November 27, 2014

Bangkok on Foot: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร: 20.11.2014

จุดหมายวันนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในอุษาคเนย์
คาดว่าคงใช้เวลาหลายชั่วโมง และคงชมไม่หมด เพราะสิ่งแสดงและบริเวณกว้างขวางมาก

11.00 น. นั่งรถเมล์ไปลงเทเวศร์ ต่อรถไปสนามหลวง รถวิ่งฉิวจนถึงถนนเจ้าฟ้า ติดนิ่ง สภาพเหมือนสองสัปดาห์ก่อนตอนไปวัดมหาธาตุฯ คราวนี้ไม่รอแล้ว ลงจากรถเลย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป อยู่ต่อหน้าต่อตาตรงที่ลง นิทรรศการหมุนเวียนจัดแสดง 2 งาน ได้แก่ 'พู่กันเก่า' และ 'นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต' สมควรแวะเข้าไปชมเป็น hors d'oeuvre
    'นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต' แสดงผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม กว่า 150 ชิ้น ของนักเรียน นักศึกษาระดับต่างๆ ที่ส่งประกวดในงานครั้งที่ 26 จัดโดยกลุ่มโตชิบา ร่วมกับกรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยศิลปากร เดินผ่านชมคร่าวๆ
    'พู่กันเก่า' แสดงผลงานของกลุ่มลูกศิษย์อาจารย์ศิลป์ พีระศรี จำนวน 25 คน ส่วนใหญ่เป็นภาพเขียน หลากเทคนิค อาทิ สีน้ำมันบนผ้าใบ สีอะคริลิกบนผ้าใบ สีนำ้บนกระดาษ ผลงานเหล่านี้งดงามยิ่ง ผมค่อยๆ เดินชมราว 40 นาที ด้วยความรื่นรมย์ ขอบคุณที่รถติด เป็นเหตุให้ได้เข้ามาชม แวะซื้อหนังสือประกอบนิทรรศการก่อนออกจากหอศิลป เดินต่อไป...

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
    บริเวณที่ตั้งคือพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า สร้างเมื่อ พ.ศ. 2325 คราวเดียวกับพระบรมมหาราชวัง เมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ อาณาบริเวณของวังหน้าเริ่มตั้งแต่ถนนพระจันทร์ ผ่านกลางสนามหลวง จนถึงถนนราชดำเนินใน วกตามแนวถนนราชินีถึงท่าช้างวังหน้า ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 กำแพงพระราชวังถูกรื้อไปเกือบหมด เหลือเพียงส่วนหนึ่งคือกำแพงด้านทิศใต้ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน
    พระราชวังบวรสถานมงคลเคยเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราช 5 พระองค์ ดังนี้
    สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช พ.ศ. 2325-2346 (วังหน้าในรัชกาลที่ 1)
    สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ พระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช พ.ศ. 2352-2360 (วังหน้าในรัชกาลที่ 2)
    สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช พ.ศ. 2367-2375 (วังหน้าในรัชกาลที่ 3)
    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน พ.ศ. 2394-2408
    สมเด็จกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช พ.ศ. 2411-2428 (วังหน้าในรัชกาลที่ 5)
    ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราช ภายหลังกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต วังหน้าจึงว่างลง โปรดเกล้าฯ ให้ 'มิวเซียมหลวง' ณ หอคองคอเดีย ในพระบรมมหาราชวัง มาตั้งแสดง ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เมื่อ พ.ศ. 2430
    พ.ศ. 2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชมณเฑียรสถานในวังหน้าทั้งหมด ให้จัดตั้งเป็น 'พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร' และเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469 ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
    ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลได้จัดตั้งกรมศิลปากรเมื่อ พ.ศ. 2476 พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครจึงสังกัดกรมศิลปากร และเปลี่ยนเป็น 'พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร' เมื่อ พ.ศ. 2477
    พ.ศ. 2510 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สร้างอาคารจัดแสดงเพิ่มอีกสองหลัง ทางทิศใต้และทิศเหนือของหมู่พระวิมาน ตั้งชื่อคล้องจองกันว่า 'มหาสุรสิงหนาท' ตามพระนามของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ผู้ก่อตั้งพระราชวังแห่งนี้ และ 'ประพาสพิพิธภัณฑ์' ตามชื่อพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่ทรงรวบรวมไว้ตั้งแต่ครั้งยังทรงผนวช คำว่า 'พิพิธภัณฑ์' ปรากฏครั้งแรกจากนามของพระที่นั่งองค์นี้
 
การจัดแสดง
ประวัติศาสตร์แห่งแผ่นดิน: พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
    ที่มาของชนชาติไทย ผ่านยุคสมัย เกิดรัฐสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์
    โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ อาทิ
    ศิลาจารึกหลักที่ 1 (พ.ศ. 1826)
    ตำราพิชัยสงครามฉบับหลวง (พ.ศ. 2358) สมุดไทย ขนาดยาว 38 ซม. กว้าง 12.3 ซม. หนา 10 ซม. ความยาวตลอดเล่ม 1,037.5 ซม.
    กลองวินิจฉัยเภรี (พ.ศ. 2380)
    พระเก้าอี้สนามพับ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท สำหรับเชิญตามเสด็จในการสงคราม ขนาดสูง 93.5 ซม.
    พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สีนำ้มันบนผ้าใบ ประดิษฐานไว้ตั้งแต่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานเป็นหอพระสมุดวชิรญาณ ด้านหน้ามีโต๊ะเป็นกระดานชนวน ทรงใช้คำนวณทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์
    สิ่งของที่เกี่ยวเนื่องกับการที่ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 สมัยรัชกาลที่ 6

ประณีตศิลป์สืบสมัย: หมู่พระวิมาน
    งานประณีตศิลป์ชิ้นเอก จัดแสดงภายในหมู่พระวิมาน พระราชฐานชั้นใน

ประวัติศาสตร์ศิลป์ไทยสืบสาน:
อาคารมหาสุรสิงหนาท
    จัดแสดงประวัติศาสตร์ศิลปะไทย ก่อนพุทธศตวรรษที่ 18 ได้แก่ ศิลปะเอเชีย ก่อนประวัติศาสตร์ ศิลปะทวารวดี ศิลปะชวา ศิลปะศรีวิชัย ศิลปะลพบุรี เทวรูปรุ่นเก่า
อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์
    จัดแสดงประวัติศาสตร์ศิลปะไทย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 ได้แก่ ประติมากรรมขนาดใหญ่ ศิลปะล้านนา เทวรูปสุโขทัย ศิลปะสุโขทัย ศิลปะอยุธยา ศิลปะรัตนโกสินทร์ ประณีตศิลป์ เงินตรา ธนบัตร

โบราณสถานวังหน้า:
    อาคารทั้งหลายในพิพิธภัณฑ์เป็นโบราณสถาน เป็นสถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยมแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
    สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2325 เป็นพระที่นั่งโถงแบบพระที่นั่งทรงปืนในพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา จึงเรียกพระที่นั่งองค์นี้อีกชื่อว่า 'พระที่นั่งทรงปืน' ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกขุนนางและบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ เมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคต พระศพได้ประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งองค์นี้
    หลังคาพระที่นั่งมุงกระเบื้องดินเผา ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันจำหลักลายลงรักปิดทอง พื้นประดับกระจกสี หน้าบันด้านตะวันออกจำหลักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ด้านตะวันตกจำหลักรูปพระพรหมทรงหงส์

พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
    สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2330 เป็นพระที่นั่งชั้นเดียวยกพื้นสูง ด้านหน้าและด้านหลังทำเป็นชานยื่นต่อออกมาจากองค์พระที่นั่ง หลังคาเป็นชั้นลด 2 ชั้น คอสองประดับลายปูนปั้นเขียนสี ประดับตกแต่ง หน้าบัน ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ คันทวย ซุ้มประตู หน้าต่าง ฝีมือประณีต วิจิตรบรรจง หาที่ใดเทียบได้ยาก
    ภายในประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาแต่ครั้งโบราณ ภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนภาพเทพชุมนุมและเรื่องปฐมสมโพธิ เป็นศิลปกรรมทรงคุณค่าที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง และอยู่ในสภาพดียิ่ง พระที่นั่งพุทไธสวรรย์จึงเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ
    พระพุทธสิหิงค์นี้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท อัญเชิญมาจากเชียงใหม่ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2394 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คืนพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานยังพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ตามเดิม เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังคงประดิษฐาน ณ พระที่นั่งองค์นี้สืบต่อมาจนทุกวันนี้

พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย
    เป็นพระที่นั่งชั้นเดียว มีระเบียงด้านหน้า บานหน้าต่างและประตูเขียนลายพันธุ์พฤกษาลงรักปิดทอง หลังคาเป็นชั้นลด มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์
    สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ในรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นท้องพระโรงในคราวที่ทรงปฏิสังขรณ์หมู่พระวิมาน โดยสร้างต่อออกมาทางด้านหน้าของหมู่พระวิมาน ใช้เป็นที่เสด็จออกแขกเมืองและบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต ได้ประดิษฐานพระศพไว้ในพระที่นั่งองค์นี้
    ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ใช้เป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ กำลังแสดงเรื่อง 'สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีกับการอนุรักษ์มรดกไทย: พิพิธภัณฑสถาน โบราณคดี และประวัติศาสตร์ ตามรอยพระบาทสยามบรมราชกุมารี'

หมู่พระวิมาน
    คือกลุ่มพระที่นั่งที่สร้างขึ้นเป็นพระวิมานที่ประทับของกรมพระราชวังบวรแต่ครั้งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระวิมาน ลักษณะและขนาดเดียวกัน 3 หลัง มีชาลาคั่นกลาง สำหรับประทับในฤดูต่างๆ และสร้างมุขต่อจากพระวิมานออกไปอีกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีหลังคาเชื่อมกับหลังคาพระวิมาน รวมเป็นพระที่นั่งหมู่ใหญ่ 11 องค์ รอบนอกมีระเบียงเป็นทางเดินในร่มติดต่อถึงกันได้ตลอดทุกองค์ หลังคาเป็นชั้นลดชั้นเดียว มุงกระเบื้องดินเผา ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันจำหลักลายลงรักปิดทอง พื้นประดับกระจก หน้าต่าง ประตูไม่มีซุ้ม แต่สลักลายที่พนักกับหูช้างเป็นแบบต่างๆ กัน ฝีมือประณีต งดงามมาก
    หมู่พระวิมานเป็นพระราชมณเฑียรที่สำคัญที่สุดในพระราชวังบวรสถานมงคล พระที่นั่งประธาน 3 หลังมีชื่อคล้องจองกัน เรียงจากทิศใต้ไปทิศเหนือ ดังนี้
    พระที่นั่งวสันตพิมาน สำหรับฤดูฝน ชั้นล่างจัดแสดงเครื่องถ้วย ชั้นบนจัดแสดงเครื่องงาช้าง
    พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ สำหรับฤดูหนาว จัดแสดงบุษบกยอดปราสาท ซึ่งเคยประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ และจัดแสดงเครื่องทอง ส่วนหนึ่งเป็นโบราณวัตถุที่พบจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา
    พระที่นั่งพรหมเมศธาดา สำหรับฤดูร้อน ชั้นล่างจัดแสดงผ้าและเครื่องแต่งกาย ชั้นบนจัดแสดงเครื่องใช้ในพระพุทธศาสนา
    ส่วนพระที่นั่งอื่นที่เป็นส่วนประกอบในหมู่พระวิมาน เชื่อมต่อกันเป็นมุขหน้าหลังของพระที่นั่งประธาน 3 หลัง มีชื่อตามทิศดังนี้
    พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร จัดแสดงเครื่องราชยานคานหาม
    พระที่นั่งปฤษฎางค์ภิมุข จัดแสดงเครื่องอาวุธ
    พระที่นั่งบูรพาภิมุข จัดแสดงเครื่องดนตรี
    พระที่นั่งทักษิณาภิมุข จัดแสดงเครื่องการละเล่น หุ่น หัวโขน หนังใหญ่ เครื่องแต่งกายละคร
    พระที่นั่งอุตราภิมุข จัดแสดงศิลาจารึก
    พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข จัดแสดงเครื่องมุก
    มุขเด็จด้านตะวันตก จัดแสดงเครื่องไม้จำหลัก ที่สำคัญได้แก่ บานประตูวัดสุทัศน์เทพวรารามซึ่งถูกไฟไหม้
    กรมศิลปากรกำลังบูรณะหลังคา เพดาน หมู่พระวิมาน ด้านตะวันตก
   
พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์
    เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง เป็นพระที่นั่ง 2 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก บันไดเป็นมุขขึ้นด้านนอก ด้านหน้าถัดจากบันไดเป็นเฉลียงโถง ทรงใช้เป็นที่ประทับและรับแขกเมือง ชั้นบนเป็นที่ประทับ ชั้นล่างเป็นที่พนักงานอาศัย การตกแต่งภายในทั้งหมดเป็นแบบฝรั่ง แม้พระแท่นบรรทมก็สั่งจากเมืองนอก เป็นพระแท่นคู่ มีรูปช้างเผือกสลักที่พนัก ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตที่พระที่นั่งองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดห้องโถงกลางซึ่งเคยใช้เป็นที่เสวยเดิม เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ
    พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ปิดบูรณะขนานใหญ่ เข้าชมไม่ได้

พระตำหนักแดง
    เดิมอยู่ในพระบรมมหาราชวัง คู่กับพระตำหนักเขียว เป็นหมู่พระตำหนักไม้ทรงไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น พระราชทานเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้รื้อหมู่พระตำหนักไม้ทั้งหมด สร้างเป็นพระตำหนักตึก จึงรื้อพระตำหนักแดงไปปลูกถวายสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 2 ที่พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี ด้วยสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีประทับที่พระตำหนักนี้มาแต่เดิม
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระโอรสองค์น้อยของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังบวรฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระตำหนักแดงเข้ามาปลูกรักษาไว้ในพระราชวังบวรสถานมงคลด้วย
    พระตำหนักแดงจัดแสดงสิ่งของส่วนพระองค์สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และเครื่องใช้ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ศาลา
    ในบริเวณพิพิธภัณฑ์ มีพระที่นั่งที่เป็นศาลาโถง ได้แก่ พระที่นั่งมังคลาภิเษก พระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนย ศาลาลงสรง ศาลาสำราญมุขมาตย์ ล้วนงดงามและทรงคุณค่า

โรงราชรถ
    เป็นที่เก็บรักษาราชรถใหญ่น้อย และเครื่องใช้เนื่องในงานพระเมรุ สิ่งแสดงที่สำคัญ ได้แก่
    พระมหาพิชัยราชรถ เป็นราชรถองค์ใหญ่ สร้างในรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2328 สำหรับอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกออกถวายพระเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. 2339 ต่อมาได้ใช้เป็นราชรถทรงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีเกือบทุกพระองค์
    เวชยันตรราชรถ สร้าง พ.ศ. 2342 สำหรับอัญเชิญพระโกศสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ออกพระเมรุท้องสนามหลวง คู่กับพระโกศสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี ซึ่งทรงพระมหาพิชัยราชรถ
    ราชรถน้อย เป็นรถบุษบกขนาดย่อม มี 3 องค์ สร้างคราวเดียวกับพระมหาพิชัยราชรถ ใช้สำหรับสมเด็จพระสังฆราชทรงอ่านพระธรรมนำ รถโยงพระบรมโกศ และรถโปรยข้าวตอกดอกไม้ ใช้ครั้งแรกในงานพระเมรุสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก เมื่อ พ.ศ. 2339
    รถโถง มี 2 หลัง ใช้เป็นรถทรงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่
    ยานมาศสามลำคาน ใช้สำหรับอัญเชิญพระโกศจากพระบรมมหาราชวังมาขึ้นราชรถ หรือใช้ในการเวียนพระเมรุ

ชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วันนี้ ได้เพียงไม่ถึงหนึ่งในห้าของสิ่งแสดง ได้เข้าชมพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน (ประวัติศาสตร์ชาติไทย) พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ (พระพุทธสิหิงค์) พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร (เครื่องราชยานคานหาม) พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ (บุษบกยอดปราสาทและเครื่องทอง) พระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข (เครื่องอาวุธ) มุขเด็จ (เครื่องไม้จำหลัก) และโรงราชรถ รวมทั้งเดิมชมโบราณสถานทั้งหมดที่ไม่ปิดบูรณะ
    พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทรงคุณค่ายิ่ง อาคารทุกหลังเป็นโบราณสถานที่มีประวัติสำคัญยาวนาน ศิลปะสถาปัตยกรรมงดงาม ล้ำค่า สิ่งแสดงแม้มีจำนวนมหาศาลแต่แบ่งหมวดหมู่ชัดเจน ไม่สับสน และล้วนเป็นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่สำคัญ องค์ประกอบทั้งหมดสมศักดิ์ศรีนาม 'พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร'
ค่ารถไปกลับ 21.50 บาท

ข้อมูล ค้นจาก
    นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
    นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรมศิลปากร พ.ศ. 2548
    th.wikipedia.org

     



    
    


    


November 21, 2014

Bangkok on Foot: วัดราชนัดดาราม วัดเทพธิดาราม: 14.11.2014

เข้ากลางเดือนพฤศจิกายน อากาศคลายอบอ้าว เย็นลงบ้าง
วันนี้ วันพระ พระอุโบสถตามวัดต่างๆ น่าจะเปิดตลอดวัน

11.00 น. นั่งรถเมล์เย็นไปลงที่ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ถนนราชดำเนินกลาง

พื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง ปูด้วยหินแกรนิต จัดเป็นที่พักผ่อนของประชาชน รั้วรอบบริเวณเป็นรั้วเตี้ย กรุกระเบื้องปรุเคลือบสี มีเสาประทีปและกระถางต้นไม้สลับกัน บริเวณพื้นลานจัดเป็นสวนปลูกต้นไม้ รอบลานแวดล้อมด้วยโบราณสถานสำคัญ อาทิ โลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร ภูเขาทอง วัดสระเกศ และป้อมมหากาฬ
    เมื่อคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ. 2525 คณะกรรมการโครงการกรุงรัตนโกสินทร์ได้เสนอโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมโลหะปราสาท วัดราชนัดดาราม ต่อคณะรัฐมนตรี เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า โลหะปราสาทตั้งอยู่ในบริเวณที่เปรียบเสมือนประตูสู่กรุงรัตนโกสินทร์ มีประวัติความเป็นมาที่สำคัญ และเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในโลก สมควรส่งเสริมทัศนียภาพของโลหะปราสาทให้ปรากฏแก่สาธารณะ โดยการรื้อถอนอาคารโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย และพื้นที่โล่งว่างที่เกิดขึ้น สมควรจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดสร้างพลับพลาที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อต้อนรับราชอาคันตุกะหรือประมุขต่างประเทศ แทนพลับพลาชั่วคราวซึ่งสร้างบริเวณเชิงทางลาดสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จัดสร้างศาลารายสำหรับเฝ้ารับเสด็จฯ และสวนสาธารณะเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ
    เมื่อโครงการแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์และสวนสาธารณะ ในวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 อันเป็นวันคล้ายวันเถลิงถวัลยราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
    พระบรมรูปประทับนั่งบนพระที่นั่งกง ขนาดหนึ่งเท่าครึ่งของพระองค์จริง มีแท่นฐานรองรับ 2 ชั้น ทำด้วยหินอ่อน ด้านหลังพระบรมรูปเป็นฉากรูปพระวิมาน อันเป็นพระบรมราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ พื้นฉากด้านหน้าเป็นหินอ่อนเรียบ ฉากด้านหลังเป็นหินอ่อนจารึกพระราชประวัติ ลวดลายรูปพระวิมานเป็นกระเบื้องเคลือบ พื้นลานที่รองรับแท่นฐานเป็นหินแกรนิต ซึ่งรวมทั้งกระถางต้นไม้ที่อยู่ตามมุมด้วย ผู้ปั้นพระรูปคือ นายสุภร ศิระสงเคราะห์ กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร
                       
พลับพลาที่ประทับ                                          
    พลับพลาโถงจตุรมุข หลังคาลด 2 ชั้น มีพาไลปีกนกโดยรอบ มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันปั้นลายปิดทองประดับกระจก เพดานปิดทองลายฉลุประดับดาวเพดาน เสาในเขียนลายรดน้ำ เสานอกบุหินอ่อนปั้นบัวปลายเสาและบัวตีนเสาปิดทอง ตัวพลับพลาล้อมรอบด้วยระเบียงสีดำปิดทองประดับกระจก พื้นแบ่งเป็น 2 ระดับ ในส่วนที่ประทับและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เฝ้า ยกพื้นสูง 0.45 เมตร ปูด้วยหินอ่อนทั้ง 2 ระดับ ขนาดของพลับพลาความกว้างของมุข 8 เมตร ยาวตลอด 15.50 เมตร โครงสร้างทั้งหมดเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก สถาปนิกผู้ออกแบบ นาวาอากาศเอกอาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะสถาปัตยกรรม (สถาปัตยกรรมไทย) ปี 2541

ศาลาราย
    สำหรับข้าราชการและแขกผู้มีเกียรติเฝ้ารับเสด็จฯ และร่วมพิธีจำนวน 3 หลัง อยู่ทางทิศใต้ของพลับพลา ลักษณะเป็นศาลาโถงขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 8 เมตร หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี หน้าบันปั้นปูน พื้นหินอ่อน เสาผิวขัดปูนตำ

องค์ประกอบทั้งหมดของลานงดงาม พื้นที่โล่ง กว้างขวาง ฉากหลังโดยรอบเป็นโบราณสถานสำคัญ รูปร่างต่างๆ กัน ล้วนงดงาม     
เดินต่อผ่านประตูรั้วด้านข้างของวัดราชนัดดาราม บริเวณสงบเงียบ สะอาดสะอ้าน

วัดราชนัดดารามเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร
    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างวัดนี้พระราชทานพระราชนัดดา เจ้าฟ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดี ซึ่งต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระนางเธอโสมนัสวัฒนาวดี พระนางนาฎบรมอัครราชเทวี

กำแพงแก้วและศาลาราย
    กำแพงวัดเป็นกำแพงชั้นนอกและกำแพงแก้วชั้นใน กำแพงชั้นนอกมีลักษณะอย่างกำแพงเมือง ด้านหน้าวัด ถนนมหาไชย มีศาลาขนาดใหญ่ ขนาบประตูเข้าวัดข้างละ 1 หลัง ก่ออิฐถือปูนเป็นทรงไทย ลักษณะสถาปัตยกรรมแสดงให้เห็นเป็นปราการมั่นคงแข็งแรง ตั้งประจันหน้ากำแพงเมืองและป้อมมหากาฬที่อยู่ถัดออกไป เสาศาลาบนกำแพงแต่ละต้นมีขนาดใหญ่เป็นแท่งสี่เหลี่ยมรองรับหลังคา รับกับสถาปัตยกรรมภายในวัดที่มีขนาดใหญ่โอฬารทั้งสิ้น

พระอุโบสถ
    ตั้งขนานคลองรอบกรุง ศิลปะสมัยรัชกาลที่ 3 คือมีพาไลเสาสี่เหลี่ยมรอบ หน้าบันปูนปั้น
    พระประธานในพระอุโบสถ รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้หล่อด้วยทองแดง รัชกาลที่ 4 ถวายพระนามว่า 'พระเสรฐตมุนี'
    พระอุโบสถปิด เข้าชมภายในไม่ได้

โลหะปราสาท
    ด้านทิศตะวันตกของพระอุโบสถ เป็นที่ตั้งของโลหะปราสาท สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แทนการสร้างพระเจดีย์ ปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 ผังรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสแบบโลหะปราสาทที่เมืองลังกา ส่วนสถาปัตยกรรมสร้างแบบศิลปะไทย เป็นอาคาร 5 ชั้น ลดหลั่นกันขึ้นไป ชั้นล่าง และชั้นที่ 3 เป็นคูหาและระเบียงรอบ ส่วนชั้นที่ 2 และชั้นที่ 4 เป็นคูหาจตุรมุขมียอดเป็นบุษบก ชั้นที่สอง 24 ยอด ชั้นที่สี่ 12 ยอด บนสุด ชั้นที่ 5 เป็นยอดปราสาทจตุรมุขประดิษฐานพระบรมธาตุ รวมเป็น 37 ยอด หมายถึง โพธิปักขิยธรรม 37
    ทางเข้าโลหะปราสาท จัดชั้นวางรองเท้าเป็นระเบียบ ผมถอดรองเท้า เข้าไปภายใน
    ผ่านคูหาและระเบียง แปลกตาแต่งดงาม ทางขึ้นอยู่ตรงกลางเป็นบันไดเวียนรอบเสาไม้แกนใหญ่ ลูกบันไดเป็นไม้แผ่นหนา ทามันเงา ประณีต ควบตัวเสาและผนังด้านข้าง ประทักษิณจากฐานชั้นล่างขึ้นไปชั้นบน แต่ละชั้นที่เป็นคูหาและระเบียงเกิดมุมสงบสำหรับสมาธิและจงกรม ยิ่งสูงขึ้นไป ยิ่งเปิดมุมมองโบราณสถานโดยรอบ ตลอดจนภาพผังอันประณีตงดงามของวัดราชนัดดารามเอง ชั้นบนสุด ปราสาทจตุรมุขประดิษฐานพระบรมธาตุเป็นจุดหมายสูงสุดทางกายภาพของโลหะปราสาท
    กลับลงมา รองเท้าที่ผมถอดไว้บนชั้นวางเป็นระเบียบ อันตรธาน ถามป้าคนวัดสองคนที่อยู่แถวทางเข้าโลหะปราสาท แกโพล่งออกมาว่า 'เอาอีกแล้ว โดนกันเป็นประจำ ทุกวัดไม่มีเว้น' ผมรู้ชะตากรรมรองเท้า แต่เคืองตัวเองที่ชะล่าใจ หลงเชื่อป้ายที่เขียนว่าให้วางรองเท้าบนชั้น หลงเชื่อชั้นวางที่ดูเรียบร้อย แทนที่จะเชื่อสามัญสำนึกในการถอดรองเท้าใส่ถุง หิ้วติดตัวเสมอเวลาเข้าพระอุโบสถ วัดเป็นสถานที่เปิด คนทุกประเภทเข้าวัดได้โดยสะดวกอิสระ ชุมชนรอบวัดมักแออัด วัดจึงมีลักษณะ 'ก้ำกึ่ง' ไม่อาจเป็นสถานที่ 'อุดมคติ' ได้
    ป้าคนวัดอนุเคราะห์รองเท้าฟองน้ำตราสตางค์ให้ผมหนึ่งคู่เพื่อเดินต่อได้ ต้องขอบคุณอย่างยิ่ง มิฉะนั้นผมจะลำบากมาก
    แม้หงุดหงิดเสียอารมณ์กับกรณีที่เกิด สองจิตสองใจ จะกลับเลยหรือเดินต่อ ไหนๆ รองเท้าก็ไม่อยู่ กลับก็ไม่เห็นมีอะไรต่างไป ตกลงเดินต่ออีกหน่อย
    เดินทะลุจากวัดราชนัดดารามผ่านเข้าสังฆาวาสวัดเทพธิดาราม

วัดเทพธิดารามเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร
    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระราชทานพระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ   
    สังฆาวาสอยู่ติดกับพุทธาวาสไปทางตะวันตก หมู่กุฏิสงฆ์เป็นตึกก่ออิฐถือปูน เป็นระเบียบ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 สุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เคยพำนักเมื่อบวช พ.ศ. 2383-2385 ก่อนสึกได้แต่งเรื่อง 'รำพันพิลาป' กล่าวถึงความเป็นอยู่ในวัดเทพธิดาราม
    สภาพสังฆาวาส รก ทรุดโทรม เปลี่ยว กุฏิสุนทรภู่ก็เช่นเดียวกัน ผมเดินครู่เดียว รู้สึกไม่ปลอดภัย นึกถึงป้ายของ กทม. ริมถนนมหาไชย หน้าวัดเทพธิดาราม เตือนให้ระวังโจรจี้ชิงทรัพย์ จึงรีบหาทางออกสู่พุทธาวาส
    วัดเทพธิดาราม แปลกกว่าวัดราชนัดดาราม แม้ว่าจะอยู่ใกล้เคียงกัน และสร้างสมัยเดียวกัน คือพระอุโบสถใหญ่ ตั้งตรงกลางหันหน้าออกสู่คลองรอบกรุง ประจันหน้ากับวัดสระเกศ มีพระวิหารสองหลังขนาบข้างโดยหันหน้าออกสู่คลองในแนวเดียวกัน เป็นทำนองแถวหน้ากระดาน ผิดกับวัดราชนัดดารามซึ่งพระอุโบสถตั้งขนานลำคลอง แต่พระวิหารสองข้างที่ขนาบด้านหน้าและด้านหลังหันออกลำคลอง

พระอุโบสถและพระวิหาร
    เป็นศิลปะแบบรัชกาลที่ 3 คือก่อทรงแบบจีน มีเสาพาไลสี่เหลี่ยมรอบ หน้าบันปูนปั้น รูปนก ดอกไม้ ประดับกระเบื้องถ้วยแบบจีน ไม่มีช่อฟ้า
    ผมเดินถึงพระอุโบสถ มีคณะทำบุญ จึงถือโอกาสเข้าไปนั่งสงบใจในพระอุโบสถด้วย

พระปรางค์
    พระปรางค์ขนาดย่อม ประดิษฐานอยู่นอกกำแพงแก้วทั้งสี่ทิศ ประดับกระเบื้องถ้วยจีน หน้าพระปรางค์มีลานสนามหญ้ากว้างขวาง กำแพงแก้วเดิมอยู่ติดแนวกำแพงเมืองและคลองรอบกรุง ภายหลังเมื่อตัดถนนมหาไชย หน้าวัด เลียบกำแพงเมืองแล้ว จึงได้รื้อกำแพงเดิมออกและร่นเข้ามาอยู่ในแนวปัจจุบัน

ตุ๊กตาศิลาจีน
    บริเวณรอบพระอุโบสถ มีตุ๊กตาศิลาจีนเป็นเครื่องประดับพระอาราม ทั้งที่เป็นรูปสัตว์และคน ตุ๊กตารูปคนบางตัวมีลักษณะท่าทางและการแต่งกายแบบจีน บางตัวแต่งกายแบบไทย เช่น ตุ๊กตาสตรีชาววังนั่งพับเพียบเท้าแขน และตุ๊กตาสตรีอุ้มลูก เป็นต้น

ออกจากวัดเทพธิดาราม เดินเลาะถนนมหาไชย ถึงป้อมมหากาฬ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชดำเนินกลาง บริเวณนี้เรียงรายด้วยพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์หลายแห่ง อาทิ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน (Ratchadamnoen Contemporary Art Center - RCAC) หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (The Queen's Gallery) พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตอนนี้ เดินคีบรองเท้าฟองน้ำตราสตางค์อยู่ ยังไม่ควรแวะสถานที่เหล่านี้

นิราศกรุงเทพวันนี้ ชมวัดงามสองแห่ง อนุสรณ์ความรักของรัชกาลที่ 3 แด่พระราชนัดดา และแด่พระเจ้าลูกเธอ
โลหะปราสาท วัดราชนัดดาราม เป็นโบราณสถานที่มีหนึ่งเดียว เป็นเอกลักษณ์ที่ควรเยี่ยมชมยิ่ง
วัดเทพธิดาราม หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ทั้งภายในและภายนอก ย่อมเป็นโบราณสถานที่น่าชม ด้วยสะท้อนศิลปะ สถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 3 อย่างโดดเด่น นอกจากนี้ กุฏิสุนทรภู่ก็ทรงคุณค่าทั้งเชิงกายภาพ คือเป็นที่พำนักพักพิงของท่านขณะบวชช่วงชีวิตราชการตกอับ และเชิงจินตภาพ คือเป็นที่ซึ่งท่านร้อยกรองชีวิต ความเป็นอยู่ ความเป็นไปของท่าน เกิดวรรณกรรมซึ่งยืนยงถึงปัจจุบัน
ค่ารถไปกลับ 13.00 บาท (รถเมล์เย็นฟรีหนึ่งเที่ยว)
Pierre Cardin หนึ่งคู่

ข้อมูล ค้นจาก
         นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
         th.wikipedia.org
         lib.su.ac.th




              

                         

November 13, 2014

Bangkok on Foot: วัดมหาธาตุฯ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ หอประติมากรรมต้นแบบ: 07.11.2014

เช้านี้ แดดอ่อน ฟ้าโปร่ง
เตรียมไปเยือนวัดมหาธาตุฯ และย่านศิลปากร

10.30 น. นั่งรถเมล์ไปเทเวศร์ ต่อรถไปท่าพระจันทร์ รถวิ่งฉิว จนถึงถนนเจ้าฟ้ากลับไม่ขยับ ข้างหน้า รถที่ลอดสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าเข้าถนนราชินีแล้วก็ไม่ขยับเช่นกัน รออยู่ 15 นาที ไม่ดีขึ้น ลงเดินดีกว่า
    ค่อยๆเดินผ่านสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ โรงละครแห่งชาติ โค้งเข้าถนนหน้าพระธาตุ สนามหลวง หญ้าเขียวสด อยู่ด้านซ้ายตรงข้ามถนน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครอยู่ด้านขวา พระที่นั่งพุทไธสวรรย์สง่างาม วันนี้ยังไม่เข้าชม เดินต่อไปธรรมศาสตร์
    รถทัวร์ขนาดใหญ่ทยอยเข้ามารับฝูงนักท่องเที่ยวหัวดำ ล้งเล้ง ยืนระเกะระกะ หลายฝูงหลายกลุ่ม มีธงประจำกลุ่มควบคุม นี่เองสาเหตุรถติดสาหัส สภาพการท่องเที่ยวแบบนี้ ชวนให้นึกถึงอาจารย์ยงยุทธ จรรยารักษ์ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เจ้าของ 'วิชาอะไร' ที่เคยนิยามไว้ว่า 'นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นแดก แยกเป็นหลง ลงเป็นช็อป'

เดินหลบหลีกฝูงคน ถึงมุมถนนพระจันทร์ตัดกับถนนหน้าพระธาตุ ก่อนทางเข้าวัดมหาธาตุฯ แวะพระบวรราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พวงมาลาจำนวนมากเต็มลาน ถวายบังคมวันคล้ายวันสวรรคต 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2346
    พระรูปหล่อด้วยสำริด รมดำ ขนาดเท่าครึ่งพระองค์จริง ประทับยืนหันพระพักตร์ออกสู่ท้องสนามหลวง ยกพระแสงดาบอยู่ในพระหัตถ์ทั้งสอง
    สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระนามเดิมว่า 'บุญมา' ประสูติเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2286 ในรัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐ์ เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า พ.ศ. 2310 นั้น กรมพระราชวังบวรฯ ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นนายสุดจินดา ได้ร่วมกับพระยาวชิรปราการ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสิน) และหลวงยกกระบัตร (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) กู้เอกราชคืนมา
    เมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นครองราชย์ นายสุดจินดา พร้อมด้วยพระเชษฐา เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ก็ได้เข้ารับราชการมีตำแหน่งเป็นทหารคู่พระทัย ทั้งสองร่วมทำศึกได้รับชัยชนะหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญที่สุดคือ ที่เวียงจันทน์ ซึ่งภายหลังการรบได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาด้วย
    ครั้นเมื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ใหม่ให้แก่พระอนุชาเป็น สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพ การรบครั้งที่สำคัญที่สุด คือ สงครามที่ลาดหญ้า เมื่อ พ.ศ. 2328 พระองค์ได้ทรงนำทหาร 3 หมื่นคน เข้ารบพุ่งกับทหารพม่าจำนวน 8 หมื่นคน ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม
    พระองค์ทรงเป็นแม่ทัพที่เข้มแข็งและเด็ดขาด จึงทำให้คนทั่วไปถวายพระนามว่า 'พระยาเสือ' ทรงประกอบมหาวีรกรรมอันเป็นคุณยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติไว้มากมาย แต่พระนามของพระองค์กลับไม่เป็นที่รู้จัก
                                
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระบรมมหาราชวัง หันหน้าออกท้องสนามหลวง อยู่ระหว่างวังหลวงและวังหน้า เป็นวัดที่สร้างมาตั้งแต่ครั้งกรุงเก่าชื่อ 'วัดสลัก'
    สมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดสลักขึ้นใหม่ วัดสลักเป็นวัดโบราณขนาดเล็ก เมื่อคราวเสด็จล่องเรือหนีพม่า ได้เคยพักอาศัยที่วัดนี้ ทรงสถาปนาวัดสลักเป็นพระอารามหลวงขนาดใหญ่ พระราชทานนามว่า 'วัดนิพพานาราม'
    ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2331 มีการสังคายนาพระไตรปิฎกที่วัดนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดเกล้าฯให้นามใหม่เป็น 'วัดพระศรีสรรเพชดาราม'
    พ.ศ. 2346 ภายหลังสมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯให้ประชุมพระราชาคณะสอบไล่พระปริยัติธรรมพระภิกษุสามเณรที่วัดนี้ โปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนนามอีกเป็น 'วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ'
    พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เพิ่มสร้อยต่อนาม 'ยุวราชรังสฤษดิ์' ภายหลังทรงบริจาคพระราชทรัพย์ของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ซึ่งสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2437 เพื่อปฏิสังขรณ์พระอาราม

เดินผ่านซุ้มประตูตึกงามหลังยาวที่ทำหน้าที่เป็นรั้วของวัด ภายในปลอดนักท่องเที่ยว
พระระเบียง รอบสี่ด้าน หลังคาชั้นลดสามระดับ ออกแบบงดงาม
    พระพุทธรูปที่สร้างเรียงรายไว้ในพระระเบียงโดยรอบทั้ง 4 ด้าน นับได้ 108 องค์ (ไม่นับองค์มุมทั้งสี่ สันนิษฐานว่าสร้างเพิ่มภายหลัง) จำนวน 108 นั้นถือเป็นมงคลเรียกว่า 'อัฏฐตตรุสตมงคล' แปลว่า มงคล 108 หมายถึง ลายในฝ่าพระบาทพระพุทธเจ้าที่อยู่รอบจักร
    บริเวณพระระเบียง มีบุรุษหลายคน เนื้อตัว เสื้อผ้า สกปรก นอนเหยียดยาว ตรงนั้นตรงนี้ สตรีหลายคนท่าทางเหมือนแม่ค้านั่งเหยียดขา พร้อมข้าวของ ภาชนะจิปาถะ วางเกะกะ

พระมณฑป                            
    สร้างแต่ครั้งสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาวัดนิพพานาราม ให้เป็นประธานของวัด โดยสร้างไว้ข้างหน้าพระอุโบสถและพระวิหาร พระมณฑปเดิมมีเครื่องยอดอย่างปราสาท ประดิษฐานพระเจดีย์ทอง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นศิลปะสมัยรัชกาลที่ 1 ที่ยังเหลือบริบูรณ์ชิ้นหนึ่งในปัจจุบัน ต่อมาเกิดไฟไหม้หลังคาเดิมหมด จึงโปรดเกล้าฯให้ทำหลังคาใหม่เป็นหลังคาโรง หน้าบันรูปนารายณ์ทรงครุฑแล้วสร้างพระมณฑปทองสูง 10 วา ขึ้นไว้ข้างในครอบพระเจดีย์ทองไว้แทนพระมณฑปที่ไฟไหม้

พระอุโบสถและพระวิหาร
    ของเดิมที่สร้างคู่กันครั้งสถาปนาวัดนิพพานาราม ได้ถูกไฟไหม้พร้อมพระมณฑป ใน พ.ศ. 2344 กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงโปรดให้สร้างใหม่ สันนิษฐานว่าคงรื้อสร้างใหม่ทั้งหลังให้ใหญ่โตกว่าแต่ก่อน ขยายแนวผนังออกมาถึงแนวสีมาเดิม พระอุโบสถใหม่จึงกระชั้นพระมณฑป และติดสีมาไว้กับผนังเหมือนพระอุโบสถวัดชนะสงคราม ส่วนพระวิหารสร้างตามอย่างเดิม สำหรับลวดลายที่ปรากฏทุกวันนี้ เช่น ภาพเขียนที่ผนังเป็นเรื่องชาดกต่าง ๆ และรูปเทพชุมนุม เสาทาสีเขียวลายทรงข้าวบิณฑ์ เพดานลายฉลุทอง เป็นของที่สร้างขึ้นในครั้งนั้น
    ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระวิหารครั้งใหญ่ ส่วนผนังภายในพระอุโบสถมาเขียนใหม่ในรัชกาลที่ 4
    สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระวิหารอีกครั้ง และที่หน้าบันพระวิหาร เปลี่ยนลายเป็นรูปจุลมงกุฎของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เป็นศิลปะจำหลักไม้หน้าบัน ประดับกระจกลงรักที่งดงามมากชิ้นหนึ่ง

พระปรางค์และพระเจดีย์ราย
    ในเขตพระระเบียงด้านเหนือพระวิหารและด้านใต้พระอุโบสถ มีพระเจดีย์ด้านละ 2 องค์ พระปรางค์ด้านละองค์ เป็นของสร้างมาแต่รัชกาลที่ 1 หุ้มด้วยดีบุก มาซ่อมในรัชกาลที่ 3 เอาดีบุกออก ซึ่งยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีพระปรางค์อีก 2 องค์ สร้างเรียงไว้ติด ๆ กันที่ริมลานวัดด้านเหนือ แต่ถูกรื้อไปสร้างใหม่ข้างนอกพระระเบียงด้านเหนือในสมัยรัชกาลที่ 3
    ส่วนพระปรางค์องค์ใหญ่ 2 องค์ ซึ่งอยู่ในพระระเบียงตรงมุขด้านหน้าพระมณฑป สร้างสมัยรัชกาลที่ 2 สันนิษฐานว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิธาตุของสมเด็จพระสังฆราช (ศุข) องค์หนึ่ง และสมเด็จพระสังฆราช (มี) องค์หนึ่ง

บริเวณรอบพุทธาวาส ในเขตพระระเบียง ปรากฏกองวัสดุ โครงเหล็กนั่งร้าน วางระเกะระกะ ทำลายภูมิทัศน์อันศาสนสถานพึงเป็นอย่างน่าเสียดาย เกิดปุจฉาถึงศรัทธา ความเกรงใจ และสามัญสำนึก ของเจ้าของกองวัสดุ เจ้าของโครงเหล็กนั่งร้าน และเจ้าบ้าน ว่าเป็นเช่นไร
ทางเดินรก เลอะเทอะ ทำให้หมดอารมณ์ที่จะต่อไปยังสังฆาวาส จึงไม่ได้ชมตำหนักสมเด็จพระสังฆราช

ออกจากวัดต่อไปยังกรมศิลปากรซึ่งอยู่ติดกัน
ตึกรามภายใน อนุรักษ์ของเก่าไว้ได้อย่างงาม ทุกหลังขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ
ตรงมุมถนนหน้าพระธาตุตัดกับถนนหน้าพระลาน...

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์        
    อาคารโบราณทรงสูงชั้นเดียว มีหน้าต่างใหญ่ 3 บาน เป็นกระจกใส เปิดรับแสงและลมจากธรรมชาติได้ตลอดวัน สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 โดยการออกแบบของศาสตราจารย์ Corrado Feroci
    ศาสตราจารย์ Corrado Feroci สำเร็จการศึกษาจากราชวิทยาลัยศิลปะแห่งนครฟลอเรนซ์ อิตาลี เข้ามารับราชการเป็นช่างปั้นประจำกรมศิลปากร กระทรวงวัง เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2466 โดยได้รับการวินิจฉัยคัดเลือกจากสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนวิชาช่างปั้น ท่านใช้อาคารนี้เป็นสถานที่ทำงานตลอดชีวิตของท่าน
    ปี พ.ศ. 2476 กรมศิลปากรจัดตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรม เพื่อฝึกสอนการเขียนภาพและปั้นรูปตามแบบยุโรป ภายใต้การอำนวยการของศาสตราจารย์ Corrado Feroci ใช้หลักสูตรของ Royal Academy of Fine Arts, Florence, Italy นักเรียนที่จบการศึกษาจึงมีฝีมือสูง ปี พ.ศ. 2478 โรงเรียนประณีตศิลปกรรมเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนศิลปากร จน พ.ศ. 2486 ได้ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร ศาสตราจารย์ Corrado Feroci ได้รับแต่งตั้งเป็น 'คณบดีปฏิมากรรม'
    ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วง พ.ศ. 2486-2487 ก่อนที่อิตาลีจะพ่ายแพ้แก่ฝ่ายพันธมิตร มีการเจรจาทางลับโดยรัฐบาลใหม่ของอิตาลี เพื่อเปลี่ยนฝ่ายจากฝ่ายอักษะเป็นฝ่ายพันธมิตร ต่อมาอิตาลีประกาศสงครามกับญี่ปุ่น ชาวอิตาเลียนในประเทศไทยจึงตกเป็นเชลยของญี่ปุ่น แต่รัฐบาลไทยขอควบคุมตัวศาสตราจารย์ Corrado Feroci ไว้เอง และหลวงวิจิตรวาทการได้ทำเรื่องโอนสัญชาติของท่านเป็นสัญชาติไทย และเปลี่ยนชื่อของท่านเป็น 'ศิลป์ พีระศรี'
    ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี มีผลงานออกแบบอนุสาวรีย์สำคัญของประเทศหลายแห่ง ท่านเป็นผู้ริเร่ิมให้จัดตั้งสถาบันศิลปะในระดับอุดมศึกษา ให้จัดแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ และท่านยังเป็นผู้นำศิลปะไทยไปเผยแพร่สู่นานาชาติ
    วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ถึงแก่กรรมภายหลังรับการผ่าตัด ณ โรงพยาบาลศิริราช
    อาคารสถานที่ทำงานของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ถูกทอดทิ้งให้รกร้างว่างเปล่า จนถึง พ.ศ. 2527 จึงเกิดโครงการพิพิธภัณฑ์ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ โดยความร่วมมือระหว่างบรรดาลูกศิษย์และผู้ใกล้ชิด เพื่อรำลึกถึงเกียรติคุณของท่านในฐานะผู้ให้กำเนิดการศึกษาศิลปะสมัยใหม่ ศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย และในฐานะผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร พิพิธภัณฑ์เปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2527 ซึ่งตรงกับวาระวันคล้ายวันเกิดครบ 92 ปี ของศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี โดย ฯพณฯ ชวน หลีกภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ต่อมาวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2530 กระทรวงศึกษาธิการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาให้ชื่อว่า 'พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์'

นิทรรศการถาวร จัดแสดง 2 ห้อง
ห้องชั้นนอก จัดแสดงผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ ของบรรดาลูกศิษย์รุ่นแรกๆ อาทิ
    เฟื้อ หริพิทักษ์ (2453-2536) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) 2528
    ทวี นันทขว้าง (2468-2534) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) 2533
    สวัสดิ์ ตันติสุข (2468-2552) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) 2534
    ประยูร อุลุชาฎะ (2471-  ) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) 2535
    ชลูด นิ่มเสมอ (2472-  ) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) 2541
    จำรัส เกียรติก้อง (2459-2509) ศิลปินผู้ที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี กล่าวว่าเป็น 'ช่างเขียนภาพเหมือนที่ดีที่สุดของเรา'
    เขียน ยิ้มศิริ (2465-2514)    
    ผลงานส่วนใหญ่เป็นงานศิลปกรรมยุคเริ่มแรกของศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย ตามแนวทางและหลักวิชาการที่ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้วางรากฐาน
    สิ่งแสดง ประติมากรรม 9 ชิ้น จิตรกรรม 23 ชิ้น ที่สำคัญได้แก่
    เสียงขลุ่ยทิพย์ (Musical Rhythm) สำริด 38x38x58 ซม. 2492 ศิลปิน: เขียน ยิ้มศิริ รางวัลเหรียญทองคำ อันดับหนึ่ง ประเภทประติมากรรม งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2492
    มาลินี พีระศรี (Madam Malinee Bhirasri) สำริด 20x20x38 ซม. 2502 ศิลปิน: ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ปั้นและหล่อเป็นปูนปลาสเตอร์ให้เป็นของขวัญแก่คุณมาลินี พีระศรี ภรรยาชาวไทย เมื่อตอนแต่งงานจดทะเบียนสมรสกับท่าน
    ชายฉกรรจ์ (Adult) สีน้ำมันบนผ้าใบ 53x35 ซม. 2493 ศิลปิน: จำรัส เกียรติก้อง รางวัลเหรียญทองคำ อันดับหนึ่ง ประเภทจิตรกรรม งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2493     
    น้ำเงิน-เขียว (Blue-Green) สีน้ำมันบนผ้าใบ 66x90 ซม. 2501 ศิลปิน: เฟื้อ หริพิทักษ์ รางวัลเหรียญทองคำ อันดับหนึ่ง ประเภทจิตรกรรม งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2501      

ห้องชั้นใน จัดแสดงห้องทำงานของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งประกอบไปด้วย โต๊ะทำงาน เก้าอี้ เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องมือปั้น ของใช้และเอกสารส่วนตัว ตู้หนังสือ ตลอดจนแบบร่างอนุสาวรีย์และประติมากรรมชิ้นสำคัญ เช่น แบบร่างพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 แบบร่างพระศรีศากยทศพลญาณ พระประธานพุทธมณฑล และแบบร่างพระเศียรรัชกาลที่ 8 เป็นต้น
    สิ่งแสดง ประติมากรรม 15 ชิ้น จิตรกรรม 20 ชิ้น ที่สำคัญได้แก่
    พระเจ้าแผ่นดิน (The King Rama IX) ปูนปลาสเตอร์ 64x62 ซม. 2505 ศิลปิน: ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี รูปปั้นโครงร่างยังไม่เสร็จเรียบร้อย เป็นงานชิ้นสุดท้ายของท่าน   
    จันทบุรี (Chanthaburi) สีน้ำมันบนผ้าใบ 80x110 ซม. 2498 ศิลปิน: ประยูร อุลุชาฎะ รางวัลเหรียญทองคำ อันดับหนึ่ง ประเภทจิตรกรรม งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2498    
    ดอกบัว (Lotus Flowers) สีน้ำมันบนผ้าใบ 140x202 ซม. 2499 ศิลปิน: ทวี นันทขว้าง รางวัลเหรียญทองคำ อันดับหนึ่ง ประเภทจิตรกรรม งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2499    
    ความบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติ (Immaculate) ไม้แกะ 62 ซม. 2499 ศิลปิน: ชลูด นิ่มเสมอ รางวัลเหรียญเงิน งานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2499

พื้นที่เพียงสองห้องของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ ทำหน้าที่ตามชื่อได้อย่างน่านิยม ทั้งในฐานะพิพิธภัณฑ์และในฐานะอนุสรณสถาน ห้องทำงาน เครื่องมือเครื่องใช้ในงานปั้น งานวาด ของใช้และเอกสารส่วนตัว แบบร่างประติมากรรม ตลอดจนผลงานของลูกศิษย์ซึ่งหลายคนเป็นศิลปินแห่งชาติในเวลาต่อมา สะท้อนชีวิต ความมุ่งมั่น และคุณูปการของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ทั้งในการสร้างงานศิลปะและการสร้างคนให้แก่ประเทศไทย

ถัดจากพิพิธภัณฑ์เข้าไปราว 20 เมตร เป็นหอประติมากรรมต้นแบบ
    อาคารสองชั้น ทรงสูง ติดกระจก ออกแบบให้แสงสว่างเข้าทางทิศเหนือเพื่อความเหมาะสมสำหรับการปั้นงานประติมากรรม และอาคารสามารถระบายความร้อนได้ดีขณะหล่อโลหะทำอนุสาวรีย์ เดิมเป็น 'โรงปั้นหล่อ' ของกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร ใช้เป็นที่ปั้นรูปขนาดใหญ่และหล่อโลหะ โดยศิลปินชั้นครูคนสำคัญของชาติคือ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
    ผลงานสำคัญจากโรงปั้นหล่อได้แก่ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประดิษฐานหน้าสวนลุมพินี) พระบรมราชานุสาวรีย์พระนเรศวรมหาราชทรงช้างศึก (สุพรรณบุรี) พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชทรงม้า (วงเวียนใหญ่) พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช (อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย) พระราชานุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทอง (พระนครศรีอยุธยา)
    ต่อมาพื้นที่โรงปั้นหล่อไม่เพียงพอ จึงย้ายไปยังสถานที่ใหม่ที่ศาลายา นครปฐม โรงปั้นหล่อเดิมได้รับการปรับปรุงเพื่อเป็น 'พิพิธภัณฑ์หุ่นร่างและต้นแบบอนุสาวรีย์แห่งชาติ' ส่วนงานประติมากรรมต้นแบบได้รับการซ่อมแซมเพื่อเก็บรักษาและจัดแสดง ใช้ชื่ออาคารว่า 'หอประติมากรรมต้นแบบ' เปิดเมื่อ พ.ศ. 2542

สิ่งแสดง
ประติมากรรมต้นแบบอนุสาวรีย์ ภาพร่างต้นแบบ ประติมากรรมสำหรับการเรียนการสอน ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี อาทิ
    ต้นแบบอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 2475
    ต้นแบบอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี 2477
    ต้นแบบทหารอากาศ ประกอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 2485
    ต้นแบบพระเศียรของพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 2497
    ต้นแบบพระศรีศากยทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ 2500
ประติมากรรมต้นแบบของศิลปินหลายท่านซึ่งเป็นลูกศิษย์เอกของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
พื้นที่แสดงสาธิตการหล่อโลหะเดิม

หอประติมากรรมต้นแบบเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นแหล่งเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสุนทรียภาพของงานประติมากรรม

นิราศกรุงเทพวันนี้ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ศิลปะ ได้เห็นความต้ังใจของคนจำนวนมากในการรักษาโบราณสถาน โบราณวัตถุ ตลอดจนงานที่มีคุณค่าไว้เป็นสมบัติของชาติ
ออกจากหอประติมากรรมต้นแบบ ฝนเริ่มตกปรอยๆ ครู่เดียวก็เทลงมาอย่างหนัก ไม่มีท่าว่าจะหยุด น้ำเริ่มท่วมถนน ต้องเรียกรถแท็กซี่กลับที่พัก เสียความตั้งใจของโครงการในการใช้รถโดยสารสาธารณะเป็นหลัก
ค่ารถไปกลับ 100.00 บาท

ข้อมูล วัดมหาธาตุฯ และอนุสาวรีย์กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ค้นจาก
         นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
         th.wikipedia.org
         lib.su.ac.th
ข้อมูล พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ และหอประติมากรรมต้นแบบ ค้นจาก
         เปิดบ้านศิลปากร เอกสารกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
         หอประติมากรรมต้นแบบ เอกสารกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
         nationalmuseums.finearts.go.th
         th.wikipedia.org
           
   
     

November 5, 2014

Bangkok on Foot: วัดบวรสถานสุทธาวาส พิพิธภัณฑ์เหรียญ วัดชนะสงคราม: 29.10.2014

เช้านี้ ท้องฟ้าโปร่ง แดดอ่อน
จุดหมายสำคัญที่อยากไปเยือนคือ วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า)
ชื่อวัดบ่งบอกความสำคัญ แต่กลับไม่เป็นที่รู้จัก ไม่เคยมีกิจกรรมใดเกี่ยวกับวัดนี้ปรากฏแก่สาธารณชน
แผนที่ดาวเทียมแสดงให้เห็นชัดเจนว่าวัดมีแต่พระอุโบสถอยู่หลังเดียวเท่านั้น
ปัจจุบัน พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาสอยู่ภายในสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม

วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า)
    บริเวณนี้แต่เดิมเคยเป็นสวนที่ประพาสของสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้าในรัชกาลที่ 1) มีตำหนักอยู่ในสวนหลังหนึ่ง ต่อมาสมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงพระราชอุทิศให้แก่มารดาที่บวชเป็นชีของนักองอี พระสนมเอก (ราชธิดาสมเด็จพระอุไทยราชา พระเจ้ากรุงกัมพูชา) และพวกหลวงชีที่เป็นบริษัทใช้เป็นที่จำศีลภาวนา ที่บริเวณนั้นจึงเรียกกันว่า 'วัดหลวงนางชี'           
    ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย วัดหลวงนางชีไม่มีหลวงชีอยู่ดังแต่ก่อน สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ (วังหน้าในรัชกาลที่ 2) จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อกุฏิที่ร้างและชำรุดนั้นลงเสีย และโปรดเกล้าฯ ให้ทำเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย
    ครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ (วังหน้าในรัชกาลที่ 3) ทรงพระราชอุทิศสวนเลี้ยงกระต่ายนี้ให้เป็นที่สร้างวัดถวายเป็นพุทธบูชา เรียกว่า วัดพระแก้ววังหน้า และได้สร้างเจดีย์ถ่ายแบบเจดีย์สำคัญๆ ไว้หลายองค์ การก่อสร้างวัดพระแก้ววังหน้ามาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานนามว่า 'วัดบวรสถานสุทธาวาส'
    ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราว พ.ศ. 2417-2418 ทรงเริ่มปฏิรูปการปกครองประเทศโดยรวมอำนาจเข้าศูนย์กลาง ทรงตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อรวบรวมการเก็บภาษีมาอยู่ที่เดียว ซึ่งกระทบกระเทือนการเก็บรายได้ สร้างความไม่พอใจแก่เจ้านายและขุนนางเก่าเป็นอันมาก โดยเฉพาะกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (วังหน้าในรัชกาลที่ 5) ซึ่งเดิมมีรายได้แผ่นดินถึง 1 ใน 3 มีทหารในสังกัดถึง 2,000 นาย และมีข้าราชบริพารเป็นจำนวนมาก จึงเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ มีการสะสมอาวุธ และระดมกำลังทหารเพิ่ม
    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี คบค้าสนิทสนมกับนายโทมัส น็อกซ์ กงสุลอังกฤษ ประกอบกับในสมัยนั้น อังกฤษคุกคามสยาม ถึงขั้นเรียกเรือรบมาปิดปากแม่น้ำ ทางวังหลวงจึงหวาดระแวง เชื่อว่ามีแผนการจะแบ่งดินแดนเป็นสองส่วนคือ ทางเหนือถึงเชียงใหม่ ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯครอง ทางใต้ให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญครอง นัยว่าเมื่อแบ่งสยามให้เล็กลงแล้ว จะได้อ่อนแอ ง่ายต่อการเอาเป็นเมืองขึ้น
    ความขัดแย้งบาดหมางระหว่างวังหลวงกับวังหน้ารุนแรงจนเกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง เรียกเหตุการณ์ขัดแย้งนี้ว่า 'วิกฤตการณ์วังหน้า'
    ปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2417 เกิดระเบิดขึ้นที่ตึกดินในวังหลวง ไฟไหม้ลุกลามไปถึงพระบรมมหาราชวัง ทางวังหลวงเข้าใจว่าวังหน้าเป็นผู้วางระเบิด และไม่ส่งคนมาช่วยดับไฟ แต่กลับนำทหารพร้อมอาวุธมา วังหลวงจึงไม่อนุญาตให้เข้า ฝ่ายกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงระแวงว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงกำจัดหรือลิดรอนสิทธิอำนาจของพระองค์ จึงทรงหนีไปอยู่ในสถานกงสุลอังกฤษ ไม่ยอมเสด็จออกมาและเรียกร้องให้ข้าหลวงอังกฤษช่วยไกล่เกลี่ย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเชิญสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ไกล่เกลี่ย และไม่ให้อังกฤษแทรกแซง วิกฤตการณ์วังหน้านี้ยุติลงในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418
    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เสด็จทิวงคตเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2428 พระชนมายุ 46 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงแต่งตั้งผู้ใด ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงว่าง จนถึงพ.ศ. 2429 ทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นมกุฎราชกุมาร และยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระราชวังบวรสถานมงคลจึงไม่ได้ใช้เป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลอีกต่อไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้รื้อป้อมปราการและกำแพงของพระราชวังบวรฯลง ตลอดจนเจดีย์ต่างๆ คงเหลือไว้แต่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส
    หลังจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาสเป็นพระเมรุพิมานประดิษฐานพระศพเวลาสมโภชและบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อปี พ.ศ. 2443 พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาสจึงเปลี่ยนเป็น 'พระเมรุพิมาน' พร้อมกันนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ปลูกพระเมรุน้อยสำหรับพระราชทานเพลิงพระศพต่อออกมาทางด้านเหนือของพระอุโบสถ พระเมรุน้อยแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงพระศพเจ้านายอีกหลายพระองค์

ตอนสาย นั่งรถเมล์ไปเทเวศร์ ต่อรถสาย 65 ไปลงแถววิทยาลัยนาฏศิลป์ ซึ่งยกฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ผ่านประตูรั้ว ยาม 2 คนดูแลอยู่ ป้ายเตือนสถาบันศึกษา บุคคลภายนอกให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ จึงเข้าไปบอกเขาว่าจะมาชมวัดบวรสถานสุทธาวาส ไม่ทราบอยู่ตรงไหน ยามได้ยินแค่ 'วัดบวร' ชี้ไปทางบางลำพู ผมบอกว่าไม่ใช่ วัดอยู่ข้างในนี้ ยามอีกคนบอกว่าในนี้มีแต่ 'วัดพระแก้ววังหน้า' ผมว่าใช่แล้ววัดพระแก้ววังหน้า เขาจึงชี้ไปที่พระอุโบสถหลังใหญ่อยู่ตรงหน้าห่างไปแค่ 50 เมตร ผมไม่ได้มองตอนผ่านรั้วเข้ามา มัวแต่มุ่งมาหายาม
    ยามให้ข้อมูลว่าพระอุโบสถอยู่ระหว่างการบูรณะขนานใหญ่โดยกรมศิลปากร ภายนอกเสร็จแล้ว ส่วนภายในกำลังบูรณะจิตรกรรมฝาผนัง นั่งร้านเต็มไปหมด ห้ามเข้า กำหนดแล้วเสร็จ มีนาคม 2558 รู้สึกผิดหวังเพราะตั้งใจอยากชมภายในด้วย

ภายนอกพระอุโบสถ
    พระอุโบสถตั้งอยู่บนฐานชั้นที่สอง แต่ละฐานสูงจากกันหลายขั้นบันได มีระเบียงกว้างโดยรอบทั้งสองฐาน พระอุโบสถจึงโดดเด่น สง่างาม
    พระอุโบสถจตุรมุข หลังคาเป็นชั้นลด กระเบื้องเคลือบสี มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ทำเป็นนาคสามเศียรที่เรียกว่านาคเบือน หน้าบันจำหลักลาย ประดับกระจก ระหว่างชั้นลดเหนือหลังคามุขเว้นผนังไว้เป็นคอสอง ประดับลายดอกไม้ปูนปั้นเขียนสี ประตูหน้าต่าง มีซุ้มเป็นลายดอกไม้ทำด้วยปูนปั้น ประดับกระจกสีและทำด้วยเครื่องถ้วยต่าง ๆ
    เดินชมรอบพระอุโบสถหลายรอบ สถาปัตยกรรมภายนอกที่บูรณะแล้ว งดงามยิ่ง
    เห็นประตูเข้าพระอุโบสถบานหนึ่งเปิดแง้มอยู่ มีรองเท้าวาง 1 คู่ จึงชะโงกหน้าเข้าไปมองดู แสงไฟจากโคมไฟระย้าเพดานส่องเห็นความยิ่งใหญ่ภายใน นั่งร้านเต็มโถงตามที่ยามบอก ผมไม่ควรพลาดโอกาสที่จะเห็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การบูรณะจิตรกรรมฝาผนังของวัดบวรสถานสุทธาวาสอันยิ่งใหญ่นี้ ถอดรองเท้า ก้าวเข้าไปภายใน

ภายในพระอุโบสถ
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส เหมือนอย่างพระแก้วมรกตที่ประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อฐานชุกชีที่จะตั้งบุษบกกลางพระอุโบสถ และเขียนภาพฝาผนังเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์ แต่จนสิ้นรัชกาลก็ไม่ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน ส่วนจิตรกรรมฝาผนังที่โปรดเกล้าฯ ให้เขียนไว้ ยังคงปรากฏอยู่จนทุกวันนี้

ช่างศิลป์หลายคนอยู่บนนั่งร้านสูงคนละมุม คนละผนัง บรรจงทำงานของตนไป บางคนเหลือบมองลงมาที่ผม ผมค้อมศีรษะให้ ผมเชื่อว่าช่างศิลป์เข้าใจความคิดและเจตนาของผม
    เดินหลบนั่งร้าน เข้าชมจิตรกรรมทีละผนัง ส่วนที่ยังไม่ได้บูรณะถูกปิดด้วยพลาสติคใส รวมทั้งองค์พระประธาน แม้ไม่อาจเห็นรายละเอียดชัดเจน แต่กลับยินดีที่มีโอกาสร่วมรับรู้การบูรณะครั้งนี้ ปีหน้าเมื่องานเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์ จะได้กลับมาชื่นชมใหม่

ออกจากวัด ข้ามถนนราชินี ลอดใต้สะพานพระปิ่นเกล้า ข้ามถนนเจ้าฟ้า เดินเลาะไปตามถนนเจ้าฟ้า ผ่านพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ที่มาชมสัปดาห์ก่อน หยุดถ่ายรูปด้านหน้าหอศิลป คราวก่อนฝนตกหนัก ไม่มีโอกาสยืนมองมุมนี้ เดินต่ออีกนิด ตรงมุมถนนเจ้าฟ้าหักโค้งเข้าถนนจักรพงษ์ อาคารสองชั้นสีเหลือง มีกรอบประตู หน้าต่างเรียงตามความยาวตึก งดงาม ตั้งเด่นอยู่

พิพิธภัณฑ์เหรียญ
    เงินตราไม่เพียงเป็นสื่อกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หากยังเปรียบเสมือนนักเดินทางผู้ทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวของมนุษยชาติ
    กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ปรับโฉมอาคารสำนักบริหารเงินตรา เป็นพิพิธภัณฑ์เหรียญ เพื่อแสดงวิวัฒนาการเหรียญกษาปณ์ไทย เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชน เพิ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อสิงหาคม 2557

นิทรรศการถาวร เป็นส่วนนำชม (guided tour) ทุก 20 นาที ใช้เวลารอบละ 30 นาที นำชม 2 ห้อง
ผมไปถึงพิพิธภัณฑ์ใกล้เที่ยง ได้ชมรอบ 12.00 น. เป็นผู้เยี่ยมชมคนเดียว หนึ่งต่อหนึ่งกับผู้นำชม
    ปฐมบทแห่งเงินตรา animation สี่มิติ ฉายบนผนังถ้ำ แบบ 360 องศา เล่าจุดเริ่มต้นการแลกเปลี่ยนสินค้าของสังคมมนุษย์ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สู่การใช้สื่อกลาง และการปรับปรุงสื่อกลางเมื่อโลกค้นพบโลหะ
    เส้นทางวิวัฒนาการเงินตรา จากเปลือกหอย เขี้ยวสัตว์ หนังสัตว์ และอื่นๆ ที่ใช้เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนสินค้า สู่เหรียญโลหะ
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้ปฏิรูปเหรียญกษาปณ์ไทย ห้องนี้เดินชมเองได้

นิทรรศการหมุนเวียน
    เงินตรา นักเดินทางแห่งสุวรรณภูมิ จัดแสดงเหรียญเงินสมัยฟูนัน ทวารวดี และศรีวิชัย ดินแดนสุวรรณภูมิ แหล่งการค้าที่รุ่งเรืองในสมัยโบราณ
    เหรียญกษาปณ์สมัยรัตนโกสินทร์ จากเงินกำไล เงินวงแหวน มาสู่เงินพดด้วง และเหรียญกษาปณ์
    เหรียญนานาชาติ จัดแสดงเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนของประเทศต่างๆกว่า 40 ประเทศ และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่น่าสนใจ
    เหรียญของพ่อ จัดแสดงเหรียญสมัยรัชกาลปัจจุบัน อันสัมพันธ์กับพระราชกรณียกิจ

อาคารพิพิธภัณฑ์เหรียญ งดงามทั้งภายนอกและภายใน โถงต้อนรับ ระเบียง โอ่อ่า โปร่ง รับแสงจากภายนอกผ่านช่องประตู หน้าต่างที่เรียงรายตลอดความยาวของอาคาร
ห้องจัดแสดง ออกแบบอย่างทันสมัย น่าสนใจ ทั้งส่วนนิทรรศการถาวรและส่วนหมุนเวียน
เจ้าหน้าที่ล้วนสุภาพ กระตือรือร้น รอบรู้งานของตน

ออกจากพิพิธภัณฑ์เหรียญ เดินเลียบถนนจักรพงษ์ไปทางบางลำพู เพียง 80 เมตร ก็ถึงวัดชนะสงคราม เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานโดยกระทรวงยุติธรรม ผู้คนคราคร่ำ
ผ่านประตูรั้ว ด้านหน้าพระอุโบสถมีศาล ภายในมีพระรูป สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้าในรัชกาลที่ 1)

วัดชนะสงครามเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร เป็นวัดโบราณแต่ครั้งอยุธยา เดิมเรียกว่า 'วัดกลางนา' เพราะรอบๆวัดเป็นทุ่งนา สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาขึ้นใหม่ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น 'วัดตองปุ' เลียนชื่อวัดในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดพระสงฆ์รามัญที่เคร่งวินัย และทรงโปรดให้วัดนี้เป็นวัดพระสงฆ์รามัญเช่นกัน เพื่อเทิดเกียรติทหารรามัญในกองทัพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ที่ร่วมกับทหารไทยรบได้ชัยชนะถึงสามครั้ง
    กล่าวกันว่า เมื่อสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทนำทัพกลับจากสงคราม ทรงมาหยุดพัก ณ วัดนี้ เพื่อทำพิธีสรงน้ำและเปลี่ยนเครื่องทรง โปรดให้นำฉลองพระองค์ลงยันต์คลุมถวายองค์พระประธานในพระอุโบสถ เมื่อทรงสถาปนาวัดนี้ขึ้นใหม่ จึงโปรดให้ช่างเอาปูนพอกทั้งเสื้อยันต์และผ้ายันต์ลงไป ปั้นองค์พระประธานขึ้นใหม่ ขนาดใหญ่กว่าเดิม แล้วถวายวัดนี้เป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงทรงพระราชทานนามใหม่ว่า 'วัดชนะสงคราม'
    ในสมัยรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้จัดทำที่บรรจุอัฐิเจ้านายวังหน้า ที่เฉลียงพระอุโบสถหลังพระประธาน

พระอุโบสถมีขนาดกว้างขวาง ฝีมือช่างวังหน้าสมัยรัชกาลที่ 1 หน้าบันเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ล้อมรอบด้วยเทวดา ลงรักปิดทองงดงาม หน้าบันตรงปั้นลมเป็นนาคลำยอง อันเป็นลักษณะพิเศษของช่างวังหน้าที่ไม่นิยมนาคสะดุ้ง ชายคาเป็นปีกนกลดหลั่นลงมา 3 ชั้น มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ใบเสมาติดกับผนังโบสถ์ ซุ้มประตูด้านนอกเป็นรูปปั้นลายกระหนก บานหน้าต่างด้านนอกเป็นลายรดน้ำ

คนแน่นวัด และเต็มพระอุโบสถ พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานใกล้เริ่ม ไม่มีมุมถ่ายรูป จึงลัดเลาะไปสังฆาวาส
ลอดซุ้มของหอระฆังสูงสี่ชั้น รูปแบบและเครื่องประดับหอระฆังงดงาม ผ่านเข้าเขตสังฆาวาส กุฏิทรงไทย ปลูกเรียงกันเป็นระเบียบ ต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม น่าเสียดาย รถเก๋งจอดเต็มบริเวณ ขัดแย้งบรรยากาศสงบของสังฆาวาส

พื้นที่เดิมของวังหน้าเต็มไปด้วยอดีตที่ไม่เป็นที่รับรู้ ความร่วมมือร่วมใจในยามสงคราม กลับกลายเป็นความขัดแย้งบาดหมาง ระแวงกันในยามปลอดสงคราม บทเรียนจากประวัติศาสตร์สะท้อนโลกธรรม
ข้อน่ายินดีคือกรมศิลปากรกำลังบูรณะวัดบวรสถานสุทธาวาส เมื่อสำเร็จและเปิดให้ประชาชนเข้าชม ย่อมเป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นเลิศ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ และศิลปะแก่สาธารณะ
เดินเที่ยววันนี้ ได้เรียนความรู้ใหม่หลายเรื่อง เกิดความรู้สึกปะปนกันหลายประการ (mixed feeling)
ค่ารถไปกลับ 14.50 บาท

ข้อมูล วัดบวรสถานสุทธาวาส และวัดชนะสงคราม ค้นจาก
         นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
         th.wikipedia.org
         lib.su.ac.th
ข้อมูล พิพิธภัณฑ์เหรียญ ค้นจาก
         แผ่นพับพิพิธภัณฑ์เหรียญ
         coinmuseum.treasury.go.th