พฤษภาคม พ.ศ. 2519
...บรรยากาศ 'แสวงหา' ของเยาวชนคนหนุ่มสาว กำลังคึกคัก กระตือรือร้น เป็นอย่างยิ่ง
ก่อนเปิดเทอม กลุ่มสังคมศาสตร์ศึกษาของเราไป 'ปิคนิค' ที่บ้านไร่ของพ่อเพื่อน อำเภอศรีราชา ชลบุรี
เรานั่งรถ บขส จากเอกมัย ถึงตลาดศรีราชาก่อนเที่ยง ต่อรถสองแถวไปที่ไร่
ช่วงบ่าย เจ้าบ้านพาลงเรือที่เกาะลอยไปเที่ยวเกาะสีชัง บ้านเรือนบนเกาะก็เป็นเช่นชนบททั่วไป แต่ที่แปลกใจคือมีพระราชวังเก่าแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ถูกทิ้งร้าง สภาพทรุดโทรม น่าฉงน...
ถิ่นสุขกายสุขด้วย ถิ่นดี
จิตโปร่งปราศราคี ชุ่มชื้น
สองสุขแห่งชาวสี ชังเกาะ นี้แฮ
อายุย่อมยืนพื้น แต่ร้อยเรือนริม
(บทประพันธ์ในรัชกาลที่ 5)
พ.ศ. 2431 พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ทรงประชวร แพทย์หลวงแนะนำให้เสด็จประทับรักษาพระองค์ที่เกาะสีชัง จนพระอาการทุเลา นอกจากนี้ เกาะสีชังยังเป็นที่พักฟื้นของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ อีกพระองค์หนึ่ง
พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างเรือนขึ้น 3 หลัง โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระคลังข้างที่ เพื่อเป็นที่พักสำหรับผู้ป่วยที่มารักษาตัวยังเกาะสีชัง เรียกว่า 'อาไศรยสถาน' พระราชทานนามว่า เรือนวัฒนา เรือนผ่องศรี และเรือนอภิรมย์ ตามพระนามพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี และพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ พระอรรคชายาเธอ ที่ทรงบริจาคทรัพย์จัดซื้อเครื่องตกแต่งเรือนแต่ละหลังตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ระหว่างปี พ.ศ. 2434-2436 เป็นช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินประทับ ณ เกาะสีชัง จึงไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าพัก 'อาไศรยสถาน' ทั้งสามซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐาน
พ.ศ. 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานไปยังเกาะสีชัง ขณะนั้น พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวีทรงพระครรภ์ ใกล้มีพระประสูติกาล รัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้สร้างพระราชฐานขึ้น พระราชทานนามว่า 'พระจุฑาธุชราชฐาน' ตามพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ซึ่งประสูติที่นี่ พระราชฐานประกอบด้วย พระที่นั่ง 4 องค์ และตำหนัก 14 ตำหนัก
พ.ศ. 2436 เกิดกรณีพิพาทดินแดนลาวระหว่างฝรั่งเศสกับสยาม นำสู่การปะทะกัน และบานปลายเป็น 'วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112' ฝรั่งเศสส่งเรือปืนผ่านปากน้ำเจ้าพระยาเข้ามาทอดสมอหน้าสถานทูตของตนที่บางรัก ข่มขู่ยื่นคำขาดต่อสยามหลายประการ ต่อมาเรือปืนนั้นถอยออกไปยังเกาะสีชัง กองทหารบุกขึ้นเกาะ และปิดอ่าวสยาม การก่อสร้างพระที่นั่งและตำหนักต่างๆ บนเกาะจึงชะงักลง หลังจากนั้นพระจุฑาธุชราชฐานก็มิได้เป็นที่สำหรับเสด็จแปรพระราชฐานอีกต่อไป นอกจากนี้ รัชกาลที่ 5 ยังโปรดให้รื้อถอนพระที่นั่งและตำหนักบางส่วนไปสร้างที่อื่น
...แต่นั้นมาเป็นอันยกเลิกพระราชวังที่เกาะสีชัง...
พ.ศ. 2520 รัฐบาลมีมติให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดูแลพื้นที่อันเป็นที่ดินราชพัสดุนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษา มหาวิทยาลัยจึงวางผังแม่บทการใช้ที่ดิน ปรับปรุงพื้นที่บางส่วนนอกเขตพระราชฐานจัดตั้งสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล และศูนย์ฝึกนิสิต พร้อมทั้งศึกษารวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของอาคารที่ยังหลงเหลืออยู่
พ.ศ. 2532 ภายใต้โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) รัฐบาลประกาศให้เกาะสีชังเป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ให้มีการศึกษาและวางแผนพัฒนาพื้นที่พระจุฑาธุชราชฐาน อันนำไปสู่การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และการอนุรักษ์ฟื้นฟู โดยกรมศิลปากรร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา
พ.ศ. 2546 ในวโรกาสวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครบ 150 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการปรับปรุงอาคารและภูมิทัศน์รอบพระจุฑาธุชราชฐาน จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์โบราณสถาน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2547
ปัจจุบันพื้นที่ที่เป็นสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเลและศูนย์ฝึกนิสิต (ประมาณ 5 ไร่) อยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนพื้นที่ที่เป็นโบราณสถาน (ประมาณ 219 ไร่) อยู่ในความดูแลของสำนักบริหารงานศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พฤษภาคม พ.ศ. 2559
หน้าร้อนปีนี้ ร้อนและแล้งยาวนานกว่าปีก่อนๆ
เมื่อวาน ผมขับรถไปเยือนบางแสน ชายทะเลที่คุ้นเคยแต่เก่า ยามเที่ยงแม้แสงแดดจ้าแต่ลมทะเลพัดแรง หาดทรายสงบ ไร้นักท่องเที่ยวด้วยเป็นวันจันทร์ บรรยากาศผ่อนคลายสบายใจ
ตอนเย็น แวะไปอ่างเก็บน้ำบางพระ น่าเสียดาย ต้นเสลาซึ่งปลูกเป็นแนวตามถนนทิ้งดอกที่บานสะพรั่งช่วงปลายเดือนมีนาคมหมดแล้ว
ตอนค่ำ พักค้างแรมที่ The Balcony Seaside ศรีราชา
เช้านี้ รถโรงแรมไปส่งที่ท่าเรือเกาะลอย
10.00 น. เรือเฟอร์รี่ออกจากเกาะลอยตรงเวลา มุ่งหน้าสู่เกาะสีชังซึ่งอยู่ห่างฝั่งไปทางตะวันตก 12 กิโลเมตร ภูมิศาสตร์บริเวณก้นอ่าวไทยนี้สงบลมและคลื่น เหมาะแก่การถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่สู่เรือเล็ก ทุกวันนี้จึงยังเห็นเรือสินค้าจำนวนมากจอดลอยลำอยู่ เรือเฟอร์รี่แวะส่งของและคนที่เกาะขามใหญ่ครู่หนึ่ง ก่อนเข้าเทียบท่าเทววงษ์ ด้านตะวันออกของเกาะสีชัง เวลา 10.45 น.
ผมเหมารถตุ๊กตุ๊ก ดัดแปลงจากมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่พ่วงท้ายด้วยกระบะโดยสาร ที่นั่งสองแถวตามขวางหันหน้าหากัน แต่ก่อนเรียก 'รถสกายแล็บ' (Skylab) ตุ๊กตุ๊กนี้เครื่องยนต์แรงเหมาะกับภูมิประเทศที่เป็นเขาลาดชันสูงของสีชัง
รถแล่นพาไปทางทิศเหนือ แวะจุดแรกคือศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนกว่าสิบคนที่โดยสารเรือเฟอร์รี่ลำเดียวกัน ขึ้นมาพร้อมเครื่องเซ่นไหว้เป็นล่ำเป็นสัน ชาวจีนนิยมมาสักการะศาลเจ้านี้โดยเฉพาะในช่วงตรุษจีน จากเนินเขาที่นี่มองเห็นเมืองสีชังซึ่งชุมนุมอยู่ริมทะเลตะวันออกของเกาะได้อย่างชัดเจน
เดินทางต่อไปฟากตะวันตกของเกาะ ชายฝั่งด้านนี้ส่วนมากเป็นหิน บริเวณช่องอิศริยาภรณ์หรือช่องเขาขาด มีศาลาพักชมวิวปลูกไว้หลายหลัง เรียงรายลดหลั่นระดับตามเนินเขา แดดจัดจ้า ดีที่ลมทะเลพัดแรงผ่อนร้อนลงได้บ้าง จากศาลามองเห็นผืนน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มสุดสายตา ท้องฟ้าใสสีครามยิ่งใหญ่
รถพาเลียบฝั่งตะวันตกลงใต้ แวะชมอ่าวอัษฎางค์ จากที่จอดรถบนเนินเขา มองเห็นเวิ้งอ่าวและหาดถ้ำพังที่อยู่ด้านล่างช่างงดงาม เดินลงไปยังชายหาด ร้านค้า เตียงผ้าใบกางไว้ว่างเปล่าจำนวนมาก มีเพียงนักท่องเที่ยว 7-8 คน เล่นน้ำอยู่
จากหาดถ้ำพัง รถแล่นตัดไปทางตะวันออก ถึงพระราชฐาน จุดหมายสำคัญของการมาเยือนเกาะสีชัง
12.30 น. กินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารหน้าวัง
พระจุฑาธุชราชฐาน
จากที่จอดรถ เดินตามถนนเลียบชายหาดสู่พระราชฐาน ส่วนบริการตรงทางเข้าแนะนำข้อมูลและแผนที่เส้นทางเดิน ภูมิทัศน์อันงดงามกว้างขวางตรงหน้า พาให้ความคิดคำนึงล่องลอย...
...เส้นทางเดินชัดเจนนำไปตามลำดับ
สะพานอัษฎางค์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างสะพานทอดลงไปในทะเลบริเวณแหลมวัง ด้านหน้าเขตพระราชฐาน เป็นสะพานท่าเรือขนาดใหญ่ มีป้ายบอกนามสะพานทั้งภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ความว่า 'สะพานอัษฎางค์ รัตนโกสินทร์ศก 110 สร้างสมัย ร. 5'
ตัวสะพานทำด้วยไม้สักทาสี ตรึงเหล็กแข็งแรง สะพานยาวตั้งแต่ถนนถึงปลายที่ทอดลงทะเลกว่า 120 เมตร พื้นกว้างจรดหลังพนักทั้ง 2 ข้าง 4 เมตร เหลือชานนอกพนักอีกข้างละ 0.15 เมตร มีศาลาพักบนสะพาน 3 หลัง ตั้งที่ต้นสะพานหนึ่งหลัง กลางสะพานหนึ่งหลัง และปลายสะพานหนึ่งหลัง ขนาดเท่ากันทั้ง 3 หลัง คือ กว้าง 6 เมตร ยาว 12 เมตร สูง 4.30 เมตร ศาลาพักต้นและปลายสะพานมีมุขต่อออกมาหลังละมุข บรรจบต้นและปลายสะพาน เสาก่อด้วยศิลารับคานสะพาน รวม 36 เสา บันไดลงน้ำตามศาลาพัก 7 ที่
สะพานอัษฎางค์ของเดิมผุพังไปหมดแล้ว สะพานปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ให้เหมือนของเดิมสง่างาม โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง คือช่วงบูรณะครั้งแรกสร้างตัวสะพาน และเมื่อบูรณะครั้งที่ 2 สร้างศาลา 3 หลัง
ฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาวางศิลาฤกษ์พระที่นั่งองค์ใหญ่ในพระราชฐานเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2435 พระราชทานนามพระที่นั่งองค์ใหญ่นี้ว่า 'พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์' และในวันเดียวกันนั้นยังมีพิธีสมโภชน์เดือนพระราชกุมาร พระราชทานนามว่า 'สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก' และพิธีพระราชทานนามพระราชฐานว่า 'พระจุฑาธุชราชฐาน' จารึกเหตุการณ์นี้ปรากฏบนศิลาที่อยู่ใต้ต้นมะขามตรงข้ามพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ด้านหลังของศิลาบันทึกเกี่ยวกับต้นมะขามที่พระองค์ทรงให้ขุดจากพลับพลาที่ประทับเดิมมาปลูก ณ จุดปัจจุบัน
พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนกระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) พระองค์จึงไม่เสด็จอีก ต่อมาในปี พ.ศ. 2443 ระหว่างเสด็จประพาสหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก ทรงทอดพระเนตรเห็นพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์รกร้างอยู่ จึงโปรดให้รื้อถอนมาสร้างขึ้นใหม่ ณ พระราชวังดุสิต พระราชทานนามว่า 'พระที่นั่งวิมานเมฆ'
ปัจจุบันพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์เหลือให้เห็นเพียงฐานราก มีประวัติพร้อมภาพตอนก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และภาพพระที่นั่งวิมานเมฆให้เปรียบเทียบ ส่วนศิลาจารึกนั้นไม่สามารถอ่านได้ด้วยลบเลือนไปตามกาลเวลา จึงมีแท่นกระจกคัดลอกข้อความจากจารึกทั้ง 2 ด้านวางซ้อนศิลาไว้ให้อ่านแทน
เรือนไม้ริมทะเล
สันนิษฐานว่าเดิมเป็นเรือนพักตากอากาศของชาวต่างประเทศ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ปรับปรุงเป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์ในคราวเสด็จมารักษาพระองค์ ก่อนที่จะมีการสร้างพระราชฐาน
เรือนไม้ริมทะเลเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวต่อกับสองชั้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยกพื้นสูง 0.90 เมตร กว้าง 9 เมตร ยาว 18 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนที่เป็นสองชั้น หลังคาทรงปั้นหยามุงสังกะสี ส่วนที่เป็นชั้นเดียว หลังคาปั้นหยา ช่วงกลางที่ต่อกับสองชั้นยกเป็นจั่วด้านหน้า มุงสังกะสี ส่วนชั้นเดียวยาวเป็นสองเท่าของส่วนสองชั้น มีเฉลียงตลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีลูกกรงไม้กันตก ใต้ถุนก่ออิฐถือปูนปิด มีบันไดขึ้นด้านหน้า แต่งชายคาด้วยไม้ฉลุลายเป็นรูปโค้ง มีเสารับชายคาที่เฉลียง ส่วนชั้นเดียวมี 2 ห้อง ประตูด้านหน้า 6 ประตู ด้านหลัง 6 ประตู มีหน้าต่างด้านสกัด 1 บาน ส่วนสองชั้นมีห้องชั้นล่าง 1 ห้อง ชั้นบน 1 ห้อง มีหน้าต่าง 3 ด้าน ด้านละ 3 บาน ทั้งชั้นล่างและชั้นบน
เรือนไม้ริมทะเลทาสีเขียวเข้มงดงาม ห้องชั้นล่างของส่วนสองชั้นจัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดได้จากฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ และนิทรรศการสถานที่สำคัญ ประเพณีของเกาะสีชัง ห้องชั้นบนเป็นสำนักงานพิพิธภัณฑ์ ส่วนชั้นเดียวจัดเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
เรือนวัฒนา
ตึก 2 ชั้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 8 เมตร ยาว 11 เมตร ผนังหนา 0.30 เมตร ทาสีขาว หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องเกล็ดเต่า ด้านหน้าอยู่ทิศใต้หันสู่ทะเล มีเฉลียงยาวตลอดทั้งชั้นบนและชั้นล่าง กว้าง 2 เมตร มีลูกกรงไม้กันตก บันไดทางขึ้นเรือนอยู่ตรงกลางด้านหน้า เป็นบันไดก่ออิฐถือปูน ขั้นบันไดทำด้วยหินทราย แปลนชั้นล่างและชั้นบนเหมือนกันคือ ด้านทิศใต้มีประตู 3 ประตู ด้านทิศเหนือมีหน้าต่าง 3 บาน ด้านสกัดหัวท้ายมีหน้าต่าง 2 บาน ภายในแบ่งเป็นห้องโถงใหญ่ 1 ห้อง ห้องบันได 1 ห้อง และห้องเล็กข้างบันได 1 ห้อง ส่วนพื้น บันได ประตู หน้าต่าง เพดาน และโครงหลังคาทำด้วยไม้สัก
ที่เฉลียงชั้นบน มองเห็นต้นลั่นทมที่ปลูกรอบเรือนเป็นระเบียบงดงาม หน้าร้อนที่แล้งยาวนานปีนี้ทำให้ลั่นทมทิ้งใบหมดต้น ดีที่ยังมีดอกบานประดับทั่วไป ลมทะเลโกรกเย็นสบาย ชวนให้อ้อยอิ่งอยู่ตรงเฉลียงนั้นเป็นเวลานาน
เรือนวัฒนาจัดแสดงรูปปั้นหินอ่อนพุฝอยสุหร่ายของเดิม และนิทรรศการเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในพระจุฑาธุชราชฐาน
เรือนผ่องศรี
ตึกชั้นเดียวรูปกลม ทาสีขาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 13 เมตร หลังคาทรงกลม ยอดเป็นรูปโดม ยกพื้นสูง 0.90 เมตร ส่วนใต้ถุนเทคอนกรีตปิดเป็นแนวเอียงออกโดยรอบ กว้าง 2 เมตร พร้อมลูกกรง มีบันไดทางขึ้น 3 ทาง เป็นบันไดก่ออิฐถือปูน เสารับชายคาก่ออิฐ ผนังเป็นกำแพงหนา 0.30 เมตร มีประตูทั้งหมด 9 ประตู แบ่งเปิดเป็นตอนบนและล่างได้ ส่วนพื้น เฉลียง ลูกกรง ประตู เพดานและโครงหลังคา ตลอดจนช่องระบายอากาศส่วนโดมเป็นไม้ ภายในตึกเป็นโถงรูปกลม เพดานไม้ทำช่องระบายอากาศ กึ่งกลางเป็นรูปกลีบดอกไม้และวางแนวไม้เป็นวงแหวนโดยรอบอย่างงดงาม
เรือนผ่องศรีจัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและประวัติผู้มีบทบาทสำคัญกับเกาะสีชังในอดีต และเป็นที่ตั้งพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระราชโอรส 3 พระองค์ (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ) ซึ่งจำลองจากรูปถ่ายที่ฉาย ณ เกาะสีชัง พระบรมรูปนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนทรัพย์ร่วมกับนิสิตเก่าจุฬาฯ รุ่นปี พ.ศ. 2516 จัดสร้างขึ้น
เรือนอภิรมย์
ตึกชั้นเดียว รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 6 เมตร ยาว 22.50 เมตร หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องเกล็ดเต่า ด้านหน้าอยู่ทิศตะวันออกหันสู่ทะเล ยกพื้นสูง 1 เมตร ใต้ถุนก่ออิฐถือปูนปิด มีเฉลียงกว้าง 2 เมตร ยาวตลอดด้านหน้าพร้อมลูกกรงไม้กันตก ภายในแบ่งออกเป็นห้องใหญ่กลาง 1 ห้อง และสองปีกซอยเป็นห้องเล็ก ปีกละ 2 ห้อง แต่ละห้องมีประตู ด้านหน้า 1 ประตู และด้านหลัง 1 ประตู ห้องกลางมีหน้าต่างด้านหน้า 2 บาน ด้านหลัง 3 บาน ด้านสกัดหัวท้ายมีหน้าต่างข้างละ 2 บาน ด้านหลังมีเฉลียงไม้ และห้องน้ำเล็ก 2 ห้อง กระหนาบหัวท้าย เชื่อมกับเรือนครัวด้วยลานซีเมนต์กว้าง 3 เมตร มีรางระบายน้ำฝน เรือนครัวมี 4 ห้อง ขนาดเท่ากันคือ 3x3 เมตร แต่ละห้องมีประตู 1 ประตู มีบันไดทางขึ้นด้านหน้า 1 บันได และด้านข้างสู่ลานหน้าครัวทิศเหนือ 1 บันได ทำด้วยอิฐถือปูน ขั้นบันไดทำด้วยหินทราย
เรือนอภิรมย์จัดแสดงนิทรรศการสิ่งปลูกสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5
จากเรือนอภิรมย์ทางเดินไปทิศตะวันตกนำขึ้นเขาสู่วัดอัษฎางคนิมิตร เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังตกแต่งประดับไฟ สำหรับการเวียนเทียนวันวิสาขบูชาที่จะมาถึงในอีก 3 วัน
วัดอัษฎางคนิมิตร
เดิมวัดเกาะสีชังตั้งอยู่ตรงปลายแหลมที่เรียกว่า 'แหลมวัด' ต่อมาเมื่อสร้างพระราชวังขึ้นที่แหลมนี้ในปี พ.ศ. 2435 จึงเรียกว่า 'แหลมวัง'
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างพระอารามเปลี่ยนถวายใหม่บนเนินเขาใกล้กับบ่ออัษฎางค์ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ โปรดเกล้าฯให้อาราธนาพระสงฆ์มาประชุม ณ พระเจดีย์อุโบสถ ทรงถวายประกาศพระราชทานที่เขตพระอุโบสถเป็นวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 และพระราชทานนามว่า 'วัดอัษฎางคนิมิตร'
พระอุโบสถมีลักษณะแตกต่างจากที่อื่นคือ เป็นรูปกลม หลังคาแบน มีเจดีย์กลมซ้อนอยู่ข้างบน พระอุโบสถก่ออิฐถือปูน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เมตร ด้านตะวันออกมีมุขสี่เหลี่ยม กว้าง 3 เมตร ยาว 3.25 เมตร หลังคาแบน ภายในพระอุโบสถเป็นโถงรูปกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร เพดานโค้งตามรูปเจดีย์ มีทางเดินกว้าง 2 เมตรโดยรอบ มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกตรงข้ามกัน มีหน้าต่างรวม 14 บาน ทั้งประตูและหน้าต่างทำเป็นรูปโค้ง ช่องแสงโค้งติดกระจก ประตูและหน้าต่างเป็นบานไม้สัก ที่ส่วนฐานของพระเจดีย์ซึ่งเป็นเพดานพระอุโบสถ มีช่องแสงรูปกลมทั้ง 8 ทิศ ที่ส่วนกลางและที่ส่วนคอเจดีย์มีช่องแสงรูปกลม 8 และ 4 ช่องตามลำดับ จากพื้นถึงส่วนยอดสูง 16 เมตร พื้นปูแผ่นหินอ่อนสีขาวสลับดำ มีลานโดยรอบรูปกลมยกเป็นแท่นสูง เฉลียงกว้าง 10 เมตร มีลูกกรงกระเบื้องดินเผาเคลือบโดยรอบ มีบันไดขึ้น 3 ทาง บริเวณลานก่อขอบอิฐถือปูนสำหรับปลูกต้นไม้ มีทั้งรูปกลมและรูปกลีบดอกไม้ 4 กลีบ บนราวลูกกรงตั้งศิลาจารึกคำสอนในพระพุทธศาสนา 8 หลัก แทนเสมา
ระฆังหิน
เป็นหินปูนผสมหินทรายเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เนื้อแข็งและหนาแน่นมาก เมื่อเคาะจะเกิดเสียงคล้ายเสียงระฆัง ตั้งอยู่ที่ลานหินโบราณด้านทิศเหนือของวัด
เจดีย์เหลี่ยม
ไม่ปรากฏประวัติการสร้าง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเจดีย์ตามบันทึกของ John Crawfurd ราชทูตอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2365 ที่สำรวจสภาพภูมิประเทศ พันธ์ุพืช สัตว์ ธรณีสัณฐาน ตลอดจนชุมชนท้องถิ่นเกาะสีชัง
เจดีย์ก่ออิฐฉาบปูน รูปเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองทรงชะลูด หันด้านต่างๆ ตรงกับทิศทั้งสี่ มีฐานเป็นแท่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง 7 เมตร ฐานสูง 0.60 เมตร เจดีย์สูงจากพื้นถึงยอด 8.30 เมตร ฐานและยอดขององค์เจดีย์แกะลายกลีบบัว
พระบรมรูปรัชกาลที่ 5
สร้างขึ้นในช่วงการบูรณะพระจุฑาธุชราชฐาน พ.ศ. 2535 โดยกรมศิลปากร
พื้นที่กว้างขวางของพระราชฐานยังมีบ่อ ผา ธาร สระ น้ำพุ บันได ทางสัญจร ที่ฟื้นฟูกลับมาเป็นบางส่วน
รถตุ๊กตุ๊กพาไปยังท่าเรือเทววงษ์ ทันเรือเฟอร์รี่เที่ยว 16.00 น. กลับศรีราชา
พระราชวังเก่าแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ถูกทิ้งร้าง สภาพทรุดโทรม น่าฉงน...ที่ได้เยือนเมื่อ 40 ปีก่อน
วันนี้ โบราณสถานสำคัญได้รับการบูรณะ ประวัติศาสตร์ได้รับการรื้อฟื้น น่าชื่นชมยินดีจริงๆ...
ข้อมูลค้นจาก
th.wikipedia.org
phrachudadhuj.com
chula.ac.th
'สีชัง ชังแต่ชื่อ..เกาะนั้นหรือ จะชังใคร..' เพลงนี้คุ้นหูมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น เกาะสีชัง มีความเป็นมาที่น่าทึ่งมากจริงๆเมื่อได้อ่านเรื่องราวที่พาเที่ยวตอนนี้.. พาลให้คิดถึงกลุ่มนิสิตหนุ่มน้อยเมื่อ40ปีที่ผ่านมา กับหนุ่มที่เติบโตซึ่งย้อนกลับไปฟื้นฟูความทรงจำ และนำพาพวกเราไปท่องเที่ยว เรียนรู้กับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ และเกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่ามากมายในสมัยรัชกาลที่5 นับเป็นความรู้ที่ควบคู่ไปกับความสุขที่ได้รับจากธรรมชาติที่เดินทาง บนรถskylab ที่น่าสนุกจริงๆ ขอบคุณนะคะอาจารย์ไมตรี ที่พาไปพักผ่อนหย่อนใจชายทะเลค่ะ
ReplyDelete