November 5, 2015

สิบปีแรกโรงพยาบาลเด็ก: ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม: 22.10.2015

วันที่ 22 ตุลาคม 2558 เวลา 13.30 น. ณ วัดตรีทศเทพ ศาลา 5/1
รถตู้ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มารับอาจารย์สุภาพ ประศาสน์วินิจฉัย...

จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ปรารภอยู่เสมอว่าประเทศไทยควรจะได้มีสถานที่โดยเฉพาะสักแห่งหนึ่ง เพื่อใช้เป็นที่ตรวจรักษาผู้ป่วยทุกประเภท และเพื่อบรรดานายแพทย์ทั้งหลายจะได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ความชำนาญต่อไป แล้วได้นำความรู้ความชำนาญเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนพลเมืองให้มีความสุขสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงแต่งตั้งกรรมการชุดหนึ่งให้พิจารณาโครงการจัดตั้ง 'เมืองโรงพยาบาล' หรือ 'ศูนย์การแพทย์' ขึ้นที่ตำบลทุ่งพญาไท โดยใช้ที่ดินทั้งหมด ระหว่างถนนพญาไท ถนนราชวิถี ถนนพระรามหก และถนนศรีอยุธยา แต่เนื่องด้วยโครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ การที่จะก่อสร้างทั้งหมดโดยทันทีย่อมทำไม่ได้เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากและทั้งยังขาดเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ด้วยเหตุนี้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จึงดำริให้จัดตั้งโรงพยาบาลหญิงเป็นจุดแรกขึ้นก่อน

กำเนิดโรงพยาบาลหญิง 2494
     ในปี 2492 รัฐบาลได้กำหนดพื้นที่โล่งเลยทุ่งพญาไท บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มุมถนนพญาไทกับถนนราชวิถี เป็นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลหญิง กำหนดการก่อสร้างตึกอำนวยการขึ้นเป็นตึกแรก ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2494 โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี โรงพยาบาลหญิงจึงถือกำเนิดขึ้น เปิดรักษาแก่สตรีโดยทั่วไป แต่ผู้ป่วยส่วนมากเป็นแม่ที่มาคลอดบุตร งานด้านโรคเด็กจึงเริ่มต้นขึ้นที่โรงพยาบาลหญิงนี้ เริ่มแรกมีเพียงการรักษาดูแลเด็กเกิดใหม่และแนะนำวิธีเลี้ยงบุตรแก่แม่ที่มาคลอดเท่านั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2494 นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลหญิง
     สิงหาคม 2494 แพทย์หญิงอรวรรณ คุณวิศาล ซึ่งได้รับทุนจากองค์การสหประชาชาติร่วมกับรัฐบาลไทย  ดูงานด้านสวัสดิการเด็ก และศึกษาโรคเด็ก ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา (ศึกษาระหว่าง 2493-2494) สำเร็จการศึกษากลับมาปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลหญิง และเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2494 แผนกตรวจผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลหญิง เปิดรับผู้ป่วยเด็กด้วย ขณะนั้น การตรวจผู้ป่วยเด็กคงรวมอยู่กับผู้ใหญ่และเรือนพักผู้ป่วยเด็กที่รับไว้ก็อยู่ปนกับผู้ใหญ่ จนวันที่ 16 เมษายน 2496 แผนกเด็กจึงได้เป็นเจ้าของตึกทั้งชั้น มีเตียงรับผู้ป่วย 34 เตียง และเตียงเด็กทารก 16 เตียง รวมเป็น 50 เตียง

กำเนิดโรงพยาบาลเด็ก 2497
     เนื่องจากผู้ป่วยเด็กมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ห้องตรวจและเตียงรับผู้ป่วยมีไม่พอ โรงพยาบาลได้รับงบประมาณสร้างตึกเด็ก 3 หลัง หลังละ 2 ชั้น เป็นตึกอำนวยการ 1 หลัง ตึกผู้ป่วย 2 หลัง รับผู้ป่วยได้ 137 เตียง ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2497 โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี จากนั้นมาผู้ป่วยเด็กก็ได้รับการโยกย้ายมาอยู่ที่ตึกเด็กเท่านั้น การบังคับบัญชายังคงอยู่กับโรงพยาบาลหญิง โดยมีนายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว เป็นผู้อำนวยการ และแพทย์หญิงอรวรรณ คุณวิศาล เป็นนายแพทย์หัวหน้าโรงพยาบาลเด็ก ขณะนั้นกิจการของโรงพยาบาลเด็กแบ่งออกเป็น 4 แผนกคือ แผนกอายุรกรรม แผนกศัลยกรรม แผนกเภสัชกรรม และแผนกทะเบียนสถิติ
     ในระยะเริ่มแรกของโรงพยาบาลเด็กนั้น ต้องนับว่าเป็นความอุตสาหะและพากเพียรของแพทย์หญิงอรวรรณ คุณวิศาล ซึ่งได้พยายามปลุกปล้ำขึ้นมา ต่อมาสุขภาพของท่านไม่สมบูรณ์ จึงได้ขอลาออกเพื่อพักรักษาตัวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2500
     ปี 2501 แพทย์หญิงสุภาพ ประศาสน์วินิจฉัย ซึ่งสำเร็จปริญญาโท วิชาโรคศัลยกรรมเด็ก จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา (ศึกษาระหว่าง 2497-2500) เข้ารับตำแหน่งนายแพทย์หัวหน้าโรงพยาบาลเด็ก และหัวหน้าแผนกศัลยกรรม จนถึงปี 2506 จึงลาออกจากราชการ
     ปี 2507 แพทย์หญิงเพทาย  แม้นสุวรรณ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์หัวหน้าโรงพยาบาลเด็ก

โรงพยาบาลเด็กแยกจากโรงพยาบาลหญิง
     ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 รัฐบาลภายใต้การนำของศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี และศาสตราจารย์นายแพทย์อุดม โปษกฤษณะ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ได้ปรับปรุงส่วนราชการของกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ได้รับการจัดให้เป็นกรมวิชาการ มีการแบ่งส่วนราชการของกรมการแพทย์ใหม่
     วันที่ 3 ธันวาคม 2517 มีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลเด็ก มีฐานะเป็นกองหนึ่งในกรมการแพทย์ โรงพยาบาลเด็กแยกออกจากโรงพยาบาลหญิงเป็นเอกเทศ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2518 (คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โรงพยาบาลหญิงเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลสำหรับรักษาโรคทั่วไปเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2518  ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามใหม่ว่า 'โรงพยาบาลราชวิถี' เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2519)

โรงพยาบาลเด็กถือกำเนิดแต่ปี 2497 แม้ว่าการบังคับบัญชายังคงอยู่กับโรงพยาบาลหญิง แต่โรงพยาบาลเด็กเองแบ่งเป็น 4 แผนกคือ แผนกอายุรกรรม แผนกศัลยกรรม แผนกเภสัชกรรม และแผนกทะเบียนสถิติ และทั้ง 4 แผนกดังกล่าว ก็มิได้ปะปนกับแผนกเดียวกันนั้นๆ ของโรงพยาบาลหญิง เช่นนี้ จึงชัดเจนว่าโรงพยาบาลเด็กมิใช่เป็นเพียง 'แผนกเด็ก' ของโรงพยาบาลหญิง
     ดังนั้น ตำแหน่ง 'นายแพทย์หัวหน้าโรงพยาบาลเด็ก' จึงมิใช่เป็นเพียง 'หัวหน้าแผนก' หากมีฐานะเทียบเท่าตำแหน่ง 'ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็ก'
     แพทย์หญิงอรวรรณ คุณวิศาล จึงนับว่าเป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงพยาบาลเด็ก (2497-2500) และแพทย์หญิงสุภาพ ประศาสน์วินิจฉัย เป็นผู้อำนวยการคนที่สองของโรงพยาบาลเด็ก (2501-2506)

แพทย์หญิงอรวรรณ คุณวิศาล (2456-2552)
     ท่านเป็นผู้ผลักดันให้เกิด และเป็นผู้ก่อร่างสร้างโรงพยาบาลเด็กในช่วงเริ่มต้น
     ท่านยังมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการบริหารและพัฒนาองค์กรสำหรับสตรี อาทิ สมาคมสตรีอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทย สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย สภาสตรีแห่งชาติ สมาคมบริการนักศึกษานานาชาติ
     ท่านริเริ่มและก่อสร้างโครงการเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์หลายโครงการ อาทิ บ้านพักคนชราบุศยานิเวศม์ (อยุธยา) สถาบันพัฒนาเยาวสตรี (เชียงใหม่)
     ท่านมีส่วนร่วมในการจัดตั้งวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
     คุณูปการของท่านเป็นที่ประจักษ์ ยกย่อง นับถือ จากองค์กรทั่วไป แต่กลับไม่เป็นที่รู้จัก รับรู้ แก่ประชาคมโรงพยาบาลเด็ก
     แพทย์หญิงอรวรรณ คุณวิศาล ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2552

แพทย์หญิงสุภาพ ประศาสน์วินิจฉัย (2468-2558)
     ท่านนับเป็นกุมารศัลยแพทย์คนแรกๆ ของประเทศไทย
     ท่านไม่เป็นที่รู้จักแก่ประชาคมโรงพยาบาลเด็ก
     ท่านถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2558 และได้บริจาคร่างกายให้ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

ประวัติศาสตร์สิบปีแรกของโรงพยาบาลเด็ก (2497-2506) ไม่เป็นที่รับรู้กว้างขวาง บรรพชนผู้บุกเบิกมิได้รับเกียรติอย่างที่พึงเป็น
     ปี 2547 ซึ่งสมควรเป็นวาระเฉลิมฉลอง 50 ปี แต่คณะบริหารในตอนนั้น มีความเห็นว่าโรงพยาบาลเด็กถือกำเนิดเมื่อแยกออกจากโรงพยาบาลหญิง ผู้อำนวยการถึงขนาดออกหนังสือประกาศฯ เป็นทางการ ให้นับว่าโรงพยาบาลเด็กเกิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2517

ประวัติศาสตร์สัมพันธ์กับความทรงจำ
ความทรงจำอาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ cultural memory กับ communicative memory
     Cultural memory มาจากการเรียนรู้ 'อย่างทางการ'
     Communicative memory มาจากการเรียนรู้ จากรุ่นสู่รุ่น ผ่านสื่อกลาง ผ่านการบอกเล่า 'อย่างไม่ทางการ'
     ประวัติศาสตร์สิบปีแรกของโรงพยาบาลเด็ก เสมือนถูกทำให้หายไปจาก cultural memory
     บันทึกนี้ มุ่งหวังรักษาประวัติศาสตร์สิบปีแรกของโรงพยาบาลเด็กดังกล่าวไว้ อย่างน้อยก็ในแบบ communicative memory...


ข้อมูลค้นจาก
     อนุสรณ์พิธีเปิดตึกโรงพยาบาลเด็ก 10 ธันวาคม 2525
     อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิง แพทย์หญิง คุณอรวรรณ คุณวิศาล 1 มิถุนายน 2552
     สันติ ตั้งรพีพากร. ชีวิตที่ลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ: ชีวประวัติ ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว. 2544.
     Assmann J. Communicative and Cultural Memory. Cultural Memory Studies. An International and Interdisciplinary Handbook. Berlin, New York, 2008, S109-118.
   




October 31, 2015

Bangkok on Foot: ตึกนริศรา จักรพงษ์: 07.10.2015

ครบหนึ่งปีโครงการเดินเที่ยวกรุงเทพฯ ที่ผ่านมา ได้เดินเฉพาะช่วงตุลาคมถึงธันวาคม ซึ่งอากาศไม่ร้อนมาก
ปีนี้ ร้อนและฝนทอดยาวกว่าปีก่อน
วันนี้ อากาศยังคงอบอ้าว ครึ้มฝน ไม่อาจไปไกล...

ตึกนริศรา จักรพงษ์ (Narisa Chakrabongse Building)
     ตึกทรงเรียบง่ายสูง 2 ชั้น ยาว 23 เมตร กว้าง 11 เมตร ตั้งอยู่ตรงมุมตะวันตก ด้านหน้าโรงพยาบาลเด็ก หน้าตึกหันไปทางทิศตะวันออก มีร่องรอยบันไดเยื้องไปทางขวา ปัจจุบันเหลือเพียงขั้นเดียว เป็นทางขึ้น ผ่านประตูเข้าตึก บนผนังด้านซ้ายถัดจากประตูเข้าไป ติดภาพสลักสำริด พระรูปด้านข้าง ครึ่งพระองค์ ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ในกรอบวงกลม ด้านล่างจารึกพระนาม ผู้ให้กำเนิดมูลนิธิ 'จุลจักรพงษ์บุญนิธิ' หลังตึกประชิดรั้วที่กั้นโรงพยาบาลเด็กกับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
     ผนังตึกทั้งชั้นบนและล่าง ประกอบด้วยช่องหน้าต่างทรงสูงกว้างโดยรอบ เพื่อให้ลมไหลเวียนถ่ายเทดี ผนังตึกชั้นบนด้านทิศเหนือ ใต้กรอบหน้าต่าง ติดรูปจักรกับตะบอง อันเป็นตราประจำราชสกุลจักรพงษ์ ถัดลงมาจารึกชื่อตึกด้วยตัวอักษรโลหะเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษคนละแถว มองเห็นได้จากหน้าโรงพยาบาล พื้นที่นอกตึกด้านทิศใต้จัดเป็นสวนหย่อมแคบๆ

เมื่อต้นพุทธศักราช 2501 หม่อมเอลิสะเบธ จักรพงษ์ ได้ปรารภกับคณะกรรมการ 'จุลจักรพงษ์บุญนิธิ' ว่า ได้ไปเยี่ยมโรงพยาบาลหญิงและโรงพยาบาลเด็ก รู้สึกว่าโรงพยาบาลทั้งสองดำเนินกิจการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และโดยมีสมรรถภาพเท่าเทียมโรงพยาบาลชั้นดีในต่างประเทศ หากมีทางใดที่คณะกรรมการจะพิจารณาให้ 'จุลจักรพงษ์บุญนิธิ' ช่วยเหลือโรงพยาบาลที่กล่าวแล้วได้บ้าง ก็จะเป็นกุศลยิ่ง
     ประจวบเหมาะกับเวลานั้น คณะกรรมการจุลจักรพงษ์บุญนิธิอันประกอบด้วย หลวงประกอบนิติสาร เป็นประธาน หม่อมเจ้าทองประทาศรี ทองใหญ่ และ ร.อ.พิศดาร จุลเสวก เป็นกรรมการ มีความดำริอยู่ว่า จะสร้างถาวรวัตถุ เพื่อเฉลิมฉลองท่านผู้ประทานกำเนิดมูลนิธิ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ที่ได้ทรงมีทายาทเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2499 คือ หม่อมราชวงศ์หญิงนริศรา จักรพงษ์ จึงมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ที่จะสร้างตึกค้นคว้าเกี่ยวกับโรคเด็กเพื่อการศึกษา โดยได้บริจาคเงินให้โรงพยาบาล 485,000 บาท สำหรับใช้ดำเนินการก่อสร้างต่อไป และได้รับพระอนุญาตจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ให้ชื่อตึกนี้ว่า 'นริศรา จักรพงษ์' เพื่อเฉลิมฉลองการที่พระองค์ท่านและหม่อมเอลิสะเบธ จักรพงษ์ ได้มีทายาทผู้สืบสายโลหิต เป็นมงคลนามต่อไป
     ตึกนริศรา จักรพงษ์ เป็นตึกคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ยาว 23 เมตร กว้าง 11 เมตร ชั้นล่างเป็นห้องปฏิบัติการทดลอง บริเวณผู้ป่วยรอตรวจ ชั้นบนเป็นห้องประชุม ห้องสมุด และห้องทำงานแพทย์ ตึกนี้ออกแบบโดย นางสาวธารี เทพหัสดิน ณ อยุธยา แห่งกองแบบแผน กรมโยธาธิการ โดยมีนายชัย จงพีรเพียร ควบคุมการก่อสร้าง นายศรชัย สาลิมาน ตกแต่งสวนบริเวณหน้าตึก ทำการก่อสร้างโดย บริษัทสุนทราภา เป็นเงิน 485,000 บาท ตึกนี้สร้างแล้วเสร็จและกระทำพิธีเปิดโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2502

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เป็นพระโอรสพระองค์เดียวในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ กับ หม่อมคัทริน (นามเดิม Ekaterina Ivanova Desnitsky) ชาวรัสเซีย ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2450 เวลา 23.58 น. ณ ห้องแดง วังปารุสกวัน
     เมื่อรู้ข่าวว่าพระนัดดาพระองค์แรกประสูติ สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ที่แต่เดิมเคยกริ้วเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ พระโอรส ที่สมรสกับ 'นางต่างด้าว' ก็ทรงตื่นเต้นและหายกริ้ว รีบเสด็จมาทอดพระเนตร เอาพระทัยใส่ทั้งการจัดห้องหับ การดูแลเรื่องต่างๆ มีพิธีการทำขวัญเดือนตามธรรมเนียมโบราณ
     เมื่อแรกประสูติทรงมีฐานันดรศักดิ์เป็นหม่อมเจ้า สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ พระราชทานพระนามว่า 'พงษ์จักร' ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามใหม่ว่า 'จุลจักรพงษ์' โดยเป็นการเอาอย่างพระนามของทูลกระหม่อมปู่ คือ จุลจอมเกล้า ทั้งยังเป็นการล้อพระนามพระบิดา คือ เล็ก ไปในขณะเดียวกัน
     พระนัดดานี้ได้นำความปลาบปลื้มปิติยินดีให้กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถยิ่งนัก อีกทั้งทรงพระเมตตาที่มิได้รับพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าดังที่ควรจะเป็น จึงพระราชทานข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ให้เป็นพิเศษเทียบเท่ากับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอแทบทุกประการ ทรงห่วงใยหม่อมคัทรินที่มีเชื้อชาติยุโรป ว่าจะไม่สามารถอบรมฝึกฝนจริตมารยาทของพระโอรส ให้เข้ากับระเบียบแบบแผนเจ้านาย ตามพระราชประเพณีไทยได้ดี
     ส่วนทูลกระหม่อมปู่ (รัชกาลที่ 5) ไม่ทรงรับพระนัดดาองค์ใหม่อย่างเปิดเผย แต่ในที่สุดก็ได้โปรดให้พระนัดดาเข้าเฝ้าที่พระราชวังพญาไท ในปี พ.ศ. 2453 เมื่อหม่อมเจ้าจุลจักรพงษ์อายุครบ 2 ขวบ พระองค์ทรงเล่าให้ สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ถึงพระนัดดาว่า 'วันนี้ฉันได้พบกับหลานชายของเธอ ดูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนพ่อ ฉันรู้สึกรักและหลงใหลคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสายเลือดเชื้อไขของฉันเอง และไม่มีเค้าว่า มีเชื้อสายฝรั่งติดมาด้วยเลย'
     พ.ศ. 2458 สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงมอบหมายให้พระสารสาสน์พลขันธ์ เป็นผู้สอนหนังสือในฐานะเป็นครูคนแรกแก่พระโอรสวัย 7 ขวบ ที่วังปารุสกวัน จากนั้นอีก 2 ปี คือ พ.ศ. 2460 หม่อมเจ้าจุลจักรพงษ์เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยประถม
     พ.ศ. 2462 พระองค์ต้องพลัดพรากจากพระมารดา หลังการหย่าร้างของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ กับหม่อมคัทริน ต่อมาอีก 3 เดือน สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ สมเด็จย่า เสด็จสวรรคต (20 ตุลาคม พ.ศ. 2462) ตามด้วยการทิวงคตของพระบิดาด้วยไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish influenza) ในอีก 8 เดือนต่อมา (13 มิถุนายน พ.ศ. 2463)
     หลังจากพระบิดาทิวงคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทูลกระหม่อมลุง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระยศขึ้นเป็นพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงวางแผนการศึกษาให้พระนัดดาได้ศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่อพระชันษาครบ 13 ปี ทรงต้องการให้พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ รู้จักปกครองดูแลตนเอง โดยออกมาเรียนตามลำพังและอนุญาตให้แม่มาเยี่ยมได้เป็นครั้งคราวเมื่อหยุดภาคเรียน
     เมื่อถึงประเทศอังกฤษ ทรงได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดจากครอบครัวของพระยาบุรีนวราษฐ์ (ชวน สิงหเสนี) อัครราชทูตไทยประจำประเทศอังกฤษ ในระยะแรกทรงอยู่กับครูที่เมืองไบรตัน ห่างจากกรุงลอนดอน 86 กิโลเมตร เพื่อซึมซับภาษาอังกฤษโดยไม่ได้พบปะคนไทยเลยเป็นเวลา 6 เดือน ต่อมาทรงสอบเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนแฮร์โรว์เมื่อ พ.ศ. 2466 - 2470 และระดับอุดมศึกษา ที่วิทยาลัยตรินิตี้ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้านประวัติศาสตร์ ทรงได้รับปริญญาตรี (B.A. เกียรตินิยม) เมื่อปี พ.ศ. 2473 และปริญญาโท (M.A. เกียรตินิยม) เมื่อปี พ.ศ. 2477 ขณะยังเรียนอยู่ทรงได้รับเลือกเป็นสภานายกสามัคคีสมาคม หลังจบการศึกษาทรงรับราชการเป็นนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ปฏิบัติหน้าที่ ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงลอนดอน
     พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่อยู่ในฐานะจะได้รับสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ต่อจากรัชกาลที่ 7 มีผู้ไปสัมภาษณ์ท่านว่าท่านมีความเห็นเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระองค์ตอบว่า 'จะไม่มีใครมาเชิญฉันหรอก และถึงจะมีคนมาเชิญจริงๆ ฉันก็ยินดีรับไม่ได้ เพราะได้ถูกตัดออกอย่างเด็ดขาดมานานแล้ว ถ้าจะรบเร้ากันจริงๆ ซึ่งก็ไม่เชื่อว่า จะมีใครมารบเร้า ฉันต้องยืนยันให้มีประชามติกันเสียก่อน'
     ทั้งนี้ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ออกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467 เกี่ยวกับลำดับชั้นเชื้อพระบรมวงศ์ ซึ่งจะสืบราชสันตติวงศ์ได้นั้น ในหมวดที่ 5 ว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสันตติวงศ์...
     มาตรา 11 เจ้านายผู้เป็นเชื้อพระบรมราชวงศ์ ถ้าแม้ว่า เป็นผู้มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งกล่าวไว้ข้างล่างนี้ไซร้ ท่านว่า ให้ยกเว้นเสียจากลำดับสืบราชสันตติวงศ์ ลักษณะที่กล่าวนี้คือ...
        (4) มีพระชายาเป็นนางต่างด้าว กล่าวคือ นางที่มีสัญชาติเดิมเป็นชาวประเทศอื่น นอกจากชาวไทยโดยแท้
     มาตรา 12 ท่านพระองค์ใด ตกอยู่ในเกณฑ์มีลักษณะบกพร่องดังกล่าวมาแล้วในมาตรา 11 แห่ง กฎมณเฑียรบาลนี้ไซร้ ท่านว่า พระโอรสอีกทั้งบรรดาเชื้อสายโดยตรงของท่านพระองค์นั้น ก็ให้ยกเสียจากลำดับสืบราชสันตติวงศ์ด้วยทั้งสิ้น
     พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ จึงถูกตัดออกจากลำดับตั้งแต่คราวที่รัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต (25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) พระองค์อธิบายไว้ในหนังสือ 'เกิดวังปารุสก์' ว่า 'ข้าพเจ้ามิได้เคยนึกว่า ตนถูกตัดจากสิทธิอะไรเลย ข้าพเจ้าไม่เคยนึกและบัดนี้ก็มิได้นึกว่า ข้าพเจ้ามีสิทธิอย่างใดเกินกว่าที่คนไทยทุกๆ คนย่อมมีอยู่ตามกฎหมาย'
     พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงพบ หม่อมเอลิสะเบธ (นามเดิม Elisabeth Hunter) เมื่อครั้งไปเรียนศิลปะการวาดภาพ และรักกัน แต่ขณะนั้นท่านตั้งพระทัยจะไม่รักสตรีต่างชาติ เนื่องจากรัชกาลที่ 7 รับสั่งมาทางจดหมายว่า อย่าทำตามที่ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ พระบิดาทรงทำ คือแต่งงานกับสตรีต่างด้าว จนกระทั่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรงรู้สึกเป็นอิสระจากภาระหน้าที่ตามพระราชประเพณี จึงตัดสินพระทัยเสกสมรสกับหม่อมเอลิสะเบธ เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2481
     เมื่อเสกสมรส พระองค์ทรงดำริที่จะไม่มีบุตร ในจดหมายฉบับหนึ่งที่มีถึงหม่อมเอลิสะเบธ เขียนว่า 'ถ้าเผื่อเราแต่งงานกัน อย่ามีลูกกันเลย เพราะเด็กที่เกิดมาหลายเชื้อชาติ จะมีปัญหาตลอด' อย่างไรก็ตาม หลังเสกสมรสเป็นเวลา 18 ปี หม่อมเอลิสะเบธจึงตั้งครรภ์หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ เมื่อหม่อมอายุ 41 ปี
     กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 พระองค์ประชวรเป็นมะเร็งหลอดอาหาร และได้รับการรักษาด้วยการฉายแสงที่โรงพยาบาลในกรุงลอนดอน พระอาการดีขึ้นตามลำดับ แม้พระโรคจะกำเริบขึ้นในบางระยะ แต่พระองค์ทรงมีกำลังพระทัยเข้มแข็ง ทรงพยายามดูแลรักษาพระองค์อย่างดีที่สุด และปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทรงน้อมรับความเป็นจริงของชีวิตด้วยสติและเตรียมความพร้อมในทุกเรื่องโดยไม่ประมาท ตลอดจนสั่งเรื่องการจัดการพระศพไว้ล่วงหน้า
     สิ่งหนึ่งที่ทรงทำมาตลอดพระชนมชีพ คือการบริจาคทรัพย์เพื่อการกุศล โดยเฉพาะแก่โรงพยาบาลต่างๆ แม้ในช่วงสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์ไม่กี่วัน ยังทรงประทานเงินแก่กระทรวงสาธารณสุขจำนวน 1 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งเป็นกองทุนเก็บดอกผลสำหรับใช้จ่ายช่วยเหลือในการค้นคว้าเกี่ยวกับโรคมะเร็งและช่วยเหลือผู้ป่วยยากจน
     วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ณ พระตำหนักเทรเดซี่ ตั้งแต่ 14.30 น. ทรงหลับสงบไม่รู้สึกพระองค์จนในที่สุด สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 19.20 น.
     วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2507 มีการนิมนต์พระสงฆ์ชาวลังกาชื่อ ภิกษุด็อกเตอร์สัทธาทิศา มาสวด นายบุญมั่น ปุญญถิโร ข้าราชการประจำสถานทูตไทยในกรุงลอนดอนมาช่วยทำพิธีและอาราธนาศีล ผู้มาร่วมพิธีมีเฉพาะคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทไม่กี่คน วันรุ่งขึ้นจึงเคลื่อนพระศพไปยังสุสาน หีบพระศพคลุมด้วยธงชาติไทย มีธงจักรตะบอง ตราสัญลักษณ์ของราชสกุลจักรพงษ์คลุมทับเฉพาะพระเศียร บนหีบพระศพมีช่อดอกไม้วางอยู่สองช่อ ตามที่ทรงอนุญาตเฉพาะ ช่อหนึ่งของหม่อมเอลิสะเบธเป็นกุหลาบแดง อีกช่อหนึ่งเป็นของหม่อมราชวงศ์นริศรา เป็นดอกทิวลิปและแดฟโฟดิล ที่สุสานเพนเมาต์เครเมโทเรียม เมืองทรูโร มีแขกร่วมพิธีทั้งสิ้น 22 คน วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2507 มีงานบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานที่บ้านจักรพงษ์ ท่าเตียน ถัดมาวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2507 มีพิธีไว้อาลัยที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอน
     วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 อัญเชิญพระอัฐิจากอังกฤษกลับมายังประเทศไทย หม่อมเอลิสะเบธและหม่อมราชวงศ์นริศราได้บำเพ็ญกุศลถวายและเชิญพระอังคารไปบรรจุในพระเจดีย์เสาวภาประดิษฐาน ณ สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ อายุเพียง 7 ปี เมื่อพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์สิ้นพระชนม์ แปดปีต่อมา หม่อมเอลิสะเบธ ก็ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งเช่นกัน (27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514)
     หม่อมราชวงศ์นริศรา (ชื่ออ่านว่า นะ-ริด-สา) เกิดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งชื่อโดยพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เธอใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ในบ้านบนเนินเขา ณ มณฑลคอร์นวอลล์ เขตชนบทของอังกฤษ แต่ติดตามพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ไปมา ระหว่างประเทศไทย กับประเทศอังกฤษ บ่อยครั้ง
     การศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนจิตรลดา ชั้นมัธยมที่ Cornwall ระดับอุดมศึกษาด้านภาษาจีน แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นสาขาประวัติศาสตร์ศิลปวิทยา จนจบปริญญาบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จาก Courtauld Institute จากนั้นจึงมาเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปวิทยา ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร และสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนจิตรลดา
     ท่านใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ เป็นประธานมูลนิธิโลกสีเขียว เป็นประธานกรรมการสำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่เน้นพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมไทย

ตึกนริศรา จักรพงษ์ เป็นที่ระลึกแห่งความรักของพ่อแม่แก่ลูกสาว...
     ตึกนริศรา จักรพงษ์ จึงเป็นสิ่งทรงจำ (memorabilia) สำคัญของลูกสาว ในการระลึกถึงความรักของพ่อและแม่ ซึ่งจากไปตั้งแต่ตนยังเด็ก ความทรงจำในวัยเด็กนี้มีคุณค่า สมควรรื้อฟื้น
     ตึกนริศรา จักรพงษ์ อายุกว่าครึ่งศตวรรษ มุมมองทางประวัติศาสตร์ ความสำคัญของผู้อุทิศเงินสร้าง และสถาปัตยกรรม น่าจะเข้าเกณฑ์การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานอาคารของกรมศิลปากร สมควรได้รับการบูรณะอย่างเหมาะสม เช่นนี้ย่อมเป็นการให้เกียรติแก่ทุกคน และสร้างคุณค่าแก่โรงพยาบาลเด็กเอง



ข้อมูลค้นจาก
     อนุสรณ์พิธีเปิดตึกโรงพยาบาลเด็ก 10 ธันวาคม 2525
     หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ และ ไอรีน ฮันเตอร์. แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม. สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์. 2538
     พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์. เกิดวังปารุสก์. สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์. 2557
     th.wikipedia.org

September 16, 2015

Hiroshima mon Amour: 06.08.2015

Hiroshima วันที่ 6 สิงหาคม 1945 เวลา 8.15 น...
ระเบิดปรมาณู (Atomic Bomb) ชนิด uranium ชื่อรหัส 'Little Boy' ความยาว 3 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.7 เมตร น้ำหนัก 4 ตัน ถูกปล่อยจากเครื่องบิน B-29 ชื่อ 'Enola Gay' (ตั้งตามชื่อมารดาของนักบิน Colonel Paul W. Tibbets) ที่ความสูง 9,400 เมตร เป้าหมายคือสะพาน Aioi ตรงจุดที่แม่น้ำ Ota แยกสาขาเป็นแม่น้ำ Hon และแม่น้ำ Motoyasu
     ระเบิดประกอบด้วย uranium-235 ขนาด subcritical mass 2 ก้อน น้ำหนักรวม 64 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยดินระเบิด ทำให้ uranium ก้อนแรกรวมกับก้อนที่สองเป็น supercritical mass เกิด nuclear fission chain reaction และระเบิด 44.4 วินาทีต่อมา ที่ความสูง 580 เมตร hypocenter คือ Shima Hospital
     ขณะระเบิด เกิดลูกไฟ เส้นผ่าศูนย์กลาง 100 เมตร กลางอากาศ อุณหภูมิ 300,000 องศาเซลเซียส ในรัศมี 17 เมตร และ 9,000 ถึง 10,000 องศาเซลเซียส ในรัศมี 50 เมตร อุณหภูมิบนพื้นดินที่ hypocenter 6,000 องศาเซลเซียส
     หลังระเบิด 5 นาที เกิดกลุ่มเมฆรูปดอกเห็ดสีเทาดำ เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 กิโลเมตร เหนือใจกลางเมือง ตรงกลางดอกเห็ดปรากฏกลุ่มควันสีขาวเป็นลำสูงขึ้นไปถึง 17,000 เมตรและขยายตัวออกบนยอด
     ความกดอากาศที่ hypocenter เท่ากับ 4.5-6.7 ตันต่อตารางเมตร เป็นเวลา 0.4 วินาที
     ตึกรามในรัศมี 2 กิโลเมตรของ hypocenter ถูกทำลายราบและไฟลุกไหม้
     ตลอดทั้งวัน เมฆ cumulonimbus ดำทะมึนปกคลุมทั้งเมือง ฝนตกตั้งแต่ 9.00-16.00 น. ตอนแรกน้ำฝนเป็นสีดำ ข้น เหนียว เต็มไปด้วยอนุภาคกัมมันตรังสี 'ฝนดำ' นี้ตกอยู่ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นจึงเป็นฝนปกติ ในท่ามกลางฝน อุณหภูมิลดลงอย่างฮวบฮาบทั้งที่เป็นช่วงกลางฤดูร้อน ผู้คนที่หนีจากไฟไหม้แทบไม่มีเสื้อผ้าปกคลุม จึงต้องหนาวสั่นทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น
     แหล่งน้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า ปลาในแม่น้ำ ต่างปนเปื้อนอนุภาคจำนวนมาก
     ผู้คนเสียชีวิตในวันนั้นประมาณ 70,000 คน ผู้บาดเจ็บและได้รับอนุภาคกัมมันตรังสีเสียชีวิตในเวลาต่อมา จนถึงสิ้นปี 1945 อีกประมาณ 70,000 คน รวมทั้งสิ้น 140,000 คน เท่ากับหนึ่งในสามของประชากร Hiroshima จำนวนนี้เป็นทหารเพียงประมาณ 20,000 นาย

Hiroshima ต้นปี 1959...
เธอกับเขาพบกันครั้งแรกที่ Hiroshima Peace Memorial Park
     เธอเป็นสาวสวยชาวฝรั่งเศส เป็นนักแสดงนำในกองถ่ายภาพยนตร์ร่วมฝรั่งเศส-ญี่ปุ่น ถ่ายทำสารคดีสภาพของ Hiroshima 14 ปี ภายหลังถูกถล่มด้วยระเบิดปรมาณู
     เขาเป็นสถาปนิกชาวญี่ปุ่น เป็นคน Hiroshima เขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่อง
     ทั้งสองพบกัน รักกัน ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
     เธอเล่าให้เขาฟังว่าเธอไปเยี่ยมโรงพยาบาลมา 4 ครั้ง และไปเดินชมพิพิธภัณฑ์ 4 ครั้งเช่นกัน พิพิธภัณฑ์ซึ่งไม่มีสิ่งของจัดแสดง...นั่นสิ! จะมีอะไรเหลือให้จัดแสดงภายหลังระเบิดปรมาณูลูกนั้น...เธอคิดว่าเธอคุ้นเคยกับ Hiroshima แต่เขากลับบอกเธอว่า เธอยังไม่รู้จัก Hiroshima ด้วยซ้ำ
     เธอกับเขามีเวลาอยู่ด้วยกัน เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยภาพยนตร์ถ่ายทำใกล้เสร็จ และไม่นานเธอก็จะกลับฝรั่งเศส ความอาดูรที่ต้องพรากจากกัน ทำให้เธอและเขาเปิดเผยความทรงจำอันขมขื่นของตนในระหว่างสงคราม...ความรัก ความพลัดพราก ความสูญเสีย ความเจ็บปวด...ที่เสมือนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง

...เธอเป็นสาวรุ่นตอนสงครามเกิดขึ้น ไม่นานประเทศฝรั่งเศสก็ถูกกองทัพเยอรมนีเข้ายึดครอง อย่างไรก็ตาม บ้านของเธอที่เมือง Nevers ริมแม่น้ำ Loire ซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศยังไม่ถูกทำลายเสียหาย เธอพบรักแรกกับทหารหนุ่มเยอรมัน และลอบพบปะกัน เมื่อพ่อแม่จับได้ เธอถูกลงโทษ ขังไว้ในห้องใต้บันได และเพื่อให้เธออับอายมากยิ่งขึ้น เธอจึงถูกกล้อนผมที่งดงามออก
     จากนั้นไม่นาน ทหารหนุ่มเยอรมันคนรักของเธอ ถูกพวกใต้ดินฝรั่งเศสยิงเสียชีวิต ถึงตอนนี้ เธอเสียสติ ไม่พูดไม่จาไปจนภายหลังสงคราม...

...เขาถูกเกณฑ์ทหารและร่วมรบในระหว่างสงคราม ประจำการห่างจากบ้านเกิด
ครอบครัวของเขาทั้งหมด อยู่ที่ Hiroshima เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945...

เธอรำพึงถึงเขา ความรักที่ขุดคุ้ยความทรงจำขมขื่นในอดีต และความรู้สึกผิดต่อการลืมเลือน...เธอจำใบหน้าทหารหนุ่มเยอรมันของเธอไม่ได้แล้ว!...เมื่อเธอกลับฝรั่งเศส เธอก็คงจำใบหน้าของเขาไม่ได้เช่นกัน ความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว ไปไม่รอด เป็นเช่น Hiroshima ที่ถูกปรมาณูถล่ม สตรี Hiroshima ที่ตื่นขึ้นมาพบว่าผมของตนหลุดร่วง ก็เป็นเช่นเธอที่ถูกกล้อนผม
     เธอบอกเขาว่า Hiroshima คือชื่อของเขา เขาตอบเธอว่า ใช่ นั่นคือชื่อของเขา และ Nevers คือชื่อของเธอ...Nevers ในประเทศฝรั่งเศส

Alain Resnais (1922-2014) ได้รับมอบหมายจากผู้สร้างให้กำกับภาพยนตร์สารคดีหลังสงคราม เรื่องระเบิดปรมาณูที่ Hiroshima เขาสับสนอยู่หลายเดือนว่าจะวางโครงเรื่องอย่างไรจึงจะไม่ซ้ำกับสารคดีเกี่ยวกับ Holocaust ชื่อ Night and Fog ที่เขาทำในปี 1955 ในที่สุดเขาต้องขอให้ Marguerite Duras (1914-1996) เป็นผู้เขียนบท ตอนนั้น Duras กำลังโด่งดังจากหนังสือ 2 เล่มของเธอ The Sea Wall (1950) และ Moderato Cantabile (1958)
     Duras ใช้เวลาเขียนบทนาน 2 เดือน และงานที่ Resnais กำกับต่อมา จึงมิใช่ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Hiroshima ภายหลังระเบิดปรมาณู แบบพื้นๆ หากเป็นการถักทอปัจจุบันกับอดีตเข้าด้วยกัน ผ่านความรักระหว่างหญิงสาวชาวฝรั่งเศส กับชายหนุ่มชาวญี่ปุ่น ความทรงจำ การลืมเลือน โศกนาฏกรรมส่วนตัว? หรือหายนะมหาศาลของผู้คนทั้งเมือง?

Hiroshima mon Amour
(mon amour เป็นคำฝรั่งเศส แปลว่า 'ที่รักของฉัน')
     เป็นภาพยนตร์ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่ามีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อ Nouvelle Vague (คลื่นลูกใหม่) ของภาพยนตร์ฝรั่งเศส
     Emmanuelle Riva (1927-  ) แสดงเป็น เธอ
     Eiji Okada (1920-1995) แสดงเป็น เขา
     สถานที่ถ่ายทำ: Hiroshima ประเทศญี่ปุ่น และ Nevers ประเทศฝรั่งเศส
     วันที่ออกฉาย: 10 มิถุนายน 1959

Emmanuelle Riva อายุ 32 ปี ตอนที่แสดงนำใน Hiroshima mon Amour หนังเรื่องนี้ทำให้เธอโด่งดัง เป็นที่รู้จักทั่วไป จากนั้นเธอมีผลงานแสดงต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งภาพยนตร์ โทรทัศน์ และละครเวที
     ปี 2012 เธอแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Amour ซึ่งเขียนบทและกำกับโดย Michael Haneke ผู้กำกับชื่อดังชาวออสเตรีย เธอรับบทเป็น Anne Laurent อดีตครูสอนดนตรี อายุแปดสิบกว่า มีชีวิตสบายๆ หลังเกษียณ อยู่กับสามีวัยเดียวกัน แต่ต่อมาเธอเกิด strokes หลายครั้ง ทำให้สูญเสียความจำ สูญเสียการเคลื่อนไหว และที่สุดสูญเสียจิตใจ บทบาทดังกล่าวทำให้ Riva ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Academy Awards สาขาดารานำฝ่ายหญิง ประจำปี 2012 ตอนนั้นเธออายุ 85 ปี นับเป็นดารานำฝ่ายหญิงอาวุโสสูงสุดที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Academy Awards
     นอกจากงานแสดงแล้ว Riva ยังมีผลงานเขียนหนังสือ และบทกวี ตีพิมพ์อีกหลายเล่ม
     ในห้วงเวลาการถ่ายทำ Hiroshima mon Amour เธอเองก็ได้บันทึกภาพชีวิตประจำวันของผู้คน โดยเฉพาะเด็กๆ ในเมืองที่ค่อยๆ ฟื้นตัวจากระเบิดปรมาณู เธอเก็บรักษาฟิล์ม 6x6 monochrome format ต้นฉบับเหล่านี้เป็นอย่างดี จน 50 ปีให้หลัง ภาพผู้คนและบ้านเมือง Hiroshima ในอดีต ผ่านเลนส์กล้องของเธอ ได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือรูปภาพภาษาญี่ปุ่น ชื่อ 'Hiroshima 1958' และได้จัดแสดงนิทรรศการภาพถ่าย ณ Ginza Nikon Salon กรุงโตเกียว เมื่อเดือนธันวาคม 2008 หนังสือรูปภาพนี้ได้ตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสชื่อ 'Tu n'as rien vu à Hiroshima' ในปี 2009

Hiroshima mon Amour เป็นหนังคลาสสิก เขียนบทโดยนักเขียนชื่อดัง กำกับโดยผู้กำกับฝีมือดี และนำแสดงโดยดาราสาวสวย ซึ่งต่อมาได้สร้างผลงานหลากหลายทั้งในฐานะนักแสดง กวี ช่างภาพ และศิลปิน
Emmanuelle Riva เธอช่างน่านิยม
Emmanuelle Riva mon Amour


ข้อมูลค้นจาก
     Kosakai Y. A-Bomb: A City Tells Its Story. Hiroshima Peace Culture Foundation. 1972.
     Kosakai Y. Hiroshima Peace Reader. Hiroshima Peace Culture Foundation. 2007.
     Hiroshima. Hiroshima Peace Culture Foundation. 2006.
     wikipedia.org
     imdb.com
     criterion.com
     japanexposures.com
     en.rocketnews24.com
     tokyoartbeat.com
     liberation.fr
   
   

September 1, 2015

Ame ni mo Makezu「雨ニモマケズ」: 27.07.2015

จังหวัด Iwate อยู่ในเขต Tohoku ทางเหนือของเกาะ Honshu เป็นจังหวัดที่มีประชากรเบาบางที่สุด หากไม่นับ Hokkaido ภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้งดงาม
     ตอนผมเขียนเรื่อง Komori (小森) จากภาพยนตร์ 'Little Forest' ซึ่งถ่ายทำที่ Oshu จังหวัด Iwate ภาพป่าเขา ลำธาร ท้องนา ธรรมชาติยิ่งใหญ่ เปลี่ยนแปลงตามกาลทั้งสี่ฤดู ทำให้ระลึกถึงบทกวี 'Ame ni mo Makezu'「雨ニモマケズ」ของ Kenji Miyazawa (1896-1933) กวีผู้มีบ้านเกิดอยู่ที่เมือง Hanamaki จังหวัด Iwate...

雨ニモマケズ
風ニモマケズ
雪ニモ夏ノ暑サニモマケヌ
丈夫ナカラダヲモチ
慾ハナク
決シテ瞋ラズ
イツモシヅカニワラッテヰル
一日ニ玄米四合ト
味噌ト少シノ野菜ヲタベ
アラユルコトヲ
ジブンヲカンジョウニ入レズニ
ヨクミキキシワカリ
ソシテワスレズ
野原ノ松ノ林ノ蔭ノ
小サナ萓ブキノ小屋ニヰテ
東ニ病氣ノコドモアレバ
行ッテ看病シテヤリ
西ニツカレタ母アレバ
行ッテソノ稻ノ朿ヲ負ヒ
南ニ死ニサウナ人アレバ
行ッテコハガラナクテモイヽトイヒ
北ニケンクヮヤソショウガアレバ
ツマラナイカラヤメロトイヒ
ヒドリノトキハナミダヲナガシ
サムサノナツハオロオロアルキ
ミンナニデクノボートヨバレ
ホメラレモセズ
クニモサレズ
サウイフモノニ
ワタシハナリタイ

ผมถอดความดังนี้...

ไม่แพ้แม้ห่าฝน              ฤาย่อย่นวายุใหญ่
เหมันต์หนาวเพียงใด     คิมหันต์ไหม้ไม่ระอา
กายายังแข็งแกร่ง          มิพ่ายแรงปรารถนา
ปลอดจิตคิดบีฑา           อุเบกขาขันติธรรม

ข้าวสวยกับแกงจืด         กินผักพืชพออิ่มหนำ
ทุกทิศกิตติกรรม           ให้ทั่นล้ำนำอัตตา
ดูเห็นฟังยินเสียง            เข้าใจเที่ยงไม่เลือนล้า
เนานิ่งในพนา                กระท่อมหญ้าหลังคาคลุม

เด็กป่วยบุรพาทิศ          จักไปพิศเพียรสุขุม
ประจิมแม่จนมุม            จักโอบอุ้มเอื้ออาทร
มรณา ณ ทักษิณ           สงบจินต์สงบสอน
เบาะแว้งแห่งอุดร          จักชวนทอนผ่อนราวี

ยามแล้งนาแห้งผาก      น้ำตาพรากยากสุขี
ฤดูไร้สมประดี               ฤทัยนี้กระวนกระวาย

ใครใครไม่รู้จัก             ไม่ยอรักฤาว่าร้าย
คือคุณคนเรียบง่าย       คือคุณชายฉันจักเป็น

Kenji Miyazawa เป็นบุตรชายคนโตของครอบครัวที่มีฐานะดี บิดาเป็นเจ้าของโรงรับจำนำ ธุรกิจซึ่งสร้างรายได้ท่ามกลางความลำบากของชาวนาในละแวกนั้น เป็นปัจจัยสำคัญต่อความคิดและการดำเนินชีวิตของเขา เขาสำเร็จการศึกษาจาก Morioka Agriculture and Forestry College ในปี 1918 เมื่ออายุ 20 ปี
     ปลายปี 1918 ถึงต้นปี 1919 Kenji และมารดาย้ายไปพำนักที่ Tokyo เพื่อดูแล Toshi น้องสาวซึ่งป่วยหนักขณะศึกษา ณ Japan Women's University
     Kenji Miyazawa เขียนบทกวีตั้งแต่อายุ 15 ปี ด้วยฉันทลักษณ์แบบ tanka เขาเขียนไว้นับพันบท อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี 1921 เขาเปลี่ยนรูปแบบร้อยกรองให้เป็นอิสระกว่า tanka และเขียนเรื่องสำหรับเด็กด้วย
     ปี 1922 Toshi น้องสาวที่เขารักมาก ป่วยและเสียชีวิต Kenji เขียนบทกวีขนาดยาว 3 บท รำลึกถึงเธอในลักษณะ 'บทสนทนา' ระหว่างเขากับ Toshiko (ชื่อที่เขาเรียกน้องสาว) ในบทกวีนี้ ภาษาที่ Toshiko ใช้เป็นภาษาถิ่น มิใช่ภาษาญี่ปุ่นทั่วไป
     1923-1926 Kenji กลับไปเป็นครูที่บ้านเกิด สอนที่ Hanamaki Agricultural High School หลังจากนั้น เขาลาออก เพื่อเป็นชาวนาและใช้ความรู้ที่เรียนมาพัฒนาการเกษตร เขาชวนให้ชาวนาอ่านบทกวี ฟังดนตรี เพื่อสุนทรียภาพของชีวิต เขาตั้ง Rasuchijin Society จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม อาทิ การอ่านวรรณกรรม บทละคร การแสดงดนตรี แต่เมื่อประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่รัฐทหารในปี 1928 Rasuchijin Society ก็ถูกปิดตาย
     สุขภาพของ Kenji เริ่มแย่ลง เขาป่วยเป็นปอดบวมในปี 1928 และอีกครั้งในปี 1931 เขาเขียนบทกวี 'Ame ni mo Makezu'「雨ニモマケズ」ในสมุดโน้ตปกดำของเขาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 1931 ขณะนอนป่วยอยู่ที่บ้าน
     Kenji Miyazawa ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 21 กันยายน 1933 อายุเพียง 37 ปี

'Ame ni mo Makezu'「雨ニモマケズ」เป็นที่รู้จักภายหลัง Kenji จากไปแล้ว เขาเขียนบทกวีนี้ด้วยอักษร katakana เป็นหลัก ใช้ kanji อย่างจำกัด เพื่อให้ชาวนาซึ่งเรียนหนังสือไม่มาก เข้าถึงบทกวีนี้ได้ง่าย (ปัจจุบัน อักษร katakana ใช้ในการเขียนคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ ส่วนคำญี่ปุ่นใช้อักษร hiragana)
     เนื้อหาของ 'Ame ni mo Makezu'「雨ニモマケズ」พูดถึงความเข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ความลำบาก อดทนต่อดินฟ้าอากาศ การมีชีวิตเรียบง่าย รู้จักฟัง รู้จักเห็น เข้าใจ จดจำ เห็นแก่ผู้อื่น พร้อมช่วยเหลือ โดยไม่ต้องการชื่อเสียง ไม่หวังผลตอบแทน

วันที่ 11 มีนาคม 2011 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 epicenter อยู่ที่ 70 กิโลเมตร ทางตะวันออกของ Oshika Peninsula เขต Tohoku hypocenter ลึกลงไปใต้มหาสมุทร 30 กิโลเมตร เป็นการไหวรุนแรงที่สุดเท่าที่มีการบันทึกของญี่ปุ่น ทำให้เกาะ Honshu ทั้งเกาะเคลื่อนไป 2.4 เมตรทางตะวันออก แผ่นดินไหวยังทำให้เกิด tsunami ซัดเข้าทั้งเขต Tohoku คลื่นสูงสุดถึง 40.5 เมตรที่ Miyako จังหวัด Iwate น้ำทะลักเข้าแผ่นดินไกลสุดถึง 10 กิโลเมตรที่ Sendai
     Tsunami ทำความเสียหายแก่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima Daiichi ระบบหล่อเย็นใช้การไม่ได้ แกนเตาปฏิกรณ์หลอมละลาย และระเบิดไป 3 เตา เกิดการรั่วไหลของอนุภาค
     ภัยพิบัติต่อเนื่องทั้งสาม สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และกำลังใจของผู้รอดตาย อย่างเหลือคณา

'Ame ni mo Makezu'「雨ニモマケズ」ถูกนำมาอ่านออกเสียง ในโรงเรียน ในที่สาธารณะ หรืออ่านเป็นกำลังใจเงียบๆ ในครอบครัว
     ไม่กี่วันหลังแผ่นดินไหวที่เรียกว่า 'The Great East Japan Earthquake' Ken Watanabe นักแสดงชื่อดัง เปิด website: kizuna311.com เริ่มด้วยการอ่านบทกวีให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ และระดมเงินบริจาค หนึ่งในบทกวีสำคัญคือ 'Ame ni mo Makezu'「雨ニモマケズ」
   
บทกวีเรียบง่าย เขียนโดยคนธรรมดา ขณะนอนป่วยอยู่บนเตียง เมื่อ 80 ปีก่อน กลับสามารถสร้างกำลังใจแก่ผู้คนจำนวนมาก ในยามที่ประเทศญี่ปุ่นย่อยยับและยากลำบากที่สุดนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
ขอคารวะท่าน Kenji Miyazawa...


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     kenji-world.net
     kizuna311.com






August 1, 2015

Komori (小森): 09.07.2015

ผมพบ Ichiko-san ครั้งแรก เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา...
เธอทำงานที่ supermarket ในเมืองใหญ่ เช่าห้องพักเล็กๆ อยู่ลำพัง ค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส แสนแพง เงินเดือนแทบไม่เหลือ หัวหน้าแผนกเอาแต่ชี้นิ้ว สั่ง และบ่น หนุ่มตัวผอมที่อยู่แผนกเดียวกันกินมื้อกลางวันจำพวกของสำเร็จรูปไร้คุณภาพที่ไม่อาจเรียกว่าเป็นอาหาร ซ้ำๆ ทุกวัน พอเธอเตรียมเบ็นโตะเผื่อ เขากลับนินทาเธอกับพรรคพวกของเขาว่าเธอให้ท่า กะจะ 'จับ' เขา นานวันเข้าเธอยิ่งให้สงสัยว่าตัวเองมาทำอะไรอยู่ เธอมาหาอะไรในเมืองใหญ่นี้...
     บ้านเกิดของ Ichiko อยู่ที่เมือง Komori (小森) เขต Tohoku ชื่อเมืองแปลว่า 'ป่าเล็ก' ตรงกับสภาพที่เป็นจริง ประชากรราวร้อยคนเศษ ส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ ที่ยังทำมาหากิน ทำนา ปลูกพืช เลี้ยงเป็ด ชาวบ้านรวมกันเป็นสหกรณ์เพื่อดูแลธุระส่วนกลาง อาทิ แหล่งน้ำลำธาร การใช้พื้นที่สาธารณะ บริการสีข้าว
     บ้านของ Ichiko อยู่บนเขา หากปั่นจักรยานลงมาสหกรณ์และชุมชนใช้เวลา 30 นาที ขากลับนานกว่านั้น ถ้าจะช้อปปิงต้องไปที่ห้างสรรพสินค้าในเมืองถัดไป ซึ่งใช้เวลาทั้งวันทีเดียว
     เธอย้ายจากเมืองใหญ่กลับมาอยู่กับ Fukuko แม่ของเธอที่ Komori ไม่นาน แม่ก็ออกจากบ้านไป ไม่บอกว่าไปไหน ไปอยู่ที่ไหน จะกลับมาหรือไม่ เมื่อไร...
     Ichiko จึงใช้ชีวิตตามลำพังอีก หากคราวนี้อยู่ในบ้านเกิด ทำมาหากินเช่นชาวบ้าน

ช่วงหน้าร้อน เธอดำนาปลูกข้าว ดูแลคันนาให้แปลงนาได้น้ำทั่วถึง พืชพรรณบนเขารอบบ้านผลิดอกออกผล ปลาในลำธารตัวโตขึ้น เธอเก็บไม้มาผ่าเป็นฟืนตุนไว้ใช้ให้ความอบอุ่นในบ้านช่วงอากาศเย็น
     hazelnut ร่วงตามพื้นป่ามากมาย Ichiko เก็บมาแกะเอาเนื้อข้างในออก คั่วให้สุก บด เอาตั้งบนเตา ผสมผง chocolate กับน้ำมันเล็กน้อย แบบที่แม่เคยทำ คลุกจนได้เป็น paste รสอร่อย ใช้ทาขนมปัง แม่เรียก paste นี้ว่า 'nutella' และขยายความว่าที่เรียกชื่อนี้เพราะพ้องเสียงกับคำ nutteru (ぬってる) ซึ่งแปลว่า ป้ายหรือทา เหมือนกริยา ทาขนมปัง ตอน Ichiko ทำงานที่ supermarket เธอพบ 'Nutella' สูตรเดียวกับของแม่วางขายอยู่ และทราบว่าผลิตภัณฑ์นี้มีมานานแล้ว เธอตื่นเต้นมากและประหลาดใจว่าแม่ก็รู้จัก 'Nutella' ด้วย
     นอกจากนี้ ยังมีผล silverberry ร่วงหล่นอยู่มากเช่นกัน น่าจะลองทำแยมได้ ส่วนที่ลำบากสุดคือตอนบดผลเล็กๆ กับตะแกรง ต้องแยกเอาเมล็ดแข็งออกให้หมด จากนั้นนำไปเคี่ยว เธอเติมน้ำตาลลงไป 60% แยมก็ยังไม่หวาน ยังคงออกขมและเปรี้ยว ขณะลังเล สองจิตสองใจ แยมที่เคี่ยวก็คงตัว เป็นสีแดงคล้ำ สายเกินกว่าจะเติมน้ำตาลเพิ่ม ต้องปล่อยเลยตามเลย รอให้เย็น ตอนตักแยมลงใส่ในขวด เธอรำลึกถึงคำที่แม่เคยบอกว่า 'การปรุงอาหารเป็นกระจกเงาสะท้อนหัวใจ' นั่นคือเธอใส่ใจในกระบวนงานทั้งหมดเพียงไร เธอจ้องมองขวดแยม รำพึงว่า 'หรือนี่คือหัวใจของฉัน?' ผล silverberry ที่เก็บมาเต็มตะกร้า กลายเป็นแยม 3 ขวด รุ่งขึ้นเมื่อเปิดแยมขวดแรกมาทาขนมปังปิ้ง รสชาติขมอมเปรี้ยว กลับลงตัวอร่อยกว่าขณะเคี่ยวเมื่อวาน
     แปลงมะเขือเทศ ผลโต สีแดงงดงาม ชวนเธอเด็ดกินสดๆ รสหวานอ่อนๆ ช่วยให้สดชื่น คลายเหนื่อยได้อย่างดี เถาลำต้นแข็งแรง เลื้อยและงอกได้รวดเร็ว หากไม่ริดออกบ้าง จะกลายเป็นพงทึบ กิ่งที่ริดออก หรือแม้แต่ขั้วที่เหลือหลังกินผลแล้ว ถ้าตกถึงดินเป็นได้งอกต้นใหม่ มะเขือเทศจึงดูคล้ายแข็งแรงยิ่ง อย่างไรก็ตาม หากเจอฝนเมื่อไร แปลงเขียวจะกลายเป็นสีน้ำตาล ผลสีเขียวไม่สุกแดง และเฉาไปในที่สุด ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงปลูกมะเขือเทศในโรงเรือน แต่ Ichiko ไม่ยอมติดตั้งโรงเรือน ด้วยโรงเรือนเป็นเสมือนเครื่องหมายว่าเธอจะปักหลักอยู่ที่นี่
     ส่วนมะเขือเทศชนิดผลเล็ก เธอลวกน้ำร้อนครู่เดียว แล้วเอาลงแช่น้ำเย็นที่หล่อน้ำแข็งไว้ ลอกเปลือกออก แช่ต่อในน้ำเกลือ ตักใส่ขวด แช่ตู้เย็น เพียงเท่านี้ก็ได้มะเขือเทศทั้งผลที่ถนอมไว้กินได้หลายเดือน ใช้ผัดสปาเก็ตตีรสมะเขือเทศสดๆ หรือตักกินจากขวดที่แช่เย็น ก็อร่อยสดชื่นเสมอ
     ความอุดมสมบูรณ์ทั้งจากป่าและจากแปลงปลูกที่เธอลงแรงไว้ เป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับการปรุงอาหาร คุณค่าแห่งธรรมชาติชวนให้เธอเตรียมแต่ละจานอย่างพิถีพิถัน บ้างจากความทรงจำที่เห็นแม่ทำ บ้างจากจินตนาการของเธอเอง

ถึงฤดูใบไม้ร่วง Ichiko เก็บลูกเกาลัดป่าที่หล่นเกลื่อนพื้น กระรอกแทะกินดูง่ายๆ แต่กว่าเธอจะได้กิน ต้องฝังดินไว้ก่อน แล้วต้ม ตากบนเสื่อ แขวนตากต่อในถุง ห่อผ้าทุบเปลือกด้วยค้อน แกะเนื้อข้างในมาบด ต้มรวมกับข้าว ได้เป็นข้าวปั้นน่ากินในที่สุด ส่วนเกาลัดลูกโต เธอเอาแช่น้ำเชื่อมผสม sake
     มันเทศที่ปลูกไว้งอกงามยิ่ง หัวมันขุดขึ้นมาได้จำนวนมาก เธอล้างจนสะอาด ปอกเปลือก ฝานเป็นแผ่นตามยาว แขวนตากไว้ที่ชายคา เก็บไว้ได้นาน ยามบ่ายเมื่อบรรดาคุณยายมาสังสรรค์กันที่บ้าน เธอก็เอามันเทศแผ่นมาย่างไฟเป็นของว่างขบเคี้ยวแสนอร่อย
     เธอเก็บผักสวนครัวมาผัด แต่รสออกฝาดเฝื่อน ไม่ยักหวานกรอบเหมือนที่แม่ทำ ลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้เคล็ดว่าต้องลอกเปลือกบางๆ ตรงก้านใบออกก่อนเพื่อกำจัดรสฝาดเฝื่อนนั้น การไม่ใส่ใจรายละเอียดตอนแม่เตรียม จึงพลาดความรู้สำคัญไป
     เธอไปตกปลาที่ลำธารกับ Yuta รุ่นน้องตอนเรียนประถม ได้ปลามา 2-3 ตัว ควักเอาไส้ออก คลุกแป้งหมักทั้งด้านนอกและด้านใน นึ่งกับผักเคียงซอยหลายอย่าง หยอดโชหยุ หอมกรุ่น
     Yuta ไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่เช่นกัน เขากลับมา Komori สองสามปีก่อนและตั้งใจปักหลักไม่ย้ายไปไหนอีก เขาว่าผู้คนในเมืองใหญ่โอ้อวดในสิ่งที่ตัวไม่รู้ ต่างจากชาวบ้าน Komori ที่ทุกสิ่งที่พูด ล้วนเป็นเรื่องที่รู้จริง มีประสบการณ์จริงทั้งสิ้น เขาจึงนับถือทุกคนที่นี่
     คุณลุงเลี้ยงเป็ดชวน Ichiko ไปช่วยเตรียมเนื้อเป็ด เริ่มตั้งแต่เข้าไปในเล้า ใช้สวิงใหญ่จับเป็ดมาหนึ่งตัว เชือด ควักเครื่องในออก เอาลงหม้อต้ม ถอนขนใหญ่ อังไฟเผาขนอ่อน ชำแหละเนื้อเป็นส่วนๆ เธอทำได้อย่างบรรจง คุณลุงให้ส่วนแบ่งค่าแรงเป็นเนื้อเป็ดชิ้นงามที่เธอเอากลับบ้าน ปรุงเครื่อง ผัดกับผักอย่างอร่อย  
     เมื่อข้าวออกรวงสุก ได้เวลาเกี่ยวข้าว จากนั้นรถสีข้าวของสหกรณ์มาบริการถึงที่ ฟางข้าวที่เหลือ เธอมัดรวม เรียงรอบแกนไม้ที่ปักไว้กับพื้นดิน ตากฟางให้แห้งเก็บไว้ใช้ในภายหลัง

ผ่านไปครึ่งปี Ichiko อยู่ลำพังที่ Komori นอกจากบุรุษไปรษณีย์ที่มาส่งใบเรียกเก็บค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊สแล้ว นานๆ จึงมีคนมาที่บ้าน Kikko เพื่อนรุ่นเดียวกัน แวะมากินข้าว กินขนมด้วยกันบ้าง Yuta มาช่วยซ่อมไฟที่เสียบ้าง การลงแรงกับไร่นา ดูแลพืชผล เก็บเกี่ยว ไม่เหลือเวลาให้เธอว่างนัก กระนั้นการปรุงอาหารกลับเป็นกิจวัตรในบ้านที่เธอให้เวลาไม่ยิ่งหย่อนกว่า
     อาหารแต่ละจาน เริ่มต้นด้วยวัตถุดิบชั้นดีจากน้ำพักน้ำแรง ความใส่ใจถนอมอาหาร และสำเร็จด้วยความพิถีพิถันในการปรุง คุณค่าแห่งผลงานทำให้เธอผ่อนคลาย มีสันติสุขในการดำรงชีวิต...

ผมพบ Ichiko-san อีกครั้งหนึ่งวันนี้...
ช่วงหน้าหนาว หิมะตกหนักบนเขา เธอต้องโกยหิมะเปิดทางเดินเข้าออกบ้านวันละหลายครั้ง อากาศหนาวยะเยือก แต่พืชผลยังคงงอกงามตามเวลา ตามชนิดของมัน
     ต้นผักกาดชูต้นและใบเขียวสดใส เป็นระเบียบในแปลงที่ลงไว้ เธอขุดหัวผักกาด หัวอวบใหญ่ ได้จำนวนมาก นำมาหั่นแบ่งครึ่งก่อน แล้วฝานเป็นแผ่นตามยาว ร้อยเชือก แขวนตากที่ชายคา อากาศหนาวจัดเช่นนี้ ช่วยเก็บรักษาของสดในลักษณะ freeze-drying แบบธรรมชาติอย่างดี หัวผักกาดฝานของเธอจึงเก็บไว้กินได้ตลอดทั้งปี ฤดูหนาวแสนทารุณแต่กลับเป็นช่วงเวลาสำคัญยิ่งในการเก็บถนอมอาหารต่างๆ
     วันคริสตมาส Ichiko คิดถึงตอนที่เธอยังเด็ก ปีนั้น แม่เตรียม loaf cake พิเศษ แม่เทแป้งผสมใบพืชสีเขียวลงในพิมพ์ก่อน จากนั้นเทแป้งผสมใบพืชสีแดงทับชั้นบน นำไปอบ เมื่อหั่น cake ที่อบเสร็จเป็นชิ้นตามขวาง Ichiko เห็นเนื้อ cake ครึ่งหนึ่งสีเขียว อีกครึ่งหนึ่งสีแดง เป็นสีสัญลักษณ์คริสตมาสอย่างงดงาม แม่มีเคล็ดลับในการเทแป้งไม่ให้สองสีปนกัน วันนั้น มีเพื่อนชายชาวต่างชาติของแม่มากิน cake และร้องเพลงกับแม่ แต่แม่กลับบอก Ichiko ว่า 'เราคนญี่ปุ่น ไม่ได้นับถือคริสต์ เราไม่ฉลองคริสตมาส' วันนี้ Ichiko อบ loaf cake สีเขียวแดงแบบที่แม่เคยทำ เธอชวน Kikko และ Yuta มากิน cake และร้องเพลงกัน พอเธอหั่น cake ใส่จานให้เพื่อนทั้งสอง ทั้งคู่ต่างตะลึงในสีสันงดงามของเนื้อ cake เขียวแดง Ichiko ฮัมเพลง 'สวัสดีปีใหม่' Kikko ประท้วงว่า 'วันนี้วันคริสตมาสนะ ยังไม่ถึงปีใหม่' Ichiko ตอบว่า 'เราคนญี่ปุ่น ไม่ได้นับถือคริสต์ เราไม่ฉลองคริสตมาส'
     หลังปีใหม่ อากาศหนาวจัดยิ่งขึ้น แม้ก่อนเข้าหน้าหนาว เธอเตรียมแปลงปลูกพืชและอื่นๆ อย่างรอบคอบ แต่ถึงเวลานี้ ชีวิตไม่ง่ายเลย เธอรำพึงว่าชีวิตคนเราหมุนวนไปตามฤดูกาล: ผลิ ร้อน ร่วง หนาว เหมือนการเตรียมดิน เตรียมแปลง ลงปลูก เก็บเกี่ยว เก็บถนอมอาหาร หมุนไปครบรอบปี เริ่มรอบใหม่ ซ้ำไปเรื่อยๆ กระนั้นหรือ? เธอควรจะอยู่ที่ Komori ต่อไปจนถึงฤดูหนาวหน้าหรือ?...

ผ่านเข้าฤดูใบไม้ผลิ หิมะละลาย ชีวิตน้อยใหญ่ขยับกระฉับกระเฉงขึ้น ต้นไม้แตกใบใหม่หลังสลบไสลจากอากาศหนาวนานหลายเดือน ซากุระเริ่มผลิตุ่มดอกเล็กๆ จากนั้นไม่นาน ทั่วบริเวณเขา และริมทางที่ Ichiko ขี่จักรยานผ่าน ก็สะพรั่งด้วยซากุระบานเต็มต้น
     เธอหวนคิดถึงการหมุนวนของชีวิตตามฤดูกาล และตระหนักว่าความจริงมันมิใช่วงกลมย้อนซ้ำที่เดิม หากเป็นวงเกลียวที่อาจนำไปในทางสูงขึ้นหรือต่ำลง และในระหว่างเกลียว เธอย่อมแวะออกไปรายทางได้เป็นครั้งคราว
     ปลายฤดูใบไม้ผลินั้น บ้านของ Ichiko บนเขาปิดเงียบ
     Kikko แวะเวียนมาดูแลแปลงปลูกที่ยังมีพืชรอเก็บเกี่ยวอยู่

เรื่องของ Ichiko เป็นภาพยนตร์ ชื่อ Little Forest (リトル・フォレスト) เขียนบทและกำกับโดย Junichi Mori สร้างจาก manga ชื่อเดียวกันของ Daisuke Igarashi ใช้เวลาถ่ายทำ 1 ปี เพื่อให้ครบทั้ง 4 ฤดู สถานที่เมือง Oshu จังหวัด Iwate ดนตรีและเพลงประกอบแต่ละฤดูโดย Yuri Miyauchi หนังทำเป็น 2 ภาค ภาคแรก: Summer and Autumn ออกฉาย: สิงหาคม 2014 ภาคสอง: Winter and Spring ออกฉาย: กุมภาพันธ์ 2015
     Little Forest เดินเรื่องโดยการเล่า (narration) ของ Ichiko นอกจากแสดงวิถีชาวไร่ชาวนา การดำเนินชีวิตประจำวัน การเตรียม การหุงหาอาหาร ความใส่ใจ เห็นคุณค่าของงานที่ทำ หนังยังฉายให้เห็นชนบทที่สงบสุข ธรรมชาติยิ่งใหญ่งดงามที่แตกต่างกันทั้ง 4 ฤดู ป่า เขา ท้องฟ้า แม่น้ำ ลำธาร ไร่นา ดอกไม้ ตลอดจนถนนที่ Ichiko ขี่จักรยานผ่านไปมา
     ห้าปีภายหลัง Ichiko จาก Komori ไปในปลายฤดูใบไม้ผลินั้น เธอกลับมาใหม่ คราวนี้มาพร้อมสามี ผู้คนใน Komori กำลังเฉลิมฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ลูกสาววัยสามขวบของ Kikko กับ Yuta วิ่งเล่นสนุกอยู่ Ichiko ร่วมร่ายรำอยู่บนเวทีกับชาวบ้าน ในวาระแห่งความยินดีต่อฤดูใบไม้ผลิ...ฤดูกาลแห่งการเริ่มต้นของชีวิต...
     Little Forest จบลงในลักษณะที่ทางวรรณคดีเรียกว่า bildungsroman

วันนี้ ผมไปชม Little Forest: Winter and Spring รอบเที่ยง ผู้ชมทั้งโรงหนังมีเพียง 15 คน...


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     imdb.com
     japantimes.co.jp
   
   


June 7, 2015

Prachuap Revisited: ช้างป่ากุยบุรี: 03.05.2015

เมืองประจวบเป็นที่ค้างแรมกึ่งกลางสำหรับการล่องใต้ระยะไกล คนเดินทางจึงมักพักเพียง 1 คืน
ที่ศาลาริมคลองบางนางรมเช้านี้ ว่างกว่าเมื่อวานมาก เรานั่งกินอาหารสบายๆ อ้อยอิ่งไปจน 9.30 น. เป็นลูกค้าชุดสุดท้าย
     เตรียมกลับกรุงเทพฯ เหลือวันหยุดพรุ่งนี้อีก 1 วันเผื่อให้ลูกได้พักก่อนเปิดทำงาน 5 พฤษภาคม เที่ยวกลับตั้งใจจะแวะอุทยานแห่งชาติกุยบุรี
     ขับรถออกจากโรงแรม แล่นตามถนนปิ่นอนุสรณ์เลียบอ่าวประจวบขึ้นไปทางเหนือ ถนนตีโค้งไปตามอ่าวราว 3.5 กม. ข้างหน้าคือเขาตาม่องล่าย ข้างๆ เป็นหมู่บ้านชาวประมง ชื่อเดียวกับภูเขา น้ำทะเลกำลังลง ชายหาดกว้างขวาง เรือจอดบนหาดทรายหลายลำ ถนนไปสุดทางเมื่อข้ามสะพานโค้งสูงยาว ถึงเชิงเขาซึ่งเป็นวนอุทยานเขาตาม่องล่าย วนอุทยานมีเรือนพัก 2 หลัง และค่ายลูกเสือ แต่ไม่จอแจ หาดทราย ทะเล ภูเขา สงบ ชวนให้นั่งเล่นอยู่พักใหญ่
     จากเขาตาม่องล่าย ขับย้อนเลียบอ่าวประจวบมาทางเขาช่องกระจก ออกจากเมือง เลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรเกษม ขึ้นเหนือ ตรงไปอำเภอกุยบุรี...
     ...แยกซ้ายจากถนนเพชรเกษมไปตามทางหลวง 1002 ป้ายบอกทางสู่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และป้าย 'ช้างป่ากุยบุรี' สองข้างทางไม่มีป่าไม้ หากแต่เป็นไร่สับปะรด สลับกับสวนยางพารา พื้นที่ปลูกพืชทั้งสองกว้างใหญ่ไพศาล สุดสายตา ทางหลวง 1002 ตัดไปทางตะวันตก ลึกเข้าไป ไม่ปรากฏป้าย 'อุทยาน' เหลือเพียงป้าย 'ช้างป่า' ผมเข้าใจว่าสุดท้ายที่หมายทั้งสองคือที่เดียวกัน ทาง 1002 บรรจบกับทางหลวง 3217 พาลัดเลาะอ่างเก็บน้ำเขื่อนยางชุมไปยังบ้านรวมไทย จากบ้านรวมไทยขึ้นเหนือไปอีกราว 5 กม. ถึงจุดตรวจห้วยลึก อุทยานแห่งชาติกุยบุรี รวมระยะทางจากถนนเพชรเกษมถึงห้วยลึก กว่า 30 กม.
     เราไปถึงตอนใกล้เที่ยง เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจห้วยลึก อธิบายว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ทำการอุทยาน แต่เป็นขอบป่าซึ่งอุทยานร่วมกับชาวบ้านรวมไทย ในนาม 'ชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ช้างป่ากุยบุรี' นำชมช้างป่าโดยรถกระบะของสมาชิกชมรม พร้อมมัคคุเทศก์ท้องถิ่น เวลาเข้าชม 14.00-18.30 น. ที่นี่ไม่มีที่พัก ไม่มีร้านอาหาร ที่ทำการอุทยานอยู่ห่างไปทางใต้เกือบ 20 กม. เขาแนะนำว่าหากเราจะค้างแรม 'บ้านไร่คงมั่น' รีสอร์ทซึ่งอยู่ก่อนถึงบ้านรวมไทยน่าจะสะดวกกว่า
     ขับรถย้อนกลับมาบ้านรวมไทย แวะกินก๋วยเตี๋ยวผัดเป็นมื้อกลางวันที่ร้านป้ากุล ตรงข้ามสถานีพัฒนาอาหารสัตว์ประจวบคีรีขันธ์ ที่นี่เงียบมาก คนงานก่อสร้างสะพานข้ามลำห้วยที่อยู่ใกล้ๆ 4-5 คน พักเที่ยง มากินข้าว ร้านป้ากุลจึงคึกคักขึ้น
     เราเห็นพ้องกันว่า มาถึงกุยบุรีแล้วควรได้เห็นช้างป่า และหากจะชมช้างป่าก็ต้องค้างแรมที่นี่
     หลังอาหาร แวะไปบ้านไร่คงมั่น อยู่เชิงสะพานที่กำลังก่อสร้าง มีบ้านพักหลังใหญ่ 2 หลัง บ้านแฝด 1 หลัง สวนไม้ดอกปลูกรอบบ้านพัก บริเวณเรียบง่าย เรียบร้อย สะอาด ไม่มีคนเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่มีประตูบานไหนล็อคเลย...นี่เองวิถีชนบทดั้งเดิมแบบอุดมคติ...รอสักครู่ก็ยังไม่มีใครมา จึงโทรศัพท์หาเจ้าของตามหมายเลขที่เขียนไว้ใต้ป้ายรีสอร์ท คุณน้อยรับสาย บอกว่าเธอพาแขกที่พักไปชมไร่ และมีบ้านแฝดว่างสำหรับเรา 3 คน
     ราว 10 นาทีต่อมา คุณน้อยและคุณบิวกลับจากไร่ สาวหนุ่ม คู่ภรรยาสามี กระฉับกระเฉง เป็นมิตร คุณน้อยจัดบ้านแฝดซึ่งมีห้องนอนหลังละ 1 ห้อง รวม 2 ห้อง ให้เราพัก ระเบียงด้านหลังเปิดโล่ง ถัดออกไป มีสระน้ำขุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวมาก ริมสระปลูกต้นสักเป็นแนวยาว หลังแนวต้นสักเป็นแนวต้นสนสูงชลูด บรรยากาศสงบ เธอติดต่อรถของชมรมฯ ให้มารับเราที่นี่เพื่อไปชมช้างป่าเวลา 15.00 น. จึงมีเวลานอนพักรอให้แดดร่มลง

ปี 2510 บริษัท Dole แห่งสหรัฐอเมริกา ผู้ผลิตสับปะรดกระป๋องรายใหญ่ที่สุดของโลก ประสบปัญหา เนื่องจากแหล่งปลูกสับปะรดบนเกาะฮาวาย ถูกเปลี่ยนไปทําอย่างอื่นท่ีให้ผลตอบแทนดีกว่า และค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทําให้ต้นทุนการผลิตสับปะรดกระป๋องเพิ่มขึ้น บริษัท Dole ต้องหาแหล่งปลูกสับปะรดใหม่
     ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยกำลังต่อสู้กับการแผ่อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงมีนโยบายให้ราษฎรออกจากป่า จัดต้ังหมู่บ้าน จัดสรรท่ีดินทํากิน เปิดพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ส่งเสริมการปลูกสับปะรด และการต้ังโรงงานผลไม้กระป๋องในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จนประเทศไทยกลายเป็นแหล่งปลูกและส่งออกสับปะรดมากที่สุดของโลก
     ปี 2520-2525 องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เช่าท่ีป่าจากกรมป่าไม้ จัดสรรเป็นที่ดินทํากินให้แก่ชาวบ้านรวมไทย เพื่อปลูกสับปะรดและทําการเกษตรอื่นๆ ช่วงนั้น ชาวบ้านพบเห็นช้างป่าใกล้กับพื้นที่ไร่ คร้ังละประมาณ 1-3 ตัว ในฤดูกาลที่ช้างป่าเคลื่อนย้ายจากภูเขาลงมาพื้นราบซึ่งยังมีสภาพเป็นป่า แต่เมื่อช้างได้กลิ่นคนก็จะหลบหนีเข้าป่าไป
     ปี 2525-2528 มีการบุกรุกขยายพื้นท่ีปลูกสับปะรดจนติดขอบป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี เมื่อผลผลิตออกมาก ราคาก็ตกต่ำ จนเจ้าของต้องทิ้งไร่ ครั้นถึงฤดูกาลช้างป่าเคลื่อนย้ายจากภูเขาลงมา เดินผ่านไร่และได้กินสับปะรดเป็นคร้ังแรก เนื่องจากไม่มีเจ้าของไร่เฝ้าอยู่
     ปี 2528-2537 ราคาสับปะรดสูงขึ้นอีกครั้ง ชาวบ้านจึงเข้าทําไร่กันขนานใหญ่ เมื่อถึงฤดูกาลเคลื่อนย้ายของช้างป่า บางไร่จึงถูกช้างเหยียบย่ำเสียหาย ส่วนไร่ที่มีคนเฝ้าจำนวนมาก ช้างจำต้องเปลี่ยนเส้นทางเดิน
     ปี 2537-2539 ช้างป่าเริ่มเดินมาบริเวณไร่สับปะรดก่อนฤดูกาลเคลื่อนย้ายปกติ ปรากฏตัวบ่อยข้ึนและใช้เวลาอยู่บริเวณริมป่านานข้ึน ความเสียหายจากช้างป่ากินสับปะรดเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน การสู้รบทางฝั่งประเทศพม่าทวีความรุนแรง มีการดักลูกช้างไปขาย ทําให้ช้างป่าต้องอพยพมาอยู่ริมป่าติดกับไร่สับปะรดซึ่งเป็นพื้นท่ีปลอดภัย ช้างป่าปรับตัว สามารถอยู่กับพื้นที่ได้ และออกมากินสับปะรดในไร่บ่อยขึ้น เจ้าของต้องนอนเฝ้าไร่ในเวลากลางคืน
     ปี 2540-2545 ช้างป่าเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่อไปอีก โดยใช้เวลาหากินบริเวณชายป่าใกล้ไร่สับปะรดนานขึ้น ปรากฏตัวนอกพื้นที่ป่ามากข้ึน หากินในพื้นท่ีเปิดโล่งติดกับไร่ทุกวัน และทุกคืนจะลงมากินสับปะรดของชาวไร่ เกิดการเผชิญหน้าระหว่างคนกับช้างป่า กลายเป็นความขัดแย้งมาจนถึงปัจจุบัน
     ปี 2541 รัฐบาลจัดตั้งโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดําริ เวนคืนที่ดินและฟื้นฟูสภาพป่า
     ปี 2542 กรมป่าไม้จัดตั้งอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า
     ปี 2546-2547 จำนวนช้างป่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 140 ตัว แยกเป็นฝูงย่อยๆ ฝูงละ 10-20 ตัว
     ปี 2548 อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ชุมชนท้องถิ่น และ WWF ประเทศไทย จัดเสวนาหาทางออกร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า
     ปี 2549 อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ทําแผนจัดการประชากรช้างป่า โดยให้ความสําคัญหลักต่อความคิดเห็นและความร่วมมือของชุมชนท้องถิ่น
     ปี 2550 อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และชุมชนท้องถิ่น ร่วมดําเนินการตามแผนบางส่วน อาทิ การนำชมช้างป่าของชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ช้างป่ากุยบุรี

ช้างป่าเอเชีย (Elephas maximus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีสมองส่วน cerebrum ขนาดใหญ่ จึงมีความจำ สติปัญญา การใช้เหตุผล การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการแก้ปัญหา ดีเยี่ยม สังคมเป็นครอบครัว มีลำดับชั้น (hierarchy) ตัวเมียจ่าฝูงเป็นผู้อาวุโส เป็นผู้นำ ตัวโต ทรงความรู้ จดจำประวัติศาสตร์ของฝูงได้ดี ปกป้องที่อยู่ที่อาศัย รู้เส้นทางย้ายถิ่นตามฤดูกาล รู้เส้นทางหาอาหารและน้ำแม้ยามแห้งแล้งคับขัน จดจำกระดูกและที่ล้มของบรรพบุรุษได้ นำฝูงคารวะด้วยการเวียนรอบและใช้งวงสัมผัสกระดูกนั้นอย่างอ่อนโยน ลูกช้างได้รับการดูแล คุ้มกันจากตัวเมียหลายตัว ไม่เพียงเฉพาะจากแม่ ช้างวัยรุ่นช่วยดูแลและเป็นเพื่อนเล่นของลูกช้างเช่นกัน ส่วนตัวผู้เมื่อโตถึงวัยรุ่น มักถูกผลักออกจากฝูง หากินตามลำพัง บางครั้งอาจอยู่กับตัวผู้อื่นเป็นกลุ่ม 2-3 ตัว

15.00 น. รถกระบะชมรมฯ มารับตามนัด จากบ้านไร่คงมั่นไปยังจุดตรวจห้วยลึก เราต้องไปลงทะเบียนและจ่ายค่าบริการต่างๆ ที่สำนักงาน ก่อนเข้าป่า คนต้องเดินผ่านแอ่งน้ำฆ่าเชื้อจากรองเท้า ส่วนรถก็แล่นผ่านแอ่งน้ำฆ่าเชื้อจากล้อรถเช่นกัน ผมไม่แน่ใจว่า พิธีกรรมผิวเผินแบบนี้ สามารถป้องกันการนำเชื้อโรคสู่ป่าและฝูงช้างได้จริง รถเข้าไปไล่เลี่ยกัน 3-4 คัน ค่อยๆ แล่นตามทางดิน สองข้างทางเป็นป่าโปร่ง
     เพียง 15 นาที รถคันหน้าหยุด คันที่สองของเราหยุดตาม ทิ้งระยะห่างกันราว 20 เมตร ในป่าด้านซ้ายมีฝูงช้างกว่า 10 ตัว รีรอจะข้ามทาง แต่เมื่อเห็นรถ 2 คัน จึงหยุดดูลาดเลา จ่าฝูงตัวโตไม่มั่นใจด้วยมีลูกช้างอยู่ถึง 5-6 ตัว พาฝูงถอยกลับลึกเข้าไป เรารออยู่พักใหญ่ ไม่เห็นออกมาอีก น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นฝูงช้างป่าข้ามทาง รถแล่นต่อไป ลึกเข้าไป ช้างโทนยืนกินใบไม้ ถัดไปอีกหน่อยมี 2 ตัว กำลังเอางวงเหนี่ยวลำต้นอ่อนเข้าหาตัว รูดใบไม้เข้าปาก คนขับรถและมัคคุเทศก์ฝึกมาอย่างดี ทิ้งระยะห่างปลอดภัย และไม่รบกวนช้าง
     รถไปจอดพักที่สถานีป่ายาง พื้นที่กว้างขวาง บนเนินมีบ้านพัก 3 หลัง แต่ละหลังอยู่ห่างกันพอควร เลยจากเนินไปทางทิศใต้เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ที่ฝูงช้างมักมาเล่นน้ำ ตอนที่เราถึงสถานีป่ายาง มีรถของชมรมฯ หลายคันจอดอยู่ก่อนแล้ว นักท่องเที่ยวกระจายอยู่บนระเบียงบ้านทั้งสามหลัง เฝ้ารอฝูงช้างมาเล่นน้ำ ไม่นาน เมฆเริ่มก่อตัว รวมกลุ่มทึบทะมึน ครู่เดียวฝนก็เทลงมา พื้นดินชุ่มฉ่ำ อากาศเย็นสบาย คลายร้อนลง ราวครึ่งชั่วโมง เมฆจางไป อาทิตย์ยามเย็นทอแสงทอง รุ้งกินน้ำสองตัวทอดโค้งเหนือทิวเขา ประดับท้องฟ้าด้านตะวันออกอย่างสมบูรณ์แบบ ธรรมชาติงดงามทำให้ผ่อนคลาย สงบสุข แม้สุดท้ายไม่มีช้างลงมาเล่นน้ำให้ชมก็ตาม
     ฝนซาลง นักท่องเที่ยวต่างพากันออกจากสถานีป่ายาง รถแล่นตามกันเป็นขบวน มุ่งหน้าไปยัง 'หน้าผา' จุดชมช้างป่าและกระทิง เส้นทางผ่านป่า แต่ไม่มีช้างปรากฏตัวให้เห็นอีก ซึ่งไม่น่าแปลกใจ
     'หน้าผา' มีภูมิประเทศงดงาม จุดชมอยู่บนหน้าผาซึ่งโค้งออก อุทยานฯ วางแนวขวางขอบไว้ด้วยท่อนซุงขนาดย่อม เรียงต่อกัน ลึกลงไปเบื้องหน้าเป็นหุบโล่งกว้างใหญ่ เป็นโป่งที่ฝูงกระทิง ฝูงช้าง แวะเวียนมาเติมแร่ธาตุ รอบหุบเป็นป่าทึบสมบูรณ์ ไกลออกไปเห็นทิวเขาเรียงราย องค์ประกอบธรรมชาติทั้งมวลยิ่งใหญ่ มนุษย์เป็นเพียงส่วนย่อยของภาพที่เห็น เราเฝ้ารออยู่นาน ไม่มีช้าง ไม่มีกระทิง ผมไม่แน่ใจว่าเป็นธรรมชาติของสัตว์ที่ไม่ออกมาหลังฝนตกหรือเป็นเพราะไม่อยากเห็นฝูงคนบนหน้าผา
     เราชวนมัคคุเทศก์และคนขับรถของเราให้ออกจาก 'หน้าผา' เป็นคันแรก โอกาสพบฝูงช้างน่าจะมากกว่าเป็นคันตาม และหากเป็นคันเดียวยิ่งดี แต่พอรถเราขยับ คันอื่นก็ทยอยตาม กะไม่ให้เราหนีพ้น...
     รถค่อยๆ แล่นมาเพียง 10 นาที มัคคุเทศก์ตาไวให้หยุดรถ ในป่าด้านซ้าย ฝูงช้างป่ากว่า 10 ตัวกำลังมุ่งหน้าจะข้ามทางห่างจากที่รถจอดราว 20 เมตร สักพัก จ่าฝูงตัวเมียตัวโตนำขบวนออกจากป่าข้ามทางไปป่าอีกด้าน ตัวอื่นๆ ตามมาเป็นแถว ลูกช้างตัวเล็กน่ารัก 6 ตัวอยู่กลาง ช้างพี่เลี้ยง 4-5 ตัวขนาดเล็กกว่าจ่าฝูงประกบลูกช้างและปิดท้ายขบวน ภาพที่เห็นทำให้อิ่มเอิบใจยิ่ง มัคคุเทศก์บอกให้คนขับกลับไปยังสถานีป่ายาง เธอคะเนทิศทางของฝูงช้างว่าน่าจะไปเล่นน้ำ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะถึงป่ายาง วิทยุจากเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนแจ้งว่าฝูงช้างไม่มาเล่นน้ำ แต่ย้อนกลับเข้าป่าอีก เราจึงกลับเข้าทางเดิม ไม่นานเราก็ได้จอดรถ ชมฝูงช้างข้ามทางย้อนกลับไปป่าด้านซ้ายอีกครั้ง
     ตะวันคล้อย รถทยอยออกจากป่า เสียงนกกระแตแต้แว้ดดังขรมจากข้างทาง เห็นตัวบ้างเป็นครั้งคราว แสงเริ่มสลัว ก่อนพ้นราวป่า รถต้องหยุด ห่างไปข้างหน้าราว 20 เมตร ช้างตัวผู้ 2 ตัว ใช้งวงเหนี่ยวโหนต้นไม้อยู่ริมทาง ท่าทางหงุดหงิด ทั้งคู่ประลองกำลังกันพักใหญ่ ตัวเล็กกว่าถอยลึกเข้าไปในป่า ตัวโตกว่ารุกตาม พอห่างจากทาง รถเราค่อยๆ ขยับจะแล่นออก ตัวโตกลับถลันออกมาขวางถนน หันมาประจันหน้า ชูงวงขึ้น ขยับใบหู รถต้องถอยกลับทิ้งระยะห่าง 20 เมตรตามเดิม ช้างตัวโตค่อยสงบลง หันหน้ากลับไปทางป่า แต่ไม่ยอมหลีกจากริมถนน เล่นเอาเถิดแบบนี้อยู่ 3 รอบ ไม่ยอมให้รถผ่าน ตอนนี้รถที่ตามมาต่างต้องจอดทิ้งระยะห่างจากกัน 7-8 เมตร เผื่อทางหนีทีไล่ ต่อกันเป็นแถวยาว มัคคุเทศก์วิทยุปรึกษากันทราบว่า รถของหัวหน้าอุทยานฯ ติดอยู่ท้ายขบวนด้วย กำลังขับขึ้นมาเพื่อเปิดทางให้ รถหัวหน้าค่อยๆ แล่นผ่านรถเราคืบหาช้างตัวโตที่ตอนนี้ไม่ยักทำท่าอย่างเก่า กลับยินยอมล่าถอยเข้าป่าข้างทาง...แม้แต่ช้างป่าก็ยังเกรงใจหัวหน้า
     รถกลับออกมาถึงจุดตรวจห้วยลึกราว 18.30 น. ฟ้ามืด อากาศคลายร้อนลง รถส่งเราถึงบ้านไร่คงมั่น ที่รีสอร์ทไม่มีอาหารบริการ เราขับรถไปที่ร้านป้ากุล ร้านเดิมที่กินมื้อกลางวัน วัตถุดิบในครัวเหลือพอแค่อาหารจานเดียวคนละจาน ป้ากุลอัธยาศัยไมตรีเป็นกันเองแบบคนชนบท ป้าเล่าว่าอยู่กัน 2 คนกับสามี ลูกๆ โตแยกเรือนไปหมด สามีเกษียณแล้ว แต่เขามีบำนาญใช้ไม่เดือดร้อน ส่วนป้าไม่มีรายได้ จึงยังเปิดร้านขายอาหารอยู่ นับว่าโชคดีที่ป้ากุลไม่มีบำนาญ เราจึงมีข้าวกินค่ำนี้

นโยบายทางการเมืองของรัฐบาลแต่ละยุค ยากที่จะรอบคอบ รอบด้าน จึงมักก่อปัญหาข้างเคียง (side effects) และปัญหาแทรกซ้อน (complications) ในระยะยาว
     ที่ดินทำกินเป็นปัจจัยดำรงชีพพื้นฐานสำคัญของมนุษย์ หากเกิดความขัดแย้งมักนำสู่ความรุนแรง ยิ่งพื้นที่ถูกนับถือเป็นบ้านเกิดเมืองนอน (homeland) ความขัดแย้งยิ่งนำสู่สงคราม การรบพุ่งแต่อดีตจนปัจจุบันและที่จะเกิดในอนาคต ล้วนมีเหตุจาก 'พื้นที่' เป็นสำคัญ
     การเปิดป่า การบุกรุกป่ากุยบุรี สร้างความขัดแย้งลักษณะเดียวกัน หากคู่กรณีมิใช่ระหว่างคน แต่ระหว่างคนกับช้างป่า การที่ช้างมีสังคมครอบครัวเข้มแข็งและมีสติปัญญาไม่ด้อยกว่ามนุษย์ จึงเป็นคู่กรณีที่น่าเกรงขามและไม่อาจประมาทได้ การแก้ปัญหา 'บ้านเกิดเมืองนอน' ที่กุยบุรีจึงต้องประนีประนอม เท่าเทียม และยุติธรรมแบบอารยะ

ชมช้างป่าวันนี้ตื่นเต้น ประทับใจ เป็นประสบการณ์ที่มิได้วางแผนมาก่อน
การค้างแรมเพิ่มอีก 1 วัน ในพื้นที่ห่างไกล สงบเงียบแบบชนบท ผู้คนเป็นมิตร น่ารัก เรียบง่าย เป็นโอกาสที่หาได้ไม่ง่าย

ข้อมูลค้นจาก
     คู่มือท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
     th.wikipedia.org
     dnp.go.th
     wwfthai.org
     คนกับช้างป่าบนสถานการณ์ใหม่ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี. WWF ประเทศไทย. 2550.





May 22, 2015

Prachuap Revisited: ด่านสิงขร หว้ากอ กองบิน 5: 02.05.2015

โรงแรมที่พัก ด้านหน้าติดถนนปิ่นอนุสรณ์ ถนนเลียบชายทะเล ด้านหลังลึกเข้าไปจรดคลองบางนางรม ทำเลเยี่ยม เสียแต่กำลังก่อสร้างตึกใหม่ด้านหน้า ที่ทางรก ทั้งคนและรถเข้าออกลำบาก
     อาหารเช้าเสิร์ฟที่ศาลาริมคลองบางนางรม ฝั่งตรงข้ามเป็นป่าโกงกางทึบ ในคลองปักโครงเสา ห้อยเชือก เลี้ยงหอยนางรม สมกับชื่อคลอง ลมพัดเย็นสบาย มื้อเช้าจึงผ่อนคลาย ไม่รีบร้อน คุณธานี สุวรรณนาวา เจ้าของโรงแรมอยู่ดูแล พูดคุยกับแขกเหรื่อเป็นกันเอง

วันนี้ตั้งใจตระเวนไปด่านสิงขร ดูชายแดนแถบนี้ ต่อด้วยหว้ากอ พัฒนาถึงไหนแล้ว เย็นๆ ไปชมอ่าวมะนาว อุทยานประวัติศาสตร์ และเยี่ยมค่างแว่นที่เขาล้อมหมวก

9.00 น. จากที่พัก ขับรถออกจากเมืองประจวบ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพชรเกษมลงใต้ไปราว 8 กม. เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงชนบท 11207 ทางลาดยางเรียบ ผ่านไร่นาชาวบ้าน ไปจนบรรจบกับทางหลวง 1039 ที่โรงเรียนด่านสิงขร ทางหลวง 1039 นำต่อไปจนถึงด่านสิงขร รวมระยะทางที่แยกจากถนนเพชรเกษมถึงด่าน 13 กม.
     ด่านสิงขรเป็นจุดผ่อนปรนการค้า อยู่ห่างราว 1 กม. จากช่องเขามุด่อง (Maw Daung Pass) ของพม่าตรงชายแดน ลึกเข้าไปฝั่งพม่าคือบ้านมุด่อง (Maw Daung) มีทางหลวงตัดขวางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือถึงเมืองมะริด (Myeik) เมืองท่าริมทะเลอันดามัน ภาคตะนาวศรี (Tanintharyi) อันเป็นภาคใต้สุดของประเทศพม่า
     บริเวณด่าน การค้าขายคึกคัก วุ่นวายแบบชายแดน ตลาดไทยเปิดทุกวัน ส่วนตลาดพม่าเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ แม่ค้าพม่าผ่านแดนมาแต่เช้าและต้องกลับตอนบ่าย ตลาดแบ่งเป็นโซน ได้แก่ กล้วยไม้ป่า เฟอร์นิเจอร์ไม้ อัญมณี เป็นต้น กล้วยไม้ป่าถูกแซะมาเป็นต้น เป็นกอ ไม่เว้นแม้พืชที่ขึ้นบนคาคบไม้ (epiphytes) เช่น ชายผ้าสีดา และเฟิร์นต่างๆ เมื่อนักท่องเที่ยวมากขึ้น ของป่าเหล่านี้ที่เคยขายราคาถูกก็แปรไปตามอุปสงค์ และอีกไม่นานคงหมดป่า
     จากตลาด เราเดินขึ้นเนินไปยังด่านตรวจผ่านแดน ใกล้เที่ยง คนพม่าเริ่มทยอยกลับ เราไปคุยกับนายตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ประจำอยู่ ถามเขาเรื่องการเปิดด่านเป็นจุดผ่อนปรนพิเศษ ชาวบ้านโจษกันว่านายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมาเป็นประธานเปิดวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ นายตำรวจบอกว่ายังไม่มีเรื่อง และกำหนดการดังกล่าว
     เก้าปีก่อน ผมเคยขับรถมาที่ด่านนี้ ด้วยความอยากรู้ว่าด่านสิงขรเป็นอย่างไร ตอนนั้นถนนยังเป็นทางดินสลับลูกรัง ตรงด่านไม่มีการค้าขาย ไม่มีกิจกรรมใดๆ
     วันนี้ คนค้าขายต่างกระตือรือร้น รอการผ่อนปรนการเข้าออกผ่านพรมแดน ด้วยหวังให้เกิดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ
     ภายหลังเรากลับจากทริปนี้แล้ว ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2558 นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้มาเป็นประธานเปิดด่านอย่างที่โจษกัน หากแต่ลงนามประกาศกระทรวงมหาดไทยเปิดด่านสิงขรเป็นจุดผ่อนปรนพิเศษ อนุญาตให้คนพม่าข้ามพรมแดนมาได้ครั้งละไม่เกิน 2 วัน (ค้างได้ 1 คืน) ภายในเขตอำเภอเมืองประจวบ ขณะเดียวกัน มุขมนตรีภาคตะนาวศรีของพม่าอนุญาตให้คนไทยข้ามพรมแดนไปถึงเมืองมะริดได้ จำนวนวันพำนัก ขึ้นกับชนิดของเอกสารผ่านแดน และจะมีพิธีเปิดด่านเป็นทางการวันที่ 23 พฤษภาคม 2558

จากด่านสิงขร ย้อนกลับออกตามทางหลวงชนบท 11017 เลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรเกษม ลงใต้ราว 2 กม. ถึงแยกไปหว้ากอ เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง 1041 ประมาณ 3 กม. ถึงอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ
     พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณล่วงหน้าไว้ถึง 2 ปีว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ปีมะโรง จุลศักราช 1230 ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม 2411 โดยเส้นศูนย์ของอุปราคา จะผ่านมาใกล้ที่สุด ณ บ้านหว้ากอ เมืองประจวบคีรีขันธ์ พระราชอาณาจักรสยาม ทางฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมมลายู ตรงเส้นวิตถันดร (แลตติดจูต) 11 องศา 38 ลิปดาทิศเหนือ และเส้นทีรฆันดร (ลองติดจูต) 99 องศา 39 ลิปดาทิศตะวันออก โดยคราสเริ่มจับเวลา 10 นาฬิกา 4 นาที จับเต็มดวง เวลา 11 นาฬิกา 36 นาที 20 วินาที กินเวลานาน 6 นาที 45 วินาที คลายคราสออกเวลา 13 นาฬิกา 37 นาที 45 วินาที
     ทั้งนี้ ไม่ปรากฏหลักฐานการคำนวณเหตุการณ์ดังกล่าวจากประเทศตะวันตกมาก่อน
     ทรงโปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สร้างค่ายไว้ล่วงหน้า และพระองค์ใช้ค่ายนี้เป็นห้องทดลองกลางแจ้ง เป็นที่ชุมนุมของนักวิทยาศาสตร์และคณะทูตประเทศต่างๆ พิสูจน์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงตามที่พระองค์ทรงคำนวณโดยไม่คลาดเคลื่อน แสดงถึงพระอัจฉริยภาพด้านดาราศาสตร์ของพระองค์ แต่เมื่อพระองค์เสด็จกลับกรุงเทพฯ ได้เพียง 5 วัน ก็ทรงประชวรและเสด็จสวรรคตด้วยไข้มาลาเรีย ในวันที่ 1 ตุลาคม 2411
     ปี 2532 รัฐบาลเห็นชอบให้ดำเนินโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย
     ปี 2533 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนาม 'อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ'
     ปี 2536 กระทรวงศึกษาธิการจัดให้อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ เป็นสถานศึกษา ปัจจุบันสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย

อุทยานฯ มีพื้นที่กว้างขวางถึง 500 ไร่ ด้านตะวันออกติดทะเล ชายหาดหว้ากอยาว 3 กม. ภูมิทัศน์งดงามและเหมาะสมในการจัดค่ายเยาวชนอย่างยิ่ง ฐานการเรียนรู้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และพลังงาน กลุ่มดาราศาสตร์และอวกาศ กลุ่มธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
     พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Waghor Aquarium) จัดแสดงปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ ส่วนสำคัญได้แก่ Big Tank สูง 3 ชั้น แสดงปลาขนาดใหญ่ อาทิ ฉลาม กระพง กระเบน และการให้อาหารโดยนักประดาน้ำ อีกส่วนที่น่าชมคืออุโมงค์ปลา จัดทางเดินให้ผู้ชมมองเห็นปลาที่ว่ายอยู่ด้านบน
     ออกจาก aquarium ไปนั่งเล่นรับลมทะเลที่ริมหาดหว้ากอ ท้องฟ้าและน้ำทะเลสีคราม บรรยากาศสงบ ผ่อนคลาย สักพักจึงขับรถไปตามถนนเลียบชายหาด ผ่านพระบรมราชานุสาวรีย์ ร. 4 ตรงนี้เป็นที่ตั้งพลับพลาประทับเมื่อคราวพระองค์เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคา 18 สิงหาคม 2411 ผ่านหอดูดาว และอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ
     ด้านหน้าอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ ทำเป็นหอคอยสูง ภายในมีบันไดเวียนเล่าเรื่องเอกภพ จักรวาล ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ ความรู้จากบรรพกาลเริ่มที่ผนังชั้นล่าง ต่อเนื่องตามลำดับเวลาจนถึงปัจจุบันที่ชั้นบน ยอดหอคอยเป็นโดมกระจก มองเห็นทิวทัศน์โดยรอบ
     ด้านหลัง ตรงชั้นสอง เปิดเข้าห้องจัดแสดงเครื่องมืออุปกรณ์ดาราศาสตร์ของรัชกาลที่ 4 อาทิ แผนที่ดาว sextant กล้องดูดาว แม้ส่วนใหญ่เป็นของจำลอง (replica) แต่ก็น่าสนใจทุกชิ้น
     15.50 น. เจ้าหน้าที่ประกาศหมดเวลา เชิญผู้ชมออกจากอาคาร ปิดไฟไล่อย่างรวดเร็ว ทั้งที่ยังมีผู้คนเดินชมหลายคนและยังไม่ถึงเวลาปิด 16.00 น.
     ออกจากอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ ขับรถตามถนนเลียบชายหาดต่อไปยังหมู่บ้านวิทยาศาสตร์ ฐานเปิดโลกคอมพิวเตอร์ อุทยานการศึกษา ค่ายหว้ากอ ฐานวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ และสวนผีเสื้อ แต่ละฐานกว้างขวางทิ้งระยะห่างจากกันอย่างเหมาะสม

จากอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ขับรถเลียบชายหาดกลับเมืองประจวบ ผ่านบ้านคลองวาฬ
     หมู่บ้านประมงแห่งนี้ ถนนหลักไม่กว้าง มีเขาคลองวาฬเป็นฉากหลัง ดูอบอุ่น บ้านเรือนสองฟากถนนสูงเพียง 1-2 ชั้น เรือนไม้หลายหลังประดับขนมปังขิงที่ชายคาอย่างงดงาม ร้านค้าริมทางคึกคัก มีชีวิตชีวา เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ตลาดย้อนยุคจัดฉากแบบดาดๆ
     เราลงจากรถ เดินเล่นช้าๆ ชื่นชมวิถีชาวบ้าน ซื้อขนม ของกิน ผู้คนเป็นมิตร มีมารยาท

จากคลองวาฬผ่านเข้ากองบิน 5
     อ่าวมะนาวอยู่ในเขตกองบิน ทะเลและชายหาดเหมาะแก่การเล่นน้ำและกีฬาทางน้ำอื่นๆ จึงเป็นที่นิยม อ่าวมะนาวไม่เคยร้างนักท่องเที่ยว ที่พักไม่เคยว่าง
     ทางทิศเหนือของอ่าวมะนาว มีเขาล้อมหมวก ก่อนถึงเชิงเขา เป็นอุทยานประวัติศาสตร์...

7 ธันวาคม 2484 เวลา 22.30 น. เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น (นายซูโบกามิ) และคณะ เข้าขอพบนายกรัฐมนตรี (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ที่วังสวนกุหลาบ ซึ่งขณะนั้นเป็นทำเนียบนายกรัฐมนตรี แต่นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ ไปราชการที่อรัญประเทศ คณะทูตญี่ปุ่นจึงขอพบรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส) แต่รองนายกรัฐมนตรีไม่เต็มใจจะพบ จึงขอให้รัฐมนตรีต่างประเทศ (นายดิเรก ชัยนาม) พบแทน
     เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นกล่าวว่า ทุกท่านย่อมทราบดีแล้วว่า สหรัฐอเมริกา และอังกฤษได้บีบคั้นญี่ปุ่นตลอดมา บัดนี้ญี่ปุ่นทนต่อไปไม่ได้แล้ว วันนี้จึงตัดสินใจลุกขึ้นต่อสู้ โดยได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษแล้ว ฉะนั้น ทูตจึงได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้มาแจ้งต่อนายกรัฐมนตรีไทยว่า เนื่องด้วยเหตุจำเป็น กองทัพญี่ปุ่นจึงจำต้องขอเดินผ่านประเทศไทยเพื่อไปโจมตีประเทศทั้งสองซึ่งเป็นศัตรูของญี่ปุ่น แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีไม่สามารถพบได้ ก็จำเป็นต้องแจ้งแก่รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นทางราชการ
     รัฐมนตรีได้ตอบว่า ประเทศไทยได้ประกาศตนเป็นกลาง ฉะนั้นจึงมีนโยบายไม่ช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
     ทูตตอบว่าโดยที่เรื่องนี้เกี่ยวกับความเป็นความตายของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจำต้องได้รับอนุญาตให้เคลื่อนกำลังทั้งทางบกทางทะเลและอากาศ ผ่านประเทศไทยให้จงได้
     รัฐมนตรีชี้แจงตอบว่า แต่การจะอนุญาตหรือไม่ รัฐมนตรีต่างประเทศไม่มีอำนาจอย่างใด อำนาจสั่งอนุญาตไม่ให้ต่อสู้นั้นคือนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง และรัฐบาล โดยทางผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ประกาศเป็นคำสั่งประจำ (standing order) ไว้แล้วว่า ไม่ว่ากองทหารประเทศใด ถ้าเข้ามาในดินแดนไทย ให้ต่อต้านเต็มที่  ฉะนั้น ผู้ที่จะประกาศยกเลิกคำสั่งนี้ก็คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด
     ทันใดนั้นผู้ช่วยทูตทหารบกญี่ปุ่น (พันเอกทามูรา) กล่าวว่า แต่รัฐมนตรีควรจะทราบว่า การล่าช้าก็หมายถึงการนองเลือด เพราะเวลานี้กองทหารญี่ปุ่น ได้ยกพลขึ้นบกตามจุดต่างๆ ในประเทศไทยแล้ว
     รัฐมนตรีตอบว่า ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่อย่างไรก็ดี จะได้รีบรายงานรองนายกรัฐมนตรีให้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเดี๋ยวนี้ แล้วจะได้แจ้งให้คณะทูตทราบถึงผลของการประชุม
     คณะทูตญี่ปุ่นตกลง และนั่งรออยู่ในห้องรับแขก
     รองนายกรัฐมนตรีตกลงเรียกประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งในเวลานั้นรัฐมนตรีส่วนมากก็มานั่งรออยู่แล้ว เวลาประมาณ 23.00 น. จึงเปิดประชุม รองนายกรัฐมนตรีให้รัฐมนตรีต่างประเทศรายงานถึงเรื่องที่ญี่ปุ่นมาพบ เมื่ออภิปรายกันแล้ว ที่ประชุมเห็นว่า ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องรอนายกรัฐมนตรีกลับ
     รองนายกรัฐมนตรีได้ชวนรัฐมนตรีต่างประเทศไปกรมไปรษณีย์โทรเลข เพื่อโทรเลขติดต่อกับนายกรัฐมนตรี ทราบว่านายกรัฐมนตรีจะกลับมาเข้าประชุมประมาณย่ำรุ่ง ทั้งสองกลับมาที่ประชุม แจ้งให้ที่ประชุมทราบ รัฐมนตรีต่างประเทศได้ออกไปแจ้งคณะทูตญี่ปุ่นว่า ควรกลับไปก่อน คณะทูตญี่ปุ่นตกลงกลับไปสถานทูต และเวลาราว 5.00 น. ได้กลับมาอีก
     8 ธันวาคม 2484 เวลาประมาณ 7.00 น. จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีมาถึงที่ประชุม รองนายกรัฐมนตรีได้ให้รัฐมนตรีต่างประเทศรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง เมื่อรายงานไปยังไม่ทันจบ นายกรัฐมนตรีถามขึ้นว่า 'แล้วเราจะตกลงใจทำอย่างไรกันแน่' นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีคลังได้เสนอว่า ก่อนที่จะตัดสินใจอย่างไรแน่ ใคร่เสนอให้พิจารณาทางได้ทางเสียว่า ถ้ายอมจะเสียหายอย่างใด ถ้าไม่ยอมเราจะเสียหายอย่างใด ทั้งนี้ เพื่อระวังไม่ให้โลกวิจารณ์เราได้ เพราะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ นายกรัฐมนตรีตอบว่า ในขณะนี้เราไม่มีเวลาที่จะอภิปราย เพราะญี่ปุ่นกำลังเข้าเมืองเราแล้ว ขอทราบความเห็นเท่านั้น ว่าจะยอมหรือไม่ยอม แล้วหันไปถามรัฐมนตรีบางนายซึ่งรับผิดชอบในการทหารว่าสู้ไหวหรือไม่ ได้รับคำตอบว่าสู้ไม่ไหว รองนายกรัฐมนตรีได้อภิปราย ทางได้ทางเสีย โดยสรุปก็คือเราไม่มีหนทางที่จะต่อสู้อย่างใด และฝ่ายสัมพันธมิตรก็มาช่วยอะไรเราไม่ได้ นายกรัฐมนตรีได้ถามความเห็นรัฐมนตรีอื่นต่อไปอีกสองสามนาย ซึ่งก็เห็นด้วยว่าไม่มีทางสู้ประการใด ในที่สุดนายกรัฐมนตรีจึงประกาศว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อต้าน เพราะเราไม่มีกำลัง อังกฤษเอง สหรัฐอเมริกาเอง ก็เคยให้รัฐมนตรีต่างประเทศเร่งให้ช่วยก็ได้ความว่าไม่มีอะไรจะช่วย ครั้นแล้วนายกรัฐมนตรีก็ลุกออกไปพบกับคณะทูตญี่ปุ่น ต่อมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง นายกรัฐมนตรีได้นำนายวนิช ปานะนนท์ อธิบดีกรมพาณิชย์ เข้ามาในที่ประชุม และให้นายวนิชชี้แจงว่าญี่ปุ่นเสนออย่างไร นายวนิชชี้แจงว่า คณะทูตญี่ปุ่นเสนอว่า มีแผนการที่จะขอความร่วมมือจากไทย 3 แผน แผนที่หนึ่งคือ ญี่ปุ่นเพียงขอเดินทหารผ่านไทยไปเท่านั้น แผนที่สองไทยกับญี่ปุ่นทำสัญญาพันธมิตรกันเพื่อป้องกันประเทศไทย และแผนที่สามไทยกับญี่ปุ่นประกาศเป็นสหายสงคราม ร่วมรุกร่วมรบต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกา และในการนี้ ญี่ปุ่นพร้อมที่จะให้คืนดินแดนที่ไทยเสียแก่อังกฤษและฝรั่งเศส กลับคืนมาทั้งหมด
     คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีความเห็นแตกต่างเป็นหลายฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรรับแผนที่สาม เพราะไหนๆ จะให้ญี่ปุ่นผ่านทั้งที ก็ควรเอาประโยชน์ให้เต็มที่ ฝ่ายที่สองไม่ออกความเห็น รัฐมนตรีต่างประเทศเสนอว่าเมื่อเราต้องยอมญี่ปุ่น เพราะเราสู้ไม่ได้ อย่างมากก็เป็นเพียงยอมให้ผ่าน ถ้าเราเอาแผนอื่น โลกต้องวิจารณ์เราแน่นอนว่าที่แถลงไว้ว่าจะเป็นกลางอย่างเคร่งครัดนั้น ความจริงก็สมคบกับญี่ปุ่นและไม่เพียงยอมญี่ปุ่นเพราะสู้ไม่ได้ แต่กลับเข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วย ในการนี้ พลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส กับนายปรีดี พนมยงค์ ได้สนับสนุนความเห็นนี้ ในที่สุดที่ประชุมลงมติให้รับเพียงแผนที่หนึ่ง และให้นายวนิช ปานะนนท์ ออกไปแจ้งแก่คณะทูตญี่ปุ่น ต่อมาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ได้มีการลงนามระหว่างเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นกับรัฐมนตรีต่างประเทศไทย ในสัญญายอมให้ญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยได้ และรัฐบาลได้ออกคำแถลงการณ์ดังต่อไปนี้
     'ด้วยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ตั้งแต่เวลาประมาณ 2.00 น. กองทหารญี่ปุ่นได้เข้าสู่ประเทศไทยโดยทางทะเลในเขตจังหวัด สงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี (บ้านดอน) และบางปู ส่วนทางบกได้เข้ามาทางจังหวัดพระตะบองและพิบูลสงคราม เกือบทุกแห่ง ทหารและตำรวจไทยได้ทำการต่อสู้อย่างเข้มแข็ง
     อนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็ได้มีข่าวจากต่างประเทศว่ากองทัพเรือญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีเกาะฮาวาย และฟิลิปปินส์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ส่งทหารขึ้นบกที่โกตาบารูในเขตมลายูของอังกฤษ และได้เข้าโจมตีสิงคโปร์โดยเครื่องบินอย่างหนักด้วย
     ในเรื่องนี้เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้มาที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีในวันที่ 7 ธันวาคม 2484 เวลา 22.30 น. ได้ชี้แจงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่า ได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาแล้ว แต่มิได้ถือว่าไทยเป็นศัตรู หากแต่มีความจำเป็นต้องขอทางเดินผ่านอาณาเขตไทย
     รัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พิจารณาปรึกษากันโดยรอบคอบแล้ว เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งนี้เป็นสิ่งซึ่งไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ แม้ประเทศไทยได้พยายามโดยสุดกำลังก็ไม่สามารถจะหนีเหตุการณ์อันนี้ได้พ้น และเนื่องจากสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การที่จะต่อสู้กันไปก็จะเป็นการเสียเลือดเนื้อชาวไทยโดยไม่สำเร็จประโยชน์ จึงจำเป็นต้องพิจารณาตามข้อเสนอของรัฐบาลญี่ปุ่นและผ่อนผันให้ทางเดินแก่กองทัพญี่ปุ่น โดยได้รับคำมั่นจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะเคารพเอกราช อธิปไตย และเกียรติศักดิ์ของไทย ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงได้ตกลงให้ทางเดินทัพแก่ญี่ปุ่น และการต่อสู้ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นก็ได้หยุดลง
     ขอให้ประชาชนชาวไทยจงระงับความตื่นเต้นและพยายามประกอบกิจการงานต่อไปตามเดิม รัฐบาลจะทำความพยายามอย่างสูงสุดในอันที่จะให้เหตุการณ์ทั้งหลายผ่อนจากหนักเป็นเบาให้มากที่สุดที่จะทำได้ ขอให้ประชาชนชาวไทยจงรักษาความสงบ และฟังคำสั่งคำตักเตือนของรัฐบาลทุกประการ'

เช้ามืด 8 ธันวาคม 2484 เรืออากาศตรีศรีศักดิ์ สุจริตธรรม และกลุ่มทหารไทยกลุ่มหนึ่งกำลังจะออกเรือไปจับปลาในช่วงเช้า แต่ต้องรีบกลับเข้าฝั่งอย่างรวดเร็วเพราะพบการเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นน้ำบริเวณอ่าวมะนาว หมู่เรือท้องแบนของทหารญี่ปุ่น 3 ลำ ลำเลียงทหารญี่ปุ่นจำนวนมาก กำลังจะเข้ามายังชายหาด จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นเหตุการณ์ก็โกลาหล ทหารประจำกองบินน้อยที่ 5 ได้ทำการต่อสู้ต้านการเข้ายึดพื้นที่ของทหารญี่ปุ่น แม้กำลังพลของกองบินน้อยที่ 5 มีประมาณ 120 คน ส่วนกำลังพลทหารญี่ปุ่นมีประมาณ 3,000 คน แต่การสู้รบดำเนินไปกว่า 33 ชั่วโมง จนถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2484 เวลาประมาณ 11.00 น. ร้อยตำรวจโทสงบ พบปราณี ที่เป็นผู้นำคำสั่งหยุดยิงจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม มายังผู้บังคับการกองบินน้อย ถูกยิงเสียชีวิต ทางจังหวัดต้องส่งบุรุษไปรษณีย์ว่ายน้ำจากอ่าวประจวบมาขึ้นที่เขาล้อมหมวก นำส่งคำสั่งดังกล่าวแทน
     การสู้รบทำให้ทหารอากาศไทยเสียชีวิต 39 นาย ตำรวจ 1 นาย ยุวชนทหาร 1 นาย และพลเรือน 1 คนรวมทั้งสิ้น 42 คน

อุทยานประวัติศาสตร์เปิดเมื่อปี 2546 ประกอบด้วยอาคารจัดแสดง 2 หลัง หลังที่หนึ่งดัดแปลงจากอาคารสโมสรนายทหาร หลังที่สองจากอาคารพักเรือนแถวของนายทหารชั้นสัญญาบัตรแต่ครั้งสงครามโลก
     อาคารหลังที่หนึ่ง จัดแสดงพัฒนาการของกองทัพอากาศไทย และการก่อตั้งกองบินน้อยที่ 5 อ่าวมะนาว
     อาคารหลังที่สอง จัดแสดงประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2
     เราไปถึง 17.00 น. อาคารทั้งสองปิดแล้ว
     ภายนอกอาคาร ประกอบด้วย
        อนุสาวรีย์วีรชน ทหารอากาศในชุดนักบินยืนอยู่บนใบพัดเครื่องบิน ถือธงหันหน้าออกทะเล
        แผ่นหินทรายแกะสลักเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484
        อนุสรณ์แห่งการเสียสละ อนุสาวรีย์รายนามผู้เสียชีวิตเป็นแผ่นหินจารึกชื่อ จำนวน 39 แผ่นเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้กล้าทั้ง 39 ท่าน
        เครื่องบินรุ่นต่างๆ ที่เคยใช้งานในกองทัพ แต่ปลดประจำการแล้ว
     บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สงบเงียบ ชวนให้สงบใจรำลึกถึงจิตใจกล้าหาญ เสียสละ ของบรรพชนจำนวนมากในระหว่างสงครามที่ทำให้ประเทศไทยผ่านความยากลำบากมาได้

เขาล้อมหมวกเป็นที่อยู่ของฝูงค่างแว่นถิ่นใต้ ทุกเช้าเย็น ฝูงค่างจะลงมาหากินบริเวณเชิงเขา
     ค่างแว่นถิ่นใต้ (Trachypithecus obscurus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกค่าง ลักษณะเด่นคือ มีวงกลมสีขาวรอบตาเหมือนกับใส่แว่น อันเป็นที่มาของชื่อ ขนาดลำตัวยาว 45-57 เซนติเมตร หางยาว 66-78 เซนติเมตร น้ำหนัก 6-9 กิโลกรัม ค่างโตเต็มวัยมีขนบริเวณด้านหลังสีเทาเข้มเกือบดำ ขนบริเวณด้านข้างใบหน้า บริเวณปลายมือและปลายเท้ามีสีเทาเข้ม โคนขาและโคนแขนด้านนอกเป็นสีเทาจาง ขนหางสีดำ ลูกที่เกิดใหม่ ขนเป็นสีทอง
     ค่างแว่นมีอุปนิสัยขี้อาย น่ารัก ไม่ก้าวร้าว ไม่ดุร้าย ไม่แย่งอาหาร หรือฉวยชิงสิ่งของ ต่างจากพวกลิง โดยเฉพาะลิงแถวเขาช่องกระจก การเยี่ยมค่างแว่นที่เชิงเขาล้อมหมวก จึงเป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลาย

จากกองบิน 5 กลับเข้าเมืองทางถนนเลียบชายทะเลริมอ่าวประจวบ ร้านอาหารเรียงรายหลายสิบร้าน นักท่องเที่ยวเพียบ หลายร้านรุกข้ามถนนไปตั้งโต๊ะที่ริมชายหาด...เมืองประจวบจะเป็นอย่างไรหนอ...

ข้อมูลค้นจาก
     คู่มือท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
     th.wikipedia.org
     ratchakitcha.soc.go.th
     waghor.go.th
     sac.or.th
     ดิเรก ชัยนาม. ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง. 2549.

Prachuap Revisited: สู่เมืองงามสามอ่าว: 01.05.2015

1 พฤษภาคม วันแรงงาน เป็นวันศุกร์ จึงเป็น long weekend ของภาคเอกชน
5 พฤษภาคม วันฉัตรมงคล เป็นวันอังคาร หยุดราชการ
    คณะรัฐมนตรีลงมติปิดช่องว่างวันหยุดยาว กำหนดให้หยุดราชการเพิ่มจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม นัยว่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว การปิดช่องว่างแบบนี้เป็นวัตรปฏิบัติมาหลายรัฐบาลสำหรับปีใหม่และสงกรานต์ เที่ยวนี้เป็นครั้งแรกที่ขยายมาครอบคลุมวันแรงงานและฉัตรมงคล เชื่อว่าต่อไปคงลามถึงโอกาสอื่นๆ

ชายใด                     ไม่เที่ยวเทียวไป      
ทุกแคว้นแดนไพร      มิอาจประสบพบสุข
ชายใด                     อยู่เหย้าเนาทุกข์     
ไม่ด้นซนซุก               ก็ชื่อว่าชั่วมัวเมา
(นิทานเวตาล พระนิพนธ์แปลของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ น.ม.ส.)

ผมขับรถพาครอบครัวไปเที่ยวค้างแรมต่างจังหวัด ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ 3 ขวบ 5 ขวบ ปีละ 3-4 ครั้ง สำรวจบ้านเมืองไทยอันงดงาม ตอนนั้นน้ำมันเบนซินลิตรละ 8-9 บาท ยังไม่มี internet ข้อมูลต้องไปขอเอกสารจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถนนราชดำเนินนอก กิจกรรมครอบครัวนี้ค่อยๆ ห่างหายไปเมื่อลูกๆ เข้ามหาวิทยาลัย เรียนจบ ทำงาน...หาเวลาว่างพร้อมกันยากขึ้น
    ที่ทำงานลูกหยุด 1-4 พฤษภาคม ผมรีบฉวยโอกาสจัดทริปไปประจวบคีรีขันธ์ ตอนนี้อากาศร้อนจัด ชายทะเลประจวบคงสบายกว่า และระยะทาง 280 กม. คงไกลพอที่จะหลบนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมืองประจวบคีรีขันธ์มีชื่อว่า 'เมืองนารัง' หรือ 'เมืองบางนางรม' หลังกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อปี พ.ศ. 2310 เมืองนารัง (บางนางรม) ก็ร้างไป
    รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองขึ้นใหม่ที่ปากคลองบางนางรม แต่พื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกจึงย้ายที่ว่าการเมืองไปตั้งที่เมืองกุย
    พ.ศ. 2398 รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองกุยเป็น 'เมืองประจวบคีรีขันธ์' โดยรวมเมืองกุย เมืองคลองวาฬ เมืองบางนางรมเข้าด้วยกัน
    พ.ศ. 2438 รัชกาลที่ 5 ทรงจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองประจวบคีรีขันธ์ซึ่งเป็นเมืองชั้นจัตวาถูกยุบเป็นอำเภอ ขึ้นกับเมืองเพชรบุรี มณฑลราชบุรี
    พ.ศ. 2441 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ว่าการอำเภอประจวบคีรีขันธ์ มาตั้งที่อ่าวเกาะหลัก
    พ.ศ. 2449 โปรดเกล้าฯ ให้รวมอำเภอปราณบุรี อำเภอประจวบคีรีขันธ์ และอำเภอกำเนิดนพคุณ เป็นเมืองปราณบุรี อำเภอประจวบคีรีขันธ์จึงแยกจากเมืองเพชรบุรีมาอยู่ในการปกครองของเมืองปราณบุรี
    พ.ศ. 2458 รัชกาลที่ 6 โปรดให้เปลี่ยนชื่อเมืองปราณบุรีเป็น 'เมืองประจวบคีรีขันธ์'

ประจวบคีรีขันธ์ ชื่อบอกว่าเป็น 'เมืองที่มีภูเขาต่อเนื่องกันไป'
ภูมิลักษณ์ของประจวบคีรีขันธ์ลาดเอียงจากเทือกเขาตะนาวศรี ซึ่งกั้นระหว่างไทยกับพม่าด้านทิศตะวัน ตก ลงสู่อ่าวไทยด้านทิศตะวันออก บริเวณตอนกลางตรงส่วนแคบสุดของประเทศคืออำเภอเมือง ชายฝั่งทะเลเป็นอ่าวต่อกันสามอ่าวจากเหนือไปใต้ ได้แก่ อ่าวน้อย อ่าวประจวบ และอ่าวมะนาว ระหว่างอ่าวน้อยและอ่าวประจวบเป็นแหลม ตรงปลายแหลมคือเขาตาม่องล่าย ระหว่างอ่าวประจวบและอ่าวมะนาวเป็นแหลม ตรงปลายแหลมคือเขาล้อมหมวก ในทะเลประดับด้วยเกาะน้อยใหญ่หลายเกาะ อำเภอเมืองจึงมีสมญาว่า 'เมืองงามสามอ่าว'

10.30 น. ออกจากบ้าน มุ่งสู่ถนนพระรามสอง พอเข้าไปได้ไม่กี่กิโลเมตร รถก็ไม่แล่นแต่เริ่มคลานตามกันไป ผมอธิบายไม่ได้ว่ารถออกต่างจังหวัด ไปทางเดียวกัน ทางหลวงไม่มีไฟแดง เหตุใดรถจึงติด ใช้เวลาคลานเกือบ 3 ชั่วโมง จึงผ่านมหาชัย ข้ามแม่น้ำท่าจีน สภาพยังไม่คลี่คลาย
    ใกล้ถึงแม่กลอง เราแวะปั๊มน้ำมัน กินมื้อกลางวันก่อน หลายคนคิดแบบเดียวกัน ที่จอดรถ ที่กิน จึงแออัดพอๆ กับถนนพระรามสอง แม้มุมสั่งอาหารแบบ drive-through ยังติดยาว ดีที่เราเลือกเข้าไปนั่งกินในร้านอาหารเป็นกิจจะลักษณะ จึงไม่ต้องสมเพชตัวเองมากกว่าที่เป็นอยู่

14.00 น. คลานต่อผ่านแม่กลอง นาเกลือที่เคยเป็นเอกลักษณ์แถบนี้ เหลือกระจุกอยู่ไม่กี่แปลง กังหันลมวิดน้ำเข้านาแทบไม่มีให้เห็น ก่อนถึงแยกวังมะนาวที่ถนนพระรามสองบรรจบกับถนนเพชรเกษม กรมทางหลวงเกลี่ยทางย่อยระบายรถช่วงเทศกาลตัดซ้ายลงบ้านวังมะนาว ผ่านท้องนาที่มีต้นข้าวเขียวงามทั้งสองฟาก ทางย่อยนี้ขนานกับถนนเพชรเกษม รถเข้าแถวยาวแล่นช้าๆ เหมือนกันทั้งสองเส้น แต่นาข้าวเขียวขนาบทางย่อยนี้ให้ความรื่นรมย์กว่ามาก อย่างไรก็ตาม ที่สุดก็ต้องกลับเข้าถนนเพชรเกษม
    ผ่านเมืองเพชรบุรี การจราจรเริ่มเข้าที่แบบทางหลวง ถนนที่ขยายกว้างประชิดเขาย้อยกว่าแต่ก่อน ทางเข้าออกอำเภอบ้านลาด อำเภอท่ายาง ซับซ้อนขึ้น ต้นไม้ใหญ่ที่เคยยืนเด่นเป็นแนวในเกาะกลางถนนไม่มีให้เห็นแล้ว ด้วยเกาะกลางเดิมหายไปเมื่อตอนขยายถนน

ถึงชะอำแล่นออกขวาไปทางเลี่ยงเมืองสู่ปราณบุรี ทางสายนี้ยังร่มครึ้มด้วยไม้ใหญ่ทั้งสองข้างทาง หน้าร้อนต่างแข่งกันผลิดอกสีสันงดงาม หางนกยูงสีส้มแดง คูนช่อดอกเหลืองเหมือนโคมระย้า ตะแบกสีม่วง ส่วนตรงเกาะกลางเป็นแนวสนสูงชลูด สลับกับแนวต้นสัก มหาวิทยาลัยหลายแห่งตั้งอยู่บนทางสายนี้ อาทิ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตเพชรบุรี มหาวิทยาลัย Webster
    สิบกว่าปีก่อน ลูกชายเลือกเข้าเรียนคณะ ICT-Design มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตเพชรบุรี ตอนนั้นวิทยาเขตกำลังก่อร่างสร้างตัว คณะ ICT เพิ่งเปิดได้ปีเดียว เขาเข้าเรียนเป็นรุ่นสอง ตึกเรียน ตึกหอพัก มีพอดีพอดีกับจำนวนนักศึกษา พื้นที่โล่งกว้างขวาง เด็กนักศึกษาใช้จักรยานเป็นพาหนะหลัก บรรยากาศชนบท เพื่อนฝูงส่วนมากเป็นคนแถบนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบ ชุมพร ทุกวันนี้เขายังเปรยเสมอว่าวันเวลาที่ ICT วิทยาเขตเพชรบุรีเป็นช่วงที่ดีมาก เป็นบรรยากาศมหาวิทยาลัยที่พึงประสงค์ ทุกครั้งที่เราเดินทางผ่านที่นี่ ความทรงจำ nostalgic จึงผุดขึ้น ชวนให้เคลิบเคลิ้มเป็นสุข

จังหวัดประจวบ อยู่ตรงส่วนแคบสุดของประเทศ อำเภอเรียงเดี่ยวจากเหนือไปใต้: หัวหิน ปราณบุรี สามร้อยยอด กุยบุรี เมือง ทับสะแก บางสะพาน และบางสะพานน้อย
    ผมเลี้ยวซ้ายออกจากถนนเพชรเกษมเข้าเมืองประจวบ ผ่านเขาช่องกระจกแล่นเลาะข้างเขาขึ้นไปทางเหนือ เลียบอ่าวประจวบไปตามถนนปิ่นอนุสรณ์ ตำบลเกาะหลัก ถึงที่พัก Golden Beach Hotel 18.00 น. ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง! นานเป็นสองเท่าของที่ควร

ข้อมูลค้นจาก
    คู่มือท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    th.wikipedia.org

Ubon Revisited: ผาแต้ม สามพันโบก: 13.03.2015

ยามเช้า อากาศดีมาก แม่น้ำโขงที่มองไม่เห็นเมื่อคืนวาน ตอนนี้อยู่ตรงหน้า ลึกลงไปจากลานหน้าที่พัก ชายน้ำเป็นหาดทรายเรียบทอดโค้งออกไป เจ้าของรีสอร์ทผูกทุ่นเป็นแนวปลอดภัยให้เล่นน้ำโขงริมหาดได้ โค้งโขงนี้อยู่เหมาะเจาะ ในช่วงหน้าหนาว ยามโลกอยู่ห่างและแกนเอียงหันหนีจากดวงอาทิตย์ แนวโคจรสัมพัทธ์ของพระอาทิตย์ขึ้นและตกจึงไม่ผ่านกลางท้องฟ้า ทำให้ตรงลานหน้าที่พักนี้ เห็นตะวันขึ้นด้านซ้ายของโค้งโขง และตะวันตกด้านขวาของโค้งโขง เจ้าของรีสอร์ทเรียกลานนี้ว่า 'ตะวันอ้อมโขง'
    มื้อเช้า ไข่กระทะ ขนมปัง กาแฟ อร่อย ผลไม้คือมะเฟืองจากต้นที่ปลูกด้านในรีสอร์ท เสิร์ฟที่โต๊ะตรงลานริมโขง ทิวเขาลางๆ ฝั่งลาวเป็นฉากหลัง ลมโชยเย็นสบาย บรรยากาศงดงามเช่นนี้ ไม่ว่าอาหารอะไรก็ย่อมอร่อยอยู่แล้ว นี่ได้ฝีมือคุณวิจิตรา จึงยิ่งยอดเยี่ยม

Check-out เดินทางต่อไปผาแต้ม

'ผาแต้มเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเขตต้องห้าม เป็นภูผาแห่งความตาย ใครล่วงล้ำเข้าไปมักมีอันเป็นไป อาจเจ็บไข้ หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต' นี่คือความเชื่อของชาวบ้านแต่ครั้งอดีต น้อยคนนักที่จะเดินทางเข้าไปในป่าแห่งนี้
    ปี 2522-2524 ผมรับราชการชดใช้ทุนเรียนแพทย์ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีเมืองใหม่ โรงพยาบาลอำเภอขนาด 10 เตียง มีหมอคนเดียวคือผม ส่วนอำเภอโขงเจียมที่เขตติดกันเพิ่งมีโรงพยาบาลขนาด 10 เตียงเปิดใหม่ หมอไชยยศ ประสานวงค์ (2498-2556) เป็นคนแรก และหมอสมเกียรติ โพธิสัตย์ เป็นคนต่อมา ทำหน้าที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโขงเจียมคนละ 4 เดือน ตอนนั้นพวกเราได้ยินชื่อและได้มีโอกาสเข้าไปชมผาแต้ม ผายาวที่มีภาพเขียนสีแดง ริมน้ำโขง ดูน่าพิศวง
    ปี 2524 อาจารย์และนักศึกษาจากภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สำรวจภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ผาแต้ม บ้านกุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เห็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งสภาพป่าบริเวณใกล้เคียงยังอุดมสมบูรณ์ จึงเสนอต่อกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ขอให้จัดตั้งป่าภูผาในบริเวณผาแต้มเป็นอุทยานแห่งชาติ
    ปี 2526 กรมป่าไม้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติดงภูโหล่น ผนวกเข้ากับอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ
    ปี 2532 กรมป่าไม้พิจารณาเห็นว่าพื้นที่ทั้งสองห่างไกลกัน และอาณาเขตกว้างขวางเกินไป จึงให้แยกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงภูโหล่น อำเภอโขงเจียม อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 340 ตารางกิโลเมตร จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติผาแต้ม
    ภาพเขียนมีอายุราว 3,000 ปี ใช้สีฝุ่น สีแดงเป็นส่วนใหญ่ จำนวนกว่า 300 ภาพ เรียงรายตามความยาวของหน้าผา ติดต่อกันกว่า 180 เมตร เป็นรูปปลาบึก ช้าง ผู้ชาย ผู้หญิง ก้างปลา ตุ้ม (เครื่องมือจับปลา) ฝ่ามือ (ลักษณะพ่นสีรอบฝ่ามือ) รวมทั้งลายเส้นรูปสามเหลี่ยมและรูปทรงขนาน หน้าผานี้อยู่ขนานไปตามแม่น้ำโขง มองเห็นฝั่งลาวอยู่ตรงข้าม เส้นทางเดินจึงน่าสนใจ
    จากผาแต้ม ย้อนทางออกไปราว 3 กม. เป็น 'เสาเฉลียง'
    'สะเลียง' เป็นภาษาส่วย แปลว่า เสาหิน
    เสาเฉลียง ลักษณะคล้ายดอกเห็ด กำเนิดและวิวัฒนาการจากหินทราย 2 ยุค คือ ชั้นล่างยุค Jurassic ชั้นบนยุค Cretaceous หินทรายชั้นบนแข็ง ทนทานต่อการกัดเซาะของลมและน้ำดีกว่าหินทรายชั้นล่าง เมื่อผ่านเวลานาน ชั้นล่างกร่อนมากกว่ากลายเป็นเสาสูงคล้ายโคนเห็ด ส่วนชั้นบนกร่อนน้อยกว่าคงรูปหินใหญ่ยื่นคลุมส่วนล่างที่เป็นเสา จึงดูคล้ายดอกเห็ด เป็นประติมากรรมธรรมชาติที่งดงามยิ่งใหญ่
    ถัดจากเสาเฉลียงขึ้นไปเป็นลานหิน หลายบริเวณ หินแยกจากกันเป็นแนวยาว แบบลานหินแตกที่ภูหินร่องกล้า

จากโขงเจียม รถแล่นไปตามทางหลวง 2112 โขงเจียม-เขมราฐ เลียบชายแดนไทย-ลาว เดิมเรียกทางสายยุทธศาสตร์ เมื่อปี 2522-2524 ตอนผมประจำที่โรงพยาบาลศรีเมืองใหม่ ถนนนี้เป็นลูกรังอัดแน่น เรียบ กว้างมาก ตอนนี้ลาดยางแต่แคบลงอย่างน่าฉงน เราผ่านตำบลหนามแท่ง ตำบลหุ่งหลวง อำเภอศรีเมืองใหม่ ป่าไม้ดูทึบและเขียว ด้วยพื้นที่ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนของอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ผมรู้สึกตื่นเต้น เพราะสองตำบลนี้อยู่สุดชายขอบอำเภอศรีเมืองใหม่ ในอดีตเข้าถึงยากมาก ทางเป็นดิน หน้าฝนยิ่งแย่ และเป็นดงไข้ป่า วันนี้การคมนาคมสะดวกขึ้นมาก ป่าไม้สมบูรณ์กว่าแต่ก่อน

เข้าเขตอำเภอโพธิ์ไทร ไปสามพันโบก
    'โบก' เป็นคำลาว แปลว่า หลุม หมายถึงหลุมที่เกิดบนแก่งหิน ทางธรณีวิทยาเรียกว่า 'กุมภลักษณ์' 
เกิดจากก้อนกรวดก้อนหินที่จมอยู่ในร่องในหลุมของแก่ง ถูกกระแสน้ำพัดหมุนวนในหลุม เป็นเหมือนสว่านให้หลุมค่อยๆ กว้างใหญ่ขึ้นในลักษณะคล้ายหม้อ คือปากหลุมแคบกว่าตรงกลาง (pot-hole)
    สามพันโบกเป็นแก่งอยู่ในแม่น้ำโขง ตรงส่วนที่แม่น้ำตีบแคบเข้า แก่งขนาดใหญ่ กินพื้นที่กว้างขวาง ชวนให้ลงไปเดินชม แก่งหินสูงๆ ต่ำๆ กุมภลักษณ์ขนาดมหึมา จำนวนมากมาย
    ต้นปี 2552 สามพันโบกเริ่มเป็นที่รู้จัก เมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเผยแพร่โฆษณาชุดเที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก มีธงไชย แมคอินไตย์นำเรื่องและจบลงด้วยอาทิตย์อัสดงอย่างงดงามที่สามพันโบก
    ปลายปี 2552 สามพันโบกยิ่งโด่งดังเมื่อปรากฏเป็นฉากสำคัญในภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน 'สามพันโบก' หรือ The Sanctuary
    จังหวัดอุบลราชธานีมีแก่งหินในแม่น้ำอยู่หลายแห่ง อาทิ แก่งสะพือที่อำเภอพิบูลมังสาหาร แก่งตะนะ
ที่อำเภอโขงเจียม แก่งทั้งสองอยู่ในลำน้ำมูล ปี 2537 ภายหลังการก่อสร้างเขื่อนปากมูลขวางแม่น้ำมูลตรง 4.5 กม. ก่อนแม่มูลไหลลงแม่โขง ทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน ความยาว 35 กม. ส่วนท้ายเขื่อน แม่มูลลดขนาดลงอย่างมาก แก่งสะพือซึ่งอยู่เหนือเขื่อนจึงจมน้ำ และแก่งตะนะซึ่งอยู่ท้ายเขื่อนจึงโผล่พ้นน้ำมากขึ้น ไม่มีการขึ้นลงของน้ำแบบแต่ก่อน ภูมิลักษณ์ของแก่งสะพือ แก่งตะนะเปลี่ยนไปอย่างถาวร เช่นเดียวกับนิเวศวิทยาทั้งหมดบริเวณมูลสบโขง ตลอดจนวิถีชีวิตคนโขงเจียม

จากโพธิ์ไทรมุ่งหน้ากลับเมืองอุบลราชธานี ผ่านอำเภอตระการพืชผล เข้าอุบลทางถนนเลี่ยงเมือง หมอเปียขอแวะบ้านหมอปู น้องสาว เธอเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัวประจำโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
    บ้านหมอปูอยู่ในซอยทางเข้าวัดก้านเหลือง ตรงข้ามศูนย์เพาะชำกล้าไม้ หมอปูเพิ่งคลอดลูกคนเล็กได้ไม่กี่เดือน จึงเป็นโอกาสดีที่ป้าเปียได้มาเยี่ยมมายามหลาน ได้มากอดแม่กอดพ่อซึ่งย้ายมาพักกับหมอปู นับเป็นการแวะที่มีคุณค่ายิ่ง

ถึงเมืองอุบล เราไปกินมื้อกลางวันที่ร้านส้มตำจินดา ร้านนี้อยู่ติดกับคลินิกหมออุ้ง ถนนพิชิตรังสรรค์ ตรงข้ามโรงแรมลายทอง ถนนพิชิตรังสรรค์นี้ได้รับสมญาว่า 'ทองหล่ออุบล' จึงน่ายินดีที่หมออุ้งมีคลินิกในทำเลทอง นอกเหนือจากบ้านหลังงามที่ห้วยวังนอง
    ร้านส้มตำจินดา ด้านหน้าเป็นตึกแถว 2 ห้อง ลึกเข้าไปด้านหลังจัดเป็นห้องรับรองหมู่คณะอีก 4 ห้อง ตรงกลางมีสวนหย่อมงามตา บรรยากาศและรสชาติอาหารพื้นบ้านยอดเยี่ยม

หลังอาหาร แวะซื้อของฝากที่ร้านดาวทอง ร้านเก่าแก่กว่า 40 ปี
15.00 น. ถึงสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี ร่ำลา ขอบคุณเจ้าบ้าน หมออุ้ง หมอจิ ที่ร่วมเดินทางกับเราตลอดสามวัน ดูแลคณะของเราอย่างดี น่าประทับใจ
    ที่พักรอผู้โดยสารย้ายออกมาอยู่ด้านหน้านอกอาคาร ด้วยพื้นที่ด้านในปิดซ่อมหลังเหตุเพลิงไหม้ร้านขายของที่ระลึกในสนามบิน กลางดึกวันที่ 17 ตุลาคม 2557 จนถึงวันนี้ยังไม่เรียบร้อย
16.40 น. นกบินกลับกรุงเทพฯ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง

ภูมิประเทศของอีสานมีเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าสนใจ ผาแต้ม เสาเฉลียง สามพันโบก ล้วนยิ่งใหญ่
ผู้คนอ่อนโยน เป็นมิตร น่าประทับใจ
ศิษย์เก่ากุมารศัลยแพทย์ทั้ง 3 คน หมอเจน หมออุ้ง หมอจิ มีความรู้ ทักษะ เจตคติ สมบูรณ์แบบ มีความรับผิดชอบสูง ประสบความสำเร็จทั้งการงานและส่วนตัว เป็นที่น่ายินดี

ข้อมูลค้นจาก
    ภูมิลักษณ์ประเทศไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2534
    guideubon.com
    dnp.go.th
    th.wikipedia.org
    Roberts TR. On the river of no returns: Thailand's Pak Mun Dam and its fish ladder. Nat His Bull Siam Soc. 2001; 49: 189-230.

Ubon Revisited: ภูเพียงบอละเวน: 12.03.2015

ยามเช้าที่เขื่อน อากาศปลอดโปร่ง หลังอาหาร มีเวลาเดินเล่นอีกครู่ใหญ่
วันนี้เราจะไปเยือนที่ราบสูงบอละเวน แขวงจำปาสัก ประเทศลาว และกลับมาพักค้างคืนที่โขงเจียม
8.30 น. ออกเดินทางไปด่านช่องเม็ก ราว 20 นาทีก็ถึง คนรอผ่านแดนไม่มาก แต่พิธีการใช้เวลาพอควร ขนาดบริษัททัวร์ซึ่งรู้ขั้นตอน ทำอยู่ทุกวัน ยังเป็นแบบนี้ เมื่อเอกสารเรียบร้อย รถและคนต้องแยกไปคนละทาง รถแล่นตามถนนข้ามไปยังด่านวังเต่า ประเทศลาว ส่วนคนต้องเดินผ่านทางอุโมงค์จากด่านช่องเม็กลอดใต้ถนนไปโผล่ที่ด่านวังเต่า ตรวจคนเข้าเมือง แล้วจึงไปขึ้นรถที่ข้ามไปรออยู่...

อ้อด (นางวไลวัน) ไกด์ลาว มาขึ้นรถด้วย กฎหมายท่องเที่ยวบ้านเมืองไหนๆ ก็บังคับให้ทัวร์กลุ่มต่างชาติต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำทั้งนั้น ยกเว้นเมืองไทย
อ้อดแนะนำตัว คำนำหน้าหญิงใช้ 'นาง' คำเดียว ไม่แจกแจงว่าแต่งงานหรือยัง ยุติธรรมดี
ภาษาที่ใช้บรรยาย ไทยสลับลาว ด้วยสมาชิกในคณะของเรา เว่าลาว ได้เกินครึ่ง

จากด่านวังเต่า รถแล่นไปตามทางหลวง 16W ผ่านเมืองโพนทอง แหล่งปลูกข้าว เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของแขวงจำปาสัก ร่ำลือว่า 'ข้าวขาว สาวงาม'
    ระหว่างทางผ่านโรงเรียนหลายแห่ง ระบบการเรียนแบ่งเป็น ชั้นประถม 5 ปี มัธยม 7 ปี เรียน 2 เทอม เทอมต้น: กันยายน-มกราคม เทอมปลาย: กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ปิดเทอม: มิถุนายน-สิงหาคม ช่วงหน้าฝน นักเรียนจะได้ช่วยพ่อแม่ทำนาทำไร่ ชั้นอุดมศึกษามีมหาวิทยาลัยจำปาสักอยู่ที่เมืองปากเซ
    จากโพนทองราว 20 นาที ถึงแม่น้ำโขง ข้ามสะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น (2545) เข้าเมืองปากเซ เมืองหลวงของแขวงจำปาสัก ตรงเชิงสะพานด้านซ้าย มีคฤหาสน์ใหญ่ กำลังก่อสร้าง สถาปัตยกรรมผสมผสานจากปราสาทราชวังในยุโรป ตั้งเด่นริมน้ำ อ้อดบอกว่าเจ้าของคือแม่ดาวเฮือง นักธุรกิจใหญ่แห่งปากเซ ลงสะพานเลี้ยวไปทางขวาเป็นท่าจอดรถ ตลาดดาวเฮืองขายของหลากหลาย คึกคักแบบตลาดชายแดน ร้านกาแฟดาว ร้านอาหารดาวเฮือง อยู่รอบท่ารถ อ้อดเล่าว่าแม่ดาวเฮืองเป็นคนเวียดนามอพยพมาลาวเมื่อ 40 ปีก่อน ผมคะเนเวลา หากข้อมูลของอ้อดถูกต้อง น่าจะเป็นช่วงที่ไซ่ง่อนแตก พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975)
    ธุรกิจสำคัญของกลุ่มดาวเฮืองคือกาแฟดาว ที่ราบสูงบอละเวน แขวงจำปาสัก เป็นแหล่งปลูกกาแฟคุณภาพเยี่ยม แน่นอนว่ากลุ่มดาวเฮืองย่อมเป็นเจ้าของ เป็นผู้ดูแลกระบวนการทั้งหมดครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางไร่กาแฟ จนถึงปลายทางร้านกาแฟและซุปเปอร์มาร์เก็ต ปัจจุบันกาแฟดาวไม่เพียงส่งผลิตภัณฑ์ไปขายยังต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ไทย แต่ตั้งโรงคั่วบดเมล็ดกาแฟด้วย ข้อน่าสังเกตอีกประการคือกลุ่มดาวเฮืองเลือกจ้างพนักงานชาวเวียดนามเป็นหลัก
    เมืองปากเซ มีแม่น้ำเซโดนไหลผ่านและไหลลงแม่โขงที่นี่ เมืองจึงชื่อ 'ปากเซ'
    เราเดินทางต่อไปยังจุดหมายคือเมืองปากซอง อาณาบริเวณนี้เรียกว่า 'ภูเพียงบอละเวน' บอละเวนเป็นคำลาวแปลว่า 'ที่ราบสูงขึ้นไปเรื่อยๆ' ความสูง 1,000-1,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสายและมีน้ำตกงดงามมากมาย เป็นที่อยู่ของชนเผ่าต่างๆ ที่รวมเรียกว่า 'ลาวเทิง'
    ประวัติศาสตร์สำคัญของที่ราบสูงบอละเวนอาจแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงลาวเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ช่วงกบฏผู้มีบุญ และช่วงสงครามเวียดนาม
    พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) ฝรั่งเศสยึดดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง และผนวกเพิ่มดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงในปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) และ พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ดินแดนเหล่านี้เดิมเป็นประเทศราชของสยาม พวกฝรั่งเศสทดลองปลูกกาแฟและยางพารา การปลูกกาแฟประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ด้วยพื้นที่นี้อากาศเย็นและฝนตกชุก ผลิตผลเป็นกาแฟชั้นดี พันธุ์ Arabica และ Robusta ปัจจุบันกาแฟเกือบทั้งหมดของลาวปลูกบนที่ราบสูงบอละเวน แขวงจำปาสัก
    พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901) ลาวเทิงลุกขึ้นต่อต้านเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ผสมโรงไปกับ 'กบฏผู้มีบุญ' ที่ชาวบ้านอีสานของไทยลุกฮือขึ้นพร้อมกันหลายแห่ง ต่อต้านอำนาจรวมศูนย์ของสยามเช่นกัน การดิ้นรนเพื่อปลดแอกนี้ถูกปราบปรามลงเมื่อ พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) แม้ลาวเทิงไม่อาจโค่นล้มเจ้าอาณานิคมลงได้ แต่จิตวิญญาณที่ต้องการเป็นไทเป็นที่ประจักษ์
    ระหว่างสงครามเวียดนาม ที่ราบสูงบอละเวนถูกกองทัพสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดหนักหนาที่สุดแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงปลายทศวรรษ 1960 บริเวณนี้ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ด้วย Ho Chi Minh Trail ผ่านเข้ามาทางตะวันออกของบอละเวน ทหารอเมริกันและทหารเวียดนามเหนือต่างพยายามยึดพื้นที่ดังกล่าว กับระเบิดและระเบิดที่ยังไม่ระเบิดจำนวนมากจึงยังคงเป็นอันตรายจนถึงทุกวันนี้
    ปัจจุบัน รายได้สำคัญของบอละเวน มาจากการทำไร่กาแฟ และการท่องเที่ยว ป่าไม้ น้ำตก และวิถีชนเผ่า ล้วนดึงดูดนักเดินทางให้มาเยือน
    วันนี้เราจะไปชมน้ำตก 3 แห่ง ได้แก่ ตาดเยือง ตาดฟาน และตาดผาส่วม แต่ละแห่งห่างกันใช้เวลาเดินทางราว 15-20 นาที

ตาดเยือง
    ตาดแปลว่าน้ำตก เยืองคือเลียงผา
    อากาศที่นี่เย็นสบาย แม้ว่าเข้าหน้าร้อนแล้ว พื้นที่สูงและป่าไม้สมบูรณ์โดยรอบเป็นปัจจัยสำคัญ
    เราเดินตามทางเลาะเขาจากด้านข้างน้ำตกลงไป อ้อมโค้งสู่ด้านหน้า มีจุดพักชมระดับต่างๆ ตรงข้ามน้ำตก ขณะอยู่ด้านบนจึงมองเห็นธารน้ำจากเขาด้านซ้ายไหลมาถึงหน้าผา แยกเป็น 2 สาย เทลงสู่แอ่งหินลึก 45 เมตรด้านล่าง ไม่มีชะง่อนหินกีดขวาง แรงกระแทกทำให้เกิดละอองน้ำลอยอยู่ทั่วบริเวณ ยามต้องแสงแดดทำมุมเหมาะสมจะสะท้อนเป็นสายรุ้ง เมื่อลงถึงด้านล่าง มุมมองน้ำตกงดงามต่างไปอีกแบบ น้ำตกที่เทลงมาเป็น 2 สาย ดูคล้ายเขาเลียงผา จึงชื่อ 'ตาดเยือง'
    ก่อนเดินลงมา อ้อดบอกว่า ตาดเยืองมีสมญาว่า 'น้ำตกขาอ่อน สาวลาว' ขากลับจากตีนน้ำตกขึ้นไปข้างบน จึงเข้าใจสมญานี้...น้ำตกขาอ่อน (แรง)...(ต้อง) สาวราว (ขาขึ้น)

ตาดฟาน
    ฟานแปลว่าเก้ง
    ทางเข้าไปชมน้ำตกต้องผ่านตาดฟานรีสอร์ท เขาทำระเบียงกว้างด้านหน้าที่พัก เป็นที่นั่งจิบกาแฟ ชื่นชมความงามของน้ำตก ลึกจากระเบียงรีสอร์ทลงไป มีทางเดินสู่จุดชมทิวทัศน์ซึ่งเปิดมุมมองน้ำตกกว้างขวางและงดงามกว่า
    15 ปีก่อน (พ.ศ. 2543) ผมกับครอบครัวเคยมาที่ตาดฟาน ช่วงปลายเดือนตุลาคม ตอนนั้นฝนตก อากาศเย็นและชื้นมาก หมอกลงหนาทึบขาวโพลน มองไม่เห็นน้ำตกเลย ได้ยินแต่เสียงน้ำดังชัดเจน เรานั่งจิบกาแฟแก้หนาวตรงระเบียงตาดฟานรีสอร์ทนี้ รอให้หมอกจางลง หวังจะได้เห็นความงามของตาดฟาน แต่สุดท้ายหมอกไม่จางลง....
    ตาดฟานเกิดจากลำน้ำใหญ่บนเขาไหลเทลงจากหน้าผา เป็น 2 สาย ตกลงสู่ปล่องภูเขาไฟลึกลงไป 120 เมตร จุดที่เรายืนชมอยู่ห่างจากขุนเขาทะมึน ป่าไม้ทึบ หน้าผา และน้ำตกราว 6 กม. ภาพรวมทั้งหมดจึงยิ่งใหญ่นัก น้ำตก 2 สายที่สูงมาก แลดูคล้ายเขาเก้ง จึงชื่อ 'ตาดฟาน'
    ธรรมชาติงดงามและป่าไม้ทึบที่เห็น ทำเอาอ้อดจินตนาการว่าตาดฟานเป็นฉากเปิดในหนังเรื่อง Jurassic Park (1993) อันที่จริงภูมิประเทศมีส่วนคล้ายกัน แต่ฉากดังกล่าวถ่ายที่ Manwaiopuna Falls, Hanapepe Valley, Kaua'i, Hawaii
    สมญาของตาดฟานคือ 'น้ำตกน้องเมีย' ชื่นชมได้ห่างๆ แต่แตะต้องไม่ได้

ตาดผาส่วม
    ส่วมแปลว่าหอบ่าวสาว
    เราพักกินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารของคุณวิมล กิจบำรุง นักธุรกิจไทยที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลลาวตั้งแต่ปี 1999 ให้เข้ามาจัดการป่าไม้ พื้นที่ 1,300 ไร่ เขาเขียนบันทึกเผยแพร่เกี่ยวกับโครงการอุทยานบาเจียง น้ำตกผาส่วม อันเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่สัมปทานของเขาว่า เป็นโครงการต้นแบบสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ และสืบทอดวัฒนธรรมโบราณของชนเผ่า ได้ปลูกต้นไม้กว่า 25,000 ต้น จัดตั้งศูนย์อนุรักษ์ชนเผ่า และพนักงานในโครงการประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ 11 เผ่า
    ตาดผาส่วมอยู่ห่างจากร้านอาหารไม่มาก ผาน้ำตกเป็นรูปโค้งเกือกม้า น้ำตกสูงราว 20 เมตร แยกเป็นหลายสาย จุดชมอยู่กลางฝั่งตรงข้าม เห็นน้ำตกทั้งหมด ด้านข้างและด้านหลังเป็นป่าไม้ทึบเขียว ไกลออกไปเป็นทิวเขาลางๆ แสงสี องค์ประกอบส่งให้ตาดผาส่วมงามยิ่ง
    จากน้ำตก เดินต่อไปยังศูนย์อนุรักษ์ชนเผ่า ทางเข้าศูนย์ปลูกกอไผ่เรียงรายเป็นแนวทั้งสองข้าง ทางเดินดินกวาดไว้เรียบร้อย สะอาดตา ภายในศูนย์มีเรือนไม้ชั้นเดียว หลังคามุงจาก ใต้ถุนยกพื้นสูง ตั้งห่างกันอยู่ทั่วไป คุณยายร่างผอมเกร็งนั่งสาวด้ายตรงชานเรือนหลังแรก ข้างตัวมีผ้าทอมือ ทำเป็นผ้าซิ่น ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ลวดลาย สีสัน สวยงามวางขายหลายผืน ถัดเข้าไปเป็นเรือนของเผ่าละแว ลักษณะพิเศษคือมีห้องเล็กๆ อยู่ด้านหน้าเป็นมุขยื่นออกมา เจาะช่องหน้าต่างขนาดเล็กพอมือลอดได้เพียงช่องเดียว ใต้ช่องหน้าต่างด้านนอกเรือน มีตอไม้หน้าตัดเรียบวางอยู่ คนละแวเขาจัดห้องนี้ให้ลูกสาวอยู่เวลาพ่อแม่เข้านอนแล้ว หนุ่มๆ ที่สนใจสาวมาเยี่ยมตอนค่ำได้โดยปีนตอไม้ ส่งมือผ่านช่องหน้าต่าง จับมือถือแขนกัน เรียกกิจกรรมนี้ว่า 'ขึ้นครก จกสาว' สาวเรียนรู้หนุ่มว่าทำงานหรือไม่จากมือนุ่มมือหยาบ ถัดมาอีกมุม มีเรือนเสาเดียวแยกอยู่ต่างหาก เรียก 'บ้านเสาเดี่ยว' หลังนี้สำหรับคู่หนุ่มสาวที่ 'ขึ้นครก จกสาว' จนตกลงใจแล้ว ขยับขึ้นไปอยู่ด้วยกันบนบ้านเสาเดี่ยว แต่เขาว่า 'ห้ามผิดผี'... ละแวเป็นชนเผ่ากลุ่มใหญ่ที่สุดในบอละเวน
    นอกจากเรือนอยู่อาศัย ยังมีเรือนหลังใหญ่ใช้เป็นที่ชุมนุม มีเกราะไม้ไว้เคาะเรียก เรือนหลังใหญ่อีกหลัง จัดเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับของแต่ละชนเผ่า

ขากลับ เราย้อนทางเดิม อ้อดพาไปชิมกาแฟแม่ติ ก่อนไปแวะตลาดดาวเฮืองที่ปากเซ
17.30 น. เดินลอดอุโมงค์จากด่านวังเต่ากลับมาด่านช่องเม็ก
รถเดินทางจากช่องเม็กไปโขงเจียม ถึงที่พักวิจิตราแคมปิงส์แอนด์รีสอร์ท ฟ้ามืดสนิท ที่พักอยู่ริมแม่น้ำโขง แต่มองไม่เห็นแม่น้ำเลย คณะเราเป็นแขกพักเพียงคณะเดียว
มื้อค่ำ ฝีมือคุณวิจิตรา ภรรยาเจ้าของที่พัก อาหารแบบครอบครัว รสชาติยอดเยี่ยม

หลังอาหาร เราเปิดวงเสวนายามค่ำ หมอเปียเพิ่งผ่านหลักสูตรผู้บริหารระดับกลางมาหมาดๆ กำลังร้อนวิชา เธอบอกว่าตอนนี้พร้อมเป็นผู้อำนวยการแล้ว วงเสวนาจึงหนักไปในเรื่องบริหารราชการ สมาชิกเห็นพ้องกันว่าตำแหน่งบริหาร อาทิ ผู้อำนวยการ อธิบดี ควรมีอายุ 40 เศษ ปลัดกระทรวงควรมีอายุ 45-50 ปี
    นอกจากนี้ ยังพูดถึง Peter Principle ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ผู้คนในองค์กรจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น จนไปจบที่ตำแหน่งซึ่งคนนั้นไร้ฝีมือที่สุด
    ปิดวงเสวนาเกือบเที่ยงคืน

เยือนแขวงจำปาสัก ประเทศลาว วันนี้ ได้เห็นภูมิประเทศ ป่าไม้ ขุนเขา น้ำตก ที่สวยงาม
ได้เรียนรู้ ทบทวนประวัติศาสตร์ลาว ซึ่งใกล้ชิดกับอีสานของไทยเป็นอย่างยิ่ง

ข้อมูลค้นจาก
    th.wikipedia.org
    tourismlaos.org