July 19, 2017

Hanoi Revisited: Ho Chi Minh Mausoleum: 30.08.2016

เราตื่นแต่เช้าตรู่ ขึ้นไปกินอาหารที่ชั้น 63 ตอน 06.00 น. ทิวทัศน์เมืองจากมุมสูงที่นี่งดงาม บรรยากาศรื่นรมย์ อาหารหลากหลายจึงยิ่งเอร็ดอร่อย
07.00 น. นั่งแท็กซี่ไปยัง Ho Chi Minh Mausoleum ระยะทางเพียง 3 กิโลเมตรเศษ ใช้เวลา 15 นาที

Ho Chi Minh Mausoleum
     Ho Chi Minh (1890-1969) รัฐบุรุษ และประธานาธิบดี ผู้นำการปลดแอกอาณานิคมจากฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) ผู้นำการต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาในสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง (1960-1975) หรือสงครามเวียดนาม (ชื่อที่สหรัฐอเมริกาเรียก) หรือสงครามอเมริกัน (ชื่อที่เวียดนามเรียก) สู่การรวมประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด
     Ho Chi Minh Mausoleum ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจัตุรัส Ba Dinh สถานที่ซึ่งเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 Ho Chi Minh ประกาศเอกราช จัดตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (Democratic Republic of Vietnam) ต่อหน้าประชาชนสี่แสนคน ไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกต่อไป
     Ho Chi Minh เขียนพินัยกรรมเกี่ยวกับร่างของท่านไว้ว่า ให้เผา นำอังคารแบ่งใส่โกศดินเผา 3 ใบ เก็บไว้ทางเหนือ กลาง และใต้ของประเทศแห่งละหนึ่งใบ
     อย่างไรก็ตาม Ho Chi Minh ถึงแก่กรรม (1969) ขณะที่สงครามเวียดนามกำลังรุนแรง ผู้นำพรรคจึงไม่เปิดเผยพินัยกรรมของท่านต่อสาธารณะ และตกลงใจให้สร้างสุสานเพื่อเก็บรักษาร่างของท่านไว้ ด้วยกรรมวิธีแบบเดียวกับสุสานเลนินในกรุงมอสโคว์ พินัยกรรมของท่านได้ตีพิมพ์เมื่อปี 1990 ในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่าน
     สุสานเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1973 และเปิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1975 สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากสุสานเลนิน (Lenin’s Mausoleum) ในกรุงมอสโคว์ โครงสร้างภายนอกเป็นหินแกรนิตสีเทา ภายในเป็นหินอ่อนจาก Marble Mountains (Ngu Hanh Son) เมือง Da Nang
     ตึกสุสานสูง 21.60 เมตร กว้าง 41.20 เมตร ด้านหน้าตึกตรงคานส่วนบนจารึกอักษร ‘Chu Tich Ho Chi Minh’ แปลว่า ‘ท่านประธานโฮจิมินห์’ สองข้างตึกเป็นแท่นยาว ยกพื้นสูง 7 ขั้นบันได สำหรับชมขบวนสวนสนามตรงลานซีเมนต์ข้างหน้า ถัดจากลานซีเมนต์ไปทางตะวันออกเป็นสนามหญ้าเขียวกว้างใหญ่ ซอยแบ่งด้วยทางเดินตัดตั้งฉากกัน เป็นตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 15 เมตร รวม 210 แปลง สวนรอบสุสานปลูกต้นไม้ราว 250 ชนิดจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ
     จุดเริ่มต้นเข้าแถวอยู่ห่างจากตึกมาก เพื่อให้มีที่รองรับกรณีแถวยาว วันนี้ ผู้คนรอเข้าคารวะร่างของ ‘ลุงโฮ’ ไม่มาก คณะของเราจึงเดินไปได้เรื่อยๆ ไม่ติดขัด กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์ ถูกแยกใส่ถุงฝากไว้นำเข้าไม่ได้
     ถึงตึกสุสาน ขึ้นบันได ผ่านทางเข้า ผ่านห้อง สู่โถงกลางปรับอากาศเย็นฉ่ำ ไฟสลัว แถวแยกออกสองข้างโลงแก้วที่ร่าง Ho Chi Minh นอนอยู่ แสงไฟส่องที่โลงแก้วเป็นจุดเด่นกลางโถงสลัวนั้น แถวค่อยเคลื่อนผ่านไปช้าๆ ไม่อนุญาตให้หยุด จึงเห็น ‘ลุงโฮ’ เพียงครู่เดียว
     ในสุสานยังมีจารึกคำพูดสำคัญของ Ho Chi Minh ที่ว่า ‘ไม่มีสิ่งใดมีค่ากว่าอิสรภาพและเสรีภาพ’

Ho Chi Minh (1890-1969)
     ตอนเกิดชื่อ Nguyen Sinh Cung ที่หมู่บ้านในจังหวัด Nghe An ตอนกลางประเทศ เวลานั้นเวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้วตั้งแต่ปี 1863
     อายุ 11 ปี บิดาเปลี่ยนชื่อให้เป็น Nguyen Tat Thanh (‘ผู้ประสบความสำเร็จ’) ตามจารีตในการเปลี่ยนชื่อเมื่อบุตรเข้าสู่วัยรุ่น
     ครูสอนภาษาฝรั่งเศสแนะเขาว่า ‘หากต้องการเอาชนะคนฝรั่งเศส คุณต้องเข้าใจเขา และหากต้องการเข้าใจเขา คุณต้องเรียนรู้ภาษาของเขา’
     ปี 1907-1909 Nguyen Tat Thanh เข้าศึกษาที่โรงเรียน Quoc Hoc (National Academy) เมือง Hue
     ปี 1911 Nguyen Tat Thanh โดยสารเรือฝรั่งเศสออกจากเวียดนาม หลายปีจากนั้น เขาใช้ชีวิตตามเมืองต่างๆ อาทิ นิวยอร์ค บอสตัน ลอนดอน จนถึงปลายปี 1917 จึงย้ายไปฝรั่งเศส
     ต้นปี 1919 เข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส ตีพิมพ์บทความต่อต้านลัทธิอาณานิคม
     ปี 1919 ภายใต้ชื่อ Nguyen Ai Quoc (‘ผู้รักชาติ’) เขาส่ง ‘ข้อเสนอ 8 ประการ’ ต่อที่ประชุม Versailles Peace Conference ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) ยุติลง เรียกร้องสิทธิปกครองตนเอง หรือเอกราชโดยสมบูรณ์ ของเวียดนาม
     ประธานาธิบดี Woodrow Wilson แห่งสหรัฐอเมริกา ตอบสนองต่อประเด็นอาณานิคมอย่างคลุมเครือ ขณะที่ Vladimir Lenin แห่งสหภาพโซเวียต ประกาศอย่างชัดเจนในปี 1920 เรียกร้องให้ประเทศคอมมิวนิสต์ในโลกตะวันตกร่วมต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชนทุกหนแห่งให้หลุดจากแอกอาณานิคม ท่าทีที่ต่างกันสุดขั้วดังกล่าวทำให้ Nguyen Ai Quoc เดินทางไปยังกรุงมอสโคว์ในปี 1924 เพื่อแสวงความสนับสนุนจากโซเวียต
     ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) มิถุนายน 1940 กองทัพเยอรมนีบุกเข้าฝรั่งเศสและยึดกรุงปารีสได้ ฝรั่งเศสต้องจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
     ในเอเชีย ญี่ปุ่นเปิดแนวรบใหญ่ ขยายอิทธิพล โดยอ้างว่าเพื่อสร้าง 'วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา' ยกทัพเข้าอินโดจีนในเดือนกันยายน 1940
     ต้นปี 1941 Ho Chi Minh (ใช้ชื่อนี้ตั้งแต่สิงหาคม 1942) เดินทางกลับเวียดนาม ภายหลังจากไปถึง 30 ปี และร่วมกับ Pham Van Dong (1906-2000) และ Vo Nguyen Giap (1911-2013) จัดตั้งกลุ่ม Viet Minh
     เมื่อกำลังของฝรั่งเศสในอินโดจีนอ่อนลงสุดขีด ญี่ปุ่นจึงยึดอินโดจีนทั้งหมด เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1945
     นับแต่กลางปี 1945 สถานการณ์สงครามพลิกกลับ ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในทุกสมรภูมิ วันที่ 6 สิงหาคม 1945 Hiroshima ถูกทำลายราบด้วยระเบิดปรมาณู ตามด้วย Nagasaki ในวันที่ 9 สิงหาคม 1945 ที่สุดจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้ในวันที่ 15 สิงหาคม 1945
     วันที่ 2 กันยายน 1945 Ho Chi Minh ประกาศเอกราช จัดตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (Democratic Republic of Vietnam) ต่อหน้าประชาชนสี่แสนคน ณ จัตุรัส Ba Dinh กรุงฮานอย ไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกต่อไป
     หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสกลับเข้ามายึดอินโดจีนในฐานะอาณานิคมของตนอีก การเจรจาไม่เป็นผล เกิดการปะทะกันระหว่างทหารฝรั่งเศสและเวียดนาม Ho Chi Minh ประกาศให้ทั้งประเทศลุกต่อสู้กับฝรั่งเศส นำสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 (1946-1954)
     สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนฝรั่งเศสที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและสร้างรายได้มหาศาลให้สหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแรงจูงใจสำคัญ ดังนั้นกว่าร้อยละ 80 ของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฝรั่งเศสใช้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 นี้ จึงมาจากสหรัฐอเมริกา
     ฤดูหนาวปี 1953 ถึงฤดูใบไม้ผลิปี 1954 ฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำในทุกสมรภูมิอินโดจีน
     วันที่ 7 พฤษภาคม 1954 นายพล Vo Nguyen Giap นำกำลังทหาร Viet Minh 55,000 นาย โจมตีที่มั่นสุดท้ายของฝรั่งเศสซึ่งเหลือกำลังพล 16,000 นาย ที่ Dien Bien Phu ภายหลังปิดล้อมอยู่ 55 วัน การรบนองเลือดเบ็ดเสร็จ ฝรั่งเศสต้องยอมจำนน ปิดฉากการเป็นเจ้าอาณานิคมอินโดจีนที่ดำรงมาเกือบ 100 ปี และนำสู่การเจรจาสันติภาพที่ Geneva ในวันรุ่งขึ้น (8 พฤษภาคม 1954) นัยเพื่อการถอยออกจากอินโดจีน 'อย่างมีเกียรติ' ของฝรั่งเศส
     ความปราชัยของฝรั่งเศสทำให้ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ประกาศว่านี่เป็น 'falling domino' สำทับการเข้าแทรกแซงเต็มรูปแบบของสหรัฐอเมริกา สวมรอยฝรั่งเศสที่จำต้องถอนตัวออกไปจากอินโดจีน
     การเจรจาที่ Geneva เป็นไปอย่างเคร่งเครียด กินเวลาถึง 75 วัน ที่สุด Geneva Accords จึงได้ลงนามกันในวันที่ 20 กรกฎาคม 1954
     Geneva Accords ไม่ยินยอมให้ Viet Minh รวมประเทศ แต่ให้แบ่งเวียดนามเป็นเหนือและใต้ที่เส้นขนานที่ 17 ให้จัดการเลือกตั้งทั่วประเทศในอีก 2 ปีถัดไปเพื่อการรวมประเทศ แต่การเลือกตั้งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น
     สหรัฐอเมริกาเลือกไม่ลงนามรับรอง Geneva Accords เพื่อที่ตนจะไม่ต้องผูกพันปฏิบัติตามข้อตกลง รัฐบาลจักรพรรดิ์ Bao Dai ไม่ลงนามรับรองเช่นกัน และแต่งตั้ง Ngo Dinh Diem (1901-1963) ตามเสนอของสหรัฐอเมริกาเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเวียดนามใต้
     Ngo Dinh Diem สั่งยกเลิกไม่ให้มีการเลือกตั้งในปี 1956 ด้วยคาดหมายว่า Ho Chi Minh จะได้รับชัยชนะ เขาแต่งตั้ง Ngo Dinh Nhu น้องชายเป็นมือขวา กวาดล้างฝ่ายคอมมิวนิสต์ ย้ายชาวนาจากถิ่นอาศัยเดิมไปอยู่ใน 'agrovilles' เพื่อป้องกันการเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้าม จำกัดเสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม ประกาศให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองผิดกฎหมาย สนับสนุนชาวคาธอลิก และข่มเหงชาวพุทธ
     ปี 1959 Le Duan เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะปฏิวัติฝ่ายใต้ จึงก่อสร้างทาง Ho Chi Minh Trail จากตอนเหนือผ่านขุนเขาของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เพื่อใช้ลำเลียงกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์สู่ฝ่ายใต้
     ปี 1960 กองกำลังต่อต้าน Ngo Dinh Diem ถูกจัดตั้งขึ้นในชื่อ The National Liberation Front (NLF) หรือ Viet Cong
     ฤดูใบไม้ผลิปี 1963 ฝ่ายพุทธรวมตัวต่อต้าน Ngo Dinh Diem การประท้วงรุนแรงและเป็นที่สนใจไปทั่วโลกภายหลังพระภิกษุ Thich Quang Duc จากวัด Thien Mu แห่งเมือง Hue จุดไฟเผาตัว กลางสี่แยกในกรุง Saigon เดือนพฤศจิกายน ฝ่ายทหารทำรัฐประหารโดยความเห็นชอบจากสหรัฐอเมริกา สังหาร Ngo Dinh Diem และ Ngo Dinh Nhu
     รัฐบาล Ngo Dinh Diem ล้มไป แต่สหรัฐอเมริกายังคงยึดเวียดนามใต้และอ้างทฤษฎีโดมิโน (The Domino Theory) ซึ่งเสนอโดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Harry S. Truman เมื่อครั้ง Ho Chi Minh ประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
     การสร้างสถานการณ์ปะทะกันระหว่างเรือพิฆาต USS Maddox กับเรือตอร์ปิโด 3 ลำของเวียดนามเหนือที่อ่าวตังเกี๋ยในวันที่ 2 สิงหาคม 1964 และรายงานเท็จว่ามีการปะทะกันอีกในวันที่ 4 สิงหาคม 1964 (The Gulf of Tonkin Incident) ทำให้สภาคองเกรสให้อำนาจเต็มที่แก่ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson ในการจัดการทางทหารต่อเวียดนาม นายพล William Westmoreland สั่งเคลื่อนพลเพื่อปกป้องฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกาในเวียดนามใต้ นาวิกโยธินระลอกแรกจำนวน 2 กองพัน ยกพลขึ้นบกที่ Da Nang Beach เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 1965 เป็นจุดเริ่มต้นการรบภาคพื้นดินของอเมริกัน
     ฤดูใบไม้ผลิปีนั้น กำลังพลอเมริกันไหลบ่าเข้าไปถึง 72,000 นาย
     ปี 1966 สหรัฐอเมริกาใช้ ‘ป้อมบินยักษ์’ B-52 ระดมทิ้งระเบิดใส่เวียดนามเหนืออย่างหนัก
     วันที่ 31 มกราคม 1968 วันตรุษ Tet กองทัพเวียดนามเหนือเปิดยุทธการ Tet General Offensive พร้อมกันกว่า 30 เมืองทางใต้ หวังเผด็จศึกเบ็ดเสร็จ แต่ไม่สำเร็จ และสูญเสียทหารกว่า 50,000 นาย ส่วนสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญการประท้วงต่อต้านสงครามจากคนอเมริกันเองอย่างหนัก เวลานั้นกำลังพลอเมริกันในเวียดนามมีมากถึงครึ่งล้านนาย
     วันที่ 13 พฤษภาคม 1968 เริ่มการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียดนามที่กรุงปารีสเพื่อหาทางยุติสงคราม
     วันที่ 2 กันยายน 1969 ประธานาธิบดี Ho Chi Minh ถึงแก่กรรมด้วยหัวใจวาย
     ตุลาคม 1972 การเจรจาที่กรุงปารีสระหว่าง Henry Kissinger ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงสหรัฐอเมริกา กับ Le Duc Tho ใกล้บรรลุข้อตกลง หากประธานาธิบดี Richard M. Nixon ไม่ยอมรับ และสั่งทิ้งระเบิดปูพรมพื้นที่จากฮานอยถึงเมืองท่าไฮฟองระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร ในช่วงวันที่ 18-29 ธันวาคม 1972 ที่เรียกว่า ‘Christmas Bombing’ เป็นการทิ้งระเบิดครั้งหนักหน่วงที่สุดของสงคราม น้ำหนักระเบิดรวมกว่า 40,000 ตัน ฝ่ายเวียดนามปลุกกำลังใจโดยเรียกการศึกนี้ว่า ‘Dien Bien Phu in the Air’
     วันที่ 27 มกราคม 1973 ที่กรุงปารีส ทั้งสองฝ่ายลงนามข้อตกลงหยุดยิงเพื่อสันติภาพในเวียดนาม แต่การสู้รบยังไม่ยุติ...

ปี 1974 ตอนผมเรียนชั้นปีที่ 3 (Pre-clinic) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พวกเรานักศึกษามีโต๊ะประจำส่วนตัวในห้องปฏิบัติการอเนกประสงค์ (Multidisciplinary Laboratory, MDL) ใช้เป็นที่ทำงาน อ่านหนังสือ ทำแล็บ และสัมมนากลุ่มย่อย เราต่างรู้สึกเป็นเจ้าของ MDL
     วันหนึ่ง อาจารย์ประจำภาควิชาพยาธิวิทยาท่านหนึ่งเดินเข้ามาใน MDL เห็นภาพ Ho Chi Minh ที่ใครบางคนแขวนไว้บนผนังบริเวณหัวตึก อาจารย์ตะคอกเสียงดังว่า ‘นี่รูปพ่อใคร? เอาลงเดี๋ยวนี้!’ เมื่อไม่มีเสียงหรืออาการตอบรับจากนักศึกษา อาจารย์ก็จำต้องล่าถอยไปเอง เป็นการยืนยันว่า MDL คือพื้นที่ของพวกเรา ผมไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของรูปนั้น รู้เพียงว่า Ho Chi Minh เป็นอดีตผู้นำเวียดนามเหนือที่ถึงแก่กรรมแล้ว และการแขวนรูปดังกล่าวไม่ต่างจากกระแสนิยมรูปของ Che Guevara (1928-1967) นักปฏิวัติชาวอาร์เจนตินาผู้นิยมลัทธิมาร์กซ์ หรือรูปของ Al Pacino ที่รับบทเป็น Frank Serpico ตำรวจนครนิวยอร์ค ในภาพยนตร์เรื่อง Serpico (ฉายเมื่อปี 1973) อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจว่าข้อขัดแย้งทางความคิดและการเมืองระหว่างฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาภายหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 1973 ทำให้เกิดความอ่อนไหวต่อรูป Ho Chi Minh ดังกล่าว
     ขณะนั้นสงครามเวียดนามกำลัง ‘เข้าด้ายเข้าเข็ม’ กองทัพสหรัฐอเมริกาเพลี่ยงพล้ำในสนามรบและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาถูกประชาชนต่อต้านการทำสงครามอย่างหนัก ปีถัดมา วันที่ 30 เมษายน 1975 รถถังในบังคับบัญชาของพันเอก Bui Tin แห่งกองทัพเวียดนามเหนือแล่นชนพังประตูทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Independence Palace) เข้ายึดศูนย์อำนาจของฝ่ายใต้ทั้งหมด ปิดฉากสงครามเวียดนาม สงครามที่คนเวียดนามเรียกว่า American War of Aggression อันยาวนานกว่า 15 ปี ล้างผลาญชีวิตคนเวียดนามไป 3 ล้านคน จำนวนนี้เป็นพลเรือน 2 ล้านคน ส่วนทหารอเมริกันเสียชีวิตไปกว่า 5 หมื่นนาย
   
ทุกวันนี้ในแต่ละปี มีผู้คนกว่า 1 ล้านคนเข้าคารวะ Ho Chi Minh ณ สุสานนี้ บทกวี ข้อเขียน และคำคม ของท่านได้รับการกล่าวอ้างอยู่เสมอ คนเวียดนามทั้งผู้นำและชาวบ้านต่างเรียกขานท่านว่า ‘Bac Ho’ ‘Bac’ แปลว่า ‘ลุง’ เป็นคำที่แฝงนัยแห่งความเคารพและความรักต่อผู้อาวุโสในครอบครัว นัยดังกล่าวนี้เป็นธรรมชาติและเป็นที่ยอมรับ
     Ho Chi Minh มิใช่พ่อใคร? อย่างที่อาจารย์พยาธิวิทยาตะคอกถาม
     Ho Chi Minh เป็นรัฐบุรุษผู้รักชาติ อุทิศตนรับใช้ชาติ เอาชนะมหาอำนาจตะวันตกทั้งฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาผู้รุกรานด้วยอำนาจอธรรม จนที่สุดนำสู่การรวมประเทศเวียดนามที่มีเอกราช เสรีภาพ และสันติภาพ ชีวิตของท่านได้ให้นิยามแก่คำว่า ‘รักชาติ’ และ ‘รับใช้ชาติ’ ที่แท้จริง

การได้เข้าคารวะ ‘ลุงโฮ’ ที่ Ho Chi Minh Mausoleum เช้านี้ ถือเป็นวาระแห่งความทรงจำที่สำคัญ...


ข้อมูลค้นจาก
     Lady Borton. Ho Chi Minh: A Journey. Hanoi: Gioi Publishers. 2007.
     Duiker, WJ. Ho Chi Minh. Adelaide: Allen & Unwin. 2000.
     Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
     wikipedia.org

No comments:

Post a Comment