February 16, 2017

Phnom Penh: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระราชวังหลวง: 02.08.2016

08.40 น. เครื่องบางกอกบินออกจากสุวรรณภูมิช้ากว่ากำหนด 20 นาที
09.30 น. ถึงสนามบินโปเชนตง (Pochentong International Airport) สนามบินระหว่างประเทศ กรุงพนมเปญ กัมพูชา ตรงเวลา
     คณะเราไปกัน 4 คน เข้าเมืองด้วยแท็กซี่สนามบิน ค่ารถราคาเดียว USD 12 ระยะทางราว 10 กิโลเมตร รถแล่นไปทางตะวันออกตามถนน Confederation de la Russie (110) ถึงที่พัก Le Grand Palais Boutique Hotel ถนน 130 เวลา 11.00 น.
     ถนนที่นี่ใช้ระบบตัวเลข เลขคี่สำหรับถนนตามแนวเหนือ-ใต้ เลขคู่สำหรับถนนตามแนวตะวันตก-ออก
     โรงแรมที่พัก สถาปัตยกรรมแบบ French colonial ภายในตกแต่งด้วยศิลปะเขมร กรอบประตู ราวบันได เครื่องประดับเสา สลักลวดลาย ทาสีเลียนแบบสำริด ดูน่าสนใจ
     Check-in เก็บสัมภาระแล้ว ได้เวลาสำรวจเมือง
     จากโรงแรมเดินไปทางตะวันตกเพียงหนึ่งบล็อคเป็น Central Market (Psar Thmey) ผังตึกรูปกากบาทใหญ่โต ทรงโดม สไตล์ Art Deco ยุคทศวรรษ 1930 ตลาดนี้ขายของหลากหลาย แดดจ้าและอากาศร้อน เราจึงหลบเข้า Sorya Shopping Center ที่อยู่ใกล้ๆ ทางทิศใต้ของตลาดกลาง อาหารจานเดียวใน food court ราคา KHR 10,000 (100 บาท) หลังอาหารเราเดินกลับที่พัก
     ช่วงบ่าย นั่งรถตุ๊กตุ๊ก ดัดแปลงจากมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่พ่วงท้ายด้วยกระบะโดยสาร ที่นั่งสองแถวตามขวางหันหน้าหากัน เขมรเรียกรถนี้ว่า 'ละเมาะโมโต' จุดหมายคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ อยู่ห่างจากที่พักราว 1 กิโลเมตร รถแล่นลงใต้ไปตามถนนพระนโรดม (Preah Norodom Blvd, 41) 600 เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าถนน 178 ราว 400 เมตร เลี้ยวขวาเข้าถนนพระองค์เอง (Preah Ang Eng St, 13) เพียง 70 เมตร ก็จอดหน้าพิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ (The National Museum)
     จากประตูรั้วด้านตะวันออก เดินตามถนนเข้าไป อาคารสีแดง raspberry ยาวเกือบ 100 เมตรเป็นตึกหน้า ประกอบด้วย 5 มุข แต่ละมุขมีหลังคาทรงจตุรมุข ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ระหว่างมุขคลุมด้วยหลังคาชั้นลด มุขกลางเป็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ข้างบันไดทางขึ้นมุขกลางมีรูปปั้นสิงห์ข้างละตัว ต่อจากตึกหน้ามีตึกเหนือและตึกใต้ ยาวด้านละกว่า 70 เมตร ด้านในสุดปิดด้วยตึกตะวันตก ทั้งสี่ตึกล้อมลานกว้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าไว้ตรงกลาง
     บริเวณด้านนอกรอบตึกเป็นสวนร่มรื่น มีประติมากรรมประดับพองาม ส่วนลานกว้างกลางวงล้อมตึกด้านใน มีสระบัวขนาดใหญ่ 4 สระ ตรงกึ่งกลางลานเป็นศาลาประดิษฐานประติมากรรมลอยตัวหินทราย เป็นรูปพระยม เทพแห่งความตาย มีเขี้ยวที่มุมปาก ท่านั่งชันเข่า รูปปั้นนี้นำมาจากลานพระเจ้าขี้เรื้อน เมืองนครธม
     ตึกหน้า โถงกลางจัดแสดงประติมากรรมสำริด อาทิ พระนารายณ์บรรทมสินธุ์ จากปราสาทแม่บุญตะวันตก ศิลปะสมัยบาปวน (Baphuon, 1010-1080) โถงทิศใต้จัดแสดงนิทรรศการ Cambodia and the First World War: The Underwater Heritage โถงทิศเหนือจัดแสดงพระพุทธรูปสมัยหลังเมืองพระนคร (Post-Angkor Period)
     ตึกใต้และตะวันตกจัดแสดงประติมากรรมศิลาทรายซึ่งมีจำนวนมากและใช้พื้นที่มากที่สุด อาทิ ศิวลึงค์ จากจังหวัดตาแก้ว ศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์, พระหริหระ จากปราสาทอันเดต (Prasat Andet, 690-700) ศิลปะสมัยไพรกเมง-กำพงพระ (Prei Khmeng-Kompong Preah, 635-700), พระวิษณุ สมัยก่อนเมืองพระนคร, พระอุมาปราบมหิษาสูร, พระพุทธรูป จากวัดโรมโลก จังหวัดตาแก้ว สมัยก่อนเมืองพระนคร, พาลีและสุครีพกำลังสู้กัน ศิลปะสมัยเกาะแกร์ (Koh Ker, 923-944), เทวดา จากปราสาทเบง ศิลปะสมัยบาปวน (Baphuon, 1010-1080), พระศิวะ พระวิษณุ จากปราสาทบากอง ศิลปะสมัยเมืองพระนคร, เศียรพระพุทธรูปแบบบายน (Bayon, 1177-1230), พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร นางปรัชญาปารมิตา ศิลปะสมัยเมืองพระนคร
     ตึกเหนือจัดแสดงศิลปะชนเผ่า และเครื่องเคลือบ  
     พิพิธภัณฑ์นี้ออกแบบโดย George Groslier (1887-1945) ก่อสร้างปี 1917 แล้วเสร็จและเปิดเมื่อวันปีใหม่เขมร 13 เมษายน 1920 (พ.ศ. 2463) ตอนนั้นกัมพูชายังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ต่อมาแม้ได้รับเอกราชในปี 1953 แต่จนถึงปี 1966 ภัณฑารักษ์ชาวกัมพูชาจึงได้ดูแลพิพิธภัณฑ์ของตนเอง
     ช่วงที่เขมรแดง (Khmer Rouge) ยึดครองประเทศ (1975-1979) พิพิธภัณฑ์ถูกปิดทิ้งร้าง เจ้าหน้าที่ถูกจับกุมและเสียชีวิตจำนวนมาก พิพิธภัณฑ์เปิดได้อีกครั้งเมื่อวันที่ 13 เมษายน 1979 ภายหลังระบอบเขมรแดงถูกโค่นลง
     พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ เป็นที่รวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปะเขมร ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ครอบคลุมตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-history Period) สมัยก่อนเมืองพระนคร (Pre-Angkor Period) สมัยเมืองพระนคร (Angkor Period) และสมัยหลังเมืองพระนคร (Post-Angkor Period) สิ่งจัดแสดง อาคาร สวนรอบตึกและลานกว้างภายในล้วนงดงาม ส่งเสริมให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ ทรงคุณค่ายิ่ง

ออกจากพิพิธภัณฑ์เดินย้อนมาตามถนน 13 ไปทางเหนือ เลี้ยวขวาเข้าถนน 178 ไปหนึ่งบล็อค เลี้ยวขวาอีกทีเข้าถนน Samdach Sothearos Blvd (3) ราว 500 เมตร ถึงทางเข้าพระราชวังหลวงกัมพูชา

พระราชวังหลวง (The Royal Palace)
     พระราชวังหลวงหรือพระบรมราชวังจตุมุขมงคลสร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร (ครองราชย์ 1860-1904) เมื่อปี 1865 ภายหลังทรงย้ายเมืองหลวงจากอุดงค์ฦาชัยมายังกรุงพนมเปญ ต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระศรีสวัสดิ์ (ครองราชย์ 1904-1927) ฝรั่งเศสได้รื้อพระที่นั่งต่างๆ ที่สร้างมาแต่เดิมลงจำนวนมาก แล้วสร้างขึ้นใหม่ถวายสมเด็จพระศรีสวัสดิ์
     จากทางเข้าด้านทิศตะวันออกต้องเดินเลาะแนวรั้วต้นไม้และสวนหย่อมไปทางเหนือ ทางเดินประดับด้วยเสานางเรียงมีรูปปั้นเทพนมบนหัวเสา จนถึงทางแยก ขวามือฝั่งตะวันออกเป็น Victory Gate ประตูใหญ่จากถนนตรงเข้าสู่พระราชวัง ซ้ายมือฝั่งตะวันตกคือพระที่นั่งเทวาวินิจฉัย (Preah Tineang Tevea Vinichhay) พระที่นั่งสำคัญองค์ใหญ่สุด หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
     พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยกพื้นสูงสองระดับ ข้างบันไดทางขึ้นมีรูปปั้นสิงห์ข้างละตัว ราวบันไดปูนทำเป็นนาคเจ็ดเศียร หลังคาจตุรมุขซ้อนสามชั้นลด มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ชายคากว้างรับด้วยเสากลมเรียงรายทั้งสี่ด้านเป็นระเบียงรอบตึก หัวเสาทุกต้นมีรูปกินรีแบก หน้าบันแกะสลักลายวิจิตร พระที่นั่งเทวาวินิจฉัยใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับออกขุนนาง และประกอบพระราชพิธีทวาทศมาส (พระราชพิธีสิบสองเดือน) มุข 2 ข้างของพระที่นั่งคือ 'หอราชบัณฑิตย์' และ 'หอพระอัฐิ' ถัดเข้าไปภายในเป็นมหามณเฑียร มีพระแท่นบรรทม รวมทั้งหอเสวย
     พระที่นั่งจันทฉายา (Preah Tineang Chanchhaya) เป็นพระที่นั่งบนแนวกำแพงด้านตะวันออก องค์เดิมสร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร ต่อมาเมื่อปี 1913 ในรัชกาลสมเด็จพระศรีสวัสดิ์  ฝรั่งเศสได้รื้อพระที่นั่งองค์เดิมแล้วสร้างขึ้นใหม่ เพื่อใช้เป็นที่เสด็จออกทอดพระเนตรกระบวนแห่ในพระราชพิธีสนานจตุรงคเสนา และเป็นที่เสด็จออกในวันชาติ
     พระมหาปราสาทเขมรินทร์ (Preah Moha Prasat Khemarin) สร้างขึ้นระหว่าง 1927-1930 ในรัชกาลสมเด็จพระศรีสวัสดิ์มณีวงศ์ (ครองราชย์ 1927-1941) เพื่อใช้เป็นที่ประทับถาวรของพระมหากษัตริย์และพระมเหสี ปัจจุบันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนโรดมสีหมุนี (ครองราชย์ 2004-ปัจจุบัน)
     หอสัมฤทธิ์พิมาน (Hor Samritvimean) ใช้เป็นที่ประดิษฐานเทวรูปพระปัญจเกษตร อันประกอบด้วย พระอิศวร พระนารายณ์ พระพลเทพ พระคเณศ และพระอุมา ซึ่งเป็นเทวรูปที่ใช้ในพระราชพิธีพราหมณ์ นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำหรับพระมหากษัตริย์
     หอสำราญภิรมย์ ใช้สำหรับเก็บเครื่องดนตรีหลวง และเครื่องใช้ในกระบวนราชาภิเษก รวมทั้งใช้เป็นที่พักก่อนเสด็จทรงช้างพระที่นั่งด้วย ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระนโรดมสีหนุ
     พระที่นั่งโภชนี (Preah Tineang Phhochani) เป็นพระที่นั่งโถง สร้างขึ้นในปี 1912 ใช้เป็นที่แสดงละครหลวง บางครั้งใช้เป็นที่สมเด็จพระนโรดมสีหนุมีพระดำรัสกับประชาชนที่เข้าเฝ้า
     ปาวีย็องนโปเลียนที่ 3 (Pavillon Napoleon III) เป็นตำหนักที่ประทับของพระนาง Eugnie de Montijo มเหสีของพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 คราวเปิดคลองสุเอซ ณ ประเทศอียิปต์ เมื่อปี 1869 ต่อมาพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 โปรดให้รื้อมาสร้างใหม่ถวายสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตารในปี 1876 ปัจจุบันใช้เป็นหอศิลป์แสดงภาพเขียนสีน้ำมันพระสาทิสลักษณ์พระมหากษัตริย์ รวมทั้งศิลปวัตถุอื่นๆ แต่อยู่ระหว่างปิดบูรณะ เข้าชมไม่ได้
     ด้านทิศใต้ของพระราชวังหลวงเป็นวัดพระแก้วมรกต มีทางเข้าผ่านพระระเบียงวัดด้านทิศเหนือ

วัดพระแก้วมรกต
     สร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร ตั้งแต่ปี 1892-1902 สมโภชปี 1903 เรียกว่า 'วัดอุโบสถรตนาราม' ด้วยเป็นที่สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงศีลทุกวันอุโบสถ และพระราชวงศานุวงศ์ประกอบพิธีทางพุทธศาสนา ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาเนื่องจากเป็นวัดในพระราชวังหลวง ต่อมาได้รับการบูรณะสมัยรัฐบาลสมเด็จพระนโรดมสีหนุ (ครองราชย์ 1941-1955 และ 1993-2004) เมื่อปี 1962-1970
     โบราณสถานสำคัญได้แก่
     พระวิหารพระแก้วมรกต (Preah Vihear Preah Keo Morakot) ภายในมีบุษบกประดิษฐานพระแก้วมรกตเป็นพระประธาน หล่อจากคริสตัลสีเขียว
     มณฑปพระไตรปิฎก (Mandapa of Satra and Tripitaka)
     พนมขันทมาลีนาทีบรรพตไกรลาส (Kailassa Mountain) ประดิษฐานพระพุทธบาทซึ่งมีลายมงคล 108 จำหลักอยู่
     กึงพระบาท (Koeng Preah Bat) ประดิษฐานพระพุทธบาท 4 รอย
     ธรรมศาลา (Dharmasala) เป็นที่เจริญพระปริตรและสัตตปกรณาภิธรรม
     หอระฆัง
     ราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร พระรูปนี้เป็นของที่ระลึกจากพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 สร้างเมื่อปี 1875 นำมาประดิษฐานที่หน้าพระวิหารพระแก้วมรกตเมื่อปี 1892 ต่อมาในปี 1953 สมเด็จพระนโรดมสีหนุเตรียมเรียกร้องเอกราชจากอาณานิคมฝรั่งเศส พระองค์ได้บวงสรวงขอชัยชนะต่อพระพักตร์พระรูป หลังจากได้รับเอกราช พระองค์จึงทรงสร้างมณฑปครอบเหนือราชานุสาวรีย์นี้
     นครวัดจำลอง ตั้งอยู่หลังพระวิหารด้านทิศตะวันตก
     พระเจดีย์สมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร (พระเจดีย์ด้านเหนือ) บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร
     พระเจดีย์สมเด็จพระหริรักษรามาอิศราธิบดี (พระเจดีย์ด้านใต้) บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระหริรักษรามาอิศราธิบดี (พระองค์ด้วง) สร้างขึ้นเมื่อปี 1907 รูปแบบเดียวกับพระเจดีย์ด้านเหนือ องค์ระฆังกลมสูงชะลูด ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นจำนวนมาก ที่โดดเด่นคือ ลายสายสังวาลห้อยระย้าไปมาประดับองค์ระฆัง อันเป็นหนึ่งในลักษณะของเจดีย์ศิลปะพนมเปญยุคที่ 2
     พระเจดีย์สมเด็จพระนโรดมสุรามฤต บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระนโรดมสุรามฤต พระราชบิดาของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ
     ปรางค์คันธบุปผา สร้างเมื่อปี 1960 บรรจุอัฐิของพระองค์เจ้าหญิงนโรดมคันธบุปผา พระราชธิดาของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา 4 พรรษา ปรางค์นี้สร้างตามอย่างศิลปะเขมรโบราณแบบบันทายสรี
     พระระเบียง มีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ประดับ
     ระเบียงทิศใต้ก่อนถึงทางออก เป็นห้องนิทรรศการแสดงภาพพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ในวาระต่างๆ
     พระราชวังหลวงและวัดพระแก้วมรกตมีพื้นที่กว้างขวาง จำนวนสิ่งปลูกสร้างไม่มาก ไม่เบียดเสียด ศิลปสถาปัตยกรรมสอดคล้องกัน ทำให้องค์ประกอบโดยรวมสง่างาม น่าชื่นชม

ออกจากวัดพระแก้วมรกต เดินขึ้นเหนือไปตามถนน Samdach Sothearos Blvd (3) เลียบกำแพงพระราชวังหลวง ผ่านพระที่นั่งจันทฉายา ตั้งโดดเด่นบนแนวกำแพง น่าเสียดายที่มีคราบมูลนกพิราบเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วไป ทั้งตามผนังและหลังคาพระที่นั่ง ฝั่งตรงข้ามถนนเป็นสวนสาธารณะ The Royal Palace Park ยามเย็น แดดร่ม ผู้คนพากันเดินเล่นหลังเลิกงาน สวนกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่หนึ่งบล็อคไปจรดถนนพระศรีสวัสดิ์ (Preah Sisowath Quay) ถนนเลียบแม่น้ำต็วนเลซาบ (Tonle Sap River)
     เราแวะนั่งพัก จิบกาแฟ ที่ Costa Cafe ตรงหัวมุมถนน 178 ตัดกับถนนพระศรีสวัสดิ์ ทำเลบนชั้นสองมองเห็นแม่น้ำต็วนเลซาบอยู่ทางตะวันออก สวนสาธารณะเขียวขจีอยู่ทางใต้ บรรยากาศชวนให้ผ่อนคลาย สักครู่ฝนตกเป็นละอองฝอย วงเสวนาของเราจึงยิ่งรื่นรมย์
     ฝนหยุดตกแล้ว เราไปเดินเล่นริมน้ำต็วนเลซาบ ทางเดินกว้าง ปราศจากหาบเร่แผงลอย ไม่มีท่ารถเมล์ ไม่มีคิวรถตู้ ทิวทัศน์แม่น้ำไร้สิ่งกีดขวาง ช่างงดงามยิ่งใหญ่ เราเดินไป 1 กิโลเมตร จึงกินมื้อค่ำที่ร้าน Titanic อาหารพื้นเมืองเขมร เอร็ดอร่อย
     เดินย่อยอาหาร ระยะทางราว 900 เมตร กลับถึงที่พัก 21.00 น.

ย่านตะวันออกของกรุงพนมเปญ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระราชวังหลวง วัดพระแก้วมรกต สวนสาธารณะ แม่น้ำต็วนเลซาบ ถนนริมน้ำ ยังคงรักษาคุณค่า ศิลปสถาปัตยกรรม ความงดงามตามธรรมชาติ ไว้ได้อย่างน่านิยม


ข้อมูลค้นจาก
     cambodiamuseum.info
     wikitravel.org
     wikipedia.org
     รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง, ศานติ ภักดีคำ. ศิลปะเขมร. กรุงเทพฯ: มติชน. 2557.
     สุภัทรดิศ ดิศกุล หม่อมเจ้า. ประวัติศาสตร์ศิลปะประเทศใกล้เคียง. กรุงเทพฯ: มติชน. 2556.







3 comments:

  1. อรุณสวัสดิ์กรุงพนมเปญ ได้ท่องเที่ยวแต่เช้าตรู่ บรรยากาศร่มรื่นสบายใจไปตามการจินตนาการตามรอยของผู้เขียนไปเรื่อยๆ.. บางครั้งคิดว่าเดินอยู่ในบ้านเมืองเร โบราณสถาน/วัตถุ สถาปัตยดรรมที่สวยงามและยิ่งใหญ่ สมฐานะอันทรงคุณค่าน่าเรียนรู้และน่าชื่นชม ขอบคุณอีกครั้งที่พาไปเที่ยวต่างแดนชิดขอบบ้านเรา ขอชื่นชมที่แบ่งปันความสุขและสิ่งดีๆให้กันค่ะ

    ReplyDelete
  2. ขออภัยแก้คำผิด เช้าตรู่เกินหูตายังไม่ตื่น
    **บ้านเมืองเรา
    **สถาปัตยกรรม

    ReplyDelete
  3. อรุณสวัสดิ์กรุงพนมเปญ ได้ท่องเที่ยวแต่เช้าตรู่ บรรยากาศร่มรื่นสบายใจไปตามการจินตนาการตามรอยของผู้เขียนไปเรื่อยๆ.. บางครั้งคิดว่าเดินอยู่ในบ้านเมืองเร โบราณสถาน/วัตถุ สถาปัตยดรรมที่สวยงามและยิ่งใหญ่ สมฐานะอันทรงคุณค่าน่าเรียนรู้และน่าชื่นชม ขอบคุณอีกครั้งที่พาไปเที่ยวต่างแดนชิดขอบบ้านเรา ขอชื่นชมที่แบ่งปันความสุขและสิ่งดีๆให้กันค่ะ

    ReplyDelete