาของคนหนุ่ม มุ่งมั่นพัฒนาประเทศเวียดนามหนึ่งเดียว ที่วันนี้มีเอกราช ไม่เป็นอาณานิคม ไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร และที่สำคัญเป็นประเทศของเขาอย่างแท้จริง

วงเสวนาที่มีคุณค่ายุติลงราว 18.30 น.
เราร่ำลา ขอบคุณน้ำใจของ Dr. Nguyen Tho Anh ที่ดูแลคณะเราอย่างเป็นกันเอง

     
ข้อมูลค้นจาก
     Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
     wikipedia.org
     vme.org.vn

July 24, 2017

Hanoi Revisited: National Children's Hospital: 30.08.2016

ออกจาก Ho Chi Minh Mausoleum
เราเดินเล่นบริเวณจัตุรัส Ba Dinh อีกพักใหญ่
08.30 น. นั่งแท็กซี่ไปยังโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ระยะทางราว 4.5 กิโลเมตร เราไปถึงก่อนเวลานัดหมาย คุณ Chang ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ พาไปที่ห้องประชุม ตึกใหม่ (15 ชั้น)
09.00 น. Associate Professor Khu Thi Khanh Dung รองผู้อำนวยการ (Neonatologist) และ Dr. Pham Duy Hien หัวหน้าแผนกศัลยกรรม มาที่ห้องประชุม ทักทายเป็นกันเอง ด้วยเราเคยพบกันมาก่อนทั้งที่นี่และที่กรุงเทพฯ
     หัวหน้าฝ่ายวิเทศสัมพันธ์บรรยายสรุปข้อมูลโรงพยาบาล

โรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย (Vietnam National Children’s Hospital, VNCH)
     แรกเริ่มก่อตั้งเป็นสถาบันปกป้องสุขภาพเด็ก (Institute for the Protection of Child’s Health) ณ Bach Mai General Hospital เมื่อปี 1969
     ปี 1975-1981 ได้รับงบสนับสนุนจากรัฐบาลสวีเดน สร้างโรงพยาบาลเด็ก เปิดเมื่อปี 1981
     ปี 1981-1999 ได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และด้านกิจการโรงพยาบาลจากรัฐบาลสวีเดน รับผู้ป่วยในได้ 450 เตียง ใช้ชื่อ National Hospital of Pediatrics
     ปี 2014 ได้รับงบจากรัฐบาลเวียดนาม ก่อสร้างตึกใหม่ 15 ชั้น และปรับปรุงตึกเก่า 8 ชั้น
     ปี 2016 เปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษเป็น Vietnam National Children’s Hospital (VNCH) และเปลี่ยนโลโก้ใหม่
     ปัจจุบันเป็นศูนย์ตติยภูมิ ครอบคลุมประชากร 30 ล้านคน ภูมิภาคทางเหนือของประเทศ รับผู้ป่วยในได้ 1,500 เตียง ผู้ป่วยนอกวันละ 3,000-4,000 ราย ความสำเร็จที่โดดเด่นได้แก่ การผ่าตัดผ่านกล้อง (laparoscopic and thoracoscopic surgery) การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ (robotic surgery)

10.00 น. หลังจบพิธีการในห้องประชุม Dr. Pham Duy Hien พาชมโรงพยาบาล
     ตึกใหม่ 15 ชั้นก่อสร้างเสร็จแล้ว แต่การตกแต่งภายในยังไม่เรียบร้อย จึงเปิดใช้ได้เพียงบางส่วน ได้แก่ OPD และหอผู้ป่วย คนไข้แน่นขนัด Dr. Hien เรียกส่วนนี้ว่า ‘Socialist Hospital’
     ตึกเก่า 8 ชั้น ปรับปรุงไปได้ครึ่งตึก ทำเป็นคลีนิคพิเศษ สำหรับคนที่จ่ายเงินเอง Dr. Hien เรียกส่วนนี้ว่า ‘Capitalist Hospital’
     ตรงโถง OPD ตึกเก่านี้ มีประติมากรรมสำริดครึ่งตัวของ Olof Palme ตั้งเด่นอยู่ บนผนังข้างๆ ติดแผ่นโลหะจารึกเป็นภาษาอังกฤษ ความว่า
        ‘Olof Palme (1927-1986) เป็นนายกรัฐมนตรีสวีเดน 1969-1976 และ 1982-1986 เป็นมิตรแท้ของเวียดนามในระหว่างสงคราม ท่านนำความสนับสนุนจากสวีเดนสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้ ภายหลังกรุงฮานอยถูกระเบิดถล่มเมื่อเดือนธันวาคม 1972
        ประติมากรรมนี้สำเร็จได้โดยเงินบริจาคจาก Olof Palme International Centre, Olof Palme Memorial Fund, Swedish Committee for Vietnam, Laos and Cambodia และ Social Democratic Party of Sweden ตลอดจนจากบุคคลอื่นๆ
        รูปปั้นนี้จำลองจากต้นแบบที่ตั้งอยู่ ณ รัฐสภาแห่งชาติสวีเดน
        ประติมากร: Thomas Qvasebo’

     ...ตุลาคม 1972 การเจรจาเพื่อยุติสงครามเวียดนาม ณ กรุงปารีส ระหว่าง Henry Kissinger ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงสหรัฐอเมริกา กับ Le Duc Tho ผู้แทนเวียดนามเหนือ ใกล้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง หากประธานาธิบดี Richard M. Nixon กลับไม่ยอมรับ และสั่งทิ้งระเบิดปูพรมพื้นที่จากกรุงฮานอยถึงเมืองท่าไฮฟองระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร ช่วงวันที่ 18-29 ธันวาคม 1972 ชื่อยุทธการ Operation Linebacker II หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า ‘Christmas Bombing’ โดยระดม ‘ป้อมบินยักษ์’ B-52 กว่าร้อยลำจากฐานที่เกาะกวมและอู่ตะเภา นับเป็นการทิ้งระเบิดครั้งหนักหน่วงที่สุดของสงคราม ระเบิดรวมกว่า 40,000 ตัน ฝ่ายเวียดนามปลุกกำลังใจโดยเรียกการศึกนี้ว่า ‘Dien Bien Phu in the Air’ นัยบ่งถึงชัยชนะเช่นที่เคยเอาชนะฝรั่งเศสในสมรภูมิ Dien Bien Phu เมื่อปี 1954
     การโจมตีในคืนวันที่ 22 ธันวาคม 1972 ระเบิดลงยังปีกหนึ่งของโรงพยาบาล Bach Mai ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงฮานอย นายแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เสียชีวิตรวม 28 คน
     วันที่ 23 ธันวาคม 1972 Olof Palme นายกรัฐมนตรีสวีเดน ปราศรัยทางวิทยุกระจายเสียงแห่งสวีเดน เปรียบยุทธการนี้กับ ‘อาชญากรรม’ ในอดีต อาทิ การทิ้งระเบิดที่ Guernica, การสังหารหมู่ที่ Oradour-sur-Glane, Babi Yar, Katyn, Lidice และ Sharpeville ตลอดจนการสังหารชาวยิวที่ Treblinka เขากล่าวว่า ‘บัดนี้อีกหนึ่งชื่อได้ถูกเพิ่มเข้าในบัญชีอาชญากรรมดังกล่าว: ฮานอย, คริสต์มาส 1972’
     คำปราศรัยนี้ยังความไม่พอใจแก่สหรัฐอเมริกาเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดเรียกทูตประจำสวีเดนของตนกลับ และแจ้งแก่สวีเดนว่าไม่ต้องส่งทูตไปประจำกรุงวอชิงตันอีก
     วันที่ 26 ธันวาคม 1972 ระเบิดถูกทิ้งลงย่านถนน Kham Thien ประชาชนเสียชีวิต 278 คน บาดเจ็บเกือบ 300 คน บ้านเรือนถูกทำลายกว่า 2,000 หลัง
     รัฐบาลเวียดนามเหนือประณามยุทธการนี้ว่าสหรัฐอเมริกาปูพรมระเบิดใส่โรงพยาบาล โรงเรียน และเขตบ้านเรือน อย่างป่าเถื่อน ทำให้พลเรือนเสียชีวิตถึง 1,624 คน
     ในสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดี Richard M. Nixon ถูกวิจารณ์ว่า ‘เป็นคนบ้า’ (a madman) หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวเรียกยุทธการนี้ว่า ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ (Genocide), ‘ความป่าเถื่อนยุคหิน’ (Stone-Age Barbarism) และ ‘โหดเหี้ยมไร้สติ’ (Savage and Senseless)...

ภายหลังสงคราม รัฐบาลสวีเดนของนายกรัฐมนตรี Olof Palme ได้สนับสนุนงบประมาณและผู้เชี่ยวชาญในการก่อตั้งและดำเนินงานโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ตั้งแต่ปี 1975 ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปี
     วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1986 เวลาก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย ที่ถนน Sveavägen กลางกรุงสต็อคโฮล์ม นายกรัฐมนตรี Olof Palme ถูกคนร้ายจ่อยิงกลางหลัง ขณะเดินกลับบ้านพร้อมภริยา (Lisbet Palme) ภายหลังชมภาพยนตร์ ท่านเสียชีวิตก่อนส่งถึงโรงพยาบาล
     ตำรวจไม่สามารถจับคนร้ายได้ และจนบัดนี้ยังไม่ทราบสาเหตุของการสังหารดังกล่าว!

11.00 น. Dr. Hien ต้องไปผ่าตัด จึงชวนพวกเราเข้าไปด้วย ห้องผ่าตัดยังคงใช้ห้องเดิมที่ตึกเก่า ที่ซึ่งเมื่อปี 2009 ตอนผมพบ Professor Nguyen Thanh Liem ครั้งแรก ท่านเป็นผู้นำชม…
     Dr. Hien พาไปดู Robot (Da Vinci) ที่ได้งบซื้อและใช้งานมาแต่ปี 2014 อุปกรณ์แต่ละชิ้นถูกกำหนดจำนวนครั้งการใช้งานอย่างตายตัวจากผู้ผลิต ทุกอย่างล้วนราคาแพง แม้ Dr. Hien เป็นผู้ใช้เทคโนโลยีนี้ แต่ก็เห็นว่าต้นทุนสูงเกินไป ไม่เหมาะแก่ประเทศ
     จากนั้นเราเข้าชมการผ่าตัด laparoscopic excision of choledochal cyst โดย Dr. Hien ทำส่วน hepatico-jejunostomy เราได้ร่วมบรรยากาศในห้องผ่าตัดที่ใช้คนไม่มาก แต่ละคนจึงต้องทำหลายหน้าที่!
     เสร็จจากผ่าตัด เจ้าบ้านพาไปกินมื้อกลางวัน เราพบ Professor Le Thanh Hai ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ตรงทางออก ได้คารวะทักทายกัน ท่านเคยเยี่ยมเยือนโรงพยาบาลเด็กแห่งกรุงเทพฯ ตอนไปร่วมงานประชุมวิชาการของเราเมื่อปี 2014 วันนี้ท่านติดภารกิจหลายอย่าง จึงได้คุยกันเพียงครู่เดียว
     ที่ Hai Cang Restaurant ทีมศัลยแพทย์เจ้าภาพ 5-6 คน รออยู่ก่อนแล้ว
     Dr. Hien กล่าวต้อนรับคณะของเรา กล่าวถึงมิตรภาพที่เริ่มมาแต่ครั้ง Professor Nguyen Thanh Liem เป็นผู้อำนวยการและหัวหน้าแผนกศัลยกรรม
     บรรยากาศเป็นกันเอง วงอาหารผ่อนคลาย
     หลังอาหาร ผมกล่าวขอบคุณเจ้าภาพ ผมเล่าถึงการเริ่มต้นส่งแพทย์ประจำบ้านของเรามารับการฝึกอบรม pediatric laparoscopic surgery กับ Professor Nguyen Thanh Liem เมื่อปี 2009 ตอนนั้นท่านตอบรับโดยไม่มีพิธีรีตอง หลังจากนั้น การส่งแพทย์ประจำบ้านฝึกอบรมที่ฮานอยดำเนินต่อเนื่อง ถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 7 ปี หัวหน้าแผนกศัลยกรรมของทั้งสองฝ่ายต่างเกษียณอายุราชการไปแล้ว 2 รุ่น วาระนี้เป็นโอกาสดีที่รุ่นสามได้มาพบเยี่ยมเยือนกัน เพื่อธำรงมิตรภาพอันทรงคุณค่าระหว่างโรงพยาบาลเด็กทั้งสองต่อไป    

14.00 น. เจ้าบ้านต้องกลับไปทำงาน เราร่ำลากัน
Dr. Hien มอบหมายให้ Dr. Nguyen Tho Anh แพทย์ประจำบ้านกุมารศัลยศาสตร์ ดูแลคณะเราในภาคบ่าย

ประวัติศาสตร์สอนเราให้รู้จัก ‘มิตรแท้’
     Olof Palme แห่งสวีเดน มิเพียงแต่ปราศรัย ต่อต้านความรุนแรง และการใช้กำลังข่มเหงของ ‘มหาอำนาจ’ ที่นับว่าเป็น ‘อาชญากรรม’ หากให้ความสนับสนุนเป็นรูปธรรม จนเกิดโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ซึ่งพัฒนามาอย่างสำคัญถึงทุกวันนี้

ประวัติศาสตร์สอนเราให้รู้จัก ‘คนพาล’
     เราพึงหลีกเลี่ยง หลีกหนีจาก ‘คนพาล’ เช่นคำพระที่สอนว่า นตฺถิ พาเล สหายตา ความเป็นสหาย ไม่มีในคนพาล


ข้อมูลค้นจาก
     Lady Borton. Ho Chi Minh: A Journey. Hanoi: Gioi Publishers. 2007.
     Duiker, WJ. Ho Chi Minh. Adelaide: Allen & Unwin. 2000.
     Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
     wikipedia.org

July 19, 2017

Hanoi Revisited: Ho Chi Minh Mausoleum: 30.08.2016

เราตื่นแต่เช้าตรู่ ขึ้นไปกินอาหารที่ชั้น 63 ตอน 06.00 น. ทิวทัศน์เมืองจากมุมสูงที่นี่งดงาม บรรยากาศรื่นรมย์ อาหารหลากหลายจึงยิ่งเอร็ดอร่อย
07.00 น. นั่งแท็กซี่ไปยัง Ho Chi Minh Mausoleum ระยะทางเพียง 3 กิโลเมตรเศษ ใช้เวลา 15 นาที

Ho Chi Minh Mausoleum
     Ho Chi Minh (1890-1969) รัฐบุรุษ และประธานาธิบดี ผู้นำการปลดแอกอาณานิคมจากฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) ผู้นำการต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาในสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง (1960-1975) หรือสงครามเวียดนาม (ชื่อที่สหรัฐอเมริกาเรียก) หรือสงครามอเมริกัน (ชื่อที่เวียดนามเรียก) สู่การรวมประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด
     Ho Chi Minh Mausoleum ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจัตุรัส Ba Dinh สถานที่ซึ่งเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 Ho Chi Minh ประกาศเอกราช จัดตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (Democratic Republic of Vietnam) ต่อหน้าประชาชนสี่แสนคน ไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกต่อไป
     Ho Chi Minh เขียนพินัยกรรมเกี่ยวกับร่างของท่านไว้ว่า ให้เผา นำอังคารแบ่งใส่โกศดินเผา 3 ใบ เก็บไว้ทางเหนือ กลาง และใต้ของประเทศแห่งละหนึ่งใบ
     อย่างไรก็ตาม Ho Chi Minh ถึงแก่กรรม (1969) ขณะที่สงครามเวียดนามกำลังรุนแรง ผู้นำพรรคจึงไม่เปิดเผยพินัยกรรมของท่านต่อสาธารณะ และตกลงใจให้สร้างสุสานเพื่อเก็บรักษาร่างของท่านไว้ ด้วยกรรมวิธีแบบเดียวกับสุสานเลนินในกรุงมอสโคว์ พินัยกรรมของท่านได้ตีพิมพ์เมื่อปี 1990 ในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่าน
     สุสานเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1973 และเปิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1975 สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากสุสานเลนิน (Lenin’s Mausoleum) ในกรุงมอสโคว์ โครงสร้างภายนอกเป็นหินแกรนิตสีเทา ภายในเป็นหินอ่อนจาก Marble Mountains (Ngu Hanh Son) เมือง Da Nang
     ตึกสุสานสูง 21.60 เมตร กว้าง 41.20 เมตร ด้านหน้าตึกตรงคานส่วนบนจารึกอักษร ‘Chu Tich Ho Chi Minh’ แปลว่า ‘ท่านประธานโฮจิมินห์’ สองข้างตึกเป็นแท่นยาว ยกพื้นสูง 7 ขั้นบันได สำหรับชมขบวนสวนสนามตรงลานซีเมนต์ข้างหน้า ถัดจากลานซีเมนต์ไปทางตะวันออกเป็นสนามหญ้าเขียวกว้างใหญ่ ซอยแบ่งด้วยทางเดินตัดตั้งฉากกัน เป็นตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 15 เมตร รวม 210 แปลง สวนรอบสุสานปลูกต้นไม้ราว 250 ชนิดจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ
     จุดเริ่มต้นเข้าแถวอยู่ห่างจากตึกมาก เพื่อให้มีที่รองรับกรณีแถวยาว วันนี้ ผู้คนรอเข้าคารวะร่างของ ‘ลุงโฮ’ ไม่มาก คณะของเราจึงเดินไปได้เรื่อยๆ ไม่ติดขัด กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์ ถูกแยกใส่ถุงฝากไว้นำเข้าไม่ได้
     ถึงตึกสุสาน ขึ้นบันได ผ่านทางเข้า ผ่านห้อง สู่โถงกลางปรับอากาศเย็นฉ่ำ ไฟสลัว แถวแยกออกสองข้างโลงแก้วที่ร่าง Ho Chi Minh นอนอยู่ แสงไฟส่องที่โลงแก้วเป็นจุดเด่นกลางโถงสลัวนั้น แถวค่อยเคลื่อนผ่านไปช้าๆ ไม่อนุญาตให้หยุด จึงเห็น ‘ลุงโฮ’ เพียงครู่เดียว
     ในสุสานยังมีจารึกคำพูดสำคัญของ Ho Chi Minh ที่ว่า ‘ไม่มีสิ่งใดมีค่ากว่าอิสรภาพและเสรีภาพ’

Ho Chi Minh (1890-1969)
     ตอนเกิดชื่อ Nguyen Sinh Cung ที่หมู่บ้านในจังหวัด Nghe An ตอนกลางประเทศ เวลานั้นเวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้วตั้งแต่ปี 1863
     อายุ 11 ปี บิดาเปลี่ยนชื่อให้เป็น Nguyen Tat Thanh (‘ผู้ประสบความสำเร็จ’) ตามจารีตในการเปลี่ยนชื่อเมื่อบุตรเข้าสู่วัยรุ่น
     ครูสอนภาษาฝรั่งเศสแนะเขาว่า ‘หากต้องการเอาชนะคนฝรั่งเศส คุณต้องเข้าใจเขา และหากต้องการเข้าใจเขา คุณต้องเรียนรู้ภาษาของเขา’
     ปี 1907-1909 Nguyen Tat Thanh เข้าศึกษาที่โรงเรียน Quoc Hoc (National Academy) เมือง Hue
     ปี 1911 Nguyen Tat Thanh โดยสารเรือฝรั่งเศสออกจากเวียดนาม หลายปีจากนั้น เขาใช้ชีวิตตามเมืองต่างๆ อาทิ นิวยอร์ค บอสตัน ลอนดอน จนถึงปลายปี 1917 จึงย้ายไปฝรั่งเศส
     ต้นปี 1919 เข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส ตีพิมพ์บทความต่อต้านลัทธิอาณานิคม
     ปี 1919 ภายใต้ชื่อ Nguyen Ai Quoc (‘ผู้รักชาติ’) เขาส่ง ‘ข้อเสนอ 8 ประการ’ ต่อที่ประชุม Versailles Peace Conference ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) ยุติลง เรียกร้องสิทธิปกครองตนเอง หรือเอกราชโดยสมบูรณ์ ของเวียดนาม
     ประธานาธิบดี Woodrow Wilson แห่งสหรัฐอเมริกา ตอบสนองต่อประเด็นอาณานิคมอย่างคลุมเครือ ขณะที่ Vladimir Lenin แห่งสหภาพโซเวียต ประกาศอย่างชัดเจนในปี 1920 เรียกร้องให้ประเทศคอมมิวนิสต์ในโลกตะวันตกร่วมต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชนทุกหนแห่งให้หลุดจากแอกอาณานิคม ท่าทีที่ต่างกันสุดขั้วดังกล่าวทำให้ Nguyen Ai Quoc เดินทางไปยังกรุงมอสโคว์ในปี 1924 เพื่อแสวงความสนับสนุนจากโซเวียต
     ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) มิถุนายน 1940 กองทัพเยอรมนีบุกเข้าฝรั่งเศสและยึดกรุงปารีสได้ ฝรั่งเศสต้องจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
     ในเอเชีย ญี่ปุ่นเปิดแนวรบใหญ่ ขยายอิทธิพล โดยอ้างว่าเพื่อสร้าง 'วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา' ยกทัพเข้าอินโดจีนในเดือนกันยายน 1940
     ต้นปี 1941 Ho Chi Minh (ใช้ชื่อนี้ตั้งแต่สิงหาคม 1942) เดินทางกลับเวียดนาม ภายหลังจากไปถึง 30 ปี และร่วมกับ Pham Van Dong (1906-2000) และ Vo Nguyen Giap (1911-2013) จัดตั้งกลุ่ม Viet Minh
     เมื่อกำลังของฝรั่งเศสในอินโดจีนอ่อนลงสุดขีด ญี่ปุ่นจึงยึดอินโดจีนทั้งหมด เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1945
     นับแต่กลางปี 1945 สถานการณ์สงครามพลิกกลับ ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในทุกสมรภูมิ วันที่ 6 สิงหาคม 1945 Hiroshima ถูกทำลายราบด้วยระเบิดปรมาณู ตามด้วย Nagasaki ในวันที่ 9 สิงหาคม 1945 ที่สุดจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้ในวันที่ 15 สิงหาคม 1945
     วันที่ 2 กันยายน 1945 Ho Chi Minh ประกาศเอกราช จัดตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (Democratic Republic of Vietnam) ต่อหน้าประชาชนสี่แสนคน ณ จัตุรัส Ba Dinh กรุงฮานอย ไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกต่อไป
     หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสกลับเข้ามายึดอินโดจีนในฐานะอาณานิคมของตนอีก การเจรจาไม่เป็นผล เกิดการปะทะกันระหว่างทหารฝรั่งเศสและเวียดนาม Ho Chi Minh ประกาศให้ทั้งประเทศลุกต่อสู้กับฝรั่งเศส นำสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 (1946-1954)
     สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนฝรั่งเศสที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและสร้างรายได้มหาศาลให้สหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแรงจูงใจสำคัญ ดังนั้นกว่าร้อยละ 80 ของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฝรั่งเศสใช้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 นี้ จึงมาจากสหรัฐอเมริกา
     ฤดูหนาวปี 1953 ถึงฤดูใบไม้ผลิปี 1954 ฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำในทุกสมรภูมิอินโดจีน
     วันที่ 7 พฤษภาคม 1954 นายพล Vo Nguyen Giap นำกำลังทหาร Viet Minh 55,000 นาย โจมตีที่มั่นสุดท้ายของฝรั่งเศสซึ่งเหลือกำลังพล 16,000 นาย ที่ Dien Bien Phu ภายหลังปิดล้อมอยู่ 55 วัน การรบนองเลือดเบ็ดเสร็จ ฝรั่งเศสต้องยอมจำนน ปิดฉากการเป็นเจ้าอาณานิคมอินโดจีนที่ดำรงมาเกือบ 100 ปี และนำสู่การเจรจาสันติภาพที่ Geneva ในวันรุ่งขึ้น (8 พฤษภาคม 1954) นัยเพื่อการถอยออกจากอินโดจีน 'อย่างมีเกียรติ' ของฝรั่งเศส
     ความปราชัยของฝรั่งเศสทำให้ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ประกาศว่านี่เป็น 'falling domino' สำทับการเข้าแทรกแซงเต็มรูปแบบของสหรัฐอเมริกา สวมรอยฝรั่งเศสที่จำต้องถอนตัวออกไปจากอินโดจีน
     การเจรจาที่ Geneva เป็นไปอย่างเคร่งเครียด กินเวลาถึง 75 วัน ที่สุด Geneva Accords จึงได้ลงนามกันในวันที่ 20 กรกฎาคม 1954
     Geneva Accords ไม่ยินยอมให้ Viet Minh รวมประเทศ แต่ให้แบ่งเวียดนามเป็นเหนือและใต้ที่เส้นขนานที่ 17 ให้จัดการเลือกตั้งทั่วประเทศในอีก 2 ปีถัดไปเพื่อการรวมประเทศ แต่การเลือกตั้งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น
     สหรัฐอเมริกาเลือกไม่ลงนามรับรอง Geneva Accords เพื่อที่ตนจะไม่ต้องผูกพันปฏิบัติตามข้อตกลง รัฐบาลจักรพรรดิ์ Bao Dai ไม่ลงนามรับรองเช่นกัน และแต่งตั้ง Ngo Dinh Diem (1901-1963) ตามเสนอของสหรัฐอเมริกาเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเวียดนามใต้
     Ngo Dinh Diem สั่งยกเลิกไม่ให้มีการเลือกตั้งในปี 1956 ด้วยคาดหมายว่า Ho Chi Minh จะได้รับชัยชนะ เขาแต่งตั้ง Ngo Dinh Nhu น้องชายเป็นมือขวา กวาดล้างฝ่ายคอมมิวนิสต์ ย้ายชาวนาจากถิ่นอาศัยเดิมไปอยู่ใน 'agrovilles' เพื่อป้องกันการเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้าม จำกัดเสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม ประกาศให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองผิดกฎหมาย สนับสนุนชาวคาธอลิก และข่มเหงชาวพุทธ
     ปี 1959 Le Duan เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะปฏิวัติฝ่ายใต้ จึงก่อสร้างทาง Ho Chi Minh Trail จากตอนเหนือผ่านขุนเขาของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เพื่อใช้ลำเลียงกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์สู่ฝ่ายใต้
     ปี 1960 กองกำลังต่อต้าน Ngo Dinh Diem ถูกจัดตั้งขึ้นในชื่อ The National Liberation Front (NLF) หรือ Viet Cong
     ฤดูใบไม้ผลิปี 1963 ฝ่ายพุทธรวมตัวต่อต้าน Ngo Dinh Diem การประท้วงรุนแรงและเป็นที่สนใจไปทั่วโลกภายหลังพระภิกษุ Thich Quang Duc จากวัด Thien Mu แห่งเมือง Hue จุดไฟเผาตัว กลางสี่แยกในกรุง Saigon เดือนพฤศจิกายน ฝ่ายทหารทำรัฐประหารโดยความเห็นชอบจากสหรัฐอเมริกา สังหาร Ngo Dinh Diem และ Ngo Dinh Nhu
     รัฐบาล Ngo Dinh Diem ล้มไป แต่สหรัฐอเมริกายังคงยึดเวียดนามใต้และอ้างทฤษฎีโดมิโน (The Domino Theory) ซึ่งเสนอโดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Harry S. Truman เมื่อครั้ง Ho Chi Minh ประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
     การสร้างสถานการณ์ปะทะกันระหว่างเรือพิฆาต USS Maddox กับเรือตอร์ปิโด 3 ลำของเวียดนามเหนือที่อ่าวตังเกี๋ยในวันที่ 2 สิงหาคม 1964 และรายงานเท็จว่ามีการปะทะกันอีกในวันที่ 4 สิงหาคม 1964 (The Gulf of Tonkin Incident) ทำให้สภาคองเกรสให้อำนาจเต็มที่แก่ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson ในการจัดการทางทหารต่อเวียดนาม นายพล William Westmoreland สั่งเคลื่อนพลเพื่อปกป้องฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกาในเวียดนามใต้ นาวิกโยธินระลอกแรกจำนวน 2 กองพัน ยกพลขึ้นบกที่ Da Nang Beach เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 1965 เป็นจุดเริ่มต้นการรบภาคพื้นดินของอเมริกัน
     ฤดูใบไม้ผลิปีนั้น กำลังพลอเมริกันไหลบ่าเข้าไปถึง 72,000 นาย
     ปี 1966 สหรัฐอเมริกาใช้ ‘ป้อมบินยักษ์’ B-52 ระดมทิ้งระเบิดใส่เวียดนามเหนืออย่างหนัก
     วันที่ 31 มกราคม 1968 วันตรุษ Tet กองทัพเวียดนามเหนือเปิดยุทธการ Tet General Offensive พร้อมกันกว่า 30 เมืองทางใต้ หวังเผด็จศึกเบ็ดเสร็จ แต่ไม่สำเร็จ และสูญเสียทหารกว่า 50,000 นาย ส่วนสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญการประท้วงต่อต้านสงครามจากคนอเมริกันเองอย่างหนัก เวลานั้นกำลังพลอเมริกันในเวียดนามมีมากถึงครึ่งล้านนาย
     วันที่ 13 พฤษภาคม 1968 เริ่มการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียดนามที่กรุงปารีสเพื่อหาทางยุติสงคราม
     วันที่ 2 กันยายน 1969 ประธานาธิบดี Ho Chi Minh ถึงแก่กรรมด้วยหัวใจวาย
     ตุลาคม 1972 การเจรจาที่กรุงปารีสระหว่าง Henry Kissinger ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงสหรัฐอเมริกา กับ Le Duc Tho ใกล้บรรลุข้อตกลง หากประธานาธิบดี Richard M. Nixon ไม่ยอมรับ และสั่งทิ้งระเบิดปูพรมพื้นที่จากฮานอยถึงเมืองท่าไฮฟองระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร ในช่วงวันที่ 18-29 ธันวาคม 1972 ที่เรียกว่า ‘Christmas Bombing’ เป็นการทิ้งระเบิดครั้งหนักหน่วงที่สุดของสงคราม น้ำหนักระเบิดรวมกว่า 40,000 ตัน ฝ่ายเวียดนามปลุกกำลังใจโดยเรียกการศึกนี้ว่า ‘Dien Bien Phu in the Air’
     วันที่ 27 มกราคม 1973 ที่กรุงปารีส ทั้งสองฝ่ายลงนามข้อตกลงหยุดยิงเพื่อสันติภาพในเวียดนาม แต่การสู้รบยังไม่ยุติ...

ปี 1974 ตอนผมเรียนชั้นปีที่ 3 (Pre-clinic) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พวกเรานักศึกษามีโต๊ะประจำส่วนตัวในห้องปฏิบัติการอเนกประสงค์ (Multidisciplinary Laboratory, MDL) ใช้เป็นที่ทำงาน อ่านหนังสือ ทำแล็บ และสัมมนากลุ่มย่อย เราต่างรู้สึกเป็นเจ้าของ MDL
     วันหนึ่ง อาจารย์ประจำภาควิชาพยาธิวิทยาท่านหนึ่งเดินเข้ามาใน MDL เห็นภาพ Ho Chi Minh ที่ใครบางคนแขวนไว้บนผนังบริเวณหัวตึก อาจารย์ตะคอกเสียงดังว่า ‘นี่รูปพ่อใคร? เอาลงเดี๋ยวนี้!’ เมื่อไม่มีเสียงหรืออาการตอบรับจากนักศึกษา อาจารย์ก็จำต้องล่าถอยไปเอง เป็นการยืนยันว่า MDL คือพื้นที่ของพวกเรา ผมไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของรูปนั้น รู้เพียงว่า Ho Chi Minh เป็นอดีตผู้นำเวียดนามเหนือที่ถึงแก่กรรมแล้ว และการแขวนรูปดังกล่าวไม่ต่างจากกระแสนิยมรูปของ Che Guevara (1928-1967) นักปฏิวัติชาวอาร์เจนตินาผู้นิยมลัทธิมาร์กซ์ หรือรูปของ Al Pacino ที่รับบทเป็น Frank Serpico ตำรวจนครนิวยอร์ค ในภาพยนตร์เรื่อง Serpico (ฉายเมื่อปี 1973) อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจว่าข้อขัดแย้งทางความคิดและการเมืองระหว่างฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาภายหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 1973 ทำให้เกิดความอ่อนไหวต่อรูป Ho Chi Minh ดังกล่าว
     ขณะนั้นสงครามเวียดนามกำลัง ‘เข้าด้ายเข้าเข็ม’ กองทัพสหรัฐอเมริกาเพลี่ยงพล้ำในสนามรบและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาถูกประชาชนต่อต้านการทำสงครามอย่างหนัก ปีถัดมา วันที่ 30 เมษายน 1975 รถถังในบังคับบัญชาของพันเอก Bui Tin แห่งกองทัพเวียดนามเหนือแล่นชนพังประตูทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Independence Palace) เข้ายึดศูนย์อำนาจของฝ่ายใต้ทั้งหมด ปิดฉากสงครามเวียดนาม สงครามที่คนเวียดนามเรียกว่า American War of Aggression อันยาวนานกว่า 15 ปี ล้างผลาญชีวิตคนเวียดนามไป 3 ล้านคน จำนวนนี้เป็นพลเรือน 2 ล้านคน ส่วนทหารอเมริกันเสียชีวิตไปกว่า 5 หมื่นนาย
   
ทุกวันนี้ในแต่ละปี มีผู้คนกว่า 1 ล้านคนเข้าคารวะ Ho Chi Minh ณ สุสานนี้ บทกวี ข้อเขียน และคำคม ของท่านได้รับการกล่าวอ้างอยู่เสมอ คนเวียดนามทั้งผู้นำและชาวบ้านต่างเรียกขานท่านว่า ‘Bac Ho’ ‘Bac’ แปลว่า ‘ลุง’ เป็นคำที่แฝงนัยแห่งความเคารพและความรักต่อผู้อาวุโสในครอบครัว นัยดังกล่าวนี้เป็นธรรมชาติและเป็นที่ยอมรับ
     Ho Chi Minh มิใช่พ่อใคร? อย่างที่อาจารย์พยาธิวิทยาตะคอกถาม
     Ho Chi Minh เป็นรัฐบุรุษผู้รักชาติ อุทิศตนรับใช้ชาติ เอาชนะมหาอำนาจตะวันตกทั้งฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาผู้รุกรานด้วยอำนาจอธรรม จนที่สุดนำสู่การรวมประเทศเวียดนามที่มีเอกราช เสรีภาพ และสันติภาพ ชีวิตของท่านได้ให้นิยามแก่คำว่า ‘รักชาติ’ และ ‘รับใช้ชาติ’ ที่แท้จริง

การได้เข้าคารวะ ‘ลุงโฮ’ ที่ Ho Chi Minh Mausoleum เช้านี้ ถือเป็นวาระแห่งความทรงจำที่สำคัญ...


ข้อมูลค้นจาก
     Lady Borton. Ho Chi Minh: A Journey. Hanoi: Gioi Publishers. 2007.
     Duiker, WJ. Ho Chi Minh. Adelaide: Allen & Unwin. 2000.
     Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
     wikipedia.org

July 8, 2017

Hanoi Revisited: Prologue: 29.08.2016

08.00 น. เครื่อง TG บินจากสุวรรณภูมิ ช้ากว่ากำหนด 15 นาที
09.45 น. ถึงสนามบินนานาชาติ Noi Bai กรุงฮานอย สนามบินขยายใหญ่โต ทันสมัยขึ้นมาก เทียบกับสองปีก่อนตอนผมมาครั้งหลังสุดเมื่อปี 2014
     คณะเรา 4 คน เข้าเมืองด้วย airport limousine ตั๋วไปกลับราคา USD 45 ถูกกว่าซื้อทีละเที่ยว 2 ครั้ง รถออกจากสนามบินแล่นไปตามถนน Vo Nguyen Giep ทางกว้างขวาง โรงแรมหลายแห่งเรียงรายบริเวณใกล้กับสนามบิน ไกลออกไปสองข้างทางเป็นผืนนาเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ กว้างใหญ่สุดสายตา ราว 15 กิโลเมตรต่อมา ทางยกระดับต่อเนื่องเป็นถนน Cau Nhat Tan/ Vo Chi Cong ข้ามแม่น้ำแดง (Red River) เข้าเขตเมือง กรุงฮานอยเปลี่ยนไปมาก เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ถนนรนแคมเรียบร้อยกว่าก่อน รถยนต์มากขึ้น จึงดูเหมือนมอเตอร์ไซค์ลดน้อยลง หากการจราจรยังคงชุลมุนเช่นเคย รถแล่นออกจากทางด่วนเข้าถนน Buoi เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Doi Can ราว 1 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าถนน Lieu Giai อีก 600 เมตร ถึง Lotte Hotel Hanoi รวมระยะทาง 26 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที
     Lotte Hotel Hanoi เป็นธุรกิจในเครือ Lotte Group กลุ่มทุนข้ามชาติจากเกาหลีใต้ โรงแรมตั้งอยู่ส่วนบนของตึกสูง 65 ชั้น ส่วนล่างเป็นห้างสรรพสินค้าและสำนักงานให้เช่า ล็อบบี้โรงแรมอยู่ที่ชั้น 38 ผนังกระจกใสจากพื้นถึงเพดาน 3 ด้าน อวดทิวทัศน์พาโนราม่างดงามด้านตะวันตกของกรุงฮานอย ย่านธุรกิจที่กำลังขยายตัว West Lake ทะเลสาบน้ำจืดใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง (ชายฝั่งยาว 17 กิโลเมตร คลุมพื้นที่ 5 ตารางกิโลเมตร) อยู่ห่าง 1.5 กิโลเมตรไปทางเหนือ Thu Le Lake อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน Dao Tan ทางทิศใต้ จากมุมสูงนี้ทำให้เห็นภูมิลักษณ์อันอุดมของกรุงฮานอย ทะเลสาบจำนวนมาก แม่น้ำแดง เขตเมืองเก่าด้านตะวันออก และย่านธุรกิจด้านตะวันตก หากถนนหนทางและการจราจรถูกจัดระเบียบอย่างเหมาะสม ฮานอยจะเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ไม่แพ้เมืองใดเลย
     หลังเช็คอิน เก็บสัมภาระ ได้เวลาสำรวจเมือง…
     จากถนน Lieu Giai หน้าโรงแรม เราเดินไปทางใต้ ข้ามแยกตัดกับถนน Dao Tan และแยกตัดกับถนน Kim Ma ต่อเข้าถนน Nguyen Chi Thanh เลียบ Ngoc Khanh Lake ฝั่งตะวันออก ทะเลสาบกว้างนี้ช่วยคลายร้อนอบอ้าวลง เราพักกินมื้อกลางวันที่ Mon Hue ภัตตาคารริมทะเลสาบ อาหารพื้นเมืองเอร็ดอร่อย ไขมันน้อย เคียงผักหลากหลาย นี่เองคือปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้เวียดนามได้ชื่อว่า ‘สามผอม’ อันได้แก่ ประเทศผอม ตึกรามบ้านเรือนผอม และผู้หญิงผอม
     หลังอาหาร เราเดินเล่นต่อไปทางชายฝั่งด้านใต้ของทะเลสาบ เวียดนามเป็นแหล่งปลูกกาแฟชั้นดี จึงเห็นร้านกาแฟเรียงรายอยู่ทั่วไป เราแวะที่ Coffee Nam Hai เขาชง Trung Nguyen กาแฟแบรนด์ดัง แบบโบราณได้อย่างยอดเยี่ยม

14.15 น. นั่งแท็กซี่ไปยัง Vinmec International Hospital เรานัดพบกับ Professor Nguyen Thanh Liem ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เพื่อเยี่ยมคารวะท่านและขอชมโรงพยาบาล    
   
Professor Nguyen Thanh Liem เป็นอดีตหัวหน้าแผนกศัลยกรรม และอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย (National Hospital of Pediatrics) ท่านวางนโยบายให้การผ่าตัดผ่านกล้องเป็นทิศทางสำคัญตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ประสบการณ์สั่งสมยาวนาน และคนไข้จำนวนมาก ถึงวันนี้อาจกล่าวได้ว่าโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอยมีผลงานการผ่าตัดผ่านกล้องโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
     ปลายปี 2008 ผมได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานศัลยศาสตร์ ในการแถลงนโยบาย ผมเสนอให้ส่งแพทย์ประจำบ้านกุมารศัลยศาสตร์ของเราไปฝึกอบรม pediatric laparoscopic surgery ณ สถาบันต่างประเทศคนละ 1 เดือน มีเสียงค้านว่าไม่มีความจำเป็น มีเสียงหยันว่า staff ยังไม่ได้ไปเลย จะส่งแพทย์ประจำบ้านไปได้อย่างไร ใช้งบอะไร
     เมษายน 2009 ผม email ถึง Professor Nguyen Thanh Liem แนะนำตัวเองและหารือขอส่งแพทย์ประจำบ้านของเราไปฝึกอบรมกับท่านคนละ 1 เดือน ท่านตอบรับโดยไม่มีพิธีรีตอง ผมส่งโครงการเพื่อขออนุมัติและผู้อำนวยการกรุณาจัดสรรงบจากกองทุนให้ อย่างไรก็ตาม เกิดข้อกังขาว่า เหตุใดจึงส่งแพทย์ประจำบ้านไปฮานอย เขาเก่งกว่าเราหรือ?
     8-9 ตุลาคม 2009 ผมเข้าร่วม Workshop: Advanced Laparoscopic Surgery ณ โรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ได้พบ Professor Nguyen Thanh Liem เป็นครั้งแรก และท่านพาชมห้องผ่าตัด ซึ่งแม้เป็นตึกเก่า คับแคบ แต่เครื่องมือ laparoscope ทันสมัย พร้อมเพรียง นอกจากนี้ ยังได้พบ Professor Hock Lim Tan หัวหน้าแผนกกุมารศัลยกรรม National University of Malaysia (Universiti Kebangsaan Malaysia, UKM) ซึ่งมาสาธิตการผ่าตัดใน workshop ด้วย
     พฤศจิกายน 2009 แพทย์หญิงอารดา สุทธิวงษ์สิงห์ แพทย์ประจำบ้านกุมารศัลยศาสตร์ของเราเป็นคนแรกที่ไปฮานอย บุคลิกและความกระตือรือร้นของเธอเป็นที่รัก ถึงขนาดได้เข้าร่วมพิธีรับตำแหน่ง Professor ของ Professor Nguyen Thanh Liem ณ Temple of Literature โบราณสถานสำคัญทางการศึกษา
     หลังจากนั้น การส่งแพทย์ประจำบ้านฝึกอบรมที่ฮานอยดำเนินต่อเนื่องไป อย่างไรก็ตาม มีบางคนขอไม่ไปด้วยความเป็นอยู่ลำบากและด้วยข้อกังขาข้างต้น
     ปี 2010 เพื่อเปิดทางเลือกเพิ่มขึ้น ผม email ถึง Professor Hock Lim Tan หารือขอส่งแพทย์ประจำบ้านไปฝึกอบรมกับท่านที่ UKM ท่านตอบรับโดยไม่มีพิธีรีตองเช่นกัน
     มีนาคม 2011 แพทย์หญิงจิรา ไตรรงค์จิตเหมาะ และแพทย์หญิงปิติพร ตั้งขบวนบุตร เป็นแพทย์ประจำบ้านเพียง 2 คนที่ได้ไปฝึกอบรมกับ Professor Hock Lim Tan เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็หมดสัญญากับ UKM
     26 มกราคม 2012 มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) เพื่อความร่วมมือด้านสุขภาพระหว่างกระทรวงสาธารณสุขเวียดนามและไทย โดยระบุคู่โรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอยกับโรงพยาบาลเด็กแห่งกรุงเทพฯ ไว้เป็นการจำเพาะหนึ่งข้อ วันรุ่งขึ้น (27 มกราคม 2012) Professor Nguyen Thanh Liem ซึ่งร่วมมาในคณะของรัฐมนตรีฝ่ายเวียดนาม นำทีมเยือนโรงพยาบาลเด็ก เพื่อหารือการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในสาขาต่างๆ รวม 10 สาขา อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกรุงเทพฯ ตอบสนองข้อหารือดังกล่าวอย่างเย็นชา!
     กุมภาพันธ์ 2012 รังสีแพทย์จากโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ขอดูงานด้าน Nuclear Medicine ผมประสานการดูงานให้ ณ โรงพยาบาลราชวิถี เป็นเวลา 1 เดือน
     ปี 2013 Professor Nguyen Thanh Liem เกษียณอายุราชการ และต่อมารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล Vinmec International Hospital โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่
     ปี 2014 กรมการแพทย์เปิดโครงการความร่วมมือประชาคมอาเซียน
     5 มีนาคม 2014 ผมร่วมคณะบริหารกรมการแพทย์เยือนโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ซึ่งตอนนั้นกำลังก่อสร้างตึกใหม่สูง 16 ชั้น และได้จัดซื้อ Robot (Da Vinci) เข้ามาราว 20 วัน ใช้ผ่าตัดไปแล้วกว่าสิบราย เราถามว่าเหตุใดจึงลงทุนกับ Robotic surgery ซึ่งราคาสูงมาก Dr. Pham Duy Hien ศัลยแพทย์ ตอบว่า 'เพื่อรู้เท่าทันเทคโนโลยี'
     23-24 มิถุนายน 2014 ก่อนการประชุมวิชาการประจำปีของสถาบัน เราจัด Pre-congress Workshop: 'Pediatric Minimally Invasive Surgery - Live Demonstration' เชิญคณะของ Professor Nguyen Thanh Liem มาสาธิตการผ่าตัดผ่านกล้อง
     ความก้าวหน้าด้าน pediatric laparoscopic surgery ของฮานอยเป็นที่ประจักษ์ ทั้งในการนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการ บทความตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ และตำรา
     ถึงวันนี้ คงไม่มีข้อกังขาว่า เหตุใดจึงส่งแพทย์ประจำบ้านไปฮานอย เขาเก่งกว่าเราหรือ?
     ความสัมพันธ์ต่อเนื่องนานกว่า 7 ปี ระหว่างโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอยกับโรงพยาบาลเด็กแห่งกรุงเทพฯ นับว่าทรงคุณค่า
     Professor Nguyen Thanh Liem กล่าวไว้ว่า 'ความรู้เป็นสิ่งที่ควรให้โดยไม่คิดราคา เพราะผู้รับความรู้นั้นย่อมนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลรักษาคนไข้ต่อไป'

Vinmec International Hospital เป็นธุรกิจในเครือ Vingroup กลุ่มทุนใหญ่ของเวียดนาม ครอบคลุมหลายภาค ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก โรงเรียน และโรงพยาบาล
     ภาคโรงพยาบาลมี 4 แห่ง กำหนดขยายเป็น 10 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2020 สะท้อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของเวียดนาม
     เราไปถึง Vinmec International Hospital, Time City ราว 15.00 น. Professor Nguyen Thanh Liem ยังติดพันภารกิจอื่นอยู่ ท่านให้สาวสวยฝ่ายต้อนรับในชุด Ao Dai สีน้ำเงินทับสีครีมขาว นำชมโรงพยาบาล
     เริ่มด้วยตัวอย่างห้องพักขนาดต่างๆ ในหอผู้ป่วย, แผนกผู้ป่วยนอก (OPD), แผนก X-ray, Rehabilitation Medicine นอกจากนี้ที่น่าสนใจยิ่งคือ Stem Cell Center และ Gene Technology Center ศูนย์ทั้งสองไม่เพียงแต่ทำงานวิจัย หากได้นำสู่การรักษาแล้ว
     15.40 น. มัคคุเทศก์สาวสวยพาคณะเราไปยังห้องทำงาน Professor Nguyen Thanh Liem ท่านต้อนรับทักทายเป็นกันเองเช่นทุกครั้ง ท่านยังคงเดินทางไปต่างประเทศ เป็นวิทยากร และทำ workshop อยู่เนืองๆ ถือเป็น ‘ครู’ ระดับโลกอย่างแท้จริง ในวาระที่คณะเรามากรุงฮานอยจึงเป็นโอกาสดีที่ได้เยี่ยมคารวะและขอบคุณในน้ำใจไมตรีของท่าน อันส่งเสริมต่อมิตรภาพยาวนานระหว่างโรงพยาบาลเด็กของทั้งสองประเทศ
     16.10 น. เราร่ำลา Professor Nguyen Thanh Liem กลับที่พัก

ตอนเย็น เราออกไปแถว Hoan Kiem Lake กินมื้อค่ำที่ Wrap & Roll
บรรยากาศรอบ Hoan Kiem Lake คึกคัก ไม่เพียงแต่ผู้คน ยังมีสุนัขทั้งพันธุ์ใหญ่พันธุ์เล็กที่เจ้าของพามาวิ่งกระโดดกันอย่างสนุกสนาน...น่ายินดี!


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     vinmec.com

June 10, 2017

Phnom Penh: National Pediatric Hospital: 04.08.2016

วันสุดท้ายของทริปพนมเปญ
เรากินมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม สถาปัตยกรรมน่าสนใจ โถงสูงสามชั้นขนาดใหญ่ ชั้นสองและชั้นสามทำเป็นระเบียงกว้างเกาะข้างผนังแบบเดียวกับโรงโอเปร่า บันไดขึ้นกว้างขวางโอ่อ่า หลังคาโค้งขนาดใหญ่เลื่อนเปิดปิดได้ ผนังตึกทาสีขาวตัดกับเครื่องตกแต่งไม้และโลหะทาสีโอ๊คเข้ม ดูขรึมขลังสะอาดสะอ้าน อาหารหลากหลายเอร็ดอร่อย
 
08.00 น. Check-out นั่งแท็กซี่ไปยัง National Pediatric Hospital รถแล่นไปทางตะวันตกตามถนน Confederation de la Russie (110) ราว 4 กิโลเมตร โรงพยาบาลตั้งอยู่บนถนน 122
     เรานัดทีมกุมารศัลยแพทย์ National Pediatric Hospital ไว้แล้ว เพื่อขอเยี่ยมชมโรงพยาบาล
     Dr. Ou Cheng Ngiep รออยู่ที่ประตูทางเข้า ทักทายกันด้วยความยินดี แววตา ภาษากาย จริงใจยิ่ง เราเคยพบกัน 3 ครั้ง ที่กรุงเทพฯ 2 ครั้ง คราวประชุมวิชาการโรงพยาบาลเด็ก ปี 2014 และ 2016 กับอีกครั้งหนึ่งที่นครเวียงจันทน์ คราวประชุมวิชาการ ASEAN Society of Pediatric Surgery (ASPS) ปี 2015
     ตึกศัลยกรรม ใหม่และสะอาดกว่าตึกอื่น สำนักงานอยู่ที่ชั้นสอง Professor Vuthy Chhoeurn หัวหน้าแผนก ตามมาสมทบ เราพูดคุยกันหลายเรื่อง อาทิ
        Dr. Ou Cheng Ngiep อธิบายภูมิศาสตร์ของพนมเปญ ผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ บนทำเลที่ดียิ่ง แม่โขงจากทางเหนือไหลผ่านเมืองด้านตะวันออก แยกสาขาหนึ่งไปตามที่ลาดแอ่งย้อนกลับขึ้นเหนือ เป็นแม่น้ำต็วนเลซาบ (Tonle Sap River) ต่อเนื่องสู่ที่ราบลุ่มต่ำทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ขยายออกเป็นต็วนเลซาบ (Tonle Sap Lake) ทะเลสาบน้ำจืดใหญ่ที่สุดของอุษาคเนย์ แหล่งอาหารสำคัญของกัมพูชา ที่ตอนล่างของพนมเปญ แม่โขงแยกสาขาเป็นแม่น้ำ Bassac ไหลไปทางใต้ ส่วนแม่โขงสายหลักไหลต่อลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ออกจากกัมพูชา ผ่านประเทศเวียดนาม ดินดอนสามเหลี่ยม (delta) ลงสู่ทะเลจีนใต้
        Professor Vuthy Chhoeurn พูดถึงเงินเดือนข้าราชการกัมพูชาที่ไม่เพียงพอ แม้แต่ระดับ professor แต่ละคนจึงต้องดิ้นรนหารายได้เสริมเอง รัฐบาลให้ข่าวปรับขึ้นเงินเดือนมาหลายโอกาส แต่ก็เป็นเพียงข่าว ผมให้กำลังใจท่านว่าการปรับขึ้นเงินเดือนน่าจะเป็นจริงในเร็ววัน เพื่อต้อนรับการเลือกตั้งระดับคอมมูนปี 2017 และการเลือกตั้งทั่วไปปี 2018 ท่านหัวเราะเห็นด้วย และย้อนถามว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร เหมือนกันหรือไม่ ผมตอบว่าเราคงยังไม่มีการเลือกตั้งไปอีกพักใหญ่!
     09.30 น. เข้าพบผู้อำนวยการโรงพยาบาล Dr. Nhep Angkeabos ราว 15 นาที
     จากนั้น เจ้าบ้านนำชม
        ตึกกุมารเวชกรรมประกอบด้วย OPD, ER และหอผู้ป่วย
        ตึกศัลยกรรมประกอบด้วย OPD หอผู้ป่วย และห้องผ่าตัด (3 ห้อง) นอกจากนี้มีห้องเล่นเด็ก ใหม่เอี่ยม สีสันลวดลายการ์ตูนน่ารัก หากประดับด้วยโลโก้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป! สปอนเซอร์ใหญ่
        ตึก HIV/TB
        ตึกโภชนาการ เครื่องครัวและวัตถุดิบประกอบอาหารได้รับงบสนับสนุนจากองค์กรของประเทศญี่ปุ่น
        ปิดท้ายที่ห้องประชุม Professor Vuthy Chhoeurn สรุปภาพรวมของโรงพยาบาล ซึ่งเปิดได้ใหม่เมื่อปี 1980 ภายหลังการล่มสลายของระบอบเขมรแดง ภาระงานของแผนกศัลยกรรม การฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน และหารือความร่วมมือระหว่างสถาบันของเราในอนาคต

12.30 น. Professor Vuthy Chhoeurn พาคณะเราไปกินมื้อกลางวันที่ One More Restaurant เจ้าบ้าน 5-6 คน ไปรออยู่ก่อนแล้ว การเสวนาต่อในวงอาหารยิ่งเป็นกันเอง

14.00 น. Professor Vuthy Chhoeurn ขับรถพาเรากลับ ขณะเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล ผมถามท่านถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 เมษายน 1975 ตอนเขมรแดงเข้ายึดกรุงพนมเปญ ท่านเหยียบเบรคหยุดรถทันที กลืนก้อนทรงจำขมขื่นอย่างยากเย็น…
        ‘...เขมรแดงสั่งให้ชาวพนมเปญอพยพออกจากเมืองทั้งหมด โดยขู่ว่าสหรัฐอเมริกากำลังมาทิ้งระเบิดถล่ม ให้เอาเพียงเสื้อผ้าสำหรับ 2-3 วัน ไม่ต้องขนของไป ไม่ต้องล็อคบ้าน เพราะนี่เป็นการชั่วคราว
        การอพยพนี้ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่คนไข้ในโรงพยาบาล โรงพยาบาลกลายเป็นที่ร้าง หลายพันคนเสียชีวิตระหว่างการเดินทางอันฉุกละหุกนี้ โดยเฉพาะเด็ก คนแก่ คนเจ็บป่วย หญิงตั้งครรภ์จำนวนมากเสียชีวิตระหว่างการคลอดที่ไม่มีใครดูแล เด็กหลายคนพลัดหลงจากครอบครัว คนส่วนมากไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและอนาคตจะเป็นอย่างไร
        คนที่กลับไปบ้านเกิดในชนบทคิดผิด ที่นั่นทุกคนรู้จักกัน ใครเป็นใคร ใครทำอาชีพอะไร ที่สุดพวกข้าราชการ นักวิชาการ ครู นายแพทย์ คนมีการศึกษา คนใส่แว่นตา (เครื่องหมายแสดงว่าอ่านหนังสือ) ถูกจับกุม ทรมาน และสังหาร...’
     ผมไม่อาจซักถามต่อ โดยเฉพาะประสบการณ์ตรงต่อครอบครัวของท่าน สามปีเศษที่เขมรแดงยึดครองประเทศ ประชาชนเสียชีวิตไปกว่า 2 ล้านคน จะมีครอบครัวใดที่ไม่ประสบชะตากรรมกระนั้นหรือ?
     เราร่ำลาเจ้าบ้านที่สำนักงานศัลยกรรม การพบปะ แลกเปลี่ยนเยี่ยมเยือน ได้เห็นโรงพยาบาล สภาพคนไข้ สภาพบ้านเมือง เป็นปัจจัยสำคัญต่อความเข้าใจและมิตรภาพระหว่างกัน
     เราเดินทางกลับประเทศไทยด้วยเที่ยวบินค่ำ 21.15 น. ใช้เวลาเพียง 1.15 ชั่วโมง เครื่องก็ร่อนลงสู่สุวรรณภูมิ

ทริปพนมเปญ 3 วันนี้ เป็นโอกาสดีในการเรียนรู้จักประเทศกัมพูชา ประเทศเก่าแก่แต่ครั้งอาณาจักรขอม ศิลปวัฒนธรรมที่ข้ามไปมาระหว่างกันกับสยาม ภาษาที่ร่ำรวยศัพท์และสร้อยให้แปลงเป็นราชาศัพท์ ตลอดจนตัวเขียนเลขไทยหรือเลขเขมร?
     ประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยอันขมขื่นและเข้าใจยากที่สุด ได้แก่ยุคเขมรแดงที่เรียกประเทศว่า กัมพูชาประชาธิปไตย (Democratic Kampuchea) (1975-1979) นักประวัติศาสตร์ส่วนมากเห็นพ้องกันว่า เขมรแดงมุ่งมั่นในการนำประเทศสู่ ‘ชาติแห่งชาวนาและกรรมาชีพ’ นัยเพื่อถอนรากคอรัปชั่น ศักดินา และทุนนิยม เขมรแดงโฆษณาว่าสังคมเมืองชั่วร้าย มีแต่เกษตรกรในชนบทเท่านั้นที่ ‘บริสุทธิ์’ สำหรับการปฏิวัติของตน หากนโยบายและปฏิบัติการสุดโต่ง อีกทั้งทารุณกรรมที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิตกว่า 2 ล้านคน ซึ่งถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) มิอาจตอบคำถามหรือบรรลุวัตถุประสงค์ข้อใดเลย
     ผู้ปกครองกดขี่ผู้ถูกปกครอง ผู้ถืออำนาจข่มเหงผู้ไร้อำนาจ เป็นสัจธรรมปรากฏในทุกหนแห่ง ทุกยุค ทุกระบอบ

ผมรำพึงถึงบทกวีของ วิสา คัญทัพ เขียนเมื่อ 14 ตุลาคม 1973 (พ.ศ. 2516)

ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า        ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ
ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน         ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป
เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่              ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ       ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน



ข้อมูลค้นจาก  
     wikipedia.org
     Dy K. A History of Democratic Kampuchea (1975-1979). Documentation Center of Cambodia. Phnom Penh, Cambodia. 2007.

June 2, 2017

Phnom Penh: Tuol Sleng Genocide Museum: 03.08.2016

เรานั่งรถตุ๊กตุ๊กออกไปกินมื้อเช้าที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปลา ที่ทางสะอาดสะอ้าน พนักงานกระฉับกระเฉง เจ้าของยิ้มแย้ม พูดภาษาไทยชัดเจน อาหารอร่อย
     หลังอาหาร นั่งรถตุ๊กตุ๊กไปวัดพนม

วัดพนม
     ตั้งอยู่บนเนินเขา ใกล้ถนนพระศรีสวัสดิ์ (Preah Sisowath Quay) ถนนเลียบแม่น้ำต็วนเลซาบ (Tonle Sap River)
     เล่ากันว่า นานมาแล้ว ยายเพ็ญ (โฎนเปญ - ในภาษาเขมร) คหปตานีหม้าย พบขอนไม้ใหญ่ลอยมาตามแม่น้ำ ภายในมีพระพุทธรูปสำริด 4 องค์ จึงสร้างวิหารบนเนินเขา เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่
     ต่อมา เจ้าพญายาต กษัตริย์กัมพูชา (ครองราชย์ 1445-1481) ย้ายราชธานีจากเมืองบาสาณซึ่งเกิดอุทกภัย มาอยู่ที่กรุงจตุมุข (พนมเพ็ญ) โปรดให้สร้างวัดวาอารามมากมาย หนึ่งในวัดนั้น ได้แก่ วัดพนมโฎนเปญ หรือวัดพนมบรรพต
     เชิงเขาด้านทิศใต้ข้างบันไดทางขึ้น มีเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช (ครองราชย์ 1481-1485) สร้างโดยสมเด็จพระศรีราชาธิราช (ครองราชย์ 1485-?) ลักษณะเจดีย์มีองค์ระฆังแปดเหลี่ยม ศิลปะสมัยพนมเปญยุคที่ 1 (ศตวรรษที่ 15-16)
     บันไดทางขึ้นวัดหันไปทางทิศตะวันออก ราวบันไดทำเป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียร จนถึงชานพัก จากชานพักขึ้นไปสองข้างบันไดประดับด้วยเทวดาและสิงห์หมอบ นำสู่พระวิหารด้านบน
     พระวิหารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคามีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันลายปูนปั้นรูปพระพรหมทรงช้างเอราวัณ ทาสีขาว พื้นหลังสีแดง ชายคากว้างโดยรอบ รับด้วยเสาสี่เหลี่ยม หัวเสาทุกต้นมีกินรีแบก เฉพาะเสาตรงมุมเป็นครุฑแบก ที่เสากลางด้านหน้าประดับซุ้มสำริดรูปนางอัปสรคู่ ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์ ตลอดจนเครื่องบูชาต่างๆ ผนังโดยรอบเขียนภาพชาดกและรามเกียรติ์
     ทิศตะวันตกด้านหลังพระวิหาร เป็นเจดีย์ประธาน เจดีย์ทรงระฆัง ฐานสี่เหลี่ยม สร้างโดยเจ้าพญายาต เป็นตัวอย่างสำคัญของศิลปะสมัยพนมเปญยุคที่ 1
     เชิงเขาด้านทิศใต้ มีนาฬิกาขนาดใหญ่ หน้าปัดเป็นหญ้าเขียว แวดล้อมด้วยสวนหย่อมสบายตา
     ความสำคัญของวัด ความร่มรื่นของบริเวณ ทำให้วัดพนมเป็นแหล่งชุมนุมที่นิยมของชาวพนมเปญ

จากวัดพนม นั่งรถตุ๊กตุ๊กไปยัง Tuol Sleng Genocide Museum ถนน 113 ห่างไปทางใต้ราว 4 กิโลเมตร
สองสาวในคณะขอไม่เข้าชมที่นี่! แต่ไปรอที่ร้านกาแฟใกล้ๆ

ศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่อังกฤษและฝรั่งเศสก้าวขึ้นเป็นเจ้าอาณานิคม ออกล่าเมืองขึ้นทั่วโลก ในเอเชีย อังกฤษใช้กำลังยึดเอาประเทศอินเดีย พม่า อินโดนีเซีย มลายู สิงคโปร์ และแผ่อิทธิพลเข้าสยาม ส่วนฝรั่งเศสเข้ายึดเขตตะวันออกของภาคใต้เวียดนามในปี 1862 และกัมพูชาในปี 1863
     สมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร (ครองราชย์ 1860-1904) กษัตริย์กัมพูชา ลงนามยินยอมอยู่ภายใต้อารักขาของฝรั่งเศสเมื่อปี 1863 และที่สุดราชอาณาจักรกัมพูชาก็ถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีน อาณานิคมฝรั่งเศส
     ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) มิถุนายน 1940 กองทัพเยอรมนีบุกเข้าฝรั่งเศสและยึดกรุงปารีสได้ ฝรั่งเศสต้องจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
     ในเอเชีย ญี่ปุ่นเปิดแนวรบใหญ่ ขยายอิทธิพล โดยอ้างว่าเพื่อสร้าง 'วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา' ยกทัพเข้าอินโดจีน ผลักดันให้ไทยในฐานะพันธมิตรขยาย 'ลัทธิชาติไทยใหญ่' บังคับให้ฝรั่งเศสยกดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงของลาว และแขวงพระตะบอง เสียมเรียบ ศรีโสภณของกัมพูชาให้ไทย เมื่อกำลังของฝรั่งเศสในอินโดจีนอ่อนลงสุดขีด ญี่ปุ่นจึงใช้กำลังยึดอินโดจีนทั้งหมด เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1945 และสนับสนุนให้ สมเด็จพระนโรดมสีหนุ (ครองราชย์ 1941-1955 และ 1993-2004) ประกาศเอกราชจากอาณานิคมฝรั่งเศส
     นับแต่กลางปี 1945 สถานการณ์สงครามพลิกกลับ ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในทุกสมรภูมิ วันที่ 6 สิงหาคม 1945 Hiroshima ถูกทำลายราบด้วยระเบิดปรมาณู ตามด้วย Nagasaki ในวันที่ 9 สิงหาคม 1945 ที่สุดจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้ในวันที่ 14 สิงหาคม 1945
     หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสกลับเข้ามายึดอินโดจีนในฐานะอาณานิคมของตนอีก นำสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 (1945-1954) ในส่วนของกัมพูชา การเรียกร้องเอกราชจากอาณานิคมฝรั่งเศสของสมเด็จพระนโรดมสีหนุที่ดำเนินต่อเนื่อง ประสบผลสำเร็จเมื่อตุลาคม 1953
     ฤดูหนาวปี 1953 ถึงฤดูใบไม้ผลิปี 1954 ฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำในทุกสมรภูมิอินโดจีน
     ในเวียดนาม วันที่ 7 พฤษภาคม 1954 นายพล Vo Nguyen Giap นำกำลังทหาร Viet Minh 55,000 นาย โจมตีที่มั่นสุดท้ายของฝรั่งเศสซึ่งเหลือกำลังพล 16,000 นาย ที่ Dien Bien Phu ภายหลังปิดล้อมอยู่ 55 วัน การรบนองเลือดเบ็ดเสร็จ ฝรั่งเศสต้องยอมจำนน ปิดฉากการเป็นเจ้าอาณานิคมอินโดจีนที่ดำรงมาเกือบ 100 ปี และนำสู่การเจรจาสันติภาพที่ Geneva ในวันรุ่งขึ้น (8 พฤษภาคม 1954) นัยเพื่อการถอยออกจากอินโดจีน 'อย่างมีเกียรติ' ของฝรั่งเศส
     การเจรจาที่ Geneva เป็นไปอย่างเคร่งเครียด กินเวลาถึง 75 วัน ที่สุด Geneva Accords จึงได้ลงนามกันในวันที่ 20 กรกฎาคม 1954
     สาระสำคัญของ Geneva Accords ต่อกัมพูชา ได้แก่ การถอนทหารต่างด้าวออกจากกัมพูชา การห้ามไม่ให้กองทหารต่างด้าวใดๆ แทรกซึม
     กัมพูชาดำเนินนโยบายเป็นกลางตลอดทศวรรษ 1950 และ 1960 ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเข้าแทรกแซงรัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนามใต้ ขัดขวางการรวมประเทศเวียดนาม และที่สุดนำสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง หรือสงครามเวียดนาม หรือสงครามอเมริกัน (1960-1975)
     ปี 1959 Le Duan เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะปฏิวัติฝ่ายใต้ จึงก่อสร้างทาง Ho Chi Minh Trail จากตอนเหนือผ่านขุนเขาของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เพื่อใช้ลำเลียงกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์สู่ฝ่ายใต้ ปี 1960 กองกำลังต่อต้านรัฐบาลเวียดนามใต้ถูกจัดตั้งขึ้นในชื่อ The National Liberation Front (NLF) หรือ Viet Cong
     ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1960 หลายจังหวัดทางตะวันออกของกัมพูชา ตลอดจนเมืองท่า Sihanoukville ถูกใช้เป็นฐานของกองทัพเวียดนามเหนือและ Viet Cong ในการรุกสู่เวียดนามใต้
     ปี 1969 สหรัฐอเมริกาส่งเครื่องบินระดมทิ้งระเบิดที่มั่นของกองทัพเวียดนามเหนือและ Viet Cong ลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชากว่า 30 กิโลเมตร เป็นเวลาต่อเนื่องถึง 14 เดือน สมเด็จพระนโรดมสีหนุซึ่งไม่ต้องการให้การสู้รบลามเข้าไปยังกัมพูชาได้ประท้วงสหรัฐอเมริกาและไม่ยินยอมให้สหรัฐอเมริกาใช้สนามบินและน่านฟ้าของกัมพูชาในปฏิบัติการทางทหาร ยังความขัดเคืองแก่รัฐบาลประธานาธิบดี Richard M. Nixon เป็นอย่างยิ่ง
     ตลอดทศวรรษ 1960 การเมืองภายในกัมพูชาแบ่งขั้วขัดแย้ง ฝ่ายซ้ายรวมกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาจากปารีส อาทิ Son Sen, Ieng Sary, และ Saloth Sar (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Pol Pot) จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งกัมพูชา (Communist Party of Kampuchea, CPK) เคลื่อนไหวทั้งทางการเมืองและการทหาร สมเด็จพระนโรดมสีหนุเรียกกลุ่มนี้ว่า ‘เขมรแดง’ (Khmer Rouge) อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งในปี 1966 ฝ่ายขวาได้รับชัยชนะ  นายพล Lon Nol ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบาย ‘ใกล้ชิด’ กับสหรัฐอเมริกา ขัดแย้งกับสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ประมุขประเทศ
     วันที่ 18 มีนาคม 1970 นายพล Lon Nol ก่อรัฐประหารขณะสมเด็จพระนโรดมสีหนุเยือนกรุงปักกิ่ง และนำกัมพูชาเป็น ‘พันธมิตร’ กับสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 1970 รัฐบาล Lon Nol ยกเลิกระบอบกษัตริย์ เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ‘สาธารณรัฐเขมร’ (Khmer Republic) และสั่งให้กองกำลังเวียดนามเหนือถอนออกจากกัมพูชาภายใน 48 ชั่วโมง เวลานั้นสหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนยุทโธปกรณ์แก่กองทัพกัมพูชาเพื่อต่อสู้กับทั้งกลุ่มเขมรแดงและกองทัพเวียดนามเหนือ ฝ่ายเวียดนามเหนือปฏิเสธไม่ถอนกำลัง เนื่องจากเขตตะวันออกของกัมพูชาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นส่วนหนึ่งของ Ho Chi Minh Trail จึงทุ่มกำลังรักษาที่มั่นนี้ไว้อย่างเข้มแข็งและยิ่งกว่านั้นยังรุกคืบเข้าถึงระยะ 24 กิโลเมตรห่างจากกรุงพนมเปญ พื้นที่ซึ่งยึดเพิ่มได้นี้ เวียดนามเหนือมอบให้กลุ่มเขมรแดง ส่วนสมเด็จพระนโรดมสีหนุก็ปลุกเร้าให้ประชาชนร่วมกันโค่นรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรลง สถานการณ์ตึงเครียดนำสู่สงครามกลางเมือง
     ปี 1972 มีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ นายพล Lon Nol ขึ้นเป็นประธานาธิบดี หากความแตกแยกในกลุ่มผู้นำและคอรัปชั่นวงกว้างยิ่งทำให้รัฐบาลและกองทัพอ่อนแอลง ขณะที่ฝ่ายเขมรแดงเติบโตเข้มแข็งขึ้น Pol Pot และ Ieng Sary คุมอำนาจนำพรรคคอมมิวนิสต์ ลดการพึ่งพากองทัพเวียดนามเหนือลง ถึงปี 1973 เขมรแดงสามารถสู้รบกับฝ่ายรัฐบาลได้โดยปราศจากการสนับสนุนกำลังจากเวียดนามเหนือ ทั้งยึดพื้นที่ได้ถึงร้อยละ 60 ของประเทศ และยึดกุมประชาชนได้ร้อยละ 25
     ปี 1974 กองกำลังเขมรแดงขยายเป็นระดับกองพล ฝ่ายรัฐบาลควบคุมพื้นที่ได้เพียงรอบเมืองใหญ่ พลเมืองกว่า 2 ล้านคนหนีภัยสงครามเข้าไปอาศัยในกรุงพนมเปญและในเมืองอื่นๆ
     วันปีใหม่ 1975 กองทัพคอมมิวนิสต์เขมรแดงเปิดศึกใหญ่ รุกล้อมกรอบกรุงพนมเปญ การสู้รบรุนแรงต่อเนื่องนานนับเดือน ที่สุดเมื่อสถานการณ์คับขันเข้าตาจน สหรัฐอเมริกาจึงถอนกำลังทั้งหมดของตนออกจากกัมพูชา ถัดมาอีกเพียง 5 วัน วันที่ 17 เมษายน 1975 รัฐบาล Lon Nol ต้องยอมจำนน สาธารณรัฐเขมรถึงแก่การล่มสลาย เขมรแดงเข้ายึดครองประเทศ
     ไม่กี่วันต่อมา ประชาชนกว่า 2 ล้านคนในกรุงพนมเปญและเมืองใหญ่อื่นๆ ถูกบังคับให้ออกจากเมืองไปเป็นแรงงานเกษตรกรรมในชนบท หลายพันคนเสียชีวิตระหว่างการอพยพอันฉุกละหุกนี้
     การดำรงอยู่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งกัมพูชา และตัวตนของผู้นำพรรค ถูกปิดเป็นความลับต่อคนภายนอก ความลับเป็นหัวใจของปฏิบัติการตามสโลแกน ‘ความลับคือกุญแจสู่ชัยชนะ ยิ่งลับยิ่งยืนยง’ กลุ่มผู้นำเรียกขานตนเองว่า ‘โองการปฏิวัติ’ (Angkar Padevat)
     เขมรแดงถือลัทธิเหมา มาร์กซ์ เลนิน แบบสุดโต่ง ต้องการเปลี่ยนประเทศสู่สังคมชนบท ปราศจากชนชั้น ไม่มีคนรวยคนจน ไม่มีการกดขี่ ‘โองการ’ สั่งยกเลิกเงิน ธนาคาร ตลาดเสรี ทรัพย์สินส่วนบุคคล เสื้อผ้าสไตล์ต่างประเทศ ระบบการศึกษา ศาสนกิจ ตลอดจนจารีตเดิม โรงเรียน มหาวิทยาลัย วัด โบสถ์ สุเหร่า ร้านค้า และสถานที่ราชการ ถูกปิดหรือเปลี่ยนเป็น คุก ค่ายปรับทัศนคติ โรงเก็บอาวุธ และคอกสัตว์ ไม่มีบริการขนส่งทั้งสาธารณะและเอกชน ไม่มีสิ่งบันเทิงใดๆ เว้นแต่สิ่งบันเทิงปฏิวัติ การพักผ่อนหย่อนใจถูกห้าม ทุกคนในประเทศต้องแต่งชุดดำ ชุดแห่งการปฏิวัติเท่านั้น    
     มกราคม 1976 พรรคคอมมิวนิสต์เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ‘กัมพูชาประชาธิปไตย’ (Democratic Kampuchea) หากประชาชนยิ่งถูกริดรอนสิทธิพื้นฐาน ห้ามออกนอกคอมมูน ห้ามรวมกลุ่มเสวนา สามคนคุยกันจะถูกจับกุมหรือประหาร
     ความสัมพันธ์ครอบครัวเป็นประเด็นถูก ’วิจารณ์’ อย่างหนัก ผู้คนถูกห้ามแสดงอารมณ์ ไม่ว่าอารมณ์ขันหรือสลดใจ เขมรแดงโฆษณาให้ชาวกัมพูชาเชื่อ เชื่อฟัง และเคารพ ‘โองการปฏิวัติ’ ว่าเป็น ‘มารดาและบิดา’ ของทุกคน
     เขมรแดงอ้างว่า ‘คนบริสุทธิ์’ เท่านั้นที่สมควรสร้างสังคมปฏิวัติ บรรดาทหารและข้าราชการจากสาธารณรัฐเขมรของรัฐบาล Lon Nol ไม่เข้าข่าย พวกนี้จึงถูกจับกุมและถูกสังหารนับพันคน เขมรแดงยังสังหารนักวิชาการ ชาวเมือง ชนกลุ่มน้อย อาทิ จาม เวียด จีน ตลอดจนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และทหารเขมรแดงเองที่ถูกกล่าวหาว่าทรยศ รวมอีกนับแสนคน

Tuol Sleng Prison
     โรงเรียนมัธยมเจ้าพญายาต (Chao Ponhea Yat High School) สร้างเมื่อปี 1962 ถูกเปลี่ยนเป็นคุกสำคัญในชื่อรหัส S-21 (Security Office 21) ‘S’ คือ ‘security’ ‘21’ คือรหัสตำแหน่งที่ตั้งทางใต้ของกรุงพนมเปญ (Sangkat Tuol Svay Prey)
     S-21 เป็นที่ลับสำหรับกักขัง สอบสวน ทรมาน และสังหารนักโทษ นับแต่กลางปี 1976 ไม่มีใครได้ออกจากคุกนี้เลย ในหมู่นักโทษราว 14,000 คน เหลือรอดชีวิตเพียง 12 คนภายหลังระบอบเขมรแดงล่มลง
     Tuol Sleng ถูกล้อมด้วยแผ่นเหล็กและลวดไฟฟ้า มีตึกเรียน 4 หลัง ห้องเรียนชั้นล่างถูกซอยกั้นเป็นคอกขนาด 2x0.8 เมตรสำหรับขังเดี่ยว ห้องขนาด 8x6 เมตรสำหรับขังหมู่ ชั้นสองประกอบด้วยห้องใหญ่ใช้ขังนักโทษห้องละ 40-50 คน นอกจากนี้ ยังมีห้องทำงานของหัวหน้า Duch ห้องทะเบียนและธุรการ
     นักโทษส่วนใหญ่ถูกข้อหาทรยศพรรค ต่อต้านการปฏิวัติ หรือร่วมงานกับผู้ที่ถูกจับกุมก่อนหน้า ยิ่งนานวันผู้นำเขมรแดงยิ่งระแวงสมาชิกและทหารของตนเอง อาทิ เดือนตุลาคม 1976 Pol Pot สั่งจับกุมสมาชิกพรรคระดับสูงจำนวนมากและกักขังที่ S-21 นัยเพื่อกระชับความมั่นคงของชาติ ผู้นำมองเห็นศัตรูอยู่ทุกหนทุกแห่ง สหายนับร้อยถูกจับกุมในแต่ละเดือน
     กฎเหล็ก 10 ประการ (Santebal Regulations) สำทับนักโทษให้สยบต่อคำสั่งขณะถูกสอบสวน เขียนบนกระดานดำ ติดอยู่ทั่วบริเวณ
     แรกรับที่ S-21 นักโทษถูกถ่ายรูป ถูกสอบประวัติย้อนแต่วัยเด็กจนถึงวันถูกจับ ให้ถอดเสื้อผ้าเหลือแต่ชั้นใน สมบัติส่วนตัวถูกยึด ในคอกขังเดี่ยวนักโทษถูกล่ามโซ่ที่ยึดกับผนังหรือพื้นปูน ในห้องรวมแต่ละคนถูกล่ามข้อเท้าทั้งสองกับขื่อเหล็กซึ่งยึดกับแท่งเหล็กบนพื้น นักโทษนอนบนพื้น ไม่มีเสื่อ ไม่มีฟูก ไม่มีมุ้ง ห้ามพูดกันเด็ดขาด
     การสอบสวนใช้วิธีทรมานเป็นหลัก อาทิ ทุบตี ฟาดด้วยลวด ช็อตไฟฟ้า จี้ด้วยบุหรี่ เข็มแทง ถอดเล็บ มีดกรีด ถุงพลาสติกครอบหัว มัดแขนหรือมัดขาแขวนห้อยไว้ทั้งวัน ส่วนนักโทษหญิงถูกบังคับให้เปลื้องผ้า ถูกตัดเต้านม ถูกข่มขืน
     หลายคนเสียชีวิตจากการสอบสวนดังกล่าว พวกที่ไม่ตายไม่อาจทนการทรมานจำต้องจินตนาการคำสารภาพตามความต้องการของผู้คุม
     นักโทษส่วนใหญ่ถูกกักขังที่นี่ 2-3 เดือน หลังการสอบสวนและบันทึกคำสารภาพครบถ้วน ก็ถูก ‘จำหน่าย’
     ในปีแรกของคุก S-21 ศพนักโทษถูกฝังบริเวณใกล้ๆ จนถึงปลายปี 1976 ไม่มีที่ว่างเหลือให้ฝังศพอีก กระบวนการ ‘จำหน่าย’ จึงเปลี่ยนไป นักโทษถูกขนโดยรถบรรทุกไปยัง Choeung Ek (ระยะทาง 13 กิโลเมตรไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงพนมเปญ) ในตอนค่ำ ที่นั่นนักโทษถูกตีด้วยพลั่ว ขวาน ไม้ หรือถูกยิง จนเสียชีวิต ร่างถูกฝังรวมในหลุมขนาดตั้งแต่ 6-100 ศพ
     ปี 1979 ภายหลังการล่มสลายของระบอบเขมรแดง รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (The People’s Republic of Kampuchea, PRK) ได้ปรับเปลี่ยนคุก Tuol Sleng เป็น genocide museum และ Choeung Ek เป็นอนุสรณสถาน

Tuol Sleng Genocide Museum
     พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่ถนน 113 ด้านหน้ายาว 600 เมตร ทางเข้าอยู่ตรงมุมทิศใต้
     ตึก A ขนานรั้วทิศใต้ จัดแสดงห้องขัง ห้องสอบสวน
     ลานหน้าตึก A มีหลุมศพนิรนาม 14 หลุม ข้างๆ เป็นเสา คาน โอ่ง และอุปกรณ์ของโรงเรียนที่ถูกแปลงเป็นเครื่องทรมาน
     ตึก B ขนานรั้วทิศตะวันตก จัดแสดงภาพดังนี้
        ผู้นำเขมรแดง: โฉมหน้า ‘โองการ’      
        หายนะของกรุงพนมเปญ: ปีที่ศูนย์แห่งศักราชใหม่
        ผู้คุม S-21: ละอ่อนอันตราย
        เหยื่อต่างด้าว: นาวาในทะเลแห่งความตาย
        การค้นหาอันขมขื่น: คนรักต่างสาบสูญ
        บันทึกความตาย: เบาบาง ชินชา ไร้ความหมาย
     นอกจากนี้ยังจัดแสดง
        ชามสังกะสี: ทาสแรงงานอดอยากในชนบท
        ป้ายประจำตัว: คนเหลือเพียงหมายเลข
        ขื่อเหล็ก: การจัดระเบียบนักโทษ
     ตึก C ขนานรั้วทิศตะวันตก (ต่อจากตึก B) จัดแสดงบันทึกของผู้รอดชีวิต
     ตึก D ขนานรั้วทิศเหนือ จัดแสดงภาพ
        หัวใจสลายของบัวผัน (Bophana)
        เด็กน้อยมองดูแม่
        ภาพเขียน: ความทรงจำ: ความกล้าหาญของ Vann Nath
        ผู้รอดชีวิต: เพียงหยิบมือ
        ซากปรัก: มรดกของเขมรแดง
        หลุมฝังหมู่: ปลายทางของทุกสิ่ง
     นอกจากนี้ยังจัดแสดง
        อุปกรณ์บันทึกภาพนักโทษ
        เครื่องทรมาน
        ตู้ใส่หัวกะโหลกนักโทษ
     ลานหน้าตึก D เป็นสถูปอนุสรณสถานแก่เหยื่อของเขมรแดง
     สามปีเศษที่เขมรแดงยึดครองประเทศ ประชาชนเสียชีวิตไปกว่า 2 ล้านคน
     เป็นการยากที่จะเข้าใจถึงความโหดเหี้ยมไร้เหตุผลที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ได้อย่างขนานใหญ่เช่นนี้
     ผมนั่งสงบใจอยู่นานที่ลานอนุสรณสถาน...

ออกจาก Tuol Sleng Genocide Museum ไปสมทบกับสองสาวซึ่งรออยู่ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วที่สองสาวขอไม่เข้าชมที่นี่!

ข้อมูลค้นจาก
     wikitravel.org
     wikipedia.org
     รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง, ศานติ ภักดีคำ. ศิลปะเขมร. กรุงเทพฯ: มติชน. 2557.
     Dy K. A History of Democratic Kampuchea (1975-1979). Documentation Center of Cambodia. Phnom Penh, Cambodia. 2007.

February 16, 2017

Phnom Penh: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระราชวังหลวง: 02.08.2016

08.40 น. เครื่องบางกอกบินออกจากสุวรรณภูมิช้ากว่ากำหนด 20 นาที
09.30 น. ถึงสนามบินโปเชนตง (Pochentong International Airport) สนามบินระหว่างประเทศ กรุงพนมเปญ กัมพูชา ตรงเวลา
     คณะเราไปกัน 4 คน เข้าเมืองด้วยแท็กซี่สนามบิน ค่ารถราคาเดียว USD 12 ระยะทางราว 10 กิโลเมตร รถแล่นไปทางตะวันออกตามถนน Confederation de la Russie (110) ถึงที่พัก Le Grand Palais Boutique Hotel ถนน 130 เวลา 11.00 น.
     ถนนที่นี่ใช้ระบบตัวเลข เลขคี่สำหรับถนนตามแนวเหนือ-ใต้ เลขคู่สำหรับถนนตามแนวตะวันตก-ออก
     โรงแรมที่พัก สถาปัตยกรรมแบบ French colonial ภายในตกแต่งด้วยศิลปะเขมร กรอบประตู ราวบันได เครื่องประดับเสา สลักลวดลาย ทาสีเลียนแบบสำริด ดูน่าสนใจ
     Check-in เก็บสัมภาระแล้ว ได้เวลาสำรวจเมือง
     จากโรงแรมเดินไปทางตะวันตกเพียงหนึ่งบล็อคเป็น Central Market (Psar Thmey) ผังตึกรูปกากบาทใหญ่โต ทรงโดม สไตล์ Art Deco ยุคทศวรรษ 1930 ตลาดนี้ขายของหลากหลาย แดดจ้าและอากาศร้อน เราจึงหลบเข้า Sorya Shopping Center ที่อยู่ใกล้ๆ ทางทิศใต้ของตลาดกลาง อาหารจานเดียวใน food court ราคา KHR 10,000 (100 บาท) หลังอาหารเราเดินกลับที่พัก
     ช่วงบ่าย นั่งรถตุ๊กตุ๊ก ดัดแปลงจากมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่พ่วงท้ายด้วยกระบะโดยสาร ที่นั่งสองแถวตามขวางหันหน้าหากัน เขมรเรียกรถนี้ว่า 'ละเมาะโมโต' จุดหมายคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ อยู่ห่างจากที่พักราว 1 กิโลเมตร รถแล่นลงใต้ไปตามถนนพระนโรดม (Preah Norodom Blvd, 41) 600 เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าถนน 178 ราว 400 เมตร เลี้ยวขวาเข้าถนนพระองค์เอง (Preah Ang Eng St, 13) เพียง 70 เมตร ก็จอดหน้าพิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ (The National Museum)
     จากประตูรั้วด้านตะวันออก เดินตามถนนเข้าไป อาคารสีแดง raspberry ยาวเกือบ 100 เมตรเป็นตึกหน้า ประกอบด้วย 5 มุข แต่ละมุขมีหลังคาทรงจตุรมุข ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ระหว่างมุขคลุมด้วยหลังคาชั้นลด มุขกลางเป็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ข้างบันไดทางขึ้นมุขกลางมีรูปปั้นสิงห์ข้างละตัว ต่อจากตึกหน้ามีตึกเหนือและตึกใต้ ยาวด้านละกว่า 70 เมตร ด้านในสุดปิดด้วยตึกตะวันตก ทั้งสี่ตึกล้อมลานกว้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าไว้ตรงกลาง
     บริเวณด้านนอกรอบตึกเป็นสวนร่มรื่น มีประติมากรรมประดับพองาม ส่วนลานกว้างกลางวงล้อมตึกด้านใน มีสระบัวขนาดใหญ่ 4 สระ ตรงกึ่งกลางลานเป็นศาลาประดิษฐานประติมากรรมลอยตัวหินทราย เป็นรูปพระยม เทพแห่งความตาย มีเขี้ยวที่มุมปาก ท่านั่งชันเข่า รูปปั้นนี้นำมาจากลานพระเจ้าขี้เรื้อน เมืองนครธม
     ตึกหน้า โถงกลางจัดแสดงประติมากรรมสำริด อาทิ พระนารายณ์บรรทมสินธุ์ จากปราสาทแม่บุญตะวันตก ศิลปะสมัยบาปวน (Baphuon, 1010-1080) โถงทิศใต้จัดแสดงนิทรรศการ Cambodia and the First World War: The Underwater Heritage โถงทิศเหนือจัดแสดงพระพุทธรูปสมัยหลังเมืองพระนคร (Post-Angkor Period)
     ตึกใต้และตะวันตกจัดแสดงประติมากรรมศิลาทรายซึ่งมีจำนวนมากและใช้พื้นที่มากที่สุด อาทิ ศิวลึงค์ จากจังหวัดตาแก้ว ศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์, พระหริหระ จากปราสาทอันเดต (Prasat Andet, 690-700) ศิลปะสมัยไพรกเมง-กำพงพระ (Prei Khmeng-Kompong Preah, 635-700), พระวิษณุ สมัยก่อนเมืองพระนคร, พระอุมาปราบมหิษาสูร, พระพุทธรูป จากวัดโรมโลก จังหวัดตาแก้ว สมัยก่อนเมืองพระนคร, พาลีและสุครีพกำลังสู้กัน ศิลปะสมัยเกาะแกร์ (Koh Ker, 923-944), เทวดา จากปราสาทเบง ศิลปะสมัยบาปวน (Baphuon, 1010-1080), พระศิวะ พระวิษณุ จากปราสาทบากอง ศิลปะสมัยเมืองพระนคร, เศียรพระพุทธรูปแบบบายน (Bayon, 1177-1230), พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร นางปรัชญาปารมิตา ศิลปะสมัยเมืองพระนคร
     ตึกเหนือจัดแสดงศิลปะชนเผ่า และเครื่องเคลือบ  
     พิพิธภัณฑ์นี้ออกแบบโดย George Groslier (1887-1945) ก่อสร้างปี 1917 แล้วเสร็จและเปิดเมื่อวันปีใหม่เขมร 13 เมษายน 1920 (พ.ศ. 2463) ตอนนั้นกัมพูชายังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ต่อมาแม้ได้รับเอกราชในปี 1953 แต่จนถึงปี 1966 ภัณฑารักษ์ชาวกัมพูชาจึงได้ดูแลพิพิธภัณฑ์ของตนเอง
     ช่วงที่เขมรแดง (Khmer Rouge) ยึดครองประเทศ (1975-1979) พิพิธภัณฑ์ถูกปิดทิ้งร้าง เจ้าหน้าที่ถูกจับกุมและเสียชีวิตจำนวนมาก พิพิธภัณฑ์เปิดได้อีกครั้งเมื่อวันที่ 13 เมษายน 1979 ภายหลังระบอบเขมรแดงถูกโค่นลง
     พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ เป็นที่รวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปะเขมร ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ครอบคลุมตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-history Period) สมัยก่อนเมืองพระนคร (Pre-Angkor Period) สมัยเมืองพระนคร (Angkor Period) และสมัยหลังเมืองพระนคร (Post-Angkor Period) สิ่งจัดแสดง อาคาร สวนรอบตึกและลานกว้างภายในล้วนงดงาม ส่งเสริมให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ ทรงคุณค่ายิ่ง

ออกจากพิพิธภัณฑ์เดินย้อนมาตามถนน 13 ไปทางเหนือ เลี้ยวขวาเข้าถนน 178 ไปหนึ่งบล็อค เลี้ยวขวาอีกทีเข้าถนน Samdach Sothearos Blvd (3) ราว 500 เมตร ถึงทางเข้าพระราชวังหลวงกัมพูชา

พระราชวังหลวง (The Royal Palace)
     พระราชวังหลวงหรือพระบรมราชวังจตุมุขมงคลสร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร (ครองราชย์ 1860-1904) เมื่อปี 1865 ภายหลังทรงย้ายเมืองหลวงจากอุดงค์ฦาชัยมายังกรุงพนมเปญ ต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระศรีสวัสดิ์ (ครองราชย์ 1904-1927) ฝรั่งเศสได้รื้อพระที่นั่งต่างๆ ที่สร้างมาแต่เดิมลงจำนวนมาก แล้วสร้างขึ้นใหม่ถวายสมเด็จพระศรีสวัสดิ์
     จากทางเข้าด้านทิศตะวันออกต้องเดินเลาะแนวรั้วต้นไม้และสวนหย่อมไปทางเหนือ ทางเดินประดับด้วยเสานางเรียงมีรูปปั้นเทพนมบนหัวเสา จนถึงทางแยก ขวามือฝั่งตะวันออกเป็น Victory Gate ประตูใหญ่จากถนนตรงเข้าสู่พระราชวัง ซ้ายมือฝั่งตะวันตกคือพระที่นั่งเทวาวินิจฉัย (Preah Tineang Tevea Vinichhay) พระที่นั่งสำคัญองค์ใหญ่สุด หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
     พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยกพื้นสูงสองระดับ ข้างบันไดทางขึ้นมีรูปปั้นสิงห์ข้างละตัว ราวบันไดปูนทำเป็นนาคเจ็ดเศียร หลังคาจตุรมุขซ้อนสามชั้นลด มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ชายคากว้างรับด้วยเสากลมเรียงรายทั้งสี่ด้านเป็นระเบียงรอบตึก หัวเสาทุกต้นมีรูปกินรีแบก หน้าบันแกะสลักลายวิจิตร พระที่นั่งเทวาวินิจฉัยใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับออกขุนนาง และประกอบพระราชพิธีทวาทศมาส (พระราชพิธีสิบสองเดือน) มุข 2 ข้างของพระที่นั่งคือ 'หอราชบัณฑิตย์' และ 'หอพระอัฐิ' ถัดเข้าไปภายในเป็นมหามณเฑียร มีพระแท่นบรรทม รวมทั้งหอเสวย
     พระที่นั่งจันทฉายา (Preah Tineang Chanchhaya) เป็นพระที่นั่งบนแนวกำแพงด้านตะวันออก องค์เดิมสร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร ต่อมาเมื่อปี 1913 ในรัชกาลสมเด็จพระศรีสวัสดิ์  ฝรั่งเศสได้รื้อพระที่นั่งองค์เดิมแล้วสร้างขึ้นใหม่ เพื่อใช้เป็นที่เสด็จออกทอดพระเนตรกระบวนแห่ในพระราชพิธีสนานจตุรงคเสนา และเป็นที่เสด็จออกในวันชาติ
     พระมหาปราสาทเขมรินทร์ (Preah Moha Prasat Khemarin) สร้างขึ้นระหว่าง 1927-1930 ในรัชกาลสมเด็จพระศรีสวัสดิ์มณีวงศ์ (ครองราชย์ 1927-1941) เพื่อใช้เป็นที่ประทับถาวรของพระมหากษัตริย์และพระมเหสี ปัจจุบันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนโรดมสีหมุนี (ครองราชย์ 2004-ปัจจุบัน)
     หอสัมฤทธิ์พิมาน (Hor Samritvimean) ใช้เป็นที่ประดิษฐานเทวรูปพระปัญจเกษตร อันประกอบด้วย พระอิศวร พระนารายณ์ พระพลเทพ พระคเณศ และพระอุมา ซึ่งเป็นเทวรูปที่ใช้ในพระราชพิธีพราหมณ์ นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำหรับพระมหากษัตริย์
     หอสำราญภิรมย์ ใช้สำหรับเก็บเครื่องดนตรีหลวง และเครื่องใช้ในกระบวนราชาภิเษก รวมทั้งใช้เป็นที่พักก่อนเสด็จทรงช้างพระที่นั่งด้วย ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระนโรดมสีหนุ
     พระที่นั่งโภชนี (Preah Tineang Phhochani) เป็นพระที่นั่งโถง สร้างขึ้นในปี 1912 ใช้เป็นที่แสดงละครหลวง บางครั้งใช้เป็นที่สมเด็จพระนโรดมสีหนุมีพระดำรัสกับประชาชนที่เข้าเฝ้า
     ปาวีย็องนโปเลียนที่ 3 (Pavillon Napoleon III) เป็นตำหนักที่ประทับของพระนาง Eugnie de Montijo มเหสีของพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 คราวเปิดคลองสุเอซ ณ ประเทศอียิปต์ เมื่อปี 1869 ต่อมาพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 โปรดให้รื้อมาสร้างใหม่ถวายสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตารในปี 1876 ปัจจุบันใช้เป็นหอศิลป์แสดงภาพเขียนสีน้ำมันพระสาทิสลักษณ์พระมหากษัตริย์ รวมทั้งศิลปวัตถุอื่นๆ แต่อยู่ระหว่างปิดบูรณะ เข้าชมไม่ได้
     ด้านทิศใต้ของพระราชวังหลวงเป็นวัดพระแก้วมรกต มีทางเข้าผ่านพระระเบียงวัดด้านทิศเหนือ

วัดพระแก้วมรกต
     สร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร ตั้งแต่ปี 1892-1902 สมโภชปี 1903 เรียกว่า 'วัดอุโบสถรตนาราม' ด้วยเป็นที่สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงศีลทุกวันอุโบสถ และพระราชวงศานุวงศ์ประกอบพิธีทางพุทธศาสนา ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาเนื่องจากเป็นวัดในพระราชวังหลวง ต่อมาได้รับการบูรณะสมัยรัฐบาลสมเด็จพระนโรดมสีหนุ (ครองราชย์ 1941-1955 และ 1993-2004) เมื่อปี 1962-1970
     โบราณสถานสำคัญได้แก่
     พระวิหารพระแก้วมรกต (Preah Vihear Preah Keo Morakot) ภายในมีบุษบกประดิษฐานพระแก้วมรกตเป็นพระประธาน หล่อจากคริสตัลสีเขียว
     มณฑปพระไตรปิฎก (Mandapa of Satra and Tripitaka)
     พนมขันทมาลีนาทีบรรพตไกรลาส (Kailassa Mountain) ประดิษฐานพระพุทธบาทซึ่งมีลายมงคล 108 จำหลักอยู่
     กึงพระบาท (Koeng Preah Bat) ประดิษฐานพระพุทธบาท 4 รอย
     ธรรมศาลา (Dharmasala) เป็นที่เจริญพระปริตรและสัตตปกรณาภิธรรม
     หอระฆัง
     ราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร พระรูปนี้เป็นของที่ระลึกจากพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 สร้างเมื่อปี 1875 นำมาประดิษฐานที่หน้าพระวิหารพระแก้วมรกตเมื่อปี 1892 ต่อมาในปี 1953 สมเด็จพระนโรดมสีหนุเตรียมเรียกร้องเอกราชจากอาณานิคมฝรั่งเศส พระองค์ได้บวงสรวงขอชัยชนะต่อพระพักตร์พระรูป หลังจากได้รับเอกราช พระองค์จึงทรงสร้างมณฑปครอบเหนือราชานุสาวรีย์นี้
     นครวัดจำลอง ตั้งอยู่หลังพระวิหารด้านทิศตะวันตก
     พระเจดีย์สมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร (พระเจดีย์ด้านเหนือ) บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร
     พระเจดีย์สมเด็จพระหริรักษรามาอิศราธิบดี (พระเจดีย์ด้านใต้) บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระหริรักษรามาอิศราธิบดี (พระองค์ด้วง) สร้างขึ้นเมื่อปี 1907 รูปแบบเดียวกับพระเจดีย์ด้านเหนือ องค์ระฆังกลมสูงชะลูด ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นจำนวนมาก ที่โดดเด่นคือ ลายสายสังวาลห้อยระย้าไปมาประดับองค์ระฆัง อันเป็นหนึ่งในลักษณะของเจดีย์ศิลปะพนมเปญยุคที่ 2
     พระเจดีย์สมเด็จพระนโรดมสุรามฤต บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระนโรดมสุรามฤต พระราชบิดาของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ
     ปรางค์คันธบุปผา สร้างเมื่อปี 1960 บรรจุอัฐิของพระองค์เจ้าหญิงนโรดมคันธบุปผา พระราชธิดาของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา 4 พรรษา ปรางค์นี้สร้างตามอย่างศิลปะเขมรโบราณแบบบันทายสรี
     พระระเบียง มีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ประดับ
     ระเบียงทิศใต้ก่อนถึงทางออก เป็นห้องนิทรรศการแสดงภาพพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ในวาระต่างๆ
     พระราชวังหลวงและวัดพระแก้วมรกตมีพื้นที่กว้างขวาง จำนวนสิ่งปลูกสร้างไม่มาก ไม่เบียดเสียด ศิลปสถาปัตยกรรมสอดคล้องกัน ทำให้องค์ประกอบโดยรวมสง่างาม น่าชื่นชม

ออกจากวัดพระแก้วมรกต เดินขึ้นเหนือไปตามถนน Samdach Sothearos Blvd (3) เลียบกำแพงพระราชวังหลวง ผ่านพระที่นั่งจันทฉายา ตั้งโดดเด่นบนแนวกำแพง น่าเสียดายที่มีคราบมูลนกพิราบเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วไป ทั้งตามผนังและหลังคาพระที่นั่ง ฝั่งตรงข้ามถนนเป็นสวนสาธารณะ The Royal Palace Park ยามเย็น แดดร่ม ผู้คนพากันเดินเล่นหลังเลิกงาน สวนกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่หนึ่งบล็อคไปจรดถนนพระศรีสวัสดิ์ (Preah Sisowath Quay) ถนนเลียบแม่น้ำต็วนเลซาบ (Tonle Sap River)
     เราแวะนั่งพัก จิบกาแฟ ที่ Costa Cafe ตรงหัวมุมถนน 178 ตัดกับถนนพระศรีสวัสดิ์ ทำเลบนชั้นสองมองเห็นแม่น้ำต็วนเลซาบอยู่ทางตะวันออก สวนสาธารณะเขียวขจีอยู่ทางใต้ บรรยากาศชวนให้ผ่อนคลาย สักครู่ฝนตกเป็นละอองฝอย วงเสวนาของเราจึงยิ่งรื่นรมย์
     ฝนหยุดตกแล้ว เราไปเดินเล่นริมน้ำต็วนเลซาบ ทางเดินกว้าง ปราศจากหาบเร่แผงลอย ไม่มีท่ารถเมล์ ไม่มีคิวรถตู้ ทิวทัศน์แม่น้ำไร้สิ่งกีดขวาง ช่างงดงามยิ่งใหญ่ เราเดินไป 1 กิโลเมตร จึงกินมื้อค่ำที่ร้าน Titanic อาหารพื้นเมืองเขมร เอร็ดอร่อย
     เดินย่อยอาหาร ระยะทางราว 900 เมตร กลับถึงที่พัก 21.00 น.

ย่านตะวันออกของกรุงพนมเปญ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระราชวังหลวง วัดพระแก้วมรกต สวนสาธารณะ แม่น้ำต็วนเลซาบ ถนนริมน้ำ ยังคงรักษาคุณค่า ศิลปสถาปัตยกรรม ความงดงามตามธรรมชาติ ไว้ได้อย่างน่านิยม


ข้อมูลค้นจาก
     cambodiamuseum.info
     wikitravel.org
     wikipedia.org
     รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง, ศานติ ภักดีคำ. ศิลปะเขมร. กรุงเทพฯ: มติชน. 2557.
     สุภัทรดิศ ดิศกุล หม่อมเจ้า. ประวัติศาสตร์ศิลปะประเทศใกล้เคียง. กรุงเทพฯ: มติชน. 2556.







January 7, 2017

สีชัง: พระจุฑาธุชราชฐาน: 17.05.2016

พฤษภาคม พ.ศ. 2519
     ...บรรยากาศ 'แสวงหา' ของเยาวชนคนหนุ่มสาว กำลังคึกคัก กระตือรือร้น เป็นอย่างยิ่ง
     ก่อนเปิดเทอม กลุ่มสังคมศาสตร์ศึกษาของเราไป 'ปิคนิค' ที่บ้านไร่ของพ่อเพื่อน อำเภอศรีราชา ชลบุรี
     เรานั่งรถ บขส จากเอกมัย ถึงตลาดศรีราชาก่อนเที่ยง ต่อรถสองแถวไปที่ไร่
     ช่วงบ่าย เจ้าบ้านพาลงเรือที่เกาะลอยไปเที่ยวเกาะสีชัง บ้านเรือนบนเกาะก็เป็นเช่นชนบททั่วไป แต่ที่แปลกใจคือมีพระราชวังเก่าแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ถูกทิ้งร้าง สภาพทรุดโทรม น่าฉงน...

ถิ่นสุขกายสุขด้วย      ถิ่นดี
จิตโปร่งปราศราคี     ชุ่มชื้น
สองสุขแห่งชาวสี       ชังเกาะ นี้แฮ
อายุย่อมยืนพื้น         แต่ร้อยเรือนริม
(บทประพันธ์ในรัชกาลที่ 5)
     พ.ศ. 2431 พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ทรงประชวร แพทย์หลวงแนะนำให้เสด็จประทับรักษาพระองค์ที่เกาะสีชัง จนพระอาการทุเลา นอกจากนี้ เกาะสีชังยังเป็นที่พักฟื้นของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ อีกพระองค์หนึ่ง  
     พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างเรือนขึ้น 3 หลัง โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระคลังข้างที่ เพื่อเป็นที่พักสำหรับผู้ป่วยที่มารักษาตัวยังเกาะสีชัง เรียกว่า 'อาไศรยสถาน' พระราชทานนามว่า เรือนวัฒนา เรือนผ่องศรี และเรือนอภิรมย์ ตามพระนามพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี และพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ พระอรรคชายาเธอ ที่ทรงบริจาคทรัพย์จัดซื้อเครื่องตกแต่งเรือนแต่ละหลังตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ระหว่างปี พ.ศ. 2434-2436 เป็นช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินประทับ ณ เกาะสีชัง จึงไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าพัก 'อาไศรยสถาน' ทั้งสามซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐาน
     พ.ศ. 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานไปยังเกาะสีชัง ขณะนั้น พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวีทรงพระครรภ์ ใกล้มีพระประสูติกาล รัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้สร้างพระราชฐานขึ้น พระราชทานนามว่า 'พระจุฑาธุชราชฐาน' ตามพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ซึ่งประสูติที่นี่ พระราชฐานประกอบด้วย พระที่นั่ง 4 องค์ และตำหนัก 14 ตำหนัก
     พ.ศ. 2436 เกิดกรณีพิพาทดินแดนลาวระหว่างฝรั่งเศสกับสยาม นำสู่การปะทะกัน และบานปลายเป็น 'วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112' ฝรั่งเศสส่งเรือปืนผ่านปากน้ำเจ้าพระยาเข้ามาทอดสมอหน้าสถานทูตของตนที่บางรัก ข่มขู่ยื่นคำขาดต่อสยามหลายประการ ต่อมาเรือปืนนั้นถอยออกไปยังเกาะสีชัง กองทหารบุกขึ้นเกาะ และปิดอ่าวสยาม การก่อสร้างพระที่นั่งและตำหนักต่างๆ บนเกาะจึงชะงักลง หลังจากนั้นพระจุฑาธุชราชฐานก็มิได้เป็นที่สำหรับเสด็จแปรพระราชฐานอีกต่อไป นอกจากนี้ รัชกาลที่ 5 ยังโปรดให้รื้อถอนพระที่นั่งและตำหนักบางส่วนไปสร้างที่อื่น
     ...แต่นั้นมาเป็นอันยกเลิกพระราชวังที่เกาะสีชัง...      
     พ.ศ. 2520 รัฐบาลมีมติให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดูแลพื้นที่อันเป็นที่ดินราชพัสดุนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษา มหาวิทยาลัยจึงวางผังแม่บทการใช้ที่ดิน ปรับปรุงพื้นที่บางส่วนนอกเขตพระราชฐานจัดตั้งสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล และศูนย์ฝึกนิสิต พร้อมทั้งศึกษารวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของอาคารที่ยังหลงเหลืออยู่
     พ.ศ. 2532 ภายใต้โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) รัฐบาลประกาศให้เกาะสีชังเป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ให้มีการศึกษาและวางแผนพัฒนาพื้นที่พระจุฑาธุชราชฐาน อันนำไปสู่การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และการอนุรักษ์ฟื้นฟู โดยกรมศิลปากรร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา
     พ.ศ. 2546 ในวโรกาสวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครบ 150 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการปรับปรุงอาคารและภูมิทัศน์รอบพระจุฑาธุชราชฐาน จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์โบราณสถาน
     สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2547        
     ปัจจุบันพื้นที่ที่เป็นสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเลและศูนย์ฝึกนิสิต (ประมาณ 5 ไร่) อยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนพื้นที่ที่เป็นโบราณสถาน (ประมาณ 219 ไร่) อยู่ในความดูแลของสำนักบริหารงานศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พฤษภาคม พ.ศ. 2559
     หน้าร้อนปีนี้ ร้อนและแล้งยาวนานกว่าปีก่อนๆ
     เมื่อวาน ผมขับรถไปเยือนบางแสน ชายทะเลที่คุ้นเคยแต่เก่า ยามเที่ยงแม้แสงแดดจ้าแต่ลมทะเลพัดแรง หาดทรายสงบ ไร้นักท่องเที่ยวด้วยเป็นวันจันทร์ บรรยากาศผ่อนคลายสบายใจ
     ตอนเย็น แวะไปอ่างเก็บน้ำบางพระ น่าเสียดาย ต้นเสลาซึ่งปลูกเป็นแนวตามถนนทิ้งดอกที่บานสะพรั่งช่วงปลายเดือนมีนาคมหมดแล้ว
     ตอนค่ำ พักค้างแรมที่ The Balcony Seaside ศรีราชา
     เช้านี้ รถโรงแรมไปส่งที่ท่าเรือเกาะลอย
     10.00 น. เรือเฟอร์รี่ออกจากเกาะลอยตรงเวลา มุ่งหน้าสู่เกาะสีชังซึ่งอยู่ห่างฝั่งไปทางตะวันตก 12 กิโลเมตร ภูมิศาสตร์บริเวณก้นอ่าวไทยนี้สงบลมและคลื่น เหมาะแก่การถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่สู่เรือเล็ก ทุกวันนี้จึงยังเห็นเรือสินค้าจำนวนมากจอดลอยลำอยู่ เรือเฟอร์รี่แวะส่งของและคนที่เกาะขามใหญ่ครู่หนึ่ง ก่อนเข้าเทียบท่าเทววงษ์ ด้านตะวันออกของเกาะสีชัง เวลา 10.45 น.

ผมเหมารถตุ๊กตุ๊ก ดัดแปลงจากมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่พ่วงท้ายด้วยกระบะโดยสาร ที่นั่งสองแถวตามขวางหันหน้าหากัน แต่ก่อนเรียก 'รถสกายแล็บ' (Skylab) ตุ๊กตุ๊กนี้เครื่องยนต์แรงเหมาะกับภูมิประเทศที่เป็นเขาลาดชันสูงของสีชัง
     รถแล่นพาไปทางทิศเหนือ แวะจุดแรกคือศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนกว่าสิบคนที่โดยสารเรือเฟอร์รี่ลำเดียวกัน ขึ้นมาพร้อมเครื่องเซ่นไหว้เป็นล่ำเป็นสัน ชาวจีนนิยมมาสักการะศาลเจ้านี้โดยเฉพาะในช่วงตรุษจีน จากเนินเขาที่นี่มองเห็นเมืองสีชังซึ่งชุมนุมอยู่ริมทะเลตะวันออกของเกาะได้อย่างชัดเจน
     เดินทางต่อไปฟากตะวันตกของเกาะ ชายฝั่งด้านนี้ส่วนมากเป็นหิน บริเวณช่องอิศริยาภรณ์หรือช่องเขาขาด มีศาลาพักชมวิวปลูกไว้หลายหลัง เรียงรายลดหลั่นระดับตามเนินเขา แดดจัดจ้า ดีที่ลมทะเลพัดแรงผ่อนร้อนลงได้บ้าง จากศาลามองเห็นผืนน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มสุดสายตา ท้องฟ้าใสสีครามยิ่งใหญ่
     รถพาเลียบฝั่งตะวันตกลงใต้ แวะชมอ่าวอัษฎางค์ จากที่จอดรถบนเนินเขา มองเห็นเวิ้งอ่าวและหาดถ้ำพังที่อยู่ด้านล่างช่างงดงาม เดินลงไปยังชายหาด ร้านค้า เตียงผ้าใบกางไว้ว่างเปล่าจำนวนมาก มีเพียงนักท่องเที่ยว 7-8 คน เล่นน้ำอยู่
     จากหาดถ้ำพัง รถแล่นตัดไปทางตะวันออก ถึงพระราชฐาน จุดหมายสำคัญของการมาเยือนเกาะสีชัง
     12.30 น. กินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารหน้าวัง

พระจุฑาธุชราชฐาน
     จากที่จอดรถ เดินตามถนนเลียบชายหาดสู่พระราชฐาน ส่วนบริการตรงทางเข้าแนะนำข้อมูลและแผนที่เส้นทางเดิน ภูมิทัศน์อันงดงามกว้างขวางตรงหน้า พาให้ความคิดคำนึงล่องลอย...
     ...เส้นทางเดินชัดเจนนำไปตามลำดับ

สะพานอัษฎางค์    
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างสะพานทอดลงไปในทะเลบริเวณแหลมวัง ด้านหน้าเขตพระราชฐาน เป็นสะพานท่าเรือขนาดใหญ่ มีป้ายบอกนามสะพานทั้งภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ความว่า 'สะพานอัษฎางค์ รัตนโกสินทร์ศก 110 สร้างสมัย ร. 5'
     ตัวสะพานทำด้วยไม้สักทาสี ตรึงเหล็กแข็งแรง สะพานยาวตั้งแต่ถนนถึงปลายที่ทอดลงทะเลกว่า 120 เมตร พื้นกว้างจรดหลังพนักทั้ง 2 ข้าง 4 เมตร เหลือชานนอกพนักอีกข้างละ 0.15 เมตร มีศาลาพักบนสะพาน 3 หลัง ตั้งที่ต้นสะพานหนึ่งหลัง กลางสะพานหนึ่งหลัง และปลายสะพานหนึ่งหลัง ขนาดเท่ากันทั้ง 3 หลัง คือ กว้าง 6 เมตร ยาว 12 เมตร สูง 4.30 เมตร ศาลาพักต้นและปลายสะพานมีมุขต่อออกมาหลังละมุข บรรจบต้นและปลายสะพาน เสาก่อด้วยศิลารับคานสะพาน รวม 36 เสา บันไดลงน้ำตามศาลาพัก 7 ที่
     สะพานอัษฎางค์ของเดิมผุพังไปหมดแล้ว สะพานปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ให้เหมือนของเดิมสง่างาม โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง คือช่วงบูรณะครั้งแรกสร้างตัวสะพาน และเมื่อบูรณะครั้งที่ 2 สร้างศาลา 3 หลัง
   
ฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาวางศิลาฤกษ์พระที่นั่งองค์ใหญ่ในพระราชฐานเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2435 พระราชทานนามพระที่นั่งองค์ใหญ่นี้ว่า 'พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์' และในวันเดียวกันนั้นยังมีพิธีสมโภชน์เดือนพระราชกุมาร พระราชทานนามว่า 'สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก' และพิธีพระราชทานนามพระราชฐานว่า 'พระจุฑาธุชราชฐาน' จารึกเหตุการณ์นี้ปรากฏบนศิลาที่อยู่ใต้ต้นมะขามตรงข้ามพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ด้านหลังของศิลาบันทึกเกี่ยวกับต้นมะขามที่พระองค์ทรงให้ขุดจากพลับพลาที่ประทับเดิมมาปลูก ณ จุดปัจจุบัน
     พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนกระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) พระองค์จึงไม่เสด็จอีก ต่อมาในปี พ.ศ. 2443 ระหว่างเสด็จประพาสหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก ทรงทอดพระเนตรเห็นพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์รกร้างอยู่ จึงโปรดให้รื้อถอนมาสร้างขึ้นใหม่ ณ พระราชวังดุสิต พระราชทานนามว่า 'พระที่นั่งวิมานเมฆ'
     ปัจจุบันพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์เหลือให้เห็นเพียงฐานราก มีประวัติพร้อมภาพตอนก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และภาพพระที่นั่งวิมานเมฆให้เปรียบเทียบ ส่วนศิลาจารึกนั้นไม่สามารถอ่านได้ด้วยลบเลือนไปตามกาลเวลา จึงมีแท่นกระจกคัดลอกข้อความจากจารึกทั้ง 2 ด้านวางซ้อนศิลาไว้ให้อ่านแทน

เรือนไม้ริมทะเล
     สันนิษฐานว่าเดิมเป็นเรือนพักตากอากาศของชาวต่างประเทศ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ปรับปรุงเป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์ในคราวเสด็จมารักษาพระองค์ ก่อนที่จะมีการสร้างพระราชฐาน    
     เรือนไม้ริมทะเลเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวต่อกับสองชั้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยกพื้นสูง 0.90 เมตร กว้าง 9 เมตร ยาว 18 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนที่เป็นสองชั้น หลังคาทรงปั้นหยามุงสังกะสี ส่วนที่เป็นชั้นเดียว หลังคาปั้นหยา ช่วงกลางที่ต่อกับสองชั้นยกเป็นจั่วด้านหน้า มุงสังกะสี ส่วนชั้นเดียวยาวเป็นสองเท่าของส่วนสองชั้น มีเฉลียงตลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีลูกกรงไม้กันตก ใต้ถุนก่ออิฐถือปูนปิด มีบันไดขึ้นด้านหน้า แต่งชายคาด้วยไม้ฉลุลายเป็นรูปโค้ง มีเสารับชายคาที่เฉลียง ส่วนชั้นเดียวมี 2 ห้อง ประตูด้านหน้า 6 ประตู ด้านหลัง 6 ประตู มีหน้าต่างด้านสกัด 1 บาน ส่วนสองชั้นมีห้องชั้นล่าง 1 ห้อง ชั้นบน 1 ห้อง มีหน้าต่าง 3 ด้าน ด้านละ 3 บาน ทั้งชั้นล่างและชั้นบน
     เรือนไม้ริมทะเลทาสีเขียวเข้มงดงาม ห้องชั้นล่างของส่วนสองชั้นจัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดได้จากฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ และนิทรรศการสถานที่สำคัญ ประเพณีของเกาะสีชัง ห้องชั้นบนเป็นสำนักงานพิพิธภัณฑ์ ส่วนชั้นเดียวจัดเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

เรือนวัฒนา
     ตึก 2 ชั้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 8 เมตร ยาว 11 เมตร ผนังหนา 0.30 เมตร ทาสีขาว หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องเกล็ดเต่า ด้านหน้าอยู่ทิศใต้หันสู่ทะเล มีเฉลียงยาวตลอดทั้งชั้นบนและชั้นล่าง กว้าง 2 เมตร มีลูกกรงไม้กันตก บันไดทางขึ้นเรือนอยู่ตรงกลางด้านหน้า เป็นบันไดก่ออิฐถือปูน ขั้นบันไดทำด้วยหินทราย แปลนชั้นล่างและชั้นบนเหมือนกันคือ ด้านทิศใต้มีประตู 3 ประตู ด้านทิศเหนือมีหน้าต่าง 3 บาน ด้านสกัดหัวท้ายมีหน้าต่าง 2 บาน ภายในแบ่งเป็นห้องโถงใหญ่ 1 ห้อง ห้องบันได 1 ห้อง และห้องเล็กข้างบันได 1 ห้อง ส่วนพื้น บันได ประตู หน้าต่าง เพดาน และโครงหลังคาทำด้วยไม้สัก
     ที่เฉลียงชั้นบน มองเห็นต้นลั่นทมที่ปลูกรอบเรือนเป็นระเบียบงดงาม หน้าร้อนที่แล้งยาวนานปีนี้ทำให้ลั่นทมทิ้งใบหมดต้น ดีที่ยังมีดอกบานประดับทั่วไป ลมทะเลโกรกเย็นสบาย ชวนให้อ้อยอิ่งอยู่ตรงเฉลียงนั้นเป็นเวลานาน
     เรือนวัฒนาจัดแสดงรูปปั้นหินอ่อนพุฝอยสุหร่ายของเดิม และนิทรรศการเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในพระจุฑาธุชราชฐาน

เรือนผ่องศรี
     ตึกชั้นเดียวรูปกลม ทาสีขาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 13 เมตร หลังคาทรงกลม ยอดเป็นรูปโดม ยกพื้นสูง 0.90 เมตร ส่วนใต้ถุนเทคอนกรีตปิดเป็นแนวเอียงออกโดยรอบ กว้าง 2 เมตร พร้อมลูกกรง มีบันไดทางขึ้น 3 ทาง เป็นบันไดก่ออิฐถือปูน เสารับชายคาก่ออิฐ ผนังเป็นกำแพงหนา 0.30 เมตร มีประตูทั้งหมด 9 ประตู แบ่งเปิดเป็นตอนบนและล่างได้ ส่วนพื้น เฉลียง ลูกกรง ประตู เพดานและโครงหลังคา ตลอดจนช่องระบายอากาศส่วนโดมเป็นไม้ ภายในตึกเป็นโถงรูปกลม เพดานไม้ทำช่องระบายอากาศ กึ่งกลางเป็นรูปกลีบดอกไม้และวางแนวไม้เป็นวงแหวนโดยรอบอย่างงดงาม
     เรือนผ่องศรีจัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและประวัติผู้มีบทบาทสำคัญกับเกาะสีชังในอดีต และเป็นที่ตั้งพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระราชโอรส 3 พระองค์ (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ) ซึ่งจำลองจากรูปถ่ายที่ฉาย ณ เกาะสีชัง พระบรมรูปนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนทรัพย์ร่วมกับนิสิตเก่าจุฬาฯ รุ่นปี พ.ศ. 2516 จัดสร้างขึ้น

เรือนอภิรมย์
     ตึกชั้นเดียว รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 6 เมตร ยาว 22.50 เมตร หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องเกล็ดเต่า ด้านหน้าอยู่ทิศตะวันออกหันสู่ทะเล ยกพื้นสูง 1 เมตร ใต้ถุนก่ออิฐถือปูนปิด มีเฉลียงกว้าง 2 เมตร ยาวตลอดด้านหน้าพร้อมลูกกรงไม้กันตก ภายในแบ่งออกเป็นห้องใหญ่กลาง 1 ห้อง และสองปีกซอยเป็นห้องเล็ก ปีกละ 2 ห้อง แต่ละห้องมีประตู ด้านหน้า 1 ประตู และด้านหลัง 1 ประตู ห้องกลางมีหน้าต่างด้านหน้า 2 บาน ด้านหลัง 3 บาน ด้านสกัดหัวท้ายมีหน้าต่างข้างละ 2 บาน ด้านหลังมีเฉลียงไม้ และห้องน้ำเล็ก 2 ห้อง กระหนาบหัวท้าย เชื่อมกับเรือนครัวด้วยลานซีเมนต์กว้าง 3 เมตร มีรางระบายน้ำฝน เรือนครัวมี 4 ห้อง ขนาดเท่ากันคือ 3x3 เมตร แต่ละห้องมีประตู 1 ประตู มีบันไดทางขึ้นด้านหน้า 1 บันได และด้านข้างสู่ลานหน้าครัวทิศเหนือ 1 บันได ทำด้วยอิฐถือปูน ขั้นบันไดทำด้วยหินทราย
     เรือนอภิรมย์จัดแสดงนิทรรศการสิ่งปลูกสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5
   
จากเรือนอภิรมย์ทางเดินไปทิศตะวันตกนำขึ้นเขาสู่วัดอัษฎางคนิมิตร เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังตกแต่งประดับไฟ สำหรับการเวียนเทียนวันวิสาขบูชาที่จะมาถึงในอีก 3 วัน

วัดอัษฎางคนิมิตร
     เดิมวัดเกาะสีชังตั้งอยู่ตรงปลายแหลมที่เรียกว่า 'แหลมวัด' ต่อมาเมื่อสร้างพระราชวังขึ้นที่แหลมนี้ในปี พ.ศ. 2435 จึงเรียกว่า 'แหลมวัง'      
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างพระอารามเปลี่ยนถวายใหม่บนเนินเขาใกล้กับบ่ออัษฎางค์ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ โปรดเกล้าฯให้อาราธนาพระสงฆ์มาประชุม ณ พระเจดีย์อุโบสถ ทรงถวายประกาศพระราชทานที่เขตพระอุโบสถเป็นวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 และพระราชทานนามว่า 'วัดอัษฎางคนิมิตร'
     พระอุโบสถมีลักษณะแตกต่างจากที่อื่นคือ เป็นรูปกลม หลังคาแบน มีเจดีย์กลมซ้อนอยู่ข้างบน พระอุโบสถก่ออิฐถือปูน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เมตร ด้านตะวันออกมีมุขสี่เหลี่ยม กว้าง 3 เมตร ยาว 3.25 เมตร หลังคาแบน ภายในพระอุโบสถเป็นโถงรูปกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร เพดานโค้งตามรูปเจดีย์ มีทางเดินกว้าง 2 เมตรโดยรอบ มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกตรงข้ามกัน มีหน้าต่างรวม 14 บาน ทั้งประตูและหน้าต่างทำเป็นรูปโค้ง ช่องแสงโค้งติดกระจก ประตูและหน้าต่างเป็นบานไม้สัก ที่ส่วนฐานของพระเจดีย์ซึ่งเป็นเพดานพระอุโบสถ มีช่องแสงรูปกลมทั้ง 8 ทิศ ที่ส่วนกลางและที่ส่วนคอเจดีย์มีช่องแสงรูปกลม 8 และ 4 ช่องตามลำดับ จากพื้นถึงส่วนยอดสูง 16 เมตร พื้นปูแผ่นหินอ่อนสีขาวสลับดำ มีลานโดยรอบรูปกลมยกเป็นแท่นสูง เฉลียงกว้าง 10 เมตร มีลูกกรงกระเบื้องดินเผาเคลือบโดยรอบ มีบันไดขึ้น 3 ทาง บริเวณลานก่อขอบอิฐถือปูนสำหรับปลูกต้นไม้ มีทั้งรูปกลมและรูปกลีบดอกไม้ 4 กลีบ บนราวลูกกรงตั้งศิลาจารึกคำสอนในพระพุทธศาสนา 8 หลัก แทนเสมา
   
ระฆังหิน
     เป็นหินปูนผสมหินทรายเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เนื้อแข็งและหนาแน่นมาก เมื่อเคาะจะเกิดเสียงคล้ายเสียงระฆัง ตั้งอยู่ที่ลานหินโบราณด้านทิศเหนือของวัด

เจดีย์เหลี่ยม
     ไม่ปรากฏประวัติการสร้าง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเจดีย์ตามบันทึกของ John Crawfurd ราชทูตอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2365 ที่สำรวจสภาพภูมิประเทศ พันธ์ุพืช สัตว์ ธรณีสัณฐาน ตลอดจนชุมชนท้องถิ่นเกาะสีชัง    
     เจดีย์ก่ออิฐฉาบปูน รูปเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองทรงชะลูด หันด้านต่างๆ ตรงกับทิศทั้งสี่ มีฐานเป็นแท่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง 7 เมตร ฐานสูง 0.60 เมตร เจดีย์สูงจากพื้นถึงยอด 8.30 เมตร ฐานและยอดขององค์เจดีย์แกะลายกลีบบัว

พระบรมรูปรัชกาลที่ 5
     สร้างขึ้นในช่วงการบูรณะพระจุฑาธุชราชฐาน พ.ศ. 2535 โดยกรมศิลปากร

พื้นที่กว้างขวางของพระราชฐานยังมีบ่อ ผา ธาร สระ น้ำพุ บันได ทางสัญจร ที่ฟื้นฟูกลับมาเป็นบางส่วน
รถตุ๊กตุ๊กพาไปยังท่าเรือเทววงษ์ ทันเรือเฟอร์รี่เที่ยว 16.00 น. กลับศรีราชา

พระราชวังเก่าแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ถูกทิ้งร้าง สภาพทรุดโทรม น่าฉงน...ที่ได้เยือนเมื่อ 40 ปีก่อน
วันนี้ โบราณสถานสำคัญได้รับการบูรณะ ประวัติศาสตร์ได้รับการรื้อฟื้น น่าชื่นชมยินดีจริงๆ...


ข้อมูลค้นจาก
     th.wikipedia.org
     phrachudadhuj.com
     chula.ac.th