โรงแรมที่พัก ด้านหน้าติดถนนปิ่นอนุสรณ์ ถนนเลียบชายทะเล ด้านหลังลึกเข้าไปจรดคลองบางนางรม ทำเลเยี่ยม เสียแต่กำลังก่อสร้างตึกใหม่ด้านหน้า ที่ทางรก ทั้งคนและรถเข้าออกลำบาก
อาหารเช้าเสิร์ฟที่ศาลาริมคลองบางนางรม ฝั่งตรงข้ามเป็นป่าโกงกางทึบ ในคลองปักโครงเสา ห้อยเชือก เลี้ยงหอยนางรม สมกับชื่อคลอง ลมพัดเย็นสบาย มื้อเช้าจึงผ่อนคลาย ไม่รีบร้อน คุณธานี สุวรรณนาวา เจ้าของโรงแรมอยู่ดูแล พูดคุยกับแขกเหรื่อเป็นกันเอง
วันนี้ตั้งใจตระเวนไปด่านสิงขร ดูชายแดนแถบนี้ ต่อด้วยหว้ากอ พัฒนาถึงไหนแล้ว เย็นๆ ไปชมอ่าวมะนาว อุทยานประวัติศาสตร์ และเยี่ยมค่างแว่นที่เขาล้อมหมวก
9.00 น. จากที่พัก ขับรถออกจากเมืองประจวบ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพชรเกษมลงใต้ไปราว 8 กม. เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงชนบท 11207 ทางลาดยางเรียบ ผ่านไร่นาชาวบ้าน ไปจนบรรจบกับทางหลวง 1039 ที่โรงเรียนด่านสิงขร ทางหลวง 1039 นำต่อไปจนถึงด่านสิงขร รวมระยะทางที่แยกจากถนนเพชรเกษมถึงด่าน 13 กม.
ด่านสิงขรเป็นจุดผ่อนปรนการค้า อยู่ห่างราว 1 กม. จากช่องเขามุด่อง (Maw Daung Pass) ของพม่าตรงชายแดน ลึกเข้าไปฝั่งพม่าคือบ้านมุด่อง (Maw Daung) มีทางหลวงตัดขวางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือถึงเมืองมะริด (Myeik) เมืองท่าริมทะเลอันดามัน ภาคตะนาวศรี (Tanintharyi) อันเป็นภาคใต้สุดของประเทศพม่า
บริเวณด่าน การค้าขายคึกคัก วุ่นวายแบบชายแดน ตลาดไทยเปิดทุกวัน ส่วนตลาดพม่าเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ แม่ค้าพม่าผ่านแดนมาแต่เช้าและต้องกลับตอนบ่าย ตลาดแบ่งเป็นโซน ได้แก่ กล้วยไม้ป่า เฟอร์นิเจอร์ไม้ อัญมณี เป็นต้น กล้วยไม้ป่าถูกแซะมาเป็นต้น เป็นกอ ไม่เว้นแม้พืชที่ขึ้นบนคาคบไม้ (epiphytes) เช่น ชายผ้าสีดา และเฟิร์นต่างๆ เมื่อนักท่องเที่ยวมากขึ้น ของป่าเหล่านี้ที่เคยขายราคาถูกก็แปรไปตามอุปสงค์ และอีกไม่นานคงหมดป่า
จากตลาด เราเดินขึ้นเนินไปยังด่านตรวจผ่านแดน ใกล้เที่ยง คนพม่าเริ่มทยอยกลับ เราไปคุยกับนายตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ประจำอยู่ ถามเขาเรื่องการเปิดด่านเป็นจุดผ่อนปรนพิเศษ ชาวบ้านโจษกันว่านายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมาเป็นประธานเปิดวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ นายตำรวจบอกว่ายังไม่มีเรื่อง และกำหนดการดังกล่าว
เก้าปีก่อน ผมเคยขับรถมาที่ด่านนี้ ด้วยความอยากรู้ว่าด่านสิงขรเป็นอย่างไร ตอนนั้นถนนยังเป็นทางดินสลับลูกรัง ตรงด่านไม่มีการค้าขาย ไม่มีกิจกรรมใดๆ
วันนี้ คนค้าขายต่างกระตือรือร้น รอการผ่อนปรนการเข้าออกผ่านพรมแดน ด้วยหวังให้เกิดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ
ภายหลังเรากลับจากทริปนี้แล้ว ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2558 นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้มาเป็นประธานเปิดด่านอย่างที่โจษกัน หากแต่ลงนามประกาศกระทรวงมหาดไทยเปิดด่านสิงขรเป็นจุดผ่อนปรนพิเศษ อนุญาตให้คนพม่าข้ามพรมแดนมาได้ครั้งละไม่เกิน 2 วัน (ค้างได้ 1 คืน) ภายในเขตอำเภอเมืองประจวบ ขณะเดียวกัน มุขมนตรีภาคตะนาวศรีของพม่าอนุญาตให้คนไทยข้ามพรมแดนไปถึงเมืองมะริดได้ จำนวนวันพำนัก ขึ้นกับชนิดของเอกสารผ่านแดน และจะมีพิธีเปิดด่านเป็นทางการวันที่ 23 พฤษภาคม 2558
จากด่านสิงขร ย้อนกลับออกตามทางหลวงชนบท 11017 เลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรเกษม ลงใต้ราว 2 กม. ถึงแยกไปหว้ากอ เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง 1041 ประมาณ 3 กม. ถึงอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณล่วงหน้าไว้ถึง 2 ปีว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ปีมะโรง จุลศักราช 1230 ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม 2411 โดยเส้นศูนย์ของอุปราคา จะผ่านมาใกล้ที่สุด ณ บ้านหว้ากอ เมืองประจวบคีรีขันธ์ พระราชอาณาจักรสยาม ทางฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมมลายู ตรงเส้นวิตถันดร (แลตติดจูต) 11 องศา 38 ลิปดาทิศเหนือ และเส้นทีรฆันดร (ลองติดจูต) 99 องศา 39 ลิปดาทิศตะวันออก โดยคราสเริ่มจับเวลา 10 นาฬิกา 4 นาที จับเต็มดวง เวลา 11 นาฬิกา 36 นาที 20 วินาที กินเวลานาน 6 นาที 45 วินาที คลายคราสออกเวลา 13 นาฬิกา 37 นาที 45 วินาที
ทั้งนี้ ไม่ปรากฏหลักฐานการคำนวณเหตุการณ์ดังกล่าวจากประเทศตะวันตกมาก่อน
ทรงโปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สร้างค่ายไว้ล่วงหน้า และพระองค์ใช้ค่ายนี้เป็นห้องทดลองกลางแจ้ง เป็นที่ชุมนุมของนักวิทยาศาสตร์และคณะทูตประเทศต่างๆ พิสูจน์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงตามที่พระองค์ทรงคำนวณโดยไม่คลาดเคลื่อน แสดงถึงพระอัจฉริยภาพด้านดาราศาสตร์ของพระองค์ แต่เมื่อพระองค์เสด็จกลับกรุงเทพฯ ได้เพียง 5 วัน ก็ทรงประชวรและเสด็จสวรรคตด้วยไข้มาลาเรีย ในวันที่ 1 ตุลาคม 2411
ปี 2532 รัฐบาลเห็นชอบให้ดำเนินโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย
ปี 2533 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนาม 'อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ'
ปี 2536 กระทรวงศึกษาธิการจัดให้อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ เป็นสถานศึกษา ปัจจุบันสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
อุทยานฯ มีพื้นที่กว้างขวางถึง 500 ไร่ ด้านตะวันออกติดทะเล ชายหาดหว้ากอยาว 3 กม. ภูมิทัศน์งดงามและเหมาะสมในการจัดค่ายเยาวชนอย่างยิ่ง ฐานการเรียนรู้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และพลังงาน กลุ่มดาราศาสตร์และอวกาศ กลุ่มธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Waghor Aquarium) จัดแสดงปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ ส่วนสำคัญได้แก่ Big Tank สูง 3 ชั้น แสดงปลาขนาดใหญ่ อาทิ ฉลาม กระพง กระเบน และการให้อาหารโดยนักประดาน้ำ อีกส่วนที่น่าชมคืออุโมงค์ปลา จัดทางเดินให้ผู้ชมมองเห็นปลาที่ว่ายอยู่ด้านบน
ออกจาก aquarium ไปนั่งเล่นรับลมทะเลที่ริมหาดหว้ากอ ท้องฟ้าและน้ำทะเลสีคราม บรรยากาศสงบ ผ่อนคลาย สักพักจึงขับรถไปตามถนนเลียบชายหาด ผ่านพระบรมราชานุสาวรีย์ ร. 4 ตรงนี้เป็นที่ตั้งพลับพลาประทับเมื่อคราวพระองค์เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคา 18 สิงหาคม 2411 ผ่านหอดูดาว และอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ
ด้านหน้าอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ ทำเป็นหอคอยสูง ภายในมีบันไดเวียนเล่าเรื่องเอกภพ จักรวาล ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ ความรู้จากบรรพกาลเริ่มที่ผนังชั้นล่าง ต่อเนื่องตามลำดับเวลาจนถึงปัจจุบันที่ชั้นบน ยอดหอคอยเป็นโดมกระจก มองเห็นทิวทัศน์โดยรอบ
ด้านหลัง ตรงชั้นสอง เปิดเข้าห้องจัดแสดงเครื่องมืออุปกรณ์ดาราศาสตร์ของรัชกาลที่ 4 อาทิ แผนที่ดาว sextant กล้องดูดาว แม้ส่วนใหญ่เป็นของจำลอง (replica) แต่ก็น่าสนใจทุกชิ้น
15.50 น. เจ้าหน้าที่ประกาศหมดเวลา เชิญผู้ชมออกจากอาคาร ปิดไฟไล่อย่างรวดเร็ว ทั้งที่ยังมีผู้คนเดินชมหลายคนและยังไม่ถึงเวลาปิด 16.00 น.
ออกจากอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ ขับรถตามถนนเลียบชายหาดต่อไปยังหมู่บ้านวิทยาศาสตร์ ฐานเปิดโลกคอมพิวเตอร์ อุทยานการศึกษา ค่ายหว้ากอ ฐานวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ และสวนผีเสื้อ แต่ละฐานกว้างขวางทิ้งระยะห่างจากกันอย่างเหมาะสม
จากอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ขับรถเลียบชายหาดกลับเมืองประจวบ ผ่านบ้านคลองวาฬ
หมู่บ้านประมงแห่งนี้ ถนนหลักไม่กว้าง มีเขาคลองวาฬเป็นฉากหลัง ดูอบอุ่น บ้านเรือนสองฟากถนนสูงเพียง 1-2 ชั้น เรือนไม้หลายหลังประดับขนมปังขิงที่ชายคาอย่างงดงาม ร้านค้าริมทางคึกคัก มีชีวิตชีวา เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ตลาดย้อนยุคจัดฉากแบบดาดๆ
เราลงจากรถ เดินเล่นช้าๆ ชื่นชมวิถีชาวบ้าน ซื้อขนม ของกิน ผู้คนเป็นมิตร มีมารยาท
จากคลองวาฬผ่านเข้ากองบิน 5
อ่าวมะนาวอยู่ในเขตกองบิน ทะเลและชายหาดเหมาะแก่การเล่นน้ำและกีฬาทางน้ำอื่นๆ จึงเป็นที่นิยม อ่าวมะนาวไม่เคยร้างนักท่องเที่ยว ที่พักไม่เคยว่าง
ทางทิศเหนือของอ่าวมะนาว มีเขาล้อมหมวก ก่อนถึงเชิงเขา เป็นอุทยานประวัติศาสตร์...
7 ธันวาคม 2484 เวลา 22.30 น. เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น (นายซูโบกามิ) และคณะ เข้าขอพบนายกรัฐมนตรี (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ที่วังสวนกุหลาบ ซึ่งขณะนั้นเป็นทำเนียบนายกรัฐมนตรี แต่นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ ไปราชการที่อรัญประเทศ คณะทูตญี่ปุ่นจึงขอพบรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส) แต่รองนายกรัฐมนตรีไม่เต็มใจจะพบ จึงขอให้รัฐมนตรีต่างประเทศ (นายดิเรก ชัยนาม) พบแทน
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นกล่าวว่า ทุกท่านย่อมทราบดีแล้วว่า สหรัฐอเมริกา และอังกฤษได้บีบคั้นญี่ปุ่นตลอดมา บัดนี้ญี่ปุ่นทนต่อไปไม่ได้แล้ว วันนี้จึงตัดสินใจลุกขึ้นต่อสู้ โดยได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษแล้ว ฉะนั้น ทูตจึงได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้มาแจ้งต่อนายกรัฐมนตรีไทยว่า เนื่องด้วยเหตุจำเป็น กองทัพญี่ปุ่นจึงจำต้องขอเดินผ่านประเทศไทยเพื่อไปโจมตีประเทศทั้งสองซึ่งเป็นศัตรูของญี่ปุ่น แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีไม่สามารถพบได้ ก็จำเป็นต้องแจ้งแก่รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นทางราชการ
รัฐมนตรีได้ตอบว่า ประเทศไทยได้ประกาศตนเป็นกลาง ฉะนั้นจึงมีนโยบายไม่ช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ทูตตอบว่าโดยที่เรื่องนี้เกี่ยวกับความเป็นความตายของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจำต้องได้รับอนุญาตให้เคลื่อนกำลังทั้งทางบกทางทะเลและอากาศ ผ่านประเทศไทยให้จงได้
รัฐมนตรีชี้แจงตอบว่า แต่การจะอนุญาตหรือไม่ รัฐมนตรีต่างประเทศไม่มีอำนาจอย่างใด อำนาจสั่งอนุญาตไม่ให้ต่อสู้นั้นคือนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง และรัฐบาล โดยทางผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ประกาศเป็นคำสั่งประจำ (standing order) ไว้แล้วว่า ไม่ว่ากองทหารประเทศใด ถ้าเข้ามาในดินแดนไทย ให้ต่อต้านเต็มที่ ฉะนั้น ผู้ที่จะประกาศยกเลิกคำสั่งนี้ก็คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ทันใดนั้นผู้ช่วยทูตทหารบกญี่ปุ่น (พันเอกทามูรา) กล่าวว่า แต่รัฐมนตรีควรจะทราบว่า การล่าช้าก็หมายถึงการนองเลือด เพราะเวลานี้กองทหารญี่ปุ่น ได้ยกพลขึ้นบกตามจุดต่างๆ ในประเทศไทยแล้ว
รัฐมนตรีตอบว่า ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่อย่างไรก็ดี จะได้รีบรายงานรองนายกรัฐมนตรีให้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเดี๋ยวนี้ แล้วจะได้แจ้งให้คณะทูตทราบถึงผลของการประชุม
คณะทูตญี่ปุ่นตกลง และนั่งรออยู่ในห้องรับแขก
รองนายกรัฐมนตรีตกลงเรียกประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งในเวลานั้นรัฐมนตรีส่วนมากก็มานั่งรออยู่แล้ว เวลาประมาณ 23.00 น. จึงเปิดประชุม รองนายกรัฐมนตรีให้รัฐมนตรีต่างประเทศรายงานถึงเรื่องที่ญี่ปุ่นมาพบ เมื่ออภิปรายกันแล้ว ที่ประชุมเห็นว่า ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องรอนายกรัฐมนตรีกลับ
รองนายกรัฐมนตรีได้ชวนรัฐมนตรีต่างประเทศไปกรมไปรษณีย์โทรเลข เพื่อโทรเลขติดต่อกับนายกรัฐมนตรี ทราบว่านายกรัฐมนตรีจะกลับมาเข้าประชุมประมาณย่ำรุ่ง ทั้งสองกลับมาที่ประชุม แจ้งให้ที่ประชุมทราบ รัฐมนตรีต่างประเทศได้ออกไปแจ้งคณะทูตญี่ปุ่นว่า ควรกลับไปก่อน คณะทูตญี่ปุ่นตกลงกลับไปสถานทูต และเวลาราว 5.00 น. ได้กลับมาอีก
8 ธันวาคม 2484 เวลาประมาณ 7.00 น. จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีมาถึงที่ประชุม รองนายกรัฐมนตรีได้ให้รัฐมนตรีต่างประเทศรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง เมื่อรายงานไปยังไม่ทันจบ นายกรัฐมนตรีถามขึ้นว่า 'แล้วเราจะตกลงใจทำอย่างไรกันแน่' นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีคลังได้เสนอว่า ก่อนที่จะตัดสินใจอย่างไรแน่ ใคร่เสนอให้พิจารณาทางได้ทางเสียว่า ถ้ายอมจะเสียหายอย่างใด ถ้าไม่ยอมเราจะเสียหายอย่างใด ทั้งนี้ เพื่อระวังไม่ให้โลกวิจารณ์เราได้ เพราะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ นายกรัฐมนตรีตอบว่า ในขณะนี้เราไม่มีเวลาที่จะอภิปราย เพราะญี่ปุ่นกำลังเข้าเมืองเราแล้ว ขอทราบความเห็นเท่านั้น ว่าจะยอมหรือไม่ยอม แล้วหันไปถามรัฐมนตรีบางนายซึ่งรับผิดชอบในการทหารว่าสู้ไหวหรือไม่ ได้รับคำตอบว่าสู้ไม่ไหว รองนายกรัฐมนตรีได้อภิปราย ทางได้ทางเสีย โดยสรุปก็คือเราไม่มีหนทางที่จะต่อสู้อย่างใด และฝ่ายสัมพันธมิตรก็มาช่วยอะไรเราไม่ได้ นายกรัฐมนตรีได้ถามความเห็นรัฐมนตรีอื่นต่อไปอีกสองสามนาย ซึ่งก็เห็นด้วยว่าไม่มีทางสู้ประการใด ในที่สุดนายกรัฐมนตรีจึงประกาศว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อต้าน เพราะเราไม่มีกำลัง อังกฤษเอง สหรัฐอเมริกาเอง ก็เคยให้รัฐมนตรีต่างประเทศเร่งให้ช่วยก็ได้ความว่าไม่มีอะไรจะช่วย ครั้นแล้วนายกรัฐมนตรีก็ลุกออกไปพบกับคณะทูตญี่ปุ่น ต่อมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง นายกรัฐมนตรีได้นำนายวนิช ปานะนนท์ อธิบดีกรมพาณิชย์ เข้ามาในที่ประชุม และให้นายวนิชชี้แจงว่าญี่ปุ่นเสนออย่างไร นายวนิชชี้แจงว่า คณะทูตญี่ปุ่นเสนอว่า มีแผนการที่จะขอความร่วมมือจากไทย 3 แผน แผนที่หนึ่งคือ ญี่ปุ่นเพียงขอเดินทหารผ่านไทยไปเท่านั้น แผนที่สองไทยกับญี่ปุ่นทำสัญญาพันธมิตรกันเพื่อป้องกันประเทศไทย และแผนที่สามไทยกับญี่ปุ่นประกาศเป็นสหายสงคราม ร่วมรุกร่วมรบต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกา และในการนี้ ญี่ปุ่นพร้อมที่จะให้คืนดินแดนที่ไทยเสียแก่อังกฤษและฝรั่งเศส กลับคืนมาทั้งหมด
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีความเห็นแตกต่างเป็นหลายฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรรับแผนที่สาม เพราะไหนๆ จะให้ญี่ปุ่นผ่านทั้งที ก็ควรเอาประโยชน์ให้เต็มที่ ฝ่ายที่สองไม่ออกความเห็น รัฐมนตรีต่างประเทศเสนอว่าเมื่อเราต้องยอมญี่ปุ่น เพราะเราสู้ไม่ได้ อย่างมากก็เป็นเพียงยอมให้ผ่าน ถ้าเราเอาแผนอื่น โลกต้องวิจารณ์เราแน่นอนว่าที่แถลงไว้ว่าจะเป็นกลางอย่างเคร่งครัดนั้น ความจริงก็สมคบกับญี่ปุ่นและไม่เพียงยอมญี่ปุ่นเพราะสู้ไม่ได้ แต่กลับเข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วย ในการนี้ พลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส กับนายปรีดี พนมยงค์ ได้สนับสนุนความเห็นนี้ ในที่สุดที่ประชุมลงมติให้รับเพียงแผนที่หนึ่ง และให้นายวนิช ปานะนนท์ ออกไปแจ้งแก่คณะทูตญี่ปุ่น ต่อมาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ได้มีการลงนามระหว่างเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นกับรัฐมนตรีต่างประเทศไทย ในสัญญายอมให้ญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยได้ และรัฐบาลได้ออกคำแถลงการณ์ดังต่อไปนี้
'ด้วยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ตั้งแต่เวลาประมาณ 2.00 น. กองทหารญี่ปุ่นได้เข้าสู่ประเทศไทยโดยทางทะเลในเขตจังหวัด สงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี (บ้านดอน) และบางปู ส่วนทางบกได้เข้ามาทางจังหวัดพระตะบองและพิบูลสงคราม เกือบทุกแห่ง ทหารและตำรวจไทยได้ทำการต่อสู้อย่างเข้มแข็ง
อนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็ได้มีข่าวจากต่างประเทศว่ากองทัพเรือญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีเกาะฮาวาย และฟิลิปปินส์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ส่งทหารขึ้นบกที่โกตาบารูในเขตมลายูของอังกฤษ และได้เข้าโจมตีสิงคโปร์โดยเครื่องบินอย่างหนักด้วย
ในเรื่องนี้เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้มาที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีในวันที่ 7 ธันวาคม 2484 เวลา 22.30 น. ได้ชี้แจงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่า ได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาแล้ว แต่มิได้ถือว่าไทยเป็นศัตรู หากแต่มีความจำเป็นต้องขอทางเดินผ่านอาณาเขตไทย
รัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พิจารณาปรึกษากันโดยรอบคอบแล้ว เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งนี้เป็นสิ่งซึ่งไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ แม้ประเทศไทยได้พยายามโดยสุดกำลังก็ไม่สามารถจะหนีเหตุการณ์อันนี้ได้พ้น และเนื่องจากสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การที่จะต่อสู้กันไปก็จะเป็นการเสียเลือดเนื้อชาวไทยโดยไม่สำเร็จประโยชน์ จึงจำเป็นต้องพิจารณาตามข้อเสนอของรัฐบาลญี่ปุ่นและผ่อนผันให้ทางเดินแก่กองทัพญี่ปุ่น โดยได้รับคำมั่นจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะเคารพเอกราช อธิปไตย และเกียรติศักดิ์ของไทย ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงได้ตกลงให้ทางเดินทัพแก่ญี่ปุ่น และการต่อสู้ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นก็ได้หยุดลง
ขอให้ประชาชนชาวไทยจงระงับความตื่นเต้นและพยายามประกอบกิจการงานต่อไปตามเดิม รัฐบาลจะทำความพยายามอย่างสูงสุดในอันที่จะให้เหตุการณ์ทั้งหลายผ่อนจากหนักเป็นเบาให้มากที่สุดที่จะทำได้ ขอให้ประชาชนชาวไทยจงรักษาความสงบ และฟังคำสั่งคำตักเตือนของรัฐบาลทุกประการ'
เช้ามืด 8 ธันวาคม 2484 เรืออากาศตรีศรีศักดิ์ สุจริตธรรม และกลุ่มทหารไทยกลุ่มหนึ่งกำลังจะออกเรือไปจับปลาในช่วงเช้า แต่ต้องรีบกลับเข้าฝั่งอย่างรวดเร็วเพราะพบการเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นน้ำบริเวณอ่าวมะนาว หมู่เรือท้องแบนของทหารญี่ปุ่น 3 ลำ ลำเลียงทหารญี่ปุ่นจำนวนมาก กำลังจะเข้ามายังชายหาด จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นเหตุการณ์ก็โกลาหล ทหารประจำกองบินน้อยที่ 5 ได้ทำการต่อสู้ต้านการเข้ายึดพื้นที่ของทหารญี่ปุ่น แม้กำลังพลของกองบินน้อยที่ 5 มีประมาณ 120 คน ส่วนกำลังพลทหารญี่ปุ่นมีประมาณ 3,000 คน แต่การสู้รบดำเนินไปกว่า 33 ชั่วโมง จนถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2484 เวลาประมาณ 11.00 น. ร้อยตำรวจโทสงบ พบปราณี ที่เป็นผู้นำคำสั่งหยุดยิงจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม มายังผู้บังคับการกองบินน้อย ถูกยิงเสียชีวิต ทางจังหวัดต้องส่งบุรุษไปรษณีย์ว่ายน้ำจากอ่าวประจวบมาขึ้นที่เขาล้อมหมวก นำส่งคำสั่งดังกล่าวแทน
การสู้รบทำให้ทหารอากาศไทยเสียชีวิต 39 นาย ตำรวจ 1 นาย ยุวชนทหาร 1 นาย และพลเรือน 1 คนรวมทั้งสิ้น 42 คน
อุทยานประวัติศาสตร์เปิดเมื่อปี 2546 ประกอบด้วยอาคารจัดแสดง 2 หลัง หลังที่หนึ่งดัดแปลงจากอาคารสโมสรนายทหาร หลังที่สองจากอาคารพักเรือนแถวของนายทหารชั้นสัญญาบัตรแต่ครั้งสงครามโลก
อาคารหลังที่หนึ่ง จัดแสดงพัฒนาการของกองทัพอากาศไทย และการก่อตั้งกองบินน้อยที่ 5 อ่าวมะนาว
อาคารหลังที่สอง จัดแสดงประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2
เราไปถึง 17.00 น. อาคารทั้งสองปิดแล้ว
ภายนอกอาคาร ประกอบด้วย
อนุสาวรีย์วีรชน ทหารอากาศในชุดนักบินยืนอยู่บนใบพัดเครื่องบิน ถือธงหันหน้าออกทะเล
แผ่นหินทรายแกะสลักเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484
อนุสรณ์แห่งการเสียสละ อนุสาวรีย์รายนามผู้เสียชีวิตเป็นแผ่นหินจารึกชื่อ จำนวน 39 แผ่นเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้กล้าทั้ง 39 ท่าน
เครื่องบินรุ่นต่างๆ ที่เคยใช้งานในกองทัพ แต่ปลดประจำการแล้ว
บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สงบเงียบ ชวนให้สงบใจรำลึกถึงจิตใจกล้าหาญ เสียสละ ของบรรพชนจำนวนมากในระหว่างสงครามที่ทำให้ประเทศไทยผ่านความยากลำบากมาได้
เขาล้อมหมวกเป็นที่อยู่ของฝูงค่างแว่นถิ่นใต้ ทุกเช้าเย็น ฝูงค่างจะลงมาหากินบริเวณเชิงเขา
ค่างแว่นถิ่นใต้ (Trachypithecus obscurus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกค่าง ลักษณะเด่นคือ มีวงกลมสีขาวรอบตาเหมือนกับใส่แว่น อันเป็นที่มาของชื่อ ขนาดลำตัวยาว 45-57 เซนติเมตร หางยาว 66-78 เซนติเมตร น้ำหนัก 6-9 กิโลกรัม ค่างโตเต็มวัยมีขนบริเวณด้านหลังสีเทาเข้มเกือบดำ ขนบริเวณด้านข้างใบหน้า บริเวณปลายมือและปลายเท้ามีสีเทาเข้ม โคนขาและโคนแขนด้านนอกเป็นสีเทาจาง ขนหางสีดำ ลูกที่เกิดใหม่ ขนเป็นสีทอง
ค่างแว่นมีอุปนิสัยขี้อาย น่ารัก ไม่ก้าวร้าว ไม่ดุร้าย ไม่แย่งอาหาร หรือฉวยชิงสิ่งของ ต่างจากพวกลิง โดยเฉพาะลิงแถวเขาช่องกระจก การเยี่ยมค่างแว่นที่เชิงเขาล้อมหมวก จึงเป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
จากกองบิน 5 กลับเข้าเมืองทางถนนเลียบชายทะเลริมอ่าวประจวบ ร้านอาหารเรียงรายหลายสิบร้าน นักท่องเที่ยวเพียบ หลายร้านรุกข้ามถนนไปตั้งโต๊ะที่ริมชายหาด...เมืองประจวบจะเป็นอย่างไรหนอ...
ข้อมูลค้นจาก
คู่มือท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
th.wikipedia.org
ratchakitcha.soc.go.th
waghor.go.th
sac.or.th
ดิเรก ชัยนาม. ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง. 2549.
No comments:
Post a Comment