December 9, 2016

Bangkok on Foot: ปราสาทพระเทพบิดร: 06.04.2016

วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325...
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานี
     ปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4 พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมา พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง โดยโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูปไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ต่อมามีการย้ายสถานที่ประดิษฐานหลายครั้ง ได้แก่ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท และพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท    
     ปี พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ย้ายพระบรมรูปมาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 ทั้งมีพระบรมราชโองการประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปในวันที่ 6 เมษายนปีนั้น และให้เรียกวันที่ 6 เมษายนว่า 'วันจักรี'
     ปัจจุบัน ปราสาทพระเทพบิดรเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะได้เฉพาะในวันจักรี และวันฉัตรมงคล

วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559...
กรุงเทพฯ อายุ 234 ปี
     09.30 น. ผมนั่งรถเมล์เย็นไปวัดพระแก้ว จุดหมายสำคัญของกรุงเทพฯ รถบัสนักท่องเที่ยวจีนจอดเรียงแถวยาวตลอดถนนหน้าพระธาตุฝั่งตรงข้ามสนามหลวง รถเมล์ถูกบังคับเปลี่ยนเส้นทางไปท่าเตียน
     ผมลงจากรถที่ท่าเตียน เดินตามถนนมหาราชเลาะกำแพงพระบรมมหาราชวังด้านทิศตะวันตก เลี้ยวขวาที่หัวมุมตัดกับถนนหน้าพระลาน เดินต่อไปจนถึงประตูวิมานเทเวศร์เข้าไปยังพระบรมมหาราชวัง นักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มเต็มไปหมด เกือบทุกคนถือไม้ selfie ยาวมาก ระเกะระกะ ผมรีบเดินหลบไปทางทิศตะวันออก ผ่านประตูพระระเบียงเข้าไปในวัดพระแก้ว มุ่งหน้าสู่ปราสาทพระเทพบิดร

ปราสาทพระเทพบิดร
     สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2398 เดิมเรียกว่า 'พุทธปรางค์ปราสาท' เป็นปราสาทจตุรมุข ยอดปรางค์ นภศูลมีมงกุฎ ยอดปรางค์ประดับกระเบื้องเคลือบ มุขหน้าอยู่ทางตะวันออก เป็นมุขลดโถง มีซุ้มทิศโดยรอบ ส่วนตอนบนยอดมีกาบขนุนประดับ มุขต่างๆ ประกอบด้วย ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นับเป็นปราสาทยอดปรางค์องค์เดียวในประเทศไทย ซุ้มพระทวารและซุ้มพระบัญชรทำเป็นรูปทรงมงกุฎ บานประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำ ผนังด้านนอกประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทำเป็นลายพุ่มดอกไม้
     เดิมรัชกาลที่ 4 มีพระประสงค์จะอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ ณ ที่นี้ แต่พื้นที่คับแคบไม่เหมาะแก่พระราชพิธี ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระเจดีย์กาไหล่ทองของรัชกาลที่ 4 ประดิษฐาน ในปี พ.ศ. 2446 เกิดเพลิงไหม้พุทธปรางค์ปราสาท พระเจดีย์นี้ละลายสูญหายไป จึงโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมปราสาทขึ้นใหม่ แต่มาสำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามใหม่เป็น 'ปราสาทพระเทพบิดร' และให้อัญเชิญพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 5 พระองค์ ประดิษฐานภายในพระปราสาทนี้
     แม้คนมากแต่ก็เข้าไปภายในได้ มีเวลานั่งสงบใจ ชมพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8
     ปราสาทพระเทพบิดรตั้งบนฐานไพทีซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ถมที่ออกไปทั้งด้านตะวันออกและด้านตะวันตกของพระมณฑป เป็นฐาน 2 ชั้น มีบันไดทางขึ้น 7 แห่ง เป็นบันไดชนิดซุ้มประตูยอดมณฑป 2 ซุ้ม ซุ้มด้านพระศรีรัตนเจดีย์เป็นซุ้มประดับกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องถ้วย ส่วนซุ้มด้านหน้าพระมณฑปเป็นซุ้มปูนปั้นปิดทองประดับกระจก บนไพทีเป็นที่ตั้งพระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ ปราสาทพระเทพบิดร นครวัดจำลอง และบุษบกประดิษฐานพระบรมราชสัญลักษณ์ หน้ากำแพงไพทีตอนมุมเป็นย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง บนพนักกำแพงแต่ละมุมมีกรวยตั้งบนพาน 2 ชั้น เรียกว่าพนมหมาก ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีงดงาม บนลานทักษิณของไพทีตั้งรูปหล่อกินนร กินรี ประดับเป็นคู่ๆ

พระมณฑป
     เดิมคือหอมณเฑียรธรรม ตั้งอยู่กลางสระ ถูกไฟไหม้เมื่อปี พ.ศ. 2332 แต่ยกเอาตู้ประดับมุกทรงมณฑปพร้อมทั้งพระไตรปิฎกฉบับทองใหญ่ ซึ่งสังคายนาในสมัยรัชกาลที่ 1 ออกมาได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างที่ประดิษฐานพระไตรปิฎกใหม่ โดยถมสระเดิมสร้างฐานไพทีให้สูงเป็นที่ประดิษฐานพระมณฑป พระมณฑปนี้ทำเครื่องยอดเป็นไม้ประดับกระจก มีซุ้มประตูเข้าทั้ง 4 ด้าน ฐานปัทม์มีรูปยักษ์ ครุฑ และเทพนม ทำด้วยโลหะหล่อปิดทองประดับโดยรอบ ผนังด้านนอกติดลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ทางขึ้นสู่พระมณฑป มีรูปพญายักษ์หล่อด้วยโลหะ ตั้งประจำบันไดนาคทั้ง 4 ทิศ ทิศละ 2 ตน เสานางเรียงที่รับไขรารอบมณฑปเป็นเสาบัวจงกลย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง ทั้งสี่มุมของลานพระมณฑปตั้งพระพุทธรูปศิลา ศิลปะสมัยศรีวิชัยช่างชวา ซึ่งรัฐบาลฮอลันดาได้ถวายรัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสเกาะชวา

ตราประจำรัชกาลและรูปหล่อช้าง
     สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่รายรอบพระมณฑป ทำเป็นรูปช้างสำริดขนาดเล็กยืนบนแท่นล้อมรอบบุษบกโลหะมีฉัตรล้อมรอบ ถือเป็นช้างเผือกประจำรัชกาล เหนือช้างขึ้นไปเป็นตราประจำรัชกาล ด้านเหนือประจำรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 ด้านตะวันออกเฉียงใต้ประจำรัชกาลที่ 4 และด้านใต้ประจำรัชกาลที่ 5

พระศรีรัตนเจดีย์
     สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2398 โปรดเกล้าฯ ให้ถ่ายแบบจากพระมหาสถูป วัดพระศรีสรรเพชญ พระนครศรีอยุธยา เป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา มีซุ้มเข้า 4 ทิศ และมีเจดีย์เล็กๆ ลักษณะเดียวกันอยู่บนซุ้มทั้ง 4 ทิศ ภายในเจดีย์เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระศรีรัตนเจดีย์ได้ประดับกระเบื้องสีทองในสมัยรัชกาลที่ 5

นครวัดจำลอง
     อยู่บนลานพระมณฑปด้านเหนือ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาสามภพพ่าย (หนู) ไปจำลองแบบมาจากปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2409-2410 สร้างด้วยศิลาเลียนของจริงทุกประการ

เจดีย์ทอง 2 องค์
     สร้างมาแต่รัชกาลที่ 1 แต่เดิมอยู่ตรงที่เป็นปราสาทพระเทพบิดรในปัจจุบัน เมื่อรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ถมที่ต่อไพทีและสร้างปราสาทพระเทพบิดร จึงให้ชลอเจดีย์ทั้ง 2 องค์ไปไว้ที่ด้านข้างปราสาท ถึงรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ชลอมาไว้ด้านหน้าดังปัจจุบัน ลักษณะเจดีย์เป็นเจดีย์เหลี่ยมทรงเครื่องย่อไม้ยี่สิบ หุ้มทองแดงทั้งองค์ ปิดทองคำเปลวบัวเชิงบาตร ฐานเจดีย์ประดับด้วยมารแบกกระบี่แบก โดยรอบองค์เจดีย์อย่างละ 20 ตน

ศิลปสถาปัตยกรรมบนฐานไพทีแห่งนี้ หลากหลาย วิจิตรงดงาม
ชวนให้พิศวงในฝีมือช่างโบราณยิ่งนัก


ข้อมูลค้นจาก
     นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
     th.wikipedia.org

November 11, 2016

Chiang Rai: บ้านดำ: 15.01.2016

จากดอยแม่สลอง เดินทางกลับเมืองเชียงราย ระยะทาง 63 กิโลเมตร ใช้เวลานานด้วยทางภูเขา
16.00 น. ถึง 'บ้านดำ' ตำบลนางแล...

ถวัลย์ ดัชนี (พ.ศ. 2482-2557) เป็นคนเชียงรายโดยกำเนิด บิดาชื่อ ศรี ดัชนี เดิมอยู่โคราช เป็นจ่าทหารบกฝ่ายกบฏบวรเดช (พ.ศ. 2476) ภายหลังพ่ายแพ้ฝ่ายรัฐบาล จ่าศรีหนีไปอยู่ที่พม่า แล้วย้อนกลับมาอยู่เชียงราย ไม่กลับโคราช ต่อมาแต่งงานกับแม่บัวคำ พรมสา ชาวเชียงราย มีลูกชายด้วยกัน 4 คน ถวัลย์เป็นคนสุดท้อง
     ถวัลย์เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ของสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย เรียนชั้นมัธยม 1 ที่โรงเรียนพะเยาวิทยาคม และมัธยม 2-6 ที่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดเชียงราย ผลการเรียนดี ฝีมือในการวาดรูปดี เมื่อจบมัธยม 6 ได้รับทุนจากจังหวัดให้เรียนต่อที่โรงเรียนเพาะช่าง กรุงเทพฯ เพื่อจะได้กลับไปเป็นครูสอนวิชาวาดเขียน
     ตอนนั้นปี พ.ศ. 2497 ถวัลย์ต้องนั่งรถคอกหมูที่มีหมูอยู่ข้างล่าง มีไม้พาดให้คนนั่งข้างบน จากเชียงรายสองวันถึงลำปาง รอต่อรถไฟที่แล่นมาจากเชียงใหม่ นั่งรถไฟจากลำปางอีกสองวันถึงกรุงเทพฯ
     เมื่อไปรายงานตัวที่กระทรวงศึกษาธิการ ก่อนไปโรงเรียนเพาะช่าง มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดว่า 'ผลการเรียนถึงเก้าสิบกว่าเปอร์เซนต์ ทำไมมาเรียนเพาะช่าง' ทำเอาถวัลย์ไม่เหลือความภูมิใจ ไม่ตื่นเต้นกับความเป็นนักเรียนทุน
     โรงเรียนเพาะช่างไม่มีหอพัก และกำลังก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ เพราะตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนถูกระเบิดจากเครื่องบินสัมพันธมิตรพังเสียหายยับ ตลอด 3 ปีที่เรียนอยู่นี่ ถวัลย์ไม่มีที่พัก อาศัยหลบซ่อนตามซอกตึก เมื่อจบหลักสูตรครูประถมการช่าง (ป.ป.ช.) ถวัลย์ไม่ยอมกลับไปใช้ทุน แต่มุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยศิลปากร
     ถวัลย์เข้าเรียนที่ศิลปากร ช่วง พ.ศ. 2500-2505 เป็นลูกศิษย์รุ่นที่ 15 ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (พ.ศ. 2435-2505) (Corrado Feroci, 1892-1962) หกเดือนแรก เขาตั้งใจเรียน ขยัน และทำงานหนัก ด้วยตระหนักว่ารากฐานยังไม่มั่นคง แต่เสมือนปราศจากความเข้าใจ ทำให้ผลการเรียนตกต่ำ อาจารย์ศิลป์บอกถวัลย์ว่า
     'นายคนภูเขา (ชื่อที่อาจารย์ศิลป์เรียกถวัลย์ ด้วยเขามาจากภูสูงของผ้าห่มปกและผีปันน้ำ) นายมันโง่แล้วขยัน ไม่ดีนะนาย นายยิ่งทำงานหนัก ยิ่งล่มจม เหมือนอียิปต์และเขมร ประเทศชาติล่มจมเพราะทำปิรามิด สร้างเทวาลัยมากเกินไป นายหัดคิดเสียบ้าง อย่าเอาแต่ทำ ขยันเกินไป โง่เกินไป ทำปุ๋ยยังไม่ดีนาย'
     'นายคนภูเขา งานของนายมีแต่ถูกต้อง มันเป็นงานเรียน เป็นอะคาเดมิคนะนาย มันไม่มีชีวิต
     ปลาของนายว่ายน้ำไม่ได้ ไม่มีกลิ่นคาว
     ม้าของนายตายแล้ว ยืนตาย วิ่งไม่ได้ ร้องไม่ได้
     วัดของนายเหมือนฉากลิเก
     ฟ้าของนายไม่มีอากาศ หายใจไม่ได้
     รูปของนายไม่มีมิสติคเลย นายไม่เข้าใจนะ นายคนภูเขา'
     ถวัลย์หยุด ทบทวนตนเองใหม่ เรียน เสาะแสวง ค้นคว้า ไต่ถาม อีกปีต่อมาคะแนนทุกวิชา โดยเฉพาะวาดเส้น วิจัยศิลปะไทย ได้ถึงขั้นดีเป็นเลิศ ตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 เขาพูดได้ถึง 3 ภาษา ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน นอกจากฝีมือเยี่ยมยอดในเชิงศิลปะแล้ว เขายังมีความจำดีมาก ถวัลย์ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ให้สอบชิงทุนไปเรียนต่อ ด้านจิตรกรรมฝาผนัง อนุสาวรีย์ ผังเมือง และปริญญาเอก ด้านอภิปรัชญาและสุนทรียศาสตร์ ณ Rijksakademie van Beeldende Kunsten, Amsterdam, Netherlands เป็นเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2507-2511) หลังเรียนจบปริญญาตรีที่ศิลปากร
     ถวัลย์รำลึกถึงอาจารย์ไว้ว่า 'ผมไม่เคยภาคภูมิใจในกิจกรรมอันใด ของสมมุติสัจจะในชีวิตที่เคยได้มี ได้ทำ ได้เป็น ไม่เคยให้ความสลักสำคัญกับโลกธรรมเหล่านั้น มีเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว ที่เคยได้มี เคยได้เป็น นั่นคือ เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี'
     ช่วงปีท้ายๆ ที่ Amsterdam งานของถวัลย์โดดเด่น มีพลังมาก ภาพเขียนของเขาได้จัดแสดงเดี่ยว ครั้งหนึ่งที่ Fodor Museum และอีกครั้งหนึ่งที่ Museum of Amsterdam Nord นอกจากนี้ เขายังได้รับเชิญให้ไปบรรยาย สัมมนา ณ สถาบันศิลปะอีกหลายแห่งในยุโรป
     ภายหลังสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก ถวัลย์กลับประเทศไทย ตั้งใจหาเลี้ยงชีพด้วยการวาดรูป เขามั่นใจในแนวคิด รูปแบบ และการสร้างงานศิลป์ของตนเอง
     ปี พ.ศ. 2512 เขาบรรยายวิชาศิลปนิยม (art appreciation) ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์ ธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ศิลปากร ขอนแก่น และเชียงใหม่
     ปี พ.ศ. 2514 ถวัลย์จัดนิทรรศการแสดงเดี่ยว ณ สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน กรุงเทพฯ หลังเปิดการแสดงผลงาน ได้มีนักเรียนอาชีวะกลุ่มหนึ่ง บุกทำลายภาพเขียนด้วยของมีคม จนภาพเขียนเสียหายยับ ด้วยแรงยั่วยุของสังคม เฉพาะอย่างยิ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 6 ตุลาคม 2514 ถวัลย์ถูกกล่าวหาว่า 'ศิลปินบ้าบิ่น เขียนภาพลบหลู่ดูหมิ่นพระพุทธศาสนา'
     ถวัลย์พูดถึงเรื่องนี้ว่า 'การที่เขียนรูปคางคกปนกับเศียรพระ รูปช้างผสมกับคน หรือรูปผู้หญิงเปลือยกายกับพระสงฆ์ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่คนดูไม่เข้าใจ ว่าเป็นภาพเขียนที่ดูหมิ่นพุทธศาสนานั้น นับว่าไม่ถูกต้อง เพราะมีความเชื่อในเรื่องของความดี ความเลว เช่น บรรดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นย่อมจะอยู่ในสภาพที่เลวทรามต่ำช้ากว่าคน อุปมาเช่น คางคกนั้น น่าเกลียดเหลือกำลัง เป็นของที่สกปรก ซึ่งเปรียบได้กับความเลวทรามต่ำช้าของมนุษย์ ส่วนเศียรพระนั้น เป็นสิ่งแทนพระพุทธศาสนาอันเป็นของสูงยิ่ง แสดงถึงความดี ความบริสุทธิ์ ความมีปัญญา เมื่อนำมารวมกันแล้ว ก็จะเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความดีและความเลว ซึ่งเราจะเลือกเอาทางไหน'
     'ถ้าโลกนี้ไม่มีความเลวแล้ว เราจะรู้ว่าคนดีนั้นเป็นอย่างไร'
     'ดังนั้น จึงอาจเป็นไปได้ว่าคนที่ดูภาพเขียนนั้น ได้แปลความหมายของภาพเขียนนั้นผิดไป ซึ่งความจริงแล้วไม่ควรจะแปล เพราะงานศิลปะนั้น ถ้าเรามัวไปแปลอยู่ บางครั้งก็เกิดมีอคติต่องานศิลปะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานประเภท abstract แล้ว อย่าไปแปลให้ยุ่งยากเลย เพราะการแปลก็มิได้มีคำตอบให้ แต่ถ้าจำเป็น ควรจะพิจารณาว่าชอบหรือไม่ชอบ เท่านั้นคงจะพอ เราจะไม่พูดว่าเราเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เพราะการที่จะเข้าใจอะไรนั้น นับเป็นเรื่องที่ยาก'
     การบรรยายพุทธปรัชญาด้วยจิตรกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของถวัลย์ ในห้วงเวลานั้น ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่เป็นที่ยอมรับในเมืองไทย หากกลับโดดเด่นในเวทีโลก อาทิ ผลงานจิตรกรรมฝาผนัง ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และผลงานแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลายแห่ง ได้แก่ นิวยอร์ค บอสตัน ชิคาโก วอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมนี และประเทศสวีเดน
     ปี 1977 (พ.ศ. 2520) Count Hermann Hatzfeldt ทายาทผู้ครอบครองมรดก ปราสาท Crottof อายุกว่า 700 ปี อยู่ทางตะวันตกของเมือง Friesenhagen, Rheinland-Pfalz, Germany เชิญถวัลย์ให้ไปเขียนภาพประดับผนังใต้โดมใหญ่ของปราสาท ถวัลย์ใช้เวลา 3 ปี ทำสมาธิ ออกแบบ เขียนภาพ ตกแต่งองค์ประกอบ สำเร็จเป็น 'ห้องพุทธสมาธิ' (Buddhist Meditation Room) เป็นผลงาน masterpiece...
        ...บนผนังทางเข้าด้านทิศเหนือทาสีดำ คือความสงบแห่งรัตติกาล แผงสามเหลี่ยมมุมฉากสีทองแห่งรัตนตรัย ขนาบข้างกรอบประตูข้างละแผง เขียนลายวิจิตร แทนธาตุลม เหนือกรอบประตู เป็นวงกลมรูปราหูอมจันทร์
        ...ผนังที่เหลือทั้งหมดทาสีแดง คือความปรารถนา มีแผงสามเหลี่ยมหน้าจั่วสีทอง 3 แผง เขียนลายอย่างละเอียด แทนธาตุดิน น้ำ และไฟ ตรงกลางระหว่างสองแผงด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งแทนธาตุน้ำและธาตุไฟ เป็นซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืน บ่งถึงชัยชนะเหนือความปรารถนาของพุทธองค์ เหนือซุ้มพระ เป็นภาพดวงจันทร์สีทองล้อมดวงอาทิตย์แดงให้อยู่ตรงกลาง ในดวงจันทร์ปรากฏภาพหัวสัตว์ 4 ชนิด ช้าง ม้า วัว และแมวป่า แทนวรรณะทั้งสี่

ถวัลย์สร้างบ้านหลังแรกที่ตำบลนางแล เป็นบ้านสามเหลี่ยมทรงปิรามิด โครงสร้างไม้ไผ่ มุงหญ้าคา ฝาขัดแตะ ใต้ถุนสูง ถูกลมพายุพัดพังเสียหายถึง 3 ครั้ง ที่สุดเปลี่ยนเป็นโครงสร้างไม้จริง หลังคาไม้แป้นเกล็ด บ้านทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตามแนวตะวันออก-ตก มีระเบียงทางขึ้นสองด้าน ประดับตกแต่งด้วยกาแลและหางหงส์เป็นไม้แกะสลัก ทาสีดำทั้งหลัง จึงเป็นที่มาของชื่อ 'บ้านดำ'
     บ้านหลังที่สองสร้างในปี พ.ศ. 2520 ชื่อ 'บ้านยุ้งข้าว' โครงสร้างเป็นไม้ ตง คาน เสา เข้าเดือย เจาะร่อง หลังคาทรงสามเหลี่ยมมุงแป้นเกล็ด กาแลไม้แกะสลัก มีใต้ถุนเตี้ย ทาสีดำทั้งหลัง
     บ้านหลังที่สามสร้างในปี พ.ศ. 2521 ชื่อ 'บ้านกระบวยลุงแสง' ใช้จัดเก็บกระบวย ทรงบ้านคล้ายยุ้งข้าว แต่ประดับตกแต่งด้วยบราลี หูช้าง และกาแล เป็นไม้แกะสลัก ทาสีดำทั้งหลัง
     บ้านหลังที่สี่สร้างในปี 2525 ชื่อ 'บ้านดำกาแลเกี่ยวฟ้า' เป็นเรือนไม้ต่อกันสามหลัง มีกาแลเป็นจุดเด่นที่จั่วหลังคา
     ถวัลย์ได้สร้างบ้านดำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2-3 ปีต่อหลัง จนถึงปี พ.ศ. 2542 เขาสร้างหลังใหญ่ที่สุด เรียกชื่อว่า 'มหาวิหาร' เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามแนวตะวันออก-ตก กว้าง 20 เมตร ยาว 44 เมตร สูง 44 เมตร มีเสาไม้รับโครงสร้าง 44 ต้น ยกพื้นสูงจากดิน 2.80 เมตร บนฐานก่ออิฐถือปูน หลังคาทรงสามเหลี่ยม สี่ชั้นลด มุงด้วยกระเบื้องดินเผาไม่เคลือบ เครื่องประดับอาคาร ได้แก่ ฉัตร บราลี หางหงส์ ค้ำยัน มีบานประตูไม้ขนาดใหญ่ แกะสลักภาพนูนต่ำ มหาวิหารนี้สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2552
     บ้านในยุคหลัง เปลี่ยนรูปแบบจากเดิม ไปเป็นรูปทรงคล้ายสถูป ก่ออิฐฉาบปูน เช่น อูปเปลวปล่องฟ้า อูปหยาดน้ำตาบนแก้มกาลเวลา อูปนอแรดในรุ้งดาว อูปนกกก อูปนกเงือก เป็นต้น
     ถึงวันนี้ 'บ้านดำ' มีบ้าน 35 หลัง ตั้งห่างกันอย่างเหมาะสม ในท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ผืนหญ้าเขียวขจี บนที่ดินกว่า 100 ไร่ แต่ละหลังใช้สอยต่างกันไป เช่น บ้านที่เป็นที่วาดรูป บ้านรับแขก บ้านจัดแสดงผลงาน บ้านจัดประชุมสัมมนา เป็นต้น
     ถวัลย์พูดถึงบ้านว่า 'บ้านที่กรุงเทพฯ เป็นภาชนะสำหรับใส่ร่างกาย แต่ที่บ้านดำ เป็นภาชนะใส่จิตวิญญาณ' ผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และมัณฑนศิลป์ หลากทำนองที่ถวัลย์สร้างสรรค์ไว้ เป็นสมบัติที่ฝากฝังไว้ให้แก่แผ่นดิน รวมกันอยู่ที่บ้านดำ
     'ผมทำที่นี่เป็นเทวาลัยสำหรับความคิดเห็นของตนเอง ทำความรักปรากฏรูป ถ้าไข่มุกคือน้ำตาแห่งความอาลัยของหอย เทวาลัยแห่งนี้ก็คือ น้ำตาแห่งความปลื้มปิติของผม'
     ต้นปี พ.ศ. 2554 สำนักวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายริเริ่มโครงการ 'เปิดบ้านศิลปิน' เพื่อเชิดชูศิลปินชาวเชียงราย ต่อมา กระทรวงวัฒนธรรมขยายโครงการดังกล่าวเป็นทั่วประเทศ
     วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ได้มีพิธีเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติ ถวัลย์ ดัชนี ณ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ อย่างเป็นทางการ วันนั้น ถวัลย์กล่าวย้ำกับแขกผู้มาเยือนว่า
     'ครั้งแรกผมเสาะแสวงหาสำหรับดำรงชีวิต บ้านเป็นที่อยู่แก่ร่างกาย เป็นภาชนะของร่างกายสำหรับดำรงชีวิต เมื่อเติบโตและผ่านพ้นการดำรงชีวิต ผมไม่ใช่ผู้เสาะแสวงหา แต่ผมเป็นผู้ค้นพบ ผมจึงนำการค้นพบของผมออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ และบ้าน 35 หลัง ที่ผมทำที่นี่ไม่ใช่ภาชนะใส่ร่างกายของผมอีกต่อไป แต่เป็นภาชนะที่ผมเอาไว้บรรจุดวงวิญญาณของผม เพื่อคืนทั้งหมดให้แก่แผ่นดิน เหมือนที่ ไมเคิล แองเจโล พูดว่าขอคืนงานศิลปะทั้งหมดให้แก่มวลมนุษยชาติและแผ่นดิน ในฐานะที่ผมเป็นจิตรกร ผมทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหมือนแสงหิ่งห้อยส่องก้นตนเอง ขอใช้ชีวิตทั้งหมดทำงานศิลปะเพื่อคืนให้แก่แผ่นดิน เรื่องอย่างอื่น ผมไม่ปรารถนาที่จะทำ...'

เรามีเวลาเดินชมบ้านดำเพียง 1 ชั่วโมง แสงแดดยามเย็นทำมุมให้อาณาบริเวณงดงามยิ่ง
ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. 2544 ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557 สิริอายุ 74 ปี
ขอคารวะท่านถวัลย์ ดัชนี ช่างวาดรูปผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ใช้โลกเป็นเวที

   
ข้อมูลค้นจาก    
     wikipedia.org    
     thawan-duchanee.com
     ฉลอง พินิจสุวรรณ. ตำนานชีวิตของช่างวาดรูป ผู้ใช้โลกเป็นเวที ถวัลย์ ดัชนี. เชียงใหม่: สุเทพการพิมพ์. 2558.
     Marcus R. Thawan Duchanee: Modern buddhist artist. Chiang Mai: Silkworm Books. 2013.
     นิพนธ์ ขำวิไล. อาจารย์ศิลป์กับลูกศิษย์. กรุงเทพ: สำนักวิจัยศิลป์ พีระศรี. 2551.

Chiang Rai: ดอยแม่สลอง: 15.01.2016

วันสุดท้ายของทริปเยี่ยมศิษย์เก่า ณ ลำปางและเชียงราย มีเวลาทั้งวันก่อนกลับกรุงเทพฯ ตอนเย็น
เริ่มด้วยอาหารเช้าของ Maryo Resort ที่เอร็ดอร่อย
08.00 น. check-out เดินทางต่อไปตอนเหนือของเชียงราย รถแล่นตามทางหลวงสาย 1 ข้ามแม่น้ำกก ขึ้นเหนือ ราว 30 กิโลเมตร ถึงอำเภอแม่จัน ผ่านโรงเรียนแม่จันวิทยาคม เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง 1130 เส้นทางลัดเลาะไปตามภูเขา ราว 8 กิโลเมตร ถึงไร่ชาฉุยฟง (Choui Fong Tea Plantation)
     ไร่ชาฉุยฟงบุกเบิกมาแต่ปี 1977 (พ.ศ. 2520) ทุกวันนี้มีพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ ที่ความสูงราว 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล อากาศเย็นและดินดีเหมาะแก่การปลูกชาอย่างยิ่ง ได้แก่ พันธุ์อัสสัม ชาเขียว ชาดำ และอู่หลง คุณภาพชาชั้นดี ได้รับรางวัลทั้งระดับประเทศและนานาชาติ เจ้าของผู้ก่อตั้งไร่ชาฉุยฟงคือ ทวี วนัสพิทักษกุล (ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2553) ปัจจุบันทายาทเป็นผู้ดูแล
     แปลงต้นชาปลูกเรียงเป็นระเบียบ ทอดไปตามเนินสูงต่ำของพื้นที่ แสงแดดยามเช้าส่องทำมุมเงา ขับให้แปลงชาเต็มภูเขานั้นงดงามยิ่ง หลายปีที่ผ่านมา ละครโทรทัศน์หลายเรื่องใช้ไร่ชาฉุยฟงนี้เป็นฉากถ่ายทำ ฉุยฟงจึงเป็นที่รู้จักและเป็นจุดท่องเที่ยวหนึ่งของเชียงราย
     การเดินชมแปลงต้นชา และนั่งจิบชากลางไร่ ช่างผ่อนคลายและรื่นรมย์จริงๆ

ออกจากไร่ชาฉุยฟง รถแล่นลัดเลาะเขาต่อตามทางหลวง 1130 ราว 30 กิโลเมตร แยกเข้าทางหลวง 1234 ไปอีก 3 กิโลเมตร ถึงดอยแม่สลอง อำเภอแม่ฟ้าหลวง ตอนเที่ยงวัน เราแวะซื้อผลไม้แห้ง และกินมื้อกลางวันที่ 'คุ้มนายพล' ซึ่งปรุงอาหารยูนนานอันเลื่องชื่อ...

สงครามกลางเมืองจีน (Chinese Civil War or Kuomintang-Communist Civil War, 國共內戰) ระหว่างกองทัพพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Communist Party of China) นำโดยเหมาเจ๋อตง (Mao Zedong, 1893-1976) และกองทัพรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งจีน (พรรคจีนคณะชาติ) (Kuomintang of China) นำโดยจอมทัพเจียงไคเชก (Generalissimo Chiang Kai-shek, 1887-1975) ดำเนินต่อเนื่องเป็นสองช่วงคือ ระหว่าง 1927-1936 และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่าง 1946-1950 การสู้รบส่วนใหญ่ยุติลงในปี 1949 โดยกองทัพพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นฝ่ายชนะ
     วันที่ 1 ตุลาคม 1949 เหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีปักกิ่งเป็นเมืองหลวง (เปลี่ยนชื่อจาก Beiping เป็น Beijing) ส่วนเจียงไคเชก และกำลังพลกว่า 2 ล้านนาย ต้องล่าถอยไปยังเกาะไต้หวัน ในเดือนธันวาคม 1949
     อย่างไรก็ตาม กรมทหารที่ 3 และ 5 แห่งกองพล 93 ไม่ยอมจำนน ยังคงสู้รบต่อไปในมณฑลยูนนาน ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ จนกระทั่งเดือนมกราคม 1950 กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์จีน เข้ายึดคุนหมิง เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน กรมทหารทั้งสอง รวมกำลังทหารกว่า 12,000 นาย ต้องตีฝ่าออกจากยูนนาน หนีเข้าไปในป่า เขตรัฐฉาน ประเทศพม่า กรมทหารที่ 3 บัญชาการโดยนายพลลีเหวินห้วน (Li Wen-huan) ส่วนกรมทหารที่ 5 บัญชาการโดยนายพลต้วนซีเหวิน (Tuan Shi-wen) การสู้รบไม่ยุติ เมื่อฝ่ายพม่าพบว่ามีกองกำลังต่างชาติหลบเข้ามาในดินแดนของตน
     มิถุนายน 1950 สงครามเกาหลีอุบัติขึ้น จีนส่งกองทัพเข้าร่วมกับฝ่ายเกาหลีเหนือ หน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา (Central Intelligence Agency, CIA) ซึ่งต้องการข้อมูลลับของฝ่ายจีนอย่างยิ่ง จึงเจรจากับนายพลก๊กมินตั๋งทั้งสองให้ส่งสายเข้าไปสืบข่าวในจีน แลกกับอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกา เพื่อกรมทหารทั้งสองใช้ในการตีเอาคืนแผ่นดินจีน อย่างไรก็ตาม ความพยายามกว่า 7 ครั้ง ระหว่างปี 1950-1952 ในการรุกเข้ามณฑลยูนนานไม่ประสบผลสำเร็จ กรมทหารก๊กมินตั๋งทั้งสองต้องถอยกลับมายังที่มั่นในรัฐฉานตามเดิม สงครามเกาหลียุติลงในปี 1953 แต่ฝ่ายก๊กมินตั๋งในรัฐฉานยังคงสู้รบกับทั้งกองทัพพม่าและกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (People's Liberation Army) โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลไต้หวัน
     ฝ่ายพม่าได้ร้องเรียนปัญหากองทหารก๊กมินตั๋งในดินแดนของตนไปยังสหประชาชาติหลายวาระ ที่สุดจึงมีการอพยพทหารหลายพันนายไปยังไต้หวัน หากอีกจำนวนไม่น้อยไม่ยินยอมย้ายถิ่น
     ปี 1961 (พ.ศ. 2504) นายพลต้วนซีเหวินนำกำลังกรมทหารที่ 5 กว่า 4,000 นาย ออกจากพม่ามาปักหลักที่ดอยแม่สลอง เชียงราย ขณะที่นายพลลีเหวินห้วนนำกำลังกรมทหารที่ 3 มาตั้งฐานที่ถ้ำงอบ อำเภอฝาง เชียงใหม่ ทั้งนี้โดยความยินยอมของรัฐบาลไทย (นายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์) ให้ที่ตั้งถิ่นฐาน แลกกับการให้ปกป้องพื้นที่จากการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ และให้เปลี่ยนชื่อกรมทหารก๊กมินตั๋งดังกล่าวเป็น 'กองกำลังนอกแบบ' (Chinese Irregular Force, CIF) ขึ้นตรงต่อกองบัญชาการพิเศษ รหัส '04'
     ในเวลาต่อมา 'กองกำลังนอกแบบ' ดังกล่าว ใช้ที่ดินถิ่นฐานดอยแม่สลองที่ได้รับ ปลูกฝิ่น และดำเนินธุรกิจค้าเฮโรอีน ขนานไปกับการแผ่อิทธิพลของขุนส่า (Khun Sa, 1934-2007) หรือจางซีฟู (Zhang Qifu) แห่งรัฐฉาน ประเทศพม่า ขุนส่าเป็นชาวไทใหญ่ ตอนวัยหนุ่มรับการฝึกทางทหารกับทัพก๊กมินตั๋งในรัฐฉาน แหล่งปลูกฝิ่นจึงขยายครอบคลุมอาณาบริเวณชายแดนพม่า-ไทย-ลาว โรงงานผลิตเฮโรอีนบริสุทธิ์ขยายตัว ทำเลนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ 'สามเหลี่ยมทองคำ' กว่าร้อยละ 80 ของเฮโรอีนในตลาดโลกผลิตที่นี่ และมีความบริสุทธิ์ถึง 90 เปอร์เซนต์ ถือเป็นเฮโรอีนคุณภาพสูง!
     นายพลต้วนซีเหวิน ให้สัมภาษณ์นักข่าวอังกฤษจาก Weekend Telegraph (London) ตีพิมพ์ฉบับวันที่ 10 มีนาคม 1967 ว่า 'เรายังคงต่อสู้กับความชั่วร้ายของคอมมิวนิสต์ ในการสู้รบเราต้องมีกองทัพ กองทัพต้องมีอาวุธ และอาวุธต้องใช้เงินซื้อ ในเทือกเขานี้ ฝิ่นคือเงิน'
     เมษายน 1970 (พ.ศ. 2513) รัฐบาลย้ายนายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เพื่อดูแลปัญหากองกำลังก๊กมินตั๋งและภัยจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) วันที่ 20 กันยายน 1970 (พ.ศ. 2513) ผู้ว่าฯ และคณะตำรวจ ทหาร เดินทางไปบ้านห้วยกว๊าน ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน เพื่อรับมอบตัว ผกค. กว่า 30 คน ตามที่ผู้ใหญ่บ้านห้วยกว๊านแจ้งมา แต่กลับถูกล้อมยิง นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พ.ต.อ. ศรีเดช ภูมิประหมัน ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และ พ.อ. จำเนียร มีสง่า ผู้ช่วยหัวหน้ากองข่าว กองทัพภาคที่ 3 เสียชีวิต
     ภายหลังเหตุการณ์ รัฐบาล (นายกรัฐมนตรี จอมพลถนอม กิตติขจร) สั่งให้กองกำลังก๊กมินตั๋งเข้าร่วมกับกองทัพไทยต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่รุกคืบเข้าใกล้ชายแดนทางเหนือของไทย การรบนองเลือดเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 1970 (พ.ศ. 2513) แถบดอยหลวง ดอยยาว ดอยผาหม่น ในระยะเวลาห้าปี ทหารก๊กมินตั๋งเสียชีวิตไปกว่าพันคน จนกระทั่งปี 1982 (พ.ศ. 2525) ฝ่ายคอมมิวนิสต์ถูกปราบปราม การสู้รบยุติ กองกำลังก๊กมินตั๋งสามารถวางอาวุธและปลดจากหน้าที่กลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่ดอยแม่สลอง รัฐบาลไทยได้มอบสถานะพลเมืองให้แก่ทหารก๊กมินตั๋งและครอบครัว เพื่อตอบแทนการร่วมรบดังกล่าว
     นายพลต้วนซีเหวิน ถึงแก่กรรม เมื่อปี 1980 (พ.ศ. 2523) สุสานที่ฝังร่างตั้งอยู่บนเนินเหนือหมู่บ้าน ระดับความสูงประมาณ 1,300 เมตร
     ดอยแม่สลองเป็นหนึ่งในพื้นที่ผลิตเฮโรอีนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่งปลายทศวรรษ 1980 ภายหลังกองทัพขุนส่าถูกขับไล่และผลักดันกลับเข้าพม่าโดยกองทัพไทยแล้ว รัฐบาลจึงสามารถควบคุมพื้นที่ดังกล่าวได้ ให้เปลี่ยนจากการปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจอื่น และเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็น 'สันติคีรี'
     ดอยแม่สลองเป็นเขตอันตราย เป็นเขตหวงห้ามนานหลายทศวรรษ จนถึงปี 1994 (พ.ศ. 2537) รัฐบาลจึงเปิดให้คนภายนอกสามารถเข้าเยือนหมู่บ้านชาวจีนจากยูนนาน อดีตกองกำลังก๊กมินตั๋ง ที่ตั้งในแผ่นดินไทยนี้ได้

หลังอาหารกลางวัน เรานั่งรถขึ้นเขาไปยังพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี
ระหว่างทางและบริเวณพระธาตุ นางพญาเสือโคร่งหลายต้น ยังมีดอกสีชมพูบานงดงาม น่าเสียดายที่ตอนนี้ดอกน้อยลง หลังบานสะพรั่งเมื่อ 1-2 สัปดาห์ก่อน
     นางพญาเสือโคร่ง (Wild Himalayan Cherry; Prunus cerasoides) เป็นพืชดอกในสกุล Prunus ออกดอกช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พบทั่วไปบนภูเขา ความสูง 1,200-2,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล กระจายพันธุ์ตามธรรมชาติทางตอนเหนือของประเทศไทย ได้รับฉายาว่า 'ซากุระเมืองไทย' เพราะมีลักษณะคล้ายซากุระในประเทศญี่ปุ่น (Prunus x yedoensis) ส่วนญี่ปุ่นเรียกนางพญาเสือโคร่งนี้ว่า ヒマラヤザクラ (หิมาลายาซากุระ) หมายถึงซากุระจากหิมาลัย
     พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของดอยแม่สลองที่ระดับ 1,500 เมตร ห่างจากหมู่บ้านสันติคีรี 4 กิโลเมตร สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2539 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พ.ศ. 2443-2538) ทรงเจดีย์แบบล้านนาประยุกต์ บนฐานสี่เหลี่ยมชั้นลด สูง 30 เมตร ฐานกว้างด้านละ 15 เมตร ประดับกระเบื้องสีเทา มีซุ้มจระนำด้านละสามซุ้ม เรือนธาตุประดับพระพุทธรูปยืนสี่ทิศ องค์ระฆังประดับแผ่นทอง แกะสลักลวดลาย
     ใกล้กับองค์เจดีย์เป็นวิหารแบบล้านนาประยุกต์ ภายในกำลังซ่อมแซม

จากดอยแม่สลอง เดินทางกลับเมืองเชียงราย ระยะทาง 63 กิโลเมตร ใช้เวลานานด้วยทางภูเขา
16.00 น. ถึง 'บ้านดำ' ตำบลนางแล...

   
ข้อมูลค้นจาก
     chouifongtea.com
     chiangraifocus.com
     wikipedia.org
     tourismchiangrai.com
   

September 14, 2016

Chiang Rai: โฮงยาไทย: 14.01.2016

หลังอาหารเช้า check-out ออกเดินทาง 08.00 น.
แวะรับหมอฝนตรงปากทางเข้ามหาวิทยาลัยพายัพ เมื่อคืนคุณพ่อมารับลูกสาวไปนอนบ้าน เช้านี้มาส่งกลับเข้าคณะไปเชียงรายต่อ จึงเป็นโอกาสดีที่พวกเราได้พบกับคุณพ่อหมอฝนด้วย
     ออกจากเชียงใหม่ไปตามทางหลวง 118 ราว 42 กิโลเมตร เข้าเขตอำเภอดอยสะเก็ด เชียงใหม่ เราแวะชมไร่ลุงแปด แนวเขาที่เป็นฉากหลังส่งให้ไร่งดงาม ชวนเดินเล่น อีกทั้ง strawberry ที่เพิ่งเก็บมาก็แสนอร่อย
     จากไร่ลุงแปด รถแล่นต่อไปราว 26 กิโลเมตร เขตอำเภอเวียงป่าเป้า เชียงราย ถึง Coffee View ร้านกาแฟริมทาง ด้านในเป็นหุบลึกลงไป มีทะเลสาบ และแนวต้นสนปลูกเรียงรายริมทะเลสาบ ไกลออกไปมองเห็นทิวเขาสลับ แดดอ่อนโยนยามเช้าหน้าหนาว มุมแสงกำลังงาม ที่นั่งจิบกาแฟเช่นนี้ช่างน่าอภิรมย์จริงๆ
     เดินทางต่ออีก 120 กิโลเมตร ถึงเมืองเชียงราย
     12.30 น. กินมื้อกลางวันที่ร้านน้ำเงี้ยวป้าสุด อยู่หลังโรงพยาบาลเชียงราย หมออาดา ศิษย์เก่ากุมารศัลยศาสตร์ของเรา มารออยู่แล้ว รวมทั้งหมอปูเป้ จากโรงพยาบาลแจ้ห่ม ลำปาง ก็มาด้วย หมอปูเป้รับทุนต้นสังกัดโรงพยาบาลเชียงราย จะไปฝึกอบรมกุมารศัลยศาสตร์ที่โรงพยาบาลเด็กปีการศึกษา 2559 (เริ่มกรกฎาคม 2559) น้ำเงี้ยวพื้นเมืองขนานแท้ รสชาติอร่อยถูกใจทุกคน
     หลังอาหาร เจ้าบ้านพาเข้าไปในโรงพยาบาล

โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์  
     การอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎร เปลี่ยนแปลงการปกครองของสยาม จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎรได้ประกาศแนวทางการปกครองประเทศด้วยหลัก 6 ประการ ข้อสำคัญหนึ่งคือรัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลราษฎรทุกคนอย่างเสมอภาค
     ต่อมารัฐบาลพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระหว่าง พ.ศ. 2476-2481) ได้ประกาศพระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2477 อันเป็นรากฐานสำคัญของการสาธารณสุข กล่าวคือให้จัดตั้งเทศบาลขึ้นทั่วประเทศแทนสุขาภิบาล โดยเทศบาลเป็นสถาบันส่งเสริมการสาธารณสุขตามหัวเมืองชนบท นอกจากนี้ ให้กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย จัดทำโครงการสร้างโรงพยาบาลขึ้นทุกจังหวัด
     ในชั้นต้นให้จัดสร้างโรงพยาบาลตามชายแดนก่อน เพื่อแสดงเกียรติภูมิของชาติไทยแก่ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เรียกว่า นโยบาย 'อวดธง'
     เริ่มที่จังหวัดชายแดนด้านติดกับลาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีน อาณานิคมของฝรั่งเศส ทั้งนี้เพื่ออวดธงไทยแก่พี่น้องชาวลาว เป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยในยุคประชาธิปไตยเอาใจใส่ห่วงใยชีวิตความเป็นอยู่ และความเจ็บไข้ของราษฎรไทยในท้องถิ่นห่างไกล รวมทั้งพี่น้องในประเทศเพื่อนบ้านตามชายแดนด้วย
     โรงพยาบาลที่สร้างขึ้นตามนโยบายอวดธงในยุคแรก ได้แก่ โรงพยาบาลประจำจังหวัดอุบลราชธานี  หนองคาย และนครพนม
     ต่อมาในปี พ.ศ. 2479 พระพนมนครานุรักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มีดำริที่จะสร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัดเชียงราย ตามนโยบายอวดธงของรัฐบาล เช่นเดียวกับที่เคยทำสำเร็จมาแล้วที่นครพนม สมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น ด้วยเห็นว่าเชียงรายตั้งอยู่เหนือสุดของประเทศ มีอาณาเขตติดต่อกับพม่า อาณานิคมของอังกฤษ และลาว อาณานิคมของฝรั่งเศส เหมาะอย่างยิ่งที่จะจัดสร้างโรงพยาบาลอวดธงให้เป็นที่ประจักษ์แก่เพื่อนบ้าน
     เนื่องจากแต่เดิมท่านเคยเป็นปลัดจังหวัดเชียงรายมาก่อน รู้จักมักคุ้นกับคหบดี พ่อค้า และประชาชนทั่วไป รวมทั้งชาวต่างประเทศที่ประกอบกิจการป่าไม้และยาสูบในเชียงรายเป็นอย่างดี จึงมีแนวคิดสร้างโรงพยาบาลด้วยเงินบริจาคของคนในจังหวัดโดยไม่ต้องขอเงินงบประมาณของรัฐ
     แนวคิดของท่านได้รับการตอบสนองอย่างดีจากชาวเชียงราย ในการนี้ขุนวิศิษฐอุดรการ และขุนสุวรรณรัตนราช คลังจังหวัด เป็นผู้ดำเนินการรับบริจาคจากประชาชน ในหมู่พ่อค้า เถ้าแก่โรงสี นำโดยคุณมุ่ย เตวิทย์ และคุณนายแห่งเชียงราย หลวงพิศิษฐไกรกร หลวงศรีนครานุกูล และเจ้าแม่ไหวแห่งพะเยา พากันสละทุนทรัพย์เป็นตัวอย่างและช่วยบอกบุญต่อๆ กันไป
     นอกจากนั้น คุณสีหศักดิ์ และคุณนายกิมเฮียะ ไตรไพบูลย์ ได้อุทิศที่ดินตำบลสันโค้ง จำนวน 19 ไร่ รวมทั้งประชาชนซึ่งมีที่ดินข้างเคียงร่วมบริจาคให้เป็นจำนวนพอสมควร เป็นที่ก่อสร้างโรงพยาบาล
     โรงพยาบาลเปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2480 ชื่อ 'โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์' ด้วยสร้างขึ้นโดยเงินบริจาคของประชาชนชาวเชียงรายล้วนๆ มิได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินเลย
     เมษายน พ.ศ. 2480 กรมสาธารณสุขมีคำสั่งให้นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว (พ.ศ. 2454-2554) จากโรงพยาบาลนครสวรรค์ ไปเป็นแพทย์คนแรกของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ที่เปิดใหม่
     เดิมเชียงรายมีโรงพยาบาลอยู่แล้ว 1 แห่ง คือโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ก่อตั้งโดยคริสตจักรโอเวอร์บรุ๊ค รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เปิดทำการตั้งแต่ พ.ศ. 2446 ชาวบ้านเรียกขานว่า 'โฮงยาฝรั่ง'
     ดังนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 ชาวเชียงรายจึงมี 'โฮงยาไทย' เป็นที่พึ่งยามเจ็บป่วยเป็นของตนเองอย่างแท้จริง
     ปัจจุบันโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์เป็นโรงพยาบาลศูนย์ จำนวนเตียงกว่า 750 เตียง เนื้อที่ 67 ไร่...

ที่ห้องประชุม ทีมเชียงรายรออยู่แล้ว ได้แก่ หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม หัวหน้าหน่วยกุมารศัลยกรรม (หมอสุรพล) หมอและพยาบาลหลายท่าน ฝ่ายเหย้าและฝ่ายเยือนแนะนำตัว บรรยากาศเป็นกันเองอย่างยิ่ง
     หมออาดาบรรยายภาพรวมของโรงพยาบาล และสรุปงานกุมารศัลยกรรม จำนวนคนไข้นับว่ามากสำหรับกุมารศัลยแพทย์ที่มีเพียง 2 คน
     หมอฝนพูดเรื่อง Minimally Invasive Surgery (MIS) ตามที่หมออาดาประสานไว้ล่วงหน้า
     จากนั้นไปเดินชมสถานที่ หอผู้ป่วยเด็ก nursery NICU ห้องผ่าตัด ที่ทางคับแคบ สภาพเก่า แต่คนไข้จำนวนมาก
     แม้กายภาพของ 'โฮงยาไทย' เก่าและแออัด แต่ผู้คนในกลุ่มงานศัลยกรรมต่างกระตือรือร้น ผ่อนคลายและเป็นมิตร

16.00 น. ออกจากโรงพยาบาล หมออาดาและหมอปูเป้เป็นมัคคุเทศก์พาชมบ้านเมือง

ไร่บุญรอด
     อยู่ห่างจากเมืองเชียงรายไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 16 กิโลเมตร
     บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ทำไร่นี้เมื่อ พ.ศ. 2526 เดิมปลูกข้าวบาร์เลย์ วัตถุดิบหลักในการผลิตเบียร์ ต่อมาเปลี่ยนไปปลูกพืชหลายชนิด อาทิ ชาอู่หลง สายพันธุ์ Jin Xuan จากไต้หวัน กว่า 600 ไร่ ยางพารา 2,700 ไร่ พุทรา 100 ไร่ และพืชผักผลไม้เมืองหนาวหลากหลาย ทุกวันนี้มีพื้นที่กว่า 8,000 ไร่
     ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 ไร่บุญรอดเปิดรับนักท่องเที่ยวในลักษณะฟาร์มทัวร์ นำชมทุ่งคอสมอส (ดาวกระจาย) ทุ่งดอกไม้สีสันสวยงาม ปอเทือง ไร่ชา แปลงผักผลไม้ ทะเลสาบฝูงหงส์ คอกยีราฟ ม้าลาย และ Zipline Tower
     เราไปถีงไร่ 16.30 น. ถัดจากที่จอดรถ เป็นเนินหญ้าเขียวเรียบโล่งกว้าง มีรูปปั้นสิงห์สีทองขนาดใหญ่ โลโก้ที่คุ้นตาของบริษัท ยืนเด่นอยู่ เราเดินเล่นไปตามทาง ผ่านแปลงดอกไม้สีสดงดงาม ไปจนถึงศูนย์กีฬาและสันทนาการ หมออาดากับหมอปูเป้พากันไปโหนสลิงที่ Zipline Tower จากความสูงเท่าตึกเก้าชั้น ระยะทางสลิงราว 1,400 เมตร ชมทิวทัศน์รายทางเบื้องล่างอย่างสนุก พวกที่ไม่อาจหาญแบบสองสาวค่อยเดินผ่อนคลายไปบริเวณ Farm Fest
     พื้นที่เนินเขาอันกว้างขวาง อากาศบริสุทธิ์ เย็นสบาย รู้สึกเป็นอิสระอย่างยิ่ง หากให้ฉงนว่า ที่ดินกว่า 8,000 ไร่ เขารวบรวมมาได้อย่างไรหนอ?

จากไร่บุญรอด รถพากลับเข้าเมือง check-in ที่ Maryo Resort ถนนสันโค้งหลวง 5
19.00 น. ออกไปงานดอกไม้งามที่ขึ้นชื่อของเชียงราย

สวนตุงและโคมนครเชียงราย
     พื้นที่กว่า 11 ไร่ ถนนธนาลัย ย่านการค้าเทศบาล เดิมเป็นที่ตั้งเรือนจำกลางจังหวัดเชียงราย เปิดเมื่อปี พ.ศ. 2451 ต่อมาจำนวนนักโทษเพิ่มมากขึ้นถึง 6,000 คน สภาพแออัดและเครียด นักโทษก่อเหตุวางเพลิงเพื่อหลบหนีบ่อยครั้ง เป็นที่วุ่นวาย นอกจากนี้ เรือนจำยังทรุดโทรม ปล่อยน้ำทิ้งโดยไม่มีระบบบำบัดน้ำเสีย ก่อปัญหาแก่ชุมชนรอบข้าง เป็นเหตุให้เกิดการต่อต้านและเรียกร้องให้ย้ายเรือนจำออกนอกเมือง
     ปลายปี พ.ศ. 2542 เรือนจำจึงได้ย้ายไปที่อยู่ใหม่ พื้นที่กว่า 200 ไร่
     จากนั้น เทศบาลนครเชียงราย เข้าปรับภูมิทัศน์ อาทิ รื้อถอนกำแพงคุก รื้อเรือนคุมขังนักโทษ ปรับปรุงตึกอำนวยการซึ่งมีสถาปัตยกรรมเก่าที่งดงามเป็นศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยี บูรณะเรือนไม้คุมขังนักโทษหญิงเป็นอาคารแสดงศิลปวัฒนธรรมการแต่งกายพื้นเมืองล้านนา 30 ชนเผ่า พื้นที่ภายนอกจัดเป็นสนามกีฬา สนามเด็กเล่น สระบัว และสวนตุง
     นับแต่ พ.ศ. 2547 จังหวัดจัดงานเชียงรายดอกไม้งาม เป็นงานประจำปีในช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นครั้งที่ 12 จัด ณ สวนตุงและโคมนครเชียงราย
     ดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์กว่า 30 ชนิด อาทิ ทิวลิป ลิลลี่ พิทูเนีย บลูฮาวาย จำนวนกว่า 1 ล้านต้น ถูกจัดตกแต่งเป็นสวนดอกไม้งดงาม กลิ่นหอมอบอวล มีละอองไอน้ำพ่นให้ความชุ่มชื้น เกิดเป็นม่านหมอก เป็นภาพราวกับความฝัน นอกจากนี้ ยังมีอุโมงค์ไม้ดอกมงคล ประติมากรรมดอกไม้ บ้านดอกไม้ ล้วนงามยิ่ง
     ผู้คนเดินชื่นชมสวนกลางเมืองนี้อย่างรื่นรมย์ องค์ประกอบและบรรยากาศชวนให้ผ่อนคลาย สงบสุข
     ผมหวนคำนึงถึงไฟประดับลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ราคา 39 ล้านบาท!...
     ลานคนเมือง ลานซีเมนต์ใหญ่ ไร้ต้นไม้ ไร้รสนิยม รู้สึกถึงไอร้อนระอุ ต่างจากบริเวณโดยรอบชัดเจน ลานคนเมืองนี้ ขุดเจาะทำที่จอดรถใต้ดิน ด้านบนทำเป็นลานซีเมนต์โล่งโจ้ง นัยว่าไว้จัดกิจกรรมรองรับฝูงคนจำนวนมาก สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2543 สมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
     ไฟประดับลานคนเมือง ติดตั้งให้ชมตั้งแต่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ถึง 30 มกราคม พ.ศ. 2559 นัยว่าเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ตามนโยบายมหานครแห่งความสุข ใช้งบฉุกเฉิน และผู้รับเหมาได้เข้าติดตั้งไฟดังกล่าว ก่อนกรุงเทพมหานครประกาศผลการประกวดราคา และก่อนการทำสัญญาจ้าง โครงการนี้เป็นของหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ุ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
     ...รสนิยมของเชียงรายกับกรุงเทพมหานคร ต่างกันเกินไป!

20.00 น. เราเดินจากสวนตุงฯ ไปร้านคุณตุล ถนนบรรพปราการ ใกล้หอนาฬิกา
โรงพยาบาลเชียงรายเป็นเจ้าภาพเลี้ยงมื้อค่ำแก่คณะของเรา
22.00 น. ร่ำลาและขอบคุณเจ้าบ้านสำหรับมิตรภาพและน้ำใจ
คืนนี้ เราพักค้างแรมที่ Maryo Resort

เชียงราย นครล้านนาที่น่าอยู่ ผู้คนอ่อนโยน อัธยาศัยดี ภูมิศาสตร์งดงาม
'โฮงยาไทย' ทำหน้าที่แข็งขัน รับผิดชอบ น่านิยม


ข้อมูลค้นจาก
     สันติ ตั้งรพีพากร. ชีวิตที่ลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ: ชีวประวัติ ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์สายธาร. 2544.
     crhospital.org
     wikipedia.org
     singhapark.com
     chiangraifocus.com
   

August 24, 2016

Lampang-Lamphun: สองนคร สองพระธาตุ: 13.01.2016

07.55 น. บางกอก ATR 72-500 แบบใบพัด สองเครื่องยนต์ 70 ที่นั่ง บินจากสุวรรณภูมิ
อีก 1.30 ชั่วโมงต่อมา เครื่องร่อนลงสนามบินลำปางอย่างนุ่มนวล
โครงการเยี่ยมศิษย์เก่ากุมารศัลยศาสตร์ปีนี้ กำหนดเยือนลำปางและเชียงราย คณะเรารวม 6 คน
หมอภาคและหมอนวลมารอรับ พาขึ้นรถตู้ ตรงไปโรงพยาบาลลำปางทันที ระยะทางไม่ถึง 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 6-7 นาที

โรงพยาบาลลำปางเป็นโรงพยาบาลศูนย์ของภาคเหนือตอนบน ขนาดกว่า 860 เตียง บริเวณกว้างขวางเกือบ 70 ไร่ ตึกรามไม่สูง ไม่เบียดเสียด พื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ การปิดปรับปรุงตึกเก่าทยอยทำต่อเนื่องได้โดยสะดวก ตึกเก่าจึงไม่ทรุดโทรม แวดล้อมร่มรื่นสบายตาสบายใจ
     เจ้าบ้านพาคณะเราไปยังห้องประชุม ตึกศัลยกรรมทรวงอก หมอภาคนำเสนอข้อมูลพื้นฐานของโรงพยาบาล เขตรับผิดชอบ และรายละเอียดของหน่วยกุมารศัลยกรรม ปริมาณงานเหมาะสมกับจำนวนกุมารศัลยแพทย์ที่มีอยู่ 2 คน
     จากนั้นไปเดินชมสถานที่ เริ่มด้วยห้องผ่าตัด จำนวน 24 ห้อง สร้างใหม่อายุราว 2 ปี สภาพเรียบร้อย สะอาด เป็นห้องผ่าตัดทันสมัยที่พึงประสงค์ สะท้อนวิสัยทัศน์และฝีมือของฝ่ายบริหารได้อย่างดี
     หอผู้ป่วยไม่แออัด
     ER เพดานสูง กว้างขวาง แต่ละเตียงมีพื้นที่เพียงพอสำหรับรับมืองานฉุกเฉินชุลมุน
     ภูมิศาสตร์ของโรงพยาบาล คนไข้ไม่ล้นแออัด จำนวนแพทย์เหมาะสมกับงาน บรรยากาศผ่อนคลาย โรงพยาบาลลำปางจึงนับเป็นที่ทำงานที่ดียิ่ง

12.30 น. กินมื้อกลางวัน ที่ร้าน 'ของกิ๋นบ้านเฮา' ถนนจามเทวี บริเวณร่มรื่นด้วยสวนต้นไม้ใหญ่ อากาศเย็นสบาย อาหารพื้นเมืองเหนือขนานแท้ ภรรยาหมอภาค (อดีตพยาบาลหอผู้ป่วยศัลยกรรม โรงพยาบาลเด็ก) และพี่ชายหมอเอิง (อัยการจังหวัดลำปาง) ตามมาสมทบ เป็นโอกาสดีที่ได้พบปะครอบครัวด้วย

ช่วงบ่าย หมอนวลเป็นมัคคุเทศก์พาคณะเราไปเยือนสถานที่สำคัญ
วัดพระธาตุลำปางหลวง
     ตั้งอยู่ในเขตตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา ห่างจากเมืองลำปางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 18 กิโลเมตร วัดตั้งอยู่บนเนินสูง การจัดวางผังและองค์ประกอบของวัดสมบูรณ์แบบ จากถนนหน้าวัดด้านทิศตะวันออกมีบันไดนาคนำขึ้นสู่ซุ้มประตูโขง ผ่านซุ้มประตูโขงเข้าไปเป็น วิหารหลวง และพระธาตุเจดีย์ ทิศเหนือขององค์พระธาตุ มีวิหารน้ำแต้ม ทิศตะวันตกมี วิหารละโว้ และหอพระพุทธบาท ทิศใต้มี วิหารลายคำ (วิหารพระพุทธ) และอุโบสถ ทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสี่ด้าน กำแพงแก้วด้านทิศใต้มีประตูเปิดเข้าเขตสังฆาวาส ซึ่งประกอบด้วยหอพระไตรปิฎก กุฏิประดิษฐานพระแก้วดอนเต้า พิพิธภัณฑ์ และกุฏิสงฆ์
     บันไดนาค
        บันไดทางขึ้นด้านหน้าเป็นรูปพญานาคทั้งสองข้าง เชิงบันไดมีรูปสิงห์ปูนปั้นขนาดใหญ่สองตัว สร้างในสมัยพระเจ้าดวงทิพย์ เจ้าผู้ครองนครลำปาง (ครอง พ.ศ. 2337-2368)
     ประตูโขง
        เป็นอาคารทรงมณฑป มียอดแหลมซ้อนหลายชั้น โครงสร้างก่ออิฐถือปูน แต่งลายปูนปั้นรูปดอกไม้ ช่องทางเดินตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก เหนือช่องทางเดินประดับซุ้มโค้งซ้อน 2 ชั้น ลวดลายวิจิตร ประตูโขงนี้ใช้เป็นสัญลักษณ์เมืองในตราประจำจังหวัดลำปาง
     วิหารหลวง
        เป็นวิหารประธานของวัด ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงวิหารโล่งแบบล้านนายุคแรก หลังคาจั่วสามชั้นลด ด้านในตามแนวคอสอง มีภาพเขียนสีโบราณเรื่องชาดก บริเวณท้ายวิหารมีกู่ทรงมณฑปประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง พระพุทธรูปซึ่งหล่อขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2019
     พระธาตุเจดีย์
        องค์พระเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา หุ้มด้วยแผ่นทองเหลืองสลักดุนลายที่ภาษาถิ่นพายัพเรียก 'ทองจังโก' (หรือ 'ทองสักโก' เอกสารบางฉบับเรียก 'ทองจังโกฎก์') แต่ละแผ่นลวดลายต่างกัน ล้วนละเอียดประณีตงดงาม ฐานพระเจดีย์สูงหลายชั้นทรงสี่เหลี่ยมย่อมุม ลักษณะศิลปะเชียงแสนรุ่นหลัง (พุทธศตวรรษที่ 21-22)
     วิหารน้ำแต้ม
        เป็นวิหารทิศตั้งอยู่ทางเหนือขององค์พระธาตุเจดีย์ เครื่องไม้ ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปร่างและสัดส่วนงดงาม บนแผงไม้คอสองมีภาพเขียนสีโบราณเก่าแก่ วิหารน้ำแต้มเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง 45 นิ้ว
     หอพระพุทธบาท
        เป็นสถาปัตยกรรมก่ออิฐทรงสี่เหลี่ยม ฐานสร้างครอบรอยพระพุทธบาท สร้างขึ้นสมัยเจ้าหาญแต่ท้อง เมื่อปี พ.ศ. 1992 ภายในมองเห็นภาพหัวกลับของพระธาตุเจดีย์และพระวิหารจากแสงที่หักเหผ่านช่องผนังเข้ามา (ตามหลักการ 'กล้องรูเข็ม')
     วิหารลายคำ (วิหารพระพุทธ)
        เป็นวิหารทิศใต้ ตามจักรวาลคติ มีองค์พระธาตุเจดีย์เป็นศูนย์กลาง สร้างขึ้นเป็นวิหารหลังแรก คู่กับวิหารน้ำแต้ม เมื่อปี พ.ศ. 2019 สมัยพระเจ้าติโลกราช (ครองราชย์ พ.ศ. 1985-2031) เดิมเป็นวิหารโล่ง ภายในประดิษฐานพระเจ้าองค์หลวงเมืองเขลางค์ พระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย
        ส่วนที่งดงามยิ่งของวิหารนี้คือ 'ลายคำ' ศิลปะการลงรักปิดทองแบบล้านนา ประดับตกแต่งพื้นที่สำคัญของวิหาร อาทิ ขื่อม้าตั่งไหม (โครงสร้างเครื่องบนของวิหาร) เสา ผนัง และแผงไม้คอสอง ลายคำที่ลวดลายเป็นระเบียบสอดคล้องกัน เป็นความงดงาม ส่งเสริมให้เกิดความศรัทธา ความสุขสงบ
        นอกจากนี้ ยังปรากฏภาพหัวกลับของพระธาตุเจดีย์จากแสงที่หักเหผ่านช่องผนังเข้ามา

วัดพระธาตุลำปางหลวง ศิลปสถาปัตยกรรมล้านนางดงาม ทรงคุณค่า อายุกว่า 500 ปี เป็นวัดเก่าคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณกาลที่ยังคงทำหน้าที่ศาสนสถานจนถึงทุกวันนี้ วัดพระธาตุลำปางหลวงจึงเป็นโบราณสถานสำคัญที่มีชีวิต

จากลำปางต่อไปยังลำพูน ด้วยกำหนดการคืนนี้เราจะค้างแรมที่เชียงใหม่ เพื่อเดินทางไปเชียงรายพรุ่งนี้เช้า
     ออกจากวัดพระธาตุลำปางหลวงไปตามถนนสาย 1034 ราว 11 กิโลเมตร บรรจบกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง (11) เมื่อเข้าเขตลำพูนเราแวะ Delizia Garden ร้านกาแฟริมทาง แวดล้อมด้วยสวนสวย แดดยามบ่ายมุมแสงงดงาม อากาศเย็นสบาย กาแฟดำจึงอร่อยยิ่ง
     เดินทางต่อไปตามสาย 11 ประมาณ 20 กิโลเมตร เบี่ยงซ้ายเข้าทางหลวง 114 อีกราว 10 กิโลเมตร ถึงเมืองลำพูน รวมระยะทางจากลำปาง 70 กิโลเมตร

วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร
     ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลำพูน ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 150 เมตร สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 รัชสมัยพญาอาทิตยราช กษัตริย์แห่งจามเทวีวงศ์
     จากถนนรอบเมืองใน ด้านทิศตะวันออก เป็นทางเข้าหน้าวัด ผ่านซุ้มประตูโขงเข้าไปเป็น วิหารหลวง และพระธาตุเจดีย์ ทิศเหนือขององค์พระธาตุ มีวิหารพระละโว้ และวิหารพระพันตน ทิศตะวันตกมี วิหารพระทันใจ ทิศใต้มี วิหารพระพุทธ และวิหารพระบาทสี่รอย ทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสี่ด้าน ริมกำแพงด้านทิศเหนือตรงมุมด้านตะวันตกมีวิหารพระกลักเกลือ ถัดมาเป็นสุวรรณเจดีย์ (ปทุมวดีเจดีย์) และวิหารพระไสยาสน์ ผังและองค์ประกอบทั้งมวลงดงามสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง
     ประตูโขง
        โครงสร้างก่ออิฐถือปูน ประดับลวดลายวิจิตรพิสดาร ประกอบด้วยซุ้มยอดเป็นชั้นๆ เบื้องหน้าซุ้มประตูมีสิงห์ใหญ่คู่หนึ่งยืนเป็นสง่า บนแท่นสูงประมาณ 1 เมตร สิงห์คู่นี้ปั้นขึ้นในสมัยพญาอาทิตยราช เมื่อทรงถวายวังให้เป็นสังฆาราม
     วิหารหลวง
        เป็นวิหารที่บูรณะขึ้นใหม่ แทนวิหารเดิมที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2054 สมัยพระเมืองแก้ว กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ และต่อมาถูกลมพายุใหญ่พัดพังยับเยินเมื่อปี พ.ศ. 2458
        วิหารหลวง ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาจั่วสามชั้นลด หน้าบันและโก่งคิ้วใต้หน้าบัน ศิลปะล้านนา ลายจำหลักไม้ลงรักปิดทองงดงาม มีพระระเบียงโดยรอบ ภายในวิหารหลวงเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วขาว พระเสตังคมณีศรีเมืองหริภุญชัย ประทับนั่งเหนือบุษบก
     พระธาตุเจดีย์
        เป็นโบราณสถานสำคัญที่พญาอาทิตยราช สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 17 เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เดิมเป็นสถูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาท มีซุ้มทวารทะลุกันสี่ด้าน ก่อด้วยศิลาแลง เมื่อพญามังรายตีเมืองหริภุญชัยได้ โปรดให้ซ่อมแซมดัดแปลงองค์พระธาตุจากสถูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาทเป็นเจดีย์ฐานกลมแบบลังกา ปี พ.ศ. 1951 พระเจ้าแสนเมืองโปรดให้ปิดทององค์พระธาตุ ต่อมาปี พ.ศ. 1990 พระเจ้าติโลกราชแห่งนครเชียงใหม่ โปรดให้ก่อพระธาตุเจดีย์สูงขึ้นเป็น 92 ศอก กว้าง 52 ศอก เป็นรูปร่างที่เห็นในปัจจุบัน
        ฐานปัทม์แบบบัวลูกแก้วย่อเก็จ ถัดขึ้นไปเป็นฐานเขียงกลมสามชั้น รับฐานบัวลักษณะคล้ายมาลัยเถาสามชั้น ตั้งรับองค์ระฆังกลม องค์ระฆังประดับลวดลายดอกไม้สี่กลีบโดยรอบ ระหว่างดอกไม้สี่กลีบมีการดุนนูนเป็นภาพพระพุทธรูป เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์ย่อมุม ปล้องไฉน และปลียอดบนสุดเป็นฉัตรเก้าชั้น
        นอกจากนี้พระเจ้าติโลกราชโปรดให้ก่อกำแพงโดยรอบพุทธาวาสเพื่อป้องกันรักษาองค์พระธาตุอีกชั้นหนึ่ง ให้ก่อสร้างซุ้มประตูโขงประดับลวดลายปูนปั้นอย่างงดงามทั้งสี่ทิศ (ปัจจุบันคงเหลือแต่ซุ้มประตูโขง ทางทิศตะวันออก และทิศใต้)
        ปี พ.ศ. 2054 พระเมืองแก้ว กษัตริย์นครเชียงใหม่ โปรดให้หุ้มองค์พระธาตุด้วยแผ่นทองจังโก (หรือทองสักโก หรือทองจังโกฎก์) โปรดให้สร้างระเบียงหอก ทำด้วยทองเหลืองจากเมืองเชียงแสน เป็นรั้วล้อมโดยรอบองค์พระธาตุ
     หอระฆัง
        ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวิหารหลวง สร้างโดยพระครูพิทักษ์เจติยานุกิจ (ครูบาคำฟู) เมื่อ พ.ศ. 2481 ชั้นบนแขวนระฆังซึ่งหล่อขึ้นในสมัยเจ้าหลวงดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน ชั้นล่างห้อยกังสดาลซึ่งหล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2403 ฝีมือครูบาสูงเม่น
     หอไตรหรือหอธรรม
        ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวิหารหลวง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2053 ในสมัยพระเมืองแก้ว เป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์พระไตรปิฎก หอไตรเป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นเครื่องไม้ บันไดขึ้นทางด้านหน้า สองข้างบันไดมีสิงห์โตหินประดับที่หัวเสา ตัวอาคารประกอบด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจกสวยงาม มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หลังคาลดชั้น มุงด้วยแผ่นดีบุก ประดับด้วยช่อฟ้าใบระกาหางหงส์
     สุวรรณเจดีย์ (ปทุมวดีเจดีย์)
        ตั้งอยู่ริมกำแพงแก้วทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือขององค์พระธาตุ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 โดยพระนางปทุมวดี อัครมเหสีของพญาอาทิตยราช ลักษณะแบบเดียวกับเจดีย์กู่กุด วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน องค์เจดีย์สร้างด้วยศิลาแลงและอิฐ ทรงปราสาท มีฐานสี่เหลี่ยมซ้อนขึ้นไปห้าชั้น แต่ละชั้นประดับซุ้มจระนำทั้งสี่ด้าน ด้านละสามซุ้ม ภายในซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปดินเผาประทับยืน มีร่องรอยการลงรักปิดทอง ปัจจุบันเหลือให้เห็นเพียงไม่กี่องค์ ส่วนบนสุดของเจดีย์เป็นกลีบบัวปูนปั้นหุ้มด้วยโลหะแผ่น ส่วนยอดปลายสุดทำเป็นกรวยแหลมเรียวยาวขึ้นไป
     รอบพระธาตุเจดีย์ มีวิหารทิศประกอบ ทุกหลังฝีมือประณีต สง่างาม ได้แก่
     วิหารพระละโว้ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือขององค์พระธาตุ เป็นวิหารสร้างใหม่ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ เรียกว่าพระละโว้
     วิหารพระพันตน ตั้งอยู่หลังวิหารพระละโว้ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปจำนวนมาก
     วิหารพระทันใจ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกขององค์พระธาตุ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปยืน เรียกว่าพระทันใจ ด้วยถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้ผู้ที่กราบไหว้สมหวังดังใจ
     วิหารพระพุทธ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ขององค์พระธาตุ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ลงรักปิดทอง เรียกว่า พระพุทธ
     วิหารพระบาทสี่รอย ตั้งอยู่หลังวิหารพระพุทธ ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง จากอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
     วิหารพระกลักเกลือหรือพระเจ้าแดง ตั้งอยู่ริมกำแพงด้านทิศเหนือตรงมุมตะวันตก ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย ขนาดใหญ่ ทาด้วยสีแดง
     วิหารพระไสยาสน์ ตั้งอยู่ริมกำแพงด้านทิศเหนือ ถัดจากสุวรรณเจดีย์มาทางตะวันออก ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ลงรักปิดทอง
     ด้านตะวันออกของวิหารพระไสยาสน์ มีห้องขนาดเล็กชิดกำแพง ข้างหน้าปักป้ายเขียนว่า 'สถานที่กักบริเวณ ครูบาเจ้าศรีวิชัย ก่อนนิมนต์ท่านไปสอบสวนที่กรุงเทพ'...
        ...ครูบาศรีวิชัย (พ.ศ. 2421-2481) พระมหาเถระซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้างถนนทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2477 ได้รับการขนานนามว่า 'ตนบุญแห่งล้านนา'
        แต่เดิมการปกครองสงฆ์ของล้านนาเป็นระบบ 'หัวหมวดอุโบสถ' หรือ 'หัวหมวดวัด' พระเถระที่ชาวบ้านเคารพนับถือเป็น 'ครูบา' และได้รับคัดเลือกเป็น 'เจ้าหัวหมวดอุโบสถ' จะมีวัดอยู่ในการดูแลจำนวนหนึ่ง เป็นพระอุปัชฌาย์ได้ ซึ่งครูบาศรีวิชัย เจ้าอาวาสวัดบ้านปาง อำเภอลี้ ลำพูน ก็อยู่ในฐานะดังกล่าว
        การปฏิรูปการปกครองของรัชกาลที่ 5 แบบรวมศูนย์อำนาจ ลดบทบาทของล้านนาลงทุกวิถีทาง เป้าหมายคือการผนวกดินแดนล้านนาทั้งหมดให้เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม ตาม 'นโยบายกลืนชาติ'
        ด้านการปกครอง สยามส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ มาประจำมณฑลพายัพ ดึงผลประโยชน์จากท้องถิ่นเข้าสู่ส่วนกลาง เจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานค่อยๆ หมดอำนาจในการคลังท้องถิ่น
        พ.ศ. 2444 ส่วนกลางควบคุมการจัดเก็บภาษีอากรมากยิ่งขึ้น ยกเลิกสิทธิพิเศษที่เจ้านายบุตรหลานเคยได้รับยกเว้นภาษีที่นา นอกจากนี้ยังจัดเก็บภาษี 'เงินค่าราชการ' หรือ 'เงินรัชชูปการ' เป็นภาษีที่เสียแทนการถูกเกณฑ์แรงงาน โดยเก็บจากชายที่มีอายุ 18-60 ปี อัตราปีละ 4 บาท การที่เจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานเสียผลประโยชน์และอำนาจ ส่วนราษฎรถูกขูดรีดภาษีเงิน 4 บาท ทำให้เกิดกระแสต่อต้านอำนาจรัฐส่วนกลางมากขึ้นเรื่อยๆ
        ด้านศาสนา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้จัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ. 2446) พระราชบัญญัตินี้กำหนดว่า พระอุปัชฌาย์ที่จะบวชกุลบุตรได้ ต้องได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลางเท่านั้น โดยให้เจ้าคณะแขวงเป็นผู้คัดเลือก แล้วนำชื่อเสนอเจ้าคณะผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ พิจารณาแต่งตั้งต่อไป การจัดระเบียบการปกครองใหม่ของกรุงเทพฯ นี้ถือเป็นวิธีการสลายจารีตเดิมของสงฆ์ในล้านนาอย่างได้ผล เกิดความขัดแย้งระหว่างสงฆ์ในล้านนาด้วยกันเอง ดังกรณีความขัดแย้งระหว่างครูบาศรีวิชัยกับพระครูมหารัตนากรเจ้าคณะแขวงลี้ อำเภอลี้ ลำพูน จนนำสู่การจับกุมครูบาศรีวิชัย การจับกุมแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ครอบคลุมระยะเวลาเกือบ 30 ปี
        ช่วงแรก พ.ศ. 2451-2453  
           ครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ สืบเนื่องจากชาวบ้านมีความศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่าน นำบุตรหลานไปฝากฝังให้บวชเณรและอุปสมบท ซึ่งเจ้าคณะแขวงเห็นว่าล่วงเกินอำนาจของตน ผิดพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ. 2446) จึงให้นายอำเภอนำกำลังตำรวจเข้าจับกุมไปกักขังไว้ที่วัดเจ้าคณะแขวง 4 คืน จากนั้นจึงส่งท่านให้เจ้าคณะจังหวัดไต่สวน ผลไม่ปรากฏความผิดอันใด
           ต่อมาเจ้าคณะแขวงเรียกให้ครูบาศรีวิชัยนำลูกวัดไปประชุมเพื่อรับทราบระเบียบกฎหมายใหม่จากนายอำเภอและเจ้าคณะแขวง แต่ครูบาศรีวิชัยไม่ไปตามหมายเรียก และเจ้าอธิการหัววัดที่อยู่ในหมวดอุโบสถของครูบาศรีวิชัย ไม่ไปประชุมเช่นกัน เพราะเห็นว่าเจ้าหัวหมวดไม่ไปประชุม ลูกวัดก็ไม่ควรไป เจ้าคณะแขวงจึงให้ตำรวจจับกุมครูบาศรีวิชัย นำส่งให้เจ้าคณะจังหวัดไต่สวน และกักขังไว้ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยเป็นเวลา 23 วัน
           ในปีเดียวกัน เจ้าคณะแขวงสั่งให้ครูบาศรีวิชัย นำเจ้าอธิการหัววัดในหมวด ไปประชุมที่วัดเจ้าคณะแขวง ตามพระราชบัญญัติที่จะเพิ่มขึ้น ปรากฏว่าครูบาศรีวิชัยไม่ไปประชุมอีก มีผลให้บรรดาหัววัดไม่ไปอีกเช่นกัน เจ้าคณะแขวงจึงมีหนังสือฟ้องถึงเจ้าคณะจังหวัด ครูบาศรีวิชัยจึงถูกจับขังไว้ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยเป็นเวลา 2 ปี และถูกปลดจากตำแหน่งหัวหมวดวัด มิให้เป็นพระอุปัชฌาย์อีกต่อไป
       ช่วงที่สอง พ.ศ. 2454-2464  
           การต้องอธิกรณ์ในช่วงแรกส่งผลให้ศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อครูบาศรีวิชัยกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น มีการโจษจันถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ทำให้ความนับถือเลื่อมใสครูบาศรีวิชัยแพร่ขยายออกไปอีก เจ้าคณะแขวงและนายอำเภอจึงเข้าแจ้งเจ้าคณะจังหวัด ตั้งข้อกล่าวหาว่า ท่านซ่องสุมคน ทั้งคฤหัสถ์และนักบวช เป็นก๊กเหล่า และใช้เวทมนตร์ ในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2462 เจ้าคณะจังหวัดมีหนังสือถึงครูบาศรีวิชัย แจ้งให้ท่านออกจากเมืองลำพูนภายใน 15 วัน ครูบาศรีวิชัยอ้างถึงพระวินัยว่า ท่านได้กระทำผิดพุทธบัญญัติข้อใด เจ้าคณะแขวงไม่อาจเอาผิดได้ จึงต้องเลิกราไปพักหนึ่ง
           ต่อมาทางการเรียกครูบาศรีวิชัยพร้อมลูกวัดเข้าเมืองลำพูน เหตุการณ์ครั้งนี้ ชี้ให้เห็นสถานะตนบุญของครูบาศรีวิชัยชัดเจนมากขึ้น เพราะมีขบวนแห่แหนท่านเข้าเมืองของบรรดาภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์อย่างใหญ่โต เมื่อทางบ้านเมืองเห็นว่ามีผู้ติดตามท่านมากเช่นนี้ เกิดความประหวั่น อุปราชมณฑลพายัพจึงสั่งย้ายท่านไปยังเชียงใหม่ โดยให้พักอยู่ที่วัดเชตวัน ในช่วงที่ถูกกักตัวที่วัดนี้ ได้มีพ่อค้าใหญ่เข้ามาเป็นอุปัฏฐาก ตลอดจนผู้คนในเมืองเชียงใหม่และเมืองใกล้เคียงเดินทางมานมัสการเป็นจำนวนมาก ฝ่ายที่ดูแลเกรงเรื่องลุกลามใหญ่โต เจ้าคณะเชียงใหม่และเจ้าคณะมณฑลพายัพจึงส่งท่านไปรับการไต่สวนที่กรุงเทพฯ โดยตั้งข้อหาไว้ 8 ข้อ อาทิ ตั้งตัวเป็นพระอุปัชฌาย์โดยไม่มีใบอนุญาต กระด้างกระเดื่องต่อพระราชบัญญัติสงฆ์ อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ทำให้ส่วนกลางหวาดระแวงว่าท่านจะประพฤติตัวเป็น 'ผีบุญ'
           อย่างไรก็ตาม ที่สุดท่านหลุดจากข้อหาทั้งปวง และได้รับการปล่อยตัวกลับภูมิลำเนาเดิม บารมีของครูบาศรีวิชัยในฐานะ 'ตนบุญแห่งล้านนา' จึงยิ่งเป็นที่ศรัทธา
        ช่วงที่สาม พ.ศ. 2478-2479  
           ครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์เป็นครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2478 ความขัดแย้งขยายวงออกไปเป็นระหว่างท้องถิ่นกับส่วนกลาง พระสงฆ์ในเมืองเชียงใหม่รวม 10 แขวง 50 วัด ขอลาออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ส่วนกลาง ไปขึ้นตรงต่อครูบาศรีวิชัย ต่อมามีพระสงฆ์เข้าร่วมเพิ่มอีกเป็น 90 วัด เหตุการณ์ลุกลาม รัฐบาลกลางจึงควบคุมตัวครูบาศรีวิชัยไว้ที่กรุงเทพฯ ก่อให้เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งในหมู่พระสงฆ์และฆราวาสในล้านนา ประเด็นเกี่ยวกับครูบาศรีวิชัยนี้ ได้แปรสภาพจากปัญหาระหว่างสงฆ์ล้านนารูปหนึ่งกับคณะสงฆ์ส่วนกลาง กลายเป็นปัญหาระหว่างชาวล้านนากับอำนาจส่วนกลาง อีก 2 ปีถัดมา ครูบาศรีวิชัยถึงแก่มรณภาพ ความขัดแย้งจึงค่อยยุติลง...

วัดพระธาตุหริภุญชัย ประวัติศาสตร์ยาวนานนับ 900 ปี เป็นโบราณสถานที่มีชีวิตอยู่คู่บ้านคู่เมืองลำพูนอย่างสำคัญ

ออกจากวัด ต่อไปยังสวนสาธารณะหนองดอก เทศบาลเมืองลำพูน ระยะทางราว 1 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ. 2525
     พระนางจามเทวี (พ.ศ. 1166-1258 บ้างว่า พ.ศ. 1176-1274) เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญชัย ครองราชย์ พ.ศ. 1205-1212 บ้างว่า พ.ศ. 1205-1222 หรือ พ.ศ. 1202-1231

เดินทางต่อไปยังเชียงใหม่ ตามเส้นทางเชียงใหม่-ลำพูน (106) ถนนสายเก่า สองข้างทางเรียงรายด้วยต้นขี้เหล็กและต้นยางนาสูงใหญ่ อายุกว่าร้อยปี ทุกต้นห่มจีวร เป็นเครื่องหมายปรามความคิด 'ตัดไม้ขยายถนน' ที่คุกรุ่นอยู่เนืองๆ
     ในอดีต แม้ว่าแม่น้ำปิงมีการเปลี่ยนร่องน้ำ แต่ราษฎรยังคงตั้งถิ่นฐานตามแนวแม่ปิงสายเดิม ('ปิงห่าง') ทำให้เกิดเส้นทางคมนาคมทางบกเลียบแนวแม่น้ำดังกล่าว เป็นเส้นทางหลักในการติดต่อค้าขายระหว่างชาวเมืองเชียงใหม่กับเมืองลำพูน
     พ.ศ. 2438 พระยาทรงสุรเดช (อั้น บุนนาค) ข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวเฉียงในรัชกาลที่ 5 ให้สร้างถนนสายเลียบแม่น้ำปิงห่าง หรือถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตั้งแต่เชิงสะพานนวรัฐ จนถึงเมืองลำพูน
     พ.ศ. 2454 ทางราชการได้นำต้นยางนามาให้ราษฎรช่วยกันปลูก เพื่อความร่มรื่นสวยงามตลอดสองข้างทางในเขตเมืองเชียงใหม่ ส่วนในเขตเมืองลำพูน ได้ปลูกต้นขี้เหล็ก รวมจำนวนต้นไม้ทั้งสิ้นกว่าสองพันต้น ระยะห่างระหว่างต้น 10-20 วา เป็นเอกลักษณ์ของถนนงามสายนี้จนถึงปัจจุบัน
     ถึงเชียงใหม่ราว 19.00 น. เรากินมื้อค่ำที่ 'เฮือนโบราณบ้านฮิมปิง' ถนนเชียงใหม่-ลำพูน (106) อากาศเย็นสบาย บรรยากาศผ่อนคลาย อาหารอร่อย วงเสวนาเป็นกันเอง
     21.00 น. check-in เข้าพักที่ Victoria Nimman Hotel หัวมุมถนนศิริมังคลาจารย์ตัดกับถนนนิมมานเหมินทร์ 17

ลำปาง ลำพูน สองนครล้านนาที่สงบสุขสันติ สองพระธาตุคู่บ้านคู่เมือง ศิลปสถาปัตยกรรมงดงาม ทรงคุณค่า วันแรกของการเดินทางอันน่าประทับใจ


ข้อมูลค้นจาก
     lampang.go.th
     i.lamphun.go.th
     th.wikipedia.org
     สุภัทรดิศ ดิศกุล หม่อมเจ้า. ศิลปะในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2539.
     น. ณ ปากน้ำ. แบบแผนบ้านเรือนในสยาม. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. 2543.
     พระธรรมวิมลโมลี, เกรียงศักดิ์ ชัยดรุณ. 100 ปี เหตุการณ์เงี้ยวก่อการจลาจลในมณฑลพายัพ พ.ศ. 2445. พะเยา: นครนิวส์การพิมพ์. 2548.





June 19, 2016

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี: 08.01.2016

หลังจบการบรรยายวิชากุมารศัลยศาสตร์ 1 คาบ ในวาระ '80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จากรากแก้วที่มั่นคง สู่ผลิตผลความเป็นเลิศ' หมออุ้ง หมอจิ อาสาพาทัศนศึกษาเมืองอุบลในตอนบ่าย ก่อนผมขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ตอนเย็น...
     แปดปีที่ผมทำงานอยู่อุบล (2521-2524 และ 2527-2532) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ยังไม่เปิด บ่ายนี้ถือเป็นโอกาสดี จึงชวนหมออุ้ง หมอจิ ไปชม 'ห้องรับแขก' ของเมืองอุบล

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี
     ตั้งอยู่ที่ถนนเขื่อนธานี ตัดกับถนนอุปราช เดิมเป็นศาลากลางจังหวัด สร้างเมื่อ พ.ศ. 2461 บนที่ดินซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว ประทับ ณ อุบลราชธานี ได้ทรงขอจากทายาทของราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) คือหม่อมเจียงคำ (พระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์) เพื่อก่อสร้างสถานที่ราชการ
     ลักษณะอาคารเป็นตึกชั้นเดียว ก่ออิฐฉาบปูน ยกพื้นสูง หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องว่าว แผนผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศเหนือ ภายในอาคารประกอบด้วยห้องโถงใหญ่อยู่ตรงกลาง มีระเบียงทางเดินและห้องขนาดเล็กอยู่โดยรอบ เหนือกรอบประตูและหัวเสารับชายคาที่ระเบียงประดับด้วยไม้ฉลุลายพันธุ์พฤกษา
     ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเติบโตขึ้น ศาลากลางหลังนี้คับแคบไม่เพียงพอกับหน่วยงานราชการที่เพิ่มขึ้น จึงสร้างอาคารศาลากลางหลังใหม่ทางด้านตะวันตกของทุ่งศรีเมืองเมื่อ พ.ศ. 2511
     ปี พ.ศ. 2526 ผู้ว่าราชการจังหวัดได้มอบอาคารศาลากลางหลังเก่าให้กรมศิลปากรบูรณะและจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อการบูรณะซ่อมแซมอาคารและจัดแสดงนิทรรศการถาวรแล้วเสร็จ กรมศิลปากรได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2532...
   
บริเวณด้านนอกรอบอาคารพิพิธภัณฑ์ปลูกไม้ดอกและสนามหญ้างามสบายตา ตัวตึกทาสีเหลือง ประตูหน้าต่างไม้ทาสีเขียว หลังคากระเบื้องว่าวสีแดง
     ลานด้านทิศตะวันตกมีแผ่นป้ายคอนกรีตผิวหินล้างขนาดใหญ่ ข้อความ 'สะพานเสรีประชาธิปไตย 2497' จำนวน 4 แผ่นวางเรียงกัน
     ...ปี พ.ศ. 2496 มีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำมูลเชื่อมอำเภอวารินชำราบกับอำเภอเมือง ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดยกรมโยธาเทศบาล (ปัจจุบันคือกรมโยธาธิการ) สะพานกว้าง 9 เมตร ยาว 450 เมตร เป็นสะพานยาวที่สุดในประเทศไทยสมัยนั้น เริ่มต้นใช้เรือปั้นจั่นขนาดใหญ่ ตอกเสาเข็มกลางแม่น้ำมูล เพื่อสร้างตอม่อและเสาสะพาน ตอม่อสะพานเป็นชุดเสา 3 ต้นเรียงตามขวาง แต่ละชุดตั้งห่างกันเป็นระยะ คานสะพานเป็นคอนกรีตโปร่งรูปเหลี่ยมลักษณะเหมือนลูกกรงระเบียง ทางเดินเท้ายื่นออกจากข้างตัวสะพานไม่มีเสารับ
     แบบสะพานข้ามแม่น้ำมูลนี้แตกต่างจากสะพานข้ามแม่น้ำสายสำคัญอื่นในสมัยนั้น อาทิ สะพานพระพุทธยอดฟ้า สะพานพระรามหก ที่กรุงเทพฯ สะพานนวรัฐ เชียงใหม่ และสะพานเดชาติวงศ์ นครสวรรค์ ที่ล้วนมีโครงสร้างบึกบึน ตอม่อคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่เต็มความกว้างของสะพาน และคานโครงเหล็กยึดโยงเชื่อมกันอย่างแข็งแรง ชาวบ้านจึงวิตกวิจารณ์ไม่แน่ใจในความมั่นคงของสะพานข้ามแม่น้ำมูลดังกล่าว อย่างไรก็ตามชาวอุบลต่างตื่นเต้นดีใจ ถึงขนาดใช้ภาพถ่ายการก่อสร้างสะพานเป็นบัตรอวยพรปีใหม่ 2496
     จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ของรัฐบาลขณะนั้น กำลังต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นระบอบเผด็จการแต่โฆษณาว่าเป็น 'ประชาธิปไตย' แบบหนึ่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องการประกาศให้โลกรู้ว่า การปกครองของไทยเป็นแบบ 'เสรีประชาธิปไตย' (Free Democracy) จึงตั้งชื่อสะพานนี้ว่า 'สะพานเสรีประชาธิปไตย'
     สะพานเสรีประชาธิปไตยเปิดใช้เมื่อ พ.ศ. 2497 จนถึง พ.ศ. 2533 รวม 36 ปี จึงถูกรื้อถอนด้วยหมดอายุใช้งาน และจังหวัดได้สร้างสะพานใหม่ตรงที่เดิม ใช้ชื่อเดิม เปิดเมื่อ พ.ศ. 2535 ในวาระครบรอบ 200 ปี เมืองอุบลราชธานี แผ่นป้ายคอนกรีต 'สะพานเสรีประชาธิปไตย 2497' ทั้ง 4 แผ่นจึงได้เก็บรักษาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี...

อาคารพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็น 10 ห้องจัดแสดง เรียงต่อเนื่องกัน
ห้องจัดแสดงที่ 1: ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดอุบลราชธานี
     เกริ่นนำอาณาเขตของจังหวัด

ห้องจัดแสดงที่ 2: ภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
     อธิบายลักษณะทางกายภาพของภาคอีสาน

ห้องจัดแสดงที่ 3: สมัยก่อนประวัติศาสตร์
     แสดงแหล่งโบราณคดีของจังหวัด ที่สำคัญได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านโนนสาวเอ้ ตำบลกุดลาด อำเภอเมือง และแหล่งโบราณคดีบ้านก้านเหลือง ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง
     สิ่งจัดแสดงได้แก่ เครื่องมือหินกระเทาะ (จากเพิงผาถ้ำตาลาว บ้านไทรงาม ตำบลไทรงาม กิ่งอำเภอนาตาล) ขวานหินขัด (จากบ้านโนนสำราญ ตำบลหัวเรือ อำเภอเมือง) ภาชนะดินเผา ภาชนะดินเผาบรรจุกระดูก กำไลสำริด เครื่องประดับสำริด ขวาน ใบหอกและหัวธนูสำริด (จากบ้านก้านเหลือง ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง) กลองมโหระทึก สำริด (จากบ้านชีทวน อำเภอเขื่องใน และจากบ้านนาโพธิ์ใต้ ตำบลนาโพธิ์กลาง อำเภอโขงเจียม) ภาชนะเคลือบน้ำดินสีแดง (จากบ้านโพนเมือง ตำบลไม้กลอน อำเภอพนา อำนาจเจริญ) นอกจากนี้ ยังมีภาพเขียนสีที่ผาแต้ม อำเภอโขงเจียม

ห้องจัดแสดงที่ 4: สมัยประวัติศาสตร์เริ่มแรก วัฒนธรรมทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-15) และวัฒนธรรมเจนละ (ขอมหรือเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร) (พุทธศตวรรษที่ 12-13)
     สิ่งจัดแสดงได้แก่ ศิลาจารึก หินทราย อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต (จากฝั่งขวาปากแม่น้ำมูล อำเภอโขงเจียม) ใบเสมา หินทราย (จากวัดโพธิ์ศิลา บ้านเปือยหัวดง อำเภอเมือง อำนาจเจริญ) พระพุทธรูปปางสมาธิ หินทราย (จากวัดโพธิ์ศรี บ้านทุ่งใหญ่ อำเภอเขื่องใน) พระพุทธรูปยืน หินทราย (จากบ้านไผ่ใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ) อรรถนารีศวร (พระศิวะและพระอุมารวมกันเป็นองค์เดียว) เป็นอรรถนารีศวรที่เก่าที่สุดรูปหนึ่งเท่าที่พบในอุษาคเนย์ นับเป็นโบราณวัตถุชิ้นเอก (masterpiece) ของพิพิธภัณฑ์ เสาประดับกรอบประตู หินทราย ศิลปะขอมแบบไพรกแมง (จากโบราณสถานร้างวัดแก่งตอย อำเภอดอนมดแดง) ทับหลัง หินทราย ศิลปะขอมแบบกำพงพระ

ห้องจัดแสดงที่ 5: วัฒนธรรมขอมหรือเขมรสมัยเมืองพระนคร (พุทธศตวรรษที่ 15-18)
     สิ่งจัดแสดงได้แก่ พระคเณศ หินทราย ศิลปะขอมแบบเกาะแกร์ หรือแปรรูป (จากบ้านโนนกาเล็น อำเภอสำโรง) ชิ้นส่วนหน้าบัน ศิลปะขอมแบบบาปวน สิงห์ หินทราย ศิลปะขอมแบบบาปวน (จากบ้านดงเมืองเตย อำเภอคำเขื่อนแก้ว ยโสธร)

ห้องจัดแสดงที่ 6: วัฒนธรรมไทย-ลาว (พุทธศตวรรษที่ 23-25)
     สิ่งจัดแสดงได้แก่ พระพุทธรูป สำริด ศิลปะลาว พระพุทธรูปปางมารวิชัย สำริด ศิลปะลาว สกุลช่างเวียงจันทน์ (จากวัดไชยาติการาม อำเภอพนา อำนาจเจริญ) พระพุทธรูปปางมารวิชัย ไม้ลงรักปิดทอง ศิลปะลาว (จากวัดแจ้ง อำเภอเมือง) พระพุทธรูปนาคปรก ไม้ลงรักปิดทอง ศิลปะลาว (จากวัดหลวง อำเภอเขมราฐ) พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ (จากวัดหลวง อำเภอเมือง) พระพุทธรูป ลงรักปิดทองบนแผ่นหิน

ห้องจัดแสดงที่ 7: ผ้าโบราณและผ้าพื้นเมืองอุบลราชธานี
     สิ่งจัดแสดงได้แก่ ผ้าพื้นเมืองอุบล ลวดลายงดงาม ตลอดจนอุปกรณ์ทอผ้า และพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีถึงพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ที่ได้ส่งผ้าไหม (ผ้าเยียรบับลาว) จากเมืองอุบล ไปทูลเกล้าฯ ถวาย

ห้องจัดแสดงที่ 8: ดนตรีพื้นเมือง
     จัดแสดงเครื่องดนตรีพื้นเมือง อาทิ เครื่องสายใช้ดีด เช่น พิณสอง พิณสาม พิณไห เครื่องสายที่มีคันชัก เช่น ซอ เครื่องเคาะ เช่น โปงลาง หมากกั๊บแกบ กลองเส็ง โทนดินเผา พังฮาด เครื่องเป่า เช่น แคน โหวด

ห้องจัดแสดงที่ 9: ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน
     จัดแสดงเครื่องทองเหลืองบ้านปะอาวที่มีชื่อเสียง (จากบ้านปะอาว ตำบลหนองขอน อำเภอเมือง) เครื่องมือจับสัตว์ เครื่องครัว เชี่ยนหมาก

ห้องจัดแสดงที่ 10: การปกครองและงานประณีตศิลป์ในพุทธศาสนา
     อธิบายการปกครองเมืองอุบลตั้งแต่ครั้งเป็นหัวเมืองประเทศราช มีผู้ปกครองประกอบด้วย อาญาสี่ คือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร
     พ.ศ. 2433 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค ให้รวมหัวเมืองแต่เดิม แล้วแบ่งเป็น 4 กอง มีข้าหลวงกำกับกองละ 1 คน และมีข้าหลวงใหญ่กำกับราชการอยู่ที่เมืองจำปาสักอีก 1 คน เมืองอุบลรวมอยู่ในกองหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ
     พ.ศ. 2434 ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนกับฝรั่งเศสที่ยึดอาณานิคมอินโดจีน รัชกาลที่ 5 จึงทรงรวมหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก (เมืองจำปาสัก) กับฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือเข้าด้วยกัน ตั้งเป็นมณฑลลาวกาว และโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ ปกครองมณฑลลาวกาว ประจำ ณ เมืองอุบล
     พ.ศ. 2436 โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ ประจำ ณ เมืองอุบล
     พ.ศ. 2437 เริ่มใช้ระบบมณฑลเทศาภิบาล มณฑลลาวกาวเปลี่ยนชื่อเป็น มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ
     พ.ศ. 2455 แยกเป็นมณฑลอุบลราชธานี
     พ.ศ. 2468 ยุบมณฑลอุบลราชธานี ให้ไปสังกัดมณฑลนครราชสีมา
     พ.ศ. 2476 ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง สิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยกเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาล ให้จังหวัดเป็นหน่วยการปกครองหลัก
     งานประณีตศิลป์ในพุทธศาสนา จัดแสดงเครื่องใช้ในศาสนา ฝีมือช่างเมืองอุบลที่มีเอกลักษณ์ทรงคุณค่า อาทิ ธรรมาสน์ หีบพระธรรม สัตตภัณฑ์ รางสรงน้ำพระ (ไม้แกะสลัก จากวัดหลวง อำเภอเมือง) เชิงเทียน กากะเยีย

เราเดินชมแต่ละห้องอย่างผ่อนคลาย ไม่เร่งรีบ ที่นี่ก็เป็นเช่นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอื่นๆ ไม่แออัด ไม่มีนักท่องเที่ยว การเยือนพิพิธภัณฑ์จึงรื่นรมย์เสมอ
     พื้นที่สวนสวย สนามหญ้าเขียวสด สะอาด ตึกเก่าสง่างาม การจัดลำดับความรู้เป็นขั้นตอน สิ่งแสดงโบราณวัตถุทรงคุณค่าหลากหลาย
     พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี นับเป็นศูนย์ศึกษา อนุรักษ์ และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างน่าภาคภูมิใจ


ข้อมูลค้นจาก
     สุวิชช คูณผล. วารสารข่าวหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี. เดือนพฤษภาคม 2543.
     พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี. สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร. 2542.
     wikipedia.org





         

         


May 6, 2016

80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์: 07-08.01.2016

การอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร เปลี่ยนแปลงการปกครองของสยาม จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎรได้ประกาศแนวทางการปกครองประเทศด้วยหลัก 6 ประการ ข้อสำคัญหนึ่งคือรัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลราษฎรทุกคนอย่างเสมอภาค
     ต่อมารัฐบาลพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระหว่าง พ.ศ. 2476-2481) ได้ประกาศพระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2477 อันเป็นรากฐานสำคัญของการสาธารณสุข กล่าวคือให้จัดตั้งเทศบาลขึ้นทั่วประเทศแทนสุขาภิบาล โดยเทศบาลเป็นสถาบันส่งเสริมการสาธารณสุขตามหัวเมืองชนบท นอกจากนี้ ให้กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย จัดทำโครงการสร้างโรงพยาบาลขึ้นทุกจังหวัด
     ในชั้นต้นให้จัดสร้างโรงพยาบาลตามชายแดนก่อน เพื่อแสดงเกียรติภูมิของชาติไทยแก่ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เรียกว่า นโยบาย 'อวดธง'
     เริ่มที่จังหวัดชายแดนด้านติดกับลาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีน อาณานิคมของฝรั่งเศส ทั้งนี้เพื่ออวดธงไทยแก่พี่น้องชาวลาว เป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยในยุคประชาธิปไตยเอาใจใส่ห่วงใยชีวิตความเป็นอยู่ และความเจ็บไข้ของราษฎรไทยในท้องถิ่นห่างไกล รวมทั้งพี่น้องในประเทศเพื่อนบ้านตามชายแดนด้วย
     โรงพยาบาลที่สร้างขึ้นตามนโยบายอวดธงในยุคแรก ได้แก่ โรงพยาบาลประจำจังหวัดหนองคาย นครพนม และอุบลราชธานี

โรงพยาบาลประจำจังหวัดอุบลราชธานีสร้างบนพื้นที่ 'สวนโนนดง' ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ (พระนามอ่านว่า สัน-พะ-สิด-ทิ-ประ-สง) พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาพึ่ง พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2400 ทรงเป็นต้นราชสกุล 'ชุมพล' ทรงเป็นข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (มณฑลอีสาน) ระหว่างปี พ.ศ. 2436-2453
     หลังการสิ้นพระชนม์ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เมื่อ พ.ศ. 2465 หม่อมเจียงคำ พระชายา (นามเดิม อัญญานางเจียงคำ บุตโรบล ธิดาท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เจ้าเมืองอุบลราชธานี) ได้มอบที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน จำนวน 6 แปลง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการ ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ทุ่งศรีเมือง โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี และพระโอรสคือหม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล ได้อุทิศที่ดิน 'สวนโนนดง' อันเป็นมรดกตกทอด จำนวน 27 ไร่ ให้เป็นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2474
     การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2478 และจังหวัดได้ประกอบพิธีเปิดโรงพยาบาลเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2479 ใช้ชื่อว่า 'โรงพยาบาลอุบลราชธานี' สังกัดกองแพทย์สังคม กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย
     วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2485 กรมสาธารณสุขได้ปรับยกขึ้นเป็นกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย 7 กรม โรงพยาบาลอุบลราชธานีสังกัดกองโรงพยาบาลภูมิภาค กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
     พ.ศ. 2511 โรงพยาบาลเปลี่ยนชื่อเป็น 'โรงพยาบาลประจำจังหวัดสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี'
     พ.ศ. 2514 ได้มีการรวมงานกรมการแพทย์ กับบางส่วนของกรมอนามัยและสำนักงานปลัดกระทรวง เป็น 'กรมการแพทย์และอนามัย'
     วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2517 แยกกรมการแพทย์และอนามัย กลับคืนเป็น 'กรมการแพทย์' และ 'กรมอนามัย' อีกทั้งให้กองโรงพยาบาลภูมิภาคและกองสาธารณสุขภูมิภาค ไปสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง โรงพยาบาลประจำจังหวัดสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี จึงสังกัดกองโรงพยาบาลภูมิภาค สำนักงานปลัดกระทรวง
     พ.ศ. 2533 โรงพยาบาลเปลี่ยนชื่อเป็น 'โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์'

วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559 เป็นวันครบรอบ 80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์...
โรงพยาบาลจัดประชุมวิชาการเพื่อฉลองวาระสำคัญนี้ ในชื่อ '80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จากรากแก้วที่มั่นคง สู่ผลิตผลความเป็นเลิศ' ระหว่างวันที่ 7-8 มกราคม พ.ศ. 2559
     ผมได้รับเชิญในฐานะศิษย์เก่า (แพทย์ฝึกหัด 2521-2522 และกุมารศัลยแพทย์ 2527-2532) เป็นวิทยากรบรรยายวิชากุมารศัลยศาสตร์ 1 คาบ ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559
'ยิ้มไทย' บินจากสุวรรณภูมิ 7.45 น. เพียง 1.10 ชั่วโมงก็ถึงอุบลฯ
รถตู้โรงพยาบาลพร้อมทีมปฏิคมมารอรับ หมออุ้ง หมอจิ ศิษย์เก่ากุมารศัลยศาสตร์ของเรา มารับเช่นกัน
การประชุมจัดที่ห้องประชุมชั้น 6 อาคาร 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์
     เดือนมีนาคม ปีที่แล้ว ผมร่วมคณะศัลยแพทย์ โรงพยาบาลเด็ก เยี่ยมศิษย์เก่ากุมารศัลยศาสตร์ที่นี่ ได้เห็นสภาพแออัดของตึกที่สร้างซ้อนกันไปเรื่อยๆ ภูมิศาสตร์ของโรงพยาบาลที่อันตราย เสี่ยงต่อโศกนาฏกรรมอย่างยิ่ง มาวันนี้จึงไม่ตระหนกกับภาพที่เห็น แต่ยังคงสังเวชกับวิสัยทัศน์ของผู้รับผิดชอบ
     การนำองค์กรในระบบราชการสำคัญยิ่ง ผู้นำที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดสามัญสำนึก ทำให้องค์กรเสียหาย เสียเวลา เสียโอกาส และส่งผลเสียระยะยาวเกินกว่าวาระของผู้นำนั้น

9.30 น. พิธีการเริ่มด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวต้อนรับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรายงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวเปิดประชุม จากนั้นมอบโล่แก่ผู้บริจาคทรัพย์ให้โรงพยาบาล

10.30-12.00 น. เสวนา 'สรรพสิทธิประสงค์กับการปลูกถ่ายอวัยวะ ก้าวอย่างกล้ากับคุณค่าต่อผู้ป่วยและสังคม' โดย
     นายแพทย์ประวิทย์ วิริยสิทธาวัฒน์ ศัลยแพทย์อาวุโส ผู้ริเริ่มผ่าตัดปลูกถ่ายไตรายแรกของโรงพยาบาล
     นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อายุรแพทย์อาวุโส ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไต เมื่อสมัยเริ่มต้นการปลูกถ่ายไต
     รศ. นายแพทย์สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ซึ่งได้ปลูกถ่ายไตไปกว่า 1,000 ราย มากที่สุดของประเทศ
     รศ. นายแพทย์เกรียงศักดิ์ วารีแสงทิพย์ นายกสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย
     โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้พัฒนาการปลูกถ่ายอวัยวะต่างๆ ดังนี้
        ไต ตั้งแต่ปี 2540 เริ่มต้นด้วย living donor ต่อมาในปี 2550 ปลูกถ่ายจาก cadaveric donor ถึงวันนี้มีผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายไตกว่า 100 ราย
        ไขกระดูก เตรียมการตั้งแต่ปี 2553 ปลูกถ่ายสำเร็จรายแรกในผู้ป่วย lymphoma เมื่อปี 2556 ถึงวันนี้ปลูกถ่ายไขกระดูกไปแล้ว 6 ราย
        กระจกตา เริ่มปี 2558 จำนวน 11 ราย
        กระดูก เริ่มในปี 2557
     โรงพยาบาลวางแผนปลูกถ่ายตับในปี 2559-2560 และปลูกถ่ายหัวใจเป็นลำดับถัดไป

13.00-14.30 น. เสวนา 'จากอดีต ปัจจุบัน สู่อนาคต โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์' โดย
     นายแพทย์มนัส กนกศิลป์ อดีตผู้อำนวยการ
     นายแพทย์ชลิต ทองประยูร ผู้อำนวยการ
     แพทย์หญิงวิภาดา เชาวกุล อายุรแพทย์อาวุโส

หลังจบการเสวนา ทีมปฏิคมพาไปเข้าพักที่โรงแรมสุนีย์แกรนด์ ถนนชยางกูร
โรงแรมสุนีย์แกรนด์ ปรับปรุงดัดแปลงสถานที่จากโรงพยาบาลพญาไท-อุบล ซึ่งเลิกกิจการภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี พ.ศ. 2540

18.00-22.00 น. งานเลี้ยง 'จากก้าวที่มุ่งมั่น สู่วันนี้ที่ภูมิใจ ราตรี 80 ปี แห่งความยิ่งใหญ่และดีงาม'
ณ ห้องทับทิมสยาม โรงแรมสุนีย์แกรนด์
     ได้พบปะรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน พยาบาลห้องผ่าตัด วิสัญญีพยาบาล พยาบาลหอผู้ป่วย ที่คุ้นเคย ที่ร่วมงานกันมาเมื่อ 30 ปีก่อน นับเป็นโอกาสพิเศษยิ่ง

วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559
ห้องอาหารเช้าของโรงแรม ผู้คนขวักไขว่ ด้วยกีฬามหาวิทยาลัยครั้งที่ 43 'กันเกราเกมส์' (9-18 มกราคม 2559) จะเริ่มขึ้นวันพรุ่งนี้ ณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
มุมอาหารพื้นเมือง ไข่กระทะ กวยจั๊บญวน ทำให้มื้อเช้านี้รื่นรมย์ยิ่งขึ้น

8.00 น. Check-out ทีมปฏิคมมารับที่โรงแรมไปยังห้องประชุมโรงพยาบาล

8.30 น. บรรยาย 'วัฒนธรรมองค์กรเพื่อความอยู่รอด' โดยนายแพทย์อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (มหาชน)
     ครึ่งชั่วโมงที่เหลือหลังจบการบรรยาย วิทยากรเชิญศิษย์เก่าสรรพสิทธิประสงค์อีก 3 คน ได้แก่ นายแพทย์มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเดชอุดม แพทย์หญิงจิตสุดา บัวขาว ที่ปรึกษากรมการแพทย์ และนายแพทย์สมเกียรติ โพธิสัตย์ ร่วมเสวนาประเด็นคุณภาพในทางปฏิบัติของโรงพยาบาล โดยแพทย์หญิงวิภาดา เชาวกุล อายุรแพทย์อาวุโส เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย แม้รายการจัดอย่างปัจจุบัน แต่ผู้ร่วมเสวนาสามารถนำเสนอสาระได้อย่างรัดกุม และผู้ดำเนินการอภิปรายสามารถเปิดประเด็นและสรุปได้อย่างมืออาชีพ

10.30-12.00 น. แยกห้องประชุมย่อย ผมไปบรรยายที่ห้องประชุม 3 เรื่อง 'Acute Abdomen in Neonates and Infants: The Pitfalls'
     ผู้ฟังเป็นแพทย์ พยาบาล ที่เกี่ยวข้องกับงานกุมารศัลยกรรม
     ก่อนจบการบรรยาย ผมขอบคุณศัลยแพทย์รุ่นพี่ตั้งแต่สมัยผมเป็นแพทย์ฝึกหัด ท่านเหล่านี้ถือเป็น 'ครู' เป็นแบบอย่างน่านับถือ ได้แก่
        นายแพทย์ฉายา ลิ้มตระกูล ท่านสอนการผ่าตัด Suprapubic lithotomy และสร้างความมั่นใจแก่แพทย์ฝึกหัดให้สามารถผ่าตัดด้วยตนเองได้ภายในวันเดียว ด้วยสมัยนั้นการผ่าตัดนี้มีถึงวันละ 4-5 ราย
        นายแพทย์ประวิทย์ วิริยสิทธาวัฒน์ ท่านมีทักษะการผ่าตัดงดงาม ใช้มือทั้งสองข้างได้ชนิดดูไม่ออกว่าท่านถนัดข้างไหน ท่านไม่ค่อยพูดขณะทำงาน ยิ่งทำให้ผมมีสมาธิสังเกตการผ่าตัดที่งดงามนั้น
        นายแพทย์ปรีชา ยุวรี ท่านสอนทักษะการใช้กรรไกรในการ dissection และเปิด plane ต่างๆ อย่างนุ่มนวลงดงาม
        นายแพทย์ชวนะ เอี่ยมเพชราพงศ์ ท่านสอนเรื่องหน้าที่ ความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร ในการตอบสนองหน้าที่ ความรับผิดชอบของฝ่ายดูแลรักษาผู้ป่วย
     จบการบรรยาย เพื่อนพ้องน้องพี่ ที่เคยร่วมงาน ได้มาทักทาย ถ่ายรูปร่วมกัน อบอุ่นจริงๆ

หมอเจน หมออุ้ง หมอจิ กุมารศัลยแพทย์ที่เข้มแข็งน่านิยมทั้งสามของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พาผมไปกินมื้อกลางวันที่ร้านส้มตำจินดา ถนนพิชิตรังสรรค์
หมออุ้ง หมอจิ อาสาพาทัศนศึกษาเมืองอุบลในตอนบ่าย ก่อนผมขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ตอนเย็น...

โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์เป็นที่ที่ผมเริ่มต้นชีวิตทำงาน เริ่มด้วยแพทย์ฝึกหัด (2521-2522) ได้เรียนรู้การดูแลคนไข้อย่างจริงจัง
     สรรพสิทธิประสงค์เป็นที่พึ่งให้ส่งต่อคนไข้ ตอนผมชดใช้ทุนเรียนแพทย์ อยู่โรงพยาบาลศรีเมืองใหม่ โรงพยาบาลอำเภอขนาด 10 เตียง ชายแดนจังหวัดอุบล ซึ่งมีผมเป็นแพทย์คนเดียว (2522-2524)
     สรรพสิทธิประสงค์เป็นต้นสังกัดส่งผมฝึกอบรมกุมารศัลยศาสตร์ที่โรงพยาบาลเด็ก (2524-2527)
     ภายหลังสำเร็จการฝึกอบรม ผมกลับไปทำหน้าที่กุมารศัลยแพทย์คนเดียวของโรงพยาบาล (2527-2532) เริ่มต้นครอบครัวที่นี่ ลูก 2 คน คลอดที่นี่ ผมตั้งใจปักหลักอยู่อุบล แต่สุดท้ายต้องลาออกจากราชการ ย้ายติดตามบุตรกลับกรุงเทพฯ...
   
วาระ 80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ที่ผมได้รับเชิญเป็นวิทยากรนี้ ถือเป็นเกียรติอย่างสูง ด้วยวิชากุมารศัลยศาสตร์เป็นสาขาย่อย อยู่นอกสายตา กลุ่มวัยทารก วัยเด็กเล็ก เป็นกลุ่มไม่มีเสียง (voiceless) ในสังคมไทย แถมโรคหลักเป็นความพิการแต่กำเนิด สถานการณ์ของสาขาวิชาจึงยิ่ง 'มิดจีลี'! ไม่เป็นที่สนใจ
     การได้รับเชิญ ได้มาบรรยาย ได้ร่วมรับรู้พัฒนาการของโรงพยาบาล และได้พบปะกัลยาณมิตรที่เคยร่วมงานกันเมื่อ 30 ปีก่อน จึงเป็นวาระพิเศษ เป็นวาระที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง


ข้อมูลค้นจาก
     60 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์. อุบลราชธานี: อุบลยงสวัสดิ์ออฟเซ็ท. 2539.
     70 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์. อุบลราชธานี: อุบลกิจออฟเซทการพิมพ์. 2549.
     80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์. อุบลราชธานี: อุบลกิจออฟเซทการพิมพ์. 2559.
     สันติ ตั้งรพีพากร. ชีวิตที่ลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ: ชีวประวัติ ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์สายธาร. 2544.
     wikipedia.org

April 8, 2016

Vientiane Revisited: ASEAN Society of Pediatric Surgery: 25-27.11.2015

25.11.2015
การประชุม ASEAN Society of Pediatric Surgery (ASPS) ครั้งที่ 10 เริ่มเช้าวันนี้
ได้พบกุมารศัลยแพทย์ไทยอีก 2 คน หมอจิ จากสรรพสิทธิประสงค์ อุบล และหมอลิ้ม จากหาดใหญ่ ทั้งสองเป็นศิษย์เก่าของเรา

พิธีการเริ่มด้วยคำกล่าวต้อนรับโดย Professor Phetdavanh Sonenasinh (หมอเพชรตะวัน) รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กแห่งเวียงจันทน์ ในฐานะเจ้าภาพ ตามด้วย Presidential Address โดย Associate Professor Nyo Nyo Win จากโรงพยาบาลเด็กแห่งย่างกุ้ง เมียนมาร์ ในฐานะ Secretary of ASPS ทำหน้าที่แทน President, Professor Htoo Han ซึ่งป่วยและไม่ได้มาร่วมประชุม
     รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขลาวเป็นผู้กล่าวเปิด การประชุมครั้งนี้ถือเป็นงานวิชาการแพทย์ระดับนานาชาติครั้งแรกของลาว เป็นโอกาสที่น่ายินดีและน่าตื่นเต้น

ภาคเช้า อุ่นเครื่องด้วย ประวัติศาสตร์พัฒนาการกุมารศัลยกรรมของแต่ละประเทศ
     ลาว เสนอโดย Professor Phetdavanh Sonenasinh เริ่มเมื่อปี 1975 ภายหลังสถาปนาประเทศ
     มาเลเซีย เสนอโดย Professor Mahmud M. Nor เริ่มทศวรรษ 1960 ภายหลังประกาศเอกราชจากอาณานิคมของอังกฤษ
     ไทย เสนอโดย ศ. รังสรรค์ นิรามิษ เริ่มปี 1954 เมื่อกำเนิดโรงพยาบาลเด็ก
     กัมพูชา เสนอโดย Professor Vuthy Chhoeurn เริ่มปี 1980 ภายหลังการล่มสลายของระบอบเขมรแดง
     ฟิลิปปินส์ เสนอโดย Professor Beda Espineda ภูมิศาสตร์ที่ประกอบด้วยเกาะจำนวนมากเป็นปัญหาสำคัญ
     เมียนมาร์ เสนอโดย Associate Professor Nyo Nyo Win
     สิงคโปร์ เสนอโดย Professor K. Prabhakaran ทรัพยากรและกำลังคนเหลือเฟือ แต่กลับขาดแคลนผู้ป่วย
     ประวัติศาสตร์ที่ฉายผ่านภาพอดีต ช่วยให้เข้าใจความยากลำบากในตอนเริ่มต้นของแต่ละประเทศได้อย่างดี

ภาคบ่าย
     Professor Nguyen Thanh Liem จากโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย เวียดนาม ไม่พูดเรื่องประวัติศาสตร์ แต่เสนอความก้าวหน้าด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง 'Single Incision Laparoscopic Surgery in Children'
     วิทยากรนอก ASEAN สองท่าน Professor Pierre Helardot จากฝรั่งเศส เสนอเรื่อง 'Networking in Paediatric Surgery in ASEAN' และ Professor David Drake จากสหราชอาณาจักร เสนอเรื่อง 'Paediatric Surgery in the UK: Lessons Learned'
     Free Papers 12 เรื่อง
        จากเวียดนาม 3 เรื่อง ได้แก่ Single Incision VATS for Empyema Thoracis, Single Site Laparoscopic Choledochal Cyst Surgery และ Early Outcome of Robotic Surgery for Choledochal Cyst
        จากไทย 2 เรื่อง ได้แก่ แพทย์หญิงจิรา ไตรรงค์จิตเหมาะ เสนอเรื่อง Esophageal Atresia ประสบการณ์ 4 ปี ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ และนายแพทย์อนันต์ ศรีนิวรณ์ เสนอเรื่อง Hepatoblastoma

การประชุมเลิก 17.30 น.
เจ้าภาพจัดเลี้ยงมื้อค่ำ 'Faculty Dinner' ที่ร้าน Smile DEE ริมโขง อาหารลาว รสชาติอร่อยแบบเดียวกับอาหารอีสาน บรรยากาศผ่อนคลาย เป็นกันเอง

ASPS วันแรก แม้เป็นงานวิชาการแพทย์ระดับนานาชาติครั้งแรกของลาว แต่การจัดการราบรื่นยิ่ง ห้องประชุม ลาน Tea Break ข้างห้องประชุม และห้องอาหารกลางวัน ล้วนสะดวกสบาย
     กลุ่มของเรา จากโรงพยาบาลเด็ก 5 คน ศิษย์เก่าจากพิษณุโลก อุบล และหาดใหญ่ อีก 3 คน รวม 8 คน ได้มีโอกาสเสวนากันอย่างมีคุณค่า

26.11.2015
อาหารเช้าของ Mercure Hotel ไม่รวมในค่าห้อง และราคาแพง
เช้านี้ เรา 8 คน จึงออกไปที่ร้าน 'ป้าสุ' ริมโขง ร้านตกแต่งงดงาม นั่งสบาย พนักงานสุภาพ น่ารัก
แดดอ่อนๆ อาหารพื้นเมือง ไข่กระทะ baguette กาแฟดำ จึงอร่อยยิ่ง

ประชุม ASPS วันที่สอง เริ่ม 8.00 น.
ภาคเช้า เป็น Short Lectures 10 เรื่อง ที่น่าสนใจ ได้แก่
     Herniotomy in Children under Local Anesthesia เสนอโดย Professor Beda Espineda จากฟิลิปปินส์ ภูมิศาสตร์ที่ประกอบด้วยเกาะมากมาย ประชากรตามเกาะห่างไกลเข้าไม่ถึงบริการการแพทย์ ทีมของ Espineda จึงจัดหน่วยผ่าตัดเคลื่อนที่ไปตามสถานีอนามัยของเกาะ ผ่าตัด herniotomy ให้แก่เด็กอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป โดยใช้ยาชาฉีด เนื่องจากไม่อาจให้ยาสลบได้ ผลงานผ่าตัดสำเร็จนับร้อยราย อัตราแทรกซ้อนเพียงเล็กน้อย แม้ Espineda ถ่อมตนและออกตัวว่าการผ่าตัดเช่นนี้ ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่พึงเป็น แต่กลับน่าประทับใจต่อการแก้ปัญหาในสภาวะทรัพยากรจำกัด และน้ำใจอดทนของผู้ป่วยเด็กเหล่านี้
     Modified Technique for Anorectal Malformations เสนอโดย Professor Nguyen Thanh Liem จากเวียดนาม แสดง video clip การผ่าตัดผ่านกล้อง ภาพชัดเจน งดงาม ประสบการณ์และฝีมือของกุมารศัลยแพทย์โรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ ยิ่งโดดเด่นชัดเจนในการประชุมครั้งนี้
     Management of Gastroschisis เสนอโดย ผศ. อัจฉริยา ทองสิน จากโรงพยาบาลเด็ก แสดงการใช้ Alexis wound retractor ดัดแปลงเป็น artificial sac สำหรับ staged repair of gastroschisis นอกจากนี้ ยังได้ทบทวนพัฒนาการการผ่าตัดโรคดังกล่าวของโรงพยาบาลเด็ก ตลอดจนแสดง artificial sac ชนิดที่นายแพทย์ศรีวงศ์ หะวานนท์ ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นเมื่อปี 1971 และยังใช้มาถึงทุกวันนี้
     Paediatric Trauma in Cambodia เสนอโดย Professor Vuthy Chhoeurn สงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 ที่ลามเข้าไปในกัมพูชา ยุติลงเมื่อปี 1975 ต่อด้วยสงครามล้างเผ่าพันธุ์โดยระบอบเขมรแดง ซึ่งที่สุดล่มสลายไปเมื่อปี 1980 การรบราฆ่าฟันกันเกือบ 20 ปี ทิ้งให้แผ่นดินเกลื่อนไปด้วยกับระเบิด กับระเบิดที่เคยมุ่งทำลายเท้าและขาของทหารฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ระมัดระวัง หากภายหลังสงคราม กับระเบิดเหล่านี้กลับยิ่งน่ากลัวมากขึ้น ต่อชาวบ้านธรรมดา และโดยเฉพาะต่อเด็กๆ ด้วยธรรมชาติของความอยากรู้อยากเห็นเมื่อเจอสิ่งของที่ไม่รู้จัก การบาดเจ็บจึงมิใช่เกิดแก่เท้าหรือขา แต่เกิดที่ใบหน้า ศีรษะ หน้าอก มือ และแขน ขอบเขตการทำลายกลับเลยเถิดรุนแรงกว่าเป้าหมายยามสงครามอย่างน่าสลดใจ
     Paediatric MIS Services at UKM เสนอโดย Associate Professor Dayang A. Aziz จากมาเลเซีย การผ่าตัดผ่านกล้องในผู้ป่วยเด็กที่ National University of Malaysia (Universiti Kebangsaan Malaysia, UKM) เริ่มเมื่อปี 2007 ทั้งงานบริการและการฝึกอบรมศัลยแพทย์ ผลงานรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว สาระสำคัญที่ Aziz ไม่พูดถึงคือกำเนิดแห่งพัฒนาการนี้เป็นมาอย่างไร...
        ...Professor Hock Lim Tan เป็นชาวมาเลเซีย เกิดที่ Kuala Lumpur ศึกษาต่อที่ Australia เมื่อปี 1963 หลังจบการศึกษา ได้ทำงานที่ Australia  ท่านเป็นผู้นำรุ่นบุกเบิกระดับนานาชาติของ paediatric laparoscopic surgery โดยเฉพาะผลงานด้าน laparoscopic pyeloplasty, laparoscopic excision of choledochal cyst and hepatico-duodenostomy, laparoscopic pyloromyotomy
        Professor Hock Lim Tan เริ่มงาน minimally invasive surgery ที่ Royal Children’s Hospital, Melbourne ต่อมาได้รับเชิญไปร่วมจัดตั้งหน่วย paediatric laparoscopic surgery ที่ Chinese University of Hong Kong และ Great Ormond Street Hospital, London ตามลำดับ หลังจากนั้น ในปี 2001 ท่านกลับไปดำรงตำแหน่ง Inaugural Professor of Paediatric Surgery ที่ University of Adelaide และ Head of Department of Paediatric Surgery, Women's and Children’s Hospital, Adelaide
        ปี 2007 นายกรัฐมนตรี Abdullah Ahmad Badawi แห่งมาเลเซีย เชิญท่านกลับไปจัดตั้งหน่วย paediatric laparoscopic surgery ที่ UKM ในตำแหน่ง Distinguished Professor และ Head of Paediatric Surgery ทำให้เกิดศูนย์ผ่าตัดผ่านกล้องในเด็กและศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดผ่านกล้องแก่กุมารศัลยแพทย์ที่สำคัญของมาเลเซีย
        อย่างไรก็ตาม การ 'นำเข้า' Professor Hock Lim Tan จาก Australia ก่อให้เกิดความขัดเคืองและความไม่มั่นคงแก่ 'ผู้อยู่ก่อน' ซึ่งเคยชินกับนโยบาย 'ภูมิบุตรา' (Bumiputras) ที่ดำรงมาแต่ต้นทศวรรษ 1970 ภายใต้ The New Economic Policy (NEP) ของรัฐบาล Tun Abdul Razak นโยบายนี้ให้สิทธิพิเศษแก่ชาวมาเลเซียเชื้อสายมาเลย์มากกว่าชาวมาเลเซียเชื้อสายอื่น
        Professor Hock Lim Tan จึงถูกโจมตีเรื่อง 'ค่าตัว' ว่าสูงเกินไป และในปี 2011 เมื่อครบสัญญาจ้าง 4 ปี UKM จึงไม่ต่อสัญญาอีก นอกจากนี้ ผลงานที่ท่านสร้างหน่วย paediatric laparoscopic surgery ที่ UKM จึงกลับไม่ปรากฏชื่อของท่าน...

ภาคบ่าย เป็น Free Papers จำนวนกว่า 20 เรื่อง มีเวลาให้พูดเพียงเรื่องละ 4 นาที!
     จากเวียดนาม 5 เรื่อง เสนอผลงานการผ่าตัดผ่านกล้องทั้งหมด ได้แก่ Laparoscopic Simple Oblique Duodeno-duodenostomy, Laparoscopic vs Open Kasai Procedure, Laparoscopic Assisted Duhamel Operation for Total Colonic Aganglionosis, Outcome of Laparoscopic Anal Pullthrough for High Type ARM และ Early Outcome of Robotic Surgery
     จากไทย 1 เรื่อง แพทย์หญิงเยาวลักษณ์ คำนวน โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก เสนอเรื่อง Small Bowel Intussusception

การประชุมเสร็จสิ้น 17.30 น.
กล่าวปิดโดย Professor Phetdavanh Sonenasinh รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กแห่งเวียงจันทน์ ซึ่งรับมอบตำแหน่ง President of ASPS คนต่อไป
การประชุมคราวหน้า ครั้งที่ 11 จัดที่ Kuala Lumpur มาเลเซีย เดือนตุลาคม 2016

พวกเรา 8 คน ไปกินมื้อค่ำที่ร้านตำมั่ว ริมโขง อาหารพื้นเมือง อร่อยถูกใจ
ลมหนาวเริ่มโชยมา วงเสวนาผ่อนคลาย จนถึง 22.00 น. จึงเดินกลับ Mercure Hotel

27.11.2015
ตื่นแต่เช้า check-out 7.30 น.
หนังสือพิมพ์ Vientiane Time ลงข่าวการประชุม ASPS ที่หน้า 2 พาดหัวว่า 'ประเทศขาดแคลนกุมารศัลยแพทย์'
     8.00 น. เราเช่ารถตู้ไปโรงพยาบาลเด็กแห่งเวียงจันทน์ โรงพยาบาลอยู่ห่างจาก Mercure Hotel ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 6 กิโลเมตร ป้ายหน้าโรงพยาบาลเขียนเป็นภาษาลาว อ่านได้ว่า 'โรงหมอเด็ก' ทีมแพทย์เจ้าบ้านรอต้อนรับและพาเยี่ยมชม
     โรงพยาบาลก่อสร้างระหว่างปี 2009-2011โดยความร่วมมือและงบสนับสนุน (USD 3.5 ล้าน) จากรัฐบาลเกาหลีใต้ มีพิธีเปิดเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2011 (11.11.11) เวลา 11.00 น.
     ตึกสูง 2 ชั้น เพดานโถงสูงมาก หลังคาและผนังโปร่งรับแสง รับลมอย่างดี ตรงกลางโถง ทำเป็นทางลาดยาวสำหรับรถเข็น ห้องฉุกเฉิน ห้องตรวจผู้ป่วยนอก หอผู้ป่วย ห้องผ่าตัด ทั้งหมดรวมอยู่ในตึกเดียวกันนี้ ห้องผ่าตัดมี 2 ห้อง ประตูบานเลื่อนระบบไฟฟ้า หรูหรากว่าโรงพยาบาลเด็กแห่งกรุงเทพฯ คนไข้มีไม่มาก พื้นที่จึงยิ่งโปร่งโล่งสบาย
     ติดกับโรงหมอเด็ก เป็นโรงพยาบาลมิตรภาพ โรงพยาบาลเฉพาะทางออร์โธปิดิคส์
     9.15 น. ต้องร่ำลาเจ้าบ้าน ไปสนามบินวัดไต เดินทางกลับกรุงเทพฯ
     เครื่องบินออก 12.15 น. ช้ากว่ากำหนด 30 นาที ถึงกรุงเทพฯ 13.30 น.

การประชุม ASPS ครั้งที่ 10 ที่เวียงจันทน์นี้ ได้เห็นภาพรวมกุมารศัลยกรรมของแต่ละประเทศในภูมิภาค
ที่โดดเด่นสุดคือ ความก้าวหน้าด้านการผ่าตัดผ่านกล้องของโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย
     Professor Nguyen Thanh Liem หัวหน้าแผนกศัลยกรรม และผู้อำนวยการโรงพยาบาล วางเป้าหมายให้การผ่าตัดผ่านกล้องเป็นทิศทางสำคัญตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ประสบการณ์สั่งสมยาวนาน และคนไข้จำนวนมาก ถึงวันนี้อาจกล่าวได้ว่าโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอยมีผลงานการผ่าตัดผ่านกล้องโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
     ปลายปี 2008 ผมได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานศัลยศาสตร์ ในการแถลงนโยบาย ผมเสนอให้ส่งแพทย์ประจำบ้านกุมารศัลยศาสตร์ของเราไปฝึกอบรม pediatric laparoscopic surgery ณ สถาบันต่างประเทศคนละ 1 เดือน มีเสียงค้านว่าไม่มีความจำเป็น มีเสียงหยันว่า staff ยังไม่ได้ไปเลย จะส่งแพทย์ประจำบ้านไปได้อย่างไร ใช้งบอะไร
     เมษายน 2009 ผม email ถึง Professor Nguyen Thanh Liem แนะนำตัวเองและหารือขอส่งแพทย์ประจำบ้านของเราไปฝึกอบรมกับท่านคนละ 1 เดือน ท่านตอบรับโดยไม่มีพิธีรีตอง ผมส่งโครงการเพื่อขออนุมัติและผู้อำนวยการกรุณาจัดสรรงบจากกองทุนให้ อย่างไรก็ตาม เกิดข้อกังขาว่า เหตุใดจึงส่งแพทย์ประจำบ้านไปฮานอย เขาเก่งกว่าเราหรือ?
     8-9 ตุลาคม 2009 ผมเข้าร่วม Workshop: Advanced Laparoscopic Surgery ณ โรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ได้พบ Professor Nguyen Thanh Liem เป็นครั้งแรก และท่านพาชมห้องผ่าตัด ซึ่งแม้เป็นตึกเก่า คับแคบ แต่เครื่องมือ laparoscope ทันสมัย พร้อมเพรียง นอกจากนี้ ยังได้พบ Professor Hock Lim Tan ซึ่งมาสาธิตการผ่าตัดใน workshop ด้วย
     พฤศจิกายน 2009 แพทย์หญิงอารดา สุทธิวงษ์สิงห์ แพทย์ประจำบ้านกุมารศัลยศาสตร์ของเราเป็นคนแรกที่ไปฮานอย บุคลิกและความกระตือรือร้นของเธอเป็นที่รัก ถึงขนาดได้เข้าร่วมพิธีรับตำแหน่ง Professor ของ Professor Nguyen Thanh Liem ณ Temple of Literature โบราณสถานสำคัญทางการศึกษา
     หลังจากนั้น การส่งแพทย์ประจำบ้านฝึกอบรมที่ฮานอยดำเนินต่อเนื่องไป อย่างไรก็ตาม มีบางคนขอไม่ไปด้วยความเป็นอยู่ลำบากและด้วยข้อกังขาข้างต้น
     ปี 2010 เพื่อเปิดทางเลือกเพิ่มขึ้น ผม email ถึง Professor Hock Lim Tan หารือขอส่งแพทย์ประจำบ้านไปฝึกอบรมกับท่านที่ UKM ท่านตอบรับโดยไม่มีพิธีรีตองเช่นกัน
     มีนาคม 2011 แพทย์หญิงจิรา ไตรรงค์จิตเหมาะ และแพทย์หญิงปิติพร ตั้งขบวนบุตร เป็นแพทย์ประจำบ้านเพียง 2 คนที่ได้ไปฝึกอบรมกับ Professor Hock Lim Tan เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็หมดสัญญากับ UKM
     ปี 2014 กรมการแพทย์เปิดโครงการความร่วมมือประชาคมอาเซียน
     5 มีนาคม 2014 ผมร่วมคณะบริหารกรมการแพทย์เยือนโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ซึ่งตอนนั้นกำลังก่อสร้างตึกใหม่สูง 16 ชั้น และได้จัดซื้อ Robot (Da Vinci) เข้ามาราว 20 วัน ใช้ผ่าตัดไปแล้วกว่าสิบราย เราถามว่าเหตุใดจึงลงทุนกับ Robotic surgery ซึ่งราคาสูงมาก Dr. Hien ศัลยแพทย์ตอบว่า 'เพื่อรู้เท่าทันเทคโนโลยี'
     23-24 มิถุนายน 2014 ก่อนการประชุมวิชาการประจำปีของสถาบัน เราจัด Pre-congress Workshop: 'Pediatric Minimally Invasive Surgery - Live Demonstration' เชิญคณะของ Professor Nguyen Thanh Liem มาสาธิตการผ่าตัดผ่านกล้อง

ความก้าวหน้าด้าน pediatric laparoscopic surgery ของฮานอยเป็นที่ประจักษ์ ทั้งในการนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการ บทความตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ และตำรา
ถึงวันนี้ คงไม่มีข้อกังขาว่า เหตุใดจึงส่งแพทย์ประจำบ้านไปฮานอย เขาเก่งกว่าเราหรือ?
ความสัมพันธ์ต่อเนื่องนานกว่า 7 ปี ระหว่างโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอยกับโรงพยาบาลเด็กแห่งกรุงเทพฯ นับว่าทรงคุณค่า
Professor Nguyen Thanh Liem กล่าวไว้ว่า 'ความรู้เป็นสิ่งที่ควรให้โดยไม่คิดราคา เพราะผู้รับความรู้นั้นย่อมนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลรักษาคนไข้ต่อไป'


ข้อมูลค้นจาก
     abc.net.au
     singhealthacademy.edu.sg
     wikipedia.org








February 23, 2016

Vientiane Revisited: ยามเยือนยามบ่าย: 24.11.2015

หลังจาก check-in เก็บสัมภาระที่โรงแรมเรียบร้อย ช่วงบ่ายได้เวลาสำรวจเวียงจันทน์
แม้โบราณสถานในนครหลวงนี้ถูกทำลายลงหลายครั้ง ทั้งโดยกองทัพสยามสมัยพระเจ้าตาก และรัชกาลที่ 3 รวมทั้งโดยพวกฮ่อที่เข้าปล้นเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่โบราณสถานส่วนใหญ่ได้รับการบูรณะจนมีสภาพสมบูรณ์สวยงาม
     ในยุคที่ฝรั่งเศสยึดครองลาว เวียงจันทน์ในฐานะเมืองหลวงเจริญขึ้นมาก จนเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียในยุคนั้น ปัจจุบันยังมีอาคารเก่าสถาปัตยกรรมแบบยุโรป โดยเฉพาะแถวถนนเลียบแม่น้ำโขง

จาก Mercure Hotel รถตู้เช่าเหมาแล่นไปทางตะวันออกตามถนนสามแสนไท ถนนหลักขนานกับแม่น้ำโขง แวะกินมื้อกลางวันที่ร้าน 'เฝอแซ่บ' ร้านก๋วยเตี๋ยวพื้นบ้าน อาหารอร่อย บรรยากาศคึกคัก คิดเงิน รับเงิน ทอนเงิน ทั้งเงินกีบ บาท ด่ง ดอลลาร์ รวดเร็วทันใจ และสุภาพ
     จากร้านเฝอแซ่บ ถนนสามแสนไท เลี้ยวขวาเข้าถนนล้านช้าง ถนนหลักใหญ่สุดของเวียงจันทน์ ไปเพียงหนึ่งบล็อคเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเสดถาทิลาด ตรงหัวมุมด้านซ้ายคือวัดสีสะเกด ขวามือฝั่งตรงข้ามถนนเยื้องกันคือหอพระแก้ว

หอพระแก้ว
     สร้างโดยเจ้าไชยเชษฐาธิราช (1534-1572) เมื่อปี 1561 (พ.ศ. 2104) หลังย้ายเมืองหลวงมาอยู่เวียงจันทน์ เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ซึ่งต่อมาถูกยึดโดยกองทัพเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก อัญเชิญไปยังกรุงธนบุรี เมื่อปี 1779 (พ.ศ. 2322)
     หอพระแก้วถูกกองทัพสยามทำลายในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อปี 1828 (พ.ศ. 2371) และได้รับการบูรณะครั้งหลังสุดในปี 1942 (พ.ศ. 2485) ปัจจุบันเป็นที่เก็บโบราณวัตถุซึ่งรวบรวมจากหลายแหล่ง รวมทั้งจารึกศิลาพระธาตุศรีสองรัก สัญญาไมตรีระหว่างเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้างกับพระมหาจักรพรรดิ์แห่งอยุธยา จารึกศิลานี้ถูก Auguste Pavie กงสุลฝรั่งเศสประจำราชวังหลวงพระบางขนย้ายจากด่านซ้ายมายังเวียงจันทน์เมื่อปี 1906 ภายหลังฝรั่งเศสผนวกด่านซ้ายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมลาวของตน
     ทุกวันนี้ หอพระแก้วปิดเพื่อบูรณะขนานใหญ่ เข้าชมไม่ได้ น่าเสียดาย เดินชมได้เพียงบริเวณภายนอก ริมรั้วด้านขวาจัดแสดงไหหิน 1 ใบ ซึ่งนำมาจากทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวาง
     เกือบ 20 ปีก่อน ผมพาครอบครัวมาเที่ยวเวียงจันทน์ และได้เยือนหอพระแก้ว โบราณสถานที่คงบรรยากาศสมัยเก่า ภายในสะอาด สงบ ผ่อนคลาย เราพบพ่อใหญ่ผู้กระตือรือร้นเล่าประวัติศาสตร์คราวนครเวียงจันทน์ถูกกองทัพเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกแห่งกรุงธนบุรีตีแตก และเวียงจันทน์ต้องสูญเสียพระแก้วมรกตพระสำคัญคู่บ้านเมืองไป ประเด็นหลักที่พ่อใหญ่พูดกับทุกคนที่สนใจฟังคือ ความล่มสลายของล้านช้างเกิดจากการแตกแยก แตกความสามัคคี การแก่งแย่งอำนาจระหว่างหลวงพระบางและเวียงจันทน์ จนที่สุดต้องเสียเอกราชแก่ต่างด้าว พ่อใหญ่มาหอพระแก้วทุกวัน เพื่อถ่ายทอดประวัติศาสตร์แบบ communicative memory แก่คนรุ่นหลังอย่างเอาการเอางาน ลูกลูกผมซึ่งยังเด็กต่างตื่นเต้น และประทับใจกับวิธีการของท่านยิ่งนัก

วัดสีสะเกด
     สร้างโดยเจ้าอนุวงศ์ ในปี 1818 (พ.ศ. 2361) ถือเป็นวัดประจำรัชกาล
     ศิลปสถาปัตยกรรมเป็นแบบต้นรัตนโกสินทร์ ด้วยเจ้าอนุวงศ์ถูกนำตัวไปสยามในฐานะตัวประกันตั้งแต่ครั้งกองทัพกรุงธนบุรีตีเวียงจันทน์ ปี 1779 (พ.ศ. 2322) จนถึงปี 1795 (พ.ศ. 2338) เจ้าอนุวงศ์จึงได้กลับเวียงจันทน์ในฐานะอุปราชของเจ้าอินทวงศ์ พระเชษฐา และต่อมาได้ครองเวียงจันทน์ เมื่อปี 1805 (พ.ศ. 2348) ภายหลังเจ้าอินทวงศ์สิ้นพระชนม์ ห้วงเวลา 16 ปีที่เจ้าอนุวงศ์อยู่ในสยาม ทำให้โปรดศิลปะแบบดังกล่าว
     วัดสีสะเกดมีระเบียงคดโดยรอบ สิมมีหลังคาสองชั้นลด และชายคาอีกหนึ่งชั้น รับด้วยเสาสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง มีบัวหัวเสาลวดลายอ่อนช้อย และ 'แขนนาง' (ศิลปะไทยเรียก 'คันทวย') แกะสลักเป็นรูปนาคยื่นรับหลังคา ตรงกลางสันหลังคาเป็น 'ช่อฟ้า' รูปฉัตร มีหงส์ขนาบหน้าหลังฉัตรข้างละตัว 'ช่อฟ้า' กลางสันหลังคาเช่นนี้เป็นลักษณะจำเพาะของศิลปะวัดลาว ผนังระเบียงคดและผนังภายในสิมเจาะเป็นซุ้มเล็กๆ จำนวนมาก สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปถึง 6,840 องค์ นอกจากนี้ ยังมีโบราณวัตถุสำคัญคือราวเทียนไม้ แกะเป็นรูปนาคสองตัว ฝีมือวิจิตร
     บริเวณวัดสงบ ร่มเย็น
     วัดสีสะเกดเป็นวัดเดียวในเวียงจันทน์ที่ไม่ถูกเผาเมื่อปี 1828 (พ.ศ. 2371) ครั้งรัชกาลที่ 3 รับสั่งให้กองทัพสยามซึ่งนำโดยพระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) (ต่อมาเลื่อนเป็นเจ้าพระยาบดินทรเดชา) ไปทำลายเวียงจันทน์ให้ราบ ต่อกรณี 'กบฏเจ้าอนุวงศ์' (ลาวเรียก 'สงครามกู้เอกราชของเจ้าอนุวงศ์') ชะรอยศิลปสถาปัตยกรรมแบบต้นรัตนโกสินทร์อันงดงามของวัด เป็นสิ่งยับยั้งรั้งมือเผาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม แผ่นป้ายจารึกประวัติวัดสีสะเกดตรงทางเข้า เขียนไว้ อ่านเป็นภาษาไทยได้ดังนี้
     'วัดนี้ เอิ้นว่าวัดสีสะเกด สร้างตั้งปี ค.ศ. 1818 สมัยเจ้านามว่ากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวังเวียงจันทน์ สร้างได้ 10 ปี ก็ถูกสงครามศักดินาต่างด้าวมารุกราน และทำลายไปพร้อมๆ กับทำลายนครเวียงจันทน์ แต่หลังสงครามผ่านพ้นไป ประชาชนลาวก็ได้พร้อมกันฟื้นฟูบูรณะวัดนี้ให้คืนดีดังเก่า ได้รักษารูปลักษณะการก่อสร้างเดิมไว้ทุกอย่าง ต่อมาถึงปี 1935 ก็ได้มีการบูรณะรูปศิลปะไว้อย่างเก่า ดังเฮาเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้'

จากวัดสีสะเกด รถแล่นไปตามถนนล้านช้าง ราว 1 กิโลเมตรเศษ ถึงจัตุรัสประตูชัย ถนนล้านช้างแยกออกเป็นสองสายขนาบข้างลานประตูชัย เลยไปตรงช่วงกลางเป็นลานจอดรถ ถัดไปอีกราว 400 เมตร เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ พ้นจากสวนสาธารณะ ถนนกางออกเป็นสามสาย ตรงกลางคือถนนไกสอน พมวิหาน ด้านขวาคือถนน 23 สิงหา ภูมิทัศน์รวมของจัตุรัสประตูชัยดูสง่างามยิ่ง

ประตูชัย
     สร้างเสร็จในปี 1962 เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้สละชีวิตในการต่อสู้เพื่อเอกราชจากอาณานิคมฝรั่งเศส รูปลักษณ์ภายนอกคล้าย Arc de Triomphe กรุงปารีส แต่ประตูชัยมีช่องประตูทั้ง 4 ด้าน ลวดลายปูนปั้นและการตกแต่งเป็นศิลปะลาว จึงมีลักษณะผสมผสานตะวันออกกับตะวันตก
     แสงแดดยามบ่ายทอดเงาให้ประตูชัยน่าสนใจยิ่งขึ้น เราจึงเดินเล่นกันพักใหญ่

ย้อนกลับตามถนนล้านช้าง เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเสดถาทิลาด ไปจนบรรจบกับถนนสามแสนไท ตรงมุมสามเหลี่ยมนั้นคือวัดสีเมือง สิมทาสีเหลืองสดใส บานประตู หน้าต่าง เหล็กดัด ลวดลายฉูดฉาด มีชีวิตชีวา ภายนอกสิมยังมีพระพุทธรูปเรียงรายเป็นแถว ตรงลานโพธิ์มีพระปางนาคปรกงดงามประดิษฐานอยู่ ชาวบ้านมาทำบุญ ไหว้พระ กันคลาคล่ำ บรรยากาศยามเย็นคึกคัก
     จากวัดสีเมือง ย้อนกลับทางตะวันตกตามถนนเสดถาทิลาด ไปยังวัดองค์ตื้อ วัดเก่าแก่ของเวียงจันทน์ สร้างเมื่อปี 1560 เป็นที่ประดิษฐาน 'พระเจ้าองค์ตื้อ' พระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่ที่สุดของเมือง สร้างโดยเจ้าไชยเชษฐาธิราช 'ตื้อ' หมายถึงน้ำหนัก 12 ตัน
     ที่วัดองค์ตื้อกำลังมีพิธีสวดพระศพพระอาจารย์ใหญ่ ดร. มหาผ่อง ปิยะทีโร (สะมาเลิก) ประธานองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว (พระสังฆราชองค์ที่ 4 ของลาว) อดีตเจ้าอาวาสวัดองค์ตื้อ ผู้เป็นที่นับถือของชาวพุทธทั้งสองฝั่งโขง ท่านละสังขารเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2558 เวลา 17.11 น. สิริรวมอายุ 100 ปี 6 เดือน 81 พรรษา พิธีถวายเพลิงพระศพกำหนดไว้วันที่ 20 ธันวาคม 2558 ณ วัดธาตุหลวง
     จากวัดองค์ตื้อ รถแล่นตัดลงไปจอดยังถนนริมโขง ท้องฟ้าสีทองยามอาทิตย์อัสดงสะท้อนน้ำงดงามนัก ลมพัดเย็นสบาย แต่น่าตกใจที่น้ำโขงฝั่งลาวแห้งขอด เห็นดินท้องน้ำแตกระแหงไปถึงครึ่งความกว้างแม่น้ำ ทั้งที่เดือนนี้ควรเป็นฤดูน้ำหลาก เขื่อนจำนวนมากทางตอนเหนือของแม่โขงสำแดงเดชรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
     เรากินมื้อค่ำที่ร้านริมโขง หนึ่งในบรรดาซึ่งเรียงรายไปตลอดความยาวของถนน
     หลังอาหาร ไปต่อที่วัดธาตุหลวง...
 
ธาตุหลวง
     เจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสร้างธาตุหลวงเมื่อปี 1566 (พ.ศ. 2109) โดยสร้างครอบองค์พระธาตุศรีธรรมาโศก ซึ่งเป็นพระธาตุเก่าแก่ตั้งแต่ยุคอาณาจักรศรีโคตรบอง ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ยอดพระธาตุสูงถึง 45 เมตร สูงเหนือยอดไม้ทุกต้น ทำให้มองเห็นพระธาตุนี้ได้แต่ไกล มีพระธาตุองค์เล็กล้อมรอบอีก 30 องค์ ธาตุหลวงเป็นศาสนสถานสำคัญคู่เมืองเวียงจันทน์มาเกือบ 450 ปี
     ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี เป็นวัน 'บุญธาตุหลวง' งานใหญ่ของเวียงจันทน์ ชาวลาวจากเมืองต่างๆ จะมาทำบุญฉลององค์พระธาตุกันเนืองแน่น
     บุญธาตุหลวงปีนี้ เริ่มมาแต่เมื่อวาน วันนี้ขึ้น 14 ค่ำ พรุ่งนี้ขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันสุดท้ายของงาน ถนนรอบธาตุหลวงปิด ไม่ให้รถผ่าน เราเดินเข้าทางด้านหน้า ผ่านอนุสาวรีย์เจ้าไชยเชษฐาธิราชประทับนั่งบนพระแท่น มือทั้งสองกุมดาบที่วางบนตัก พระรูปเด่นอยู่หน้าธาตุหลวง
     ผู้คนแต่งกายเรียบร้อย เดินเวียนเทียนรอบพระธาตุ ไม่ขาดสาย ด้วยคนจำนวนมาก
     บริเวณโดยรอบคึกคัก ร้านค้า ร้านอาหารเพียบ

บ่ายถึงค่ำวันนี้ ได้สำรวจสถานที่สำคัญของนครหลวงเวียงจันทน์ หลายแห่งในกาลพิเศษที่มิได้คาดหมายล่วงหน้า
เรากลับถึง Mercure Hotel เวลา 22.00 น.


ข้อมูลค้นจาก
     ศรัณย์ บุญประเสริฐ. คู่มือนำเที่ยวหลวงพระบาง. สำนักพิมพ์สารคดี. 2549.
     wikipedia.org
     wikitravel.org




   



February 2, 2016

Vientiane Revisited: ประวัติศาสตร์ชาติลาว (3): สงครามที่ไม่ประกาศ: 24.11.2015

สงครามที่ไม่ประกาศ (1954-1975)
     ช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ขยายตัว สร้างความประหวั่นแก่สหรัฐอเมริกา จนเกิดทฤษฎีโดมิโน (The Domino Theory) ซึ่งเสนอโดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Harry S. Truman เมื่อ Ho Chi Minh ประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในวันที่ 2 กันยายน 1945 ณ จัตุรัส Ba Dinh กรุง Hanoi ต่อหน้าฝูงชนกว่า 400,000 คน
     สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนฝรั่งเศสที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลับเข้ามายึดครองอินโดจีนต่อ อันนำไปสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและสร้างรายได้มหาศาลให้สหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแรงจูงใจสำคัญ ดังนั้นกว่าร้อยละ 80 ของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฝรั่งเศสใช้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งนี้ จึงมาจากสหรัฐอเมริกา
     ความปราชัยหมดรูปของฝรั่งเศสที่ Dien Bien Phu (1954) ทำให้ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ประกาศว่านี่เป็น 'falling domino' สำทับการเข้าแทรกแซงเต็มรูปแบบของสหรัฐอเมริกา สวมรอยฝรั่งเศสที่จำต้องถอนตัวออกไปจากอินโดจีน
     นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาเลือกไม่ลงนามรับรอง Geneva Accords โดยให้คณะผู้แทนของตนนำโดย John Foster Dulles รัฐมนตรีต่างประเทศ ลุกออกจากที่ประชุม (walk out) เพื่อที่ตนจะไม่ต้องผูกพันปฏิบัติตามข้อตกลง
     Geneva Accords วางเงื่อนไขให้มีการเจรจารวมลาวในวันที่ 21 พฤศจิกายน 1954 สหรัฐอเมริกาเข้าแทรกแซงหนุนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่นิยมตนขึ้นที่เวียงจันทน์ มีกระต่ายเป็นนายกรัฐมนตรี กลางปี 1955 รัฐบาลดังกล่าวระดมทหารจำนวนมากบุกโจมตีแขวงพงสาลีและซำเหนือ ที่ตั้งของแนวลาวอิสระ และปราบปรามประชาชนที่ต่อต้านทั้ง 10 แขวง ฝ่ายแนวลาวอิสระปลุกระดมการลุกขึ้นของประชาชนทั้ง 10 แขวง อย่างกว้างขวาง จัดตั้งแนวร่วมเอกภาพในชื่อ 'แนวลาวรักชาติ' เมื่อวันที่ 6 มกราคม 1956 การต่อสู้ทั้งทางทหารและทางการเมืองของสองฝ่ายไม่อาจเอาแพ้ชนะกันได้ ที่สุดจึงนำสู่การเจรจาและลงนาม 'สัญญาเวียงจันทน์' ในวันที่ 22 ตุลาคม 1957 สาระสำคัญให้ยุติการรบราฆ่าฟันกัน ให้ลาวมีสันติภาพ เป็นกลาง รับรู้ฐานะของแนวลาวรักชาติ จัดตั้งรัฐบาลผสมโดยมีผู้แทนแนวลาวรักชาติเข้าร่วม
     ภายหลังการลงนามสัญญาเวียงจันทน์ไม่ถึง 1 ปี และการจัดตั้งรัฐบาลผสมไม่นาน สหรัฐอเมริกาใช้วิธีตัดงบความช่วยเหลือที่เคยให้ ลดค่าเงินกีบโดยปรับอัตราแลกเปลี่ยนกับดอลลาร์ กดดันทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ จนเจ้าสุวรรณภูมา นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 1958
     สหรัฐอเมริกาหนุนการตั้งรัฐบาลใหม่ มี ผุย ชะนะนิกอน เป็นนายกรัฐมนตรี ขยายการปราบปรามฝ่ายต่อต้าน และจับกุมเจ้าสุภานุวงศ์กับพวกผู้นำแนวลาวรักชาติ รวม 16 คน ไปขังที่คุกโพนเค็ง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 1959 ทำให้เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลเพิ่มขึ้น ปลายปี 1959 ประชาชน 20,000 คนในเวียงจันทน์ร่วมชุมนุมประท้วง Dag Hammarskjold เลขาธิการสหประชาชาติเดินทางมาสังเกตการณ์และกล่าวประณามการกระทำของรัฐบาลลาว ต่อมาวันที่ 23 พฤษภาคม 1960 สารวัตรทหารที่คุมคุกโพนเค็ง แปรพักตร์ปล่อยเจ้าสุภานุวงศ์กับพวก หนีจากคุกได้สำเร็จ
     วันที่ 9 สิงหาคม 1960 ทหารพลร่มทำรัฐประหารล้มรัฐบาลเจ้าสมสนิท และยึดเวียงจันทน์ไว้
     วันที่ 13 ธันวาคม 1960 พูมี หน่อสะหวัน ผู้บัญชาการทหารในรัฐบาลเจ้าสมสนิท นำกองทหารบุกโจมตีเวียงจันทน์ โดยได้รับกำลังสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และไทย (รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพูมี หน่อสะหวัน) รวมทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิด ชาวเวียงจันทน์ล้มตายกว่า 500 คน ฝ่ายรัฐประหารต้านทานไม่ไหว ต้องถอนออกจากเวียงจันทน์ไปร่วมกับแนวลาวรักชาติที่ทุ่งไหหิน เชียงขวาง
     นับแต่ต้นทศวรรษ 1960 สถานการณ์ในลาวทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มหาอำนาจทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย ต่างแทรกแซงหนุนฝ่ายของตนในลาว บ้านเมืองไร้เสถียรภาพ ไร้ความสงบสุข
     ผู้แทนสามฝ่ายการเมืองในลาวได้แก่ ฝ่ายเป็นกลาง-เจ้าสุวรรณภูมา ฝ่ายซ้าย-เจ้าสุภานุวงศ์ และฝ่ายขวา-เจ้าบุญอุ้ม เปิดการเจรจาเพื่อให้มีการหยุดยิง เมื่อวันที่ 13-17 พฤษภาคม 1961 ที่บ้านนามอน, วันที่ 19-22 มิถุนายน 1961 ที่ Zurich, วันที่ 6-8 ตุลาคม 1961 ที่หินเหิบ, และวันที่ 7 มิถุนายน 1962 ที่ทุ่งไหหิน บรรลุการจัดตั้งรัฐบาลผสมโดยเจ้าสุวรรณภูมา ฝ่ายเป็นกลาง เป็นนายกรัฐมนตรี เจ้าสุภานุวงศ์ ฝ่ายซ้ายแนวลาวรักชาติ และ พูมี หน่อสะหวัน ฝ่ายขวา เป็นรองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐบาลใหม่ประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 1962 ที่หลวงพระบาง แต่งตั้งคณะผู้แทนเข้าร่วม Geneva Conference วันที่ 2-23 กรกฎาคม 1962 การประชุมดังกล่าวบรรลุเป้าหมาย รับรู้เอกสาร เอกภาพ อธิปไตย ความเป็นกลาง และผืนแผ่นดินอันครบถ้วนของลาว
     อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาไม่ยอมเลิกรา กลับรวบรวมนายทหารฝ่ายขวาจัดตั้ง 'แนวร่วมแห่งชาติ' เพื่อดำเนินงานทางการเมือง และจัดการซ้อมรบกองทหาร SEATO ในไทยกับกองเรือที่ 7 ของตน เพื่อข่มขู่สันติภาพในลาวและอินโดจีน
     พร้อมกันนั้น หน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา (CIA) ได้จัดตั้งกองกำลังพิเศษเพื่อปฏิบัติการลับสุดยอดด้วยกำลังอาวุธ มีกองบัญชาการใหญ่ ชื่อรหัส 'HQ 333' อยู่ที่ฐานทัพอากาศอุดรฯ ประเทศไทย กองกำลังพิเศษนี้ประกอบด้วยกองทหารเสือพรานของไทย จำนวน 36 กองพัน มีพันโทวิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ ชื่อรหัส 'เทพ 333' เป็นผู้บัญชาการ ร่วมรบกับลาวฝ่ายขวาในดินแดนลาว นัยเพื่อป้องกันการแผ่อิทธิพลคอมมิวนิสต์เข้ามายังดินแดนประเทศไทย ตามนโยบาย 'รบนอกบ้าน' ของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ภารกิจนี้เป็นราชการลับสุดยอด ทหารจึงต้องลงนามลาออกจากราชการก่อน เพื่อไม่ให้มีความเกี่ยวข้องกับทางการหากภารกิจถูกเปิดเผย หรือหากบาดเจ็บเสียชีวิตในการรบ งบประมาณทั้งหมดเป็นของ CIA สถานภาพของทหารเหล่านี้จึงเสมือนเป็นทหารรับจ้าง (mercenaries)
     นอกจากนี้ CIA ได้แต่งตั้งวังเปาเป็นผู้บัญชาการกองกำลังชาวม้งในลาว ทำหน้าที่โจมตีเขตปลดปล่อย ทำลายเส้นทางคมนาคม สอดแนม และสังหารฝ่ายตรงข้าม
     วันที่ 19 เมษายน 1964 กำลังฝ่ายขวาโดยการหนุนของสหรัฐอเมริกาทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลผสม
     วันที่ 17 พฤษภาคม 1964 ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson สั่งใช้กำลังทัพอากาศสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดและยิงทำลายเขตปลดปล่อยเป็นครั้งแรก ถือเป็นการรุกรานทางทหารโดยตรงในสงครามที่ไม่ประกาศ และเพิ่มอาวุธยุทธภัณฑ์แก่กองทหารฝ่ายขวา การกระทำดังกล่าวของสหรัฐอเมริกา จงใจละเมิด Geneva Accords 1954 และ 1962
     ตั้งแต่กลางปี 1964 สหรัฐอเมริกาเปิดแนวรบใหญ่โดยใช้ทหารฝ่ายขวา ทหารม้งของวังเปา และทหารรับจ้างไทย สมทบกับเครื่องบินทิ้งระเบิดจากฐานบินในไทยและจากกองเรือที่ 7 การรบขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ
     มีนาคม 1968 แนวลาวรักชาติแขวงหัวพันเริ่มโจมตีป้อมภูผาที ฐานเรดาร์สำคัญของสหรัฐอเมริกาในการบัญชาการเครื่องบินทิ้งระเบิดทั่วเขตภาคเหนือของลาวและเวียดนาม ป้อมภูผาทีมีระบบป้องกันแน่นหนา มีกำลังพลถึง 16 กองพัน
     เมษายน 1968 ร้อยเอกจำลอง ศรีเมือง ชื่อรหัส 'โยธิน' ประจำการอยู่บนภูผาทีในฐานะหัวหน้าทีม Z-16 ค่ำวันหนึ่งกองทหารแนวลาวรักชาติบุกขึ้นมาทางด้านที่ทหารม้งดูแล เกิดการปะทะอย่างหนัก ทหารม้งเสียชีวิตไปราว 200 นาย ช่างเทคนิคเสียชีวิตราว 20 คน ทหารที่บุกขึ้นมารุกคืบมาจนปะทะกับทีม Z-16 ด้วย แต่ทีม Z-16 ไม่มีใครเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ เช้ารุ่งขึ้น หน่วยเหนือสั่งให้ถอนกำลังลงจากภูผาทีทั้งหมด 'โยธิน' บันทึกเหตุการณ์นี้ในภายหลังว่า หัวหน้าบอกเขา หากนี่มิใช่ราชการลับ จะเสนอขอเหรียญกล้าหาญชั้นหนึ่งให้ อย่างไรก็ตาม 'โยธิน' ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น 'วีรบุรุษภูผาที'!
     วันที่ 22 มกราคม 1969 ภูผาทีแตก ฐานเรดาร์ถูกทำลาย
     มีนาคม 1969 สหรัฐอเมริกาใช้ทหาร 35 กองพันและเครื่องบินสนับสนุน เปิดยุทธการ ODN บุกภูแคและเมืองเชียงขวาง แต่ถูกตีพ่ายไป
     สิงหาคม 1969 เปิดยุทธการ 'กู้เกียรติ' บุกเข้าทุ่งไหหินและทั่วแขวงเชียงขวาง ใช้กำลังถึง 50 กองพัน มีทหารไทยรวมด้วยหลายกองพันและใช้กำลังทางอากาศหนุน วันหนึ่งๆ มีเครื่องบินสอดแนมหรือทิ้งระเบิดเกือบ 300 เที่ยว บางวันถึง 500 เที่ยว และเครื่อง B-52 ร่วมด้วย ยุทธการนี้เป็นการทดสอบทฤษฎีของประธานาธิบดี Richard M. Nixon ที่ว่า 'เอาคนอินโดจีนฆ่าคนอินโดจีน เอาคนลาวฆ่าคนลาว'
     สิงหาคม 1970 เปิดยุทธการ 'ทะนงเกียรติ' บุกเข้าทุ่งไหหินและเชียงขวางครั้งใหม่ ใช้กำลัง 32 กองพัน
     ตุลาคม 1970 ยุทธการ 'มังกรเกียรติ' กำลัง 11 กองพัน เป็นทหารไทย 4 กองพัน บุกเมืองพีน แขวงสะหวันนะเขต
     มกราคม 1971 ยุทธการ 'ลามเซ็น 719' สหรัฐอเมริกาบุกโจมตีทางหมายเลข 9 เพื่อหวังตัดทำลาย Ho Chi Minh Trail ใช้กำลังถึง 45,000 นาย B-52 100 ลำ เฮลิคอปเตอร์ 800 ลำ เครื่องบินสู้รบสอดแนม 1,500 ลำ ปืนใหญ่ รถหุ้มเกราะ และรถถัง จำนวนมาก เปิดศึกตั้งแต่เซโน ไปตามทางหมายเลข 9 และจากปากเซไปหาภูเพียงบอละเวน
     กุมภาพันธ์ 1971 ยุทธการ 'HQ 333' บุกทุ่งไหหิน แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่หนึ่ง 2 กพ.-10 มีค. ใช้ทหารไทยหลายสิบกองพัน ระยะที่สอง 2 มิย.-22 ธค. ใช้ทหาร 40 กองพันกับทหารไทยอีก 11 กองพัน
     มีนาคม 1972 ยุทธการ 'สินไชย' กำลัง 2 กรมรุกเข้าบอละเวน และยุทธการ 'ฟ้างุ้ม' กำลัง 3 กรมเข้าเขตสาละวัน
     สิงหาคม1972 ยุทธการ 'ตุลา' กำลัง 46 กองพัน เป็นทหารไทย 10 กองพัน รบที่ทุ่งไหหิน เชียงขวาง และยุทธการ 'สิงห์ดำ' กำลัง 7,000 นาย รบที่เซโดน
     ตุลาคม 1972 ยุทธการ 'ประสานตุลา' กำลัง 30 กองพันบุกเข้าแขวงสาละวัน
     พฤศจิกายน 1972 ยุทธการ 'แดนดิน' กำลัง 5,000 นาย รบที่แขวงหลวงพระบาง
     แต่ละแนวรบ ฝ่ายสหรัฐอเมริกาสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก แนวลาวรักชาติเป็นฝ่ายมีชัย ขยายเขตปลดปล่อยออกไปได้หลายแห่ง ที่ซำทองและล่องแจ้ง กองทหารม้งของวังเปาสูญเสียกำลังพลมากจนไม่อาจสนองแผนการของสหรัฐอเมริกาได้อีก
     เริ่มแต่สหรัฐอเมริกาเปิดสงครามเมื่อปี 1964-1973 เครื่องบินทิ้งระเบิดถล่มแผ่นดินลาว โดยเฉพาะเขตปลดปล่อยซึ่งคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศอย่างหนัก B-52 ทิ้งระเบิดเฉลี่ยทุก 8 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง น้ำหนักระเบิดรวมทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านตัน ร้อยละ 30 ของจำนวนนี้ไม่ระเบิด ยังคงเป็นอันตรายถึงทุกวันนี้ นอกจากระเบิด สหรัฐอเมริกายังใช้ Agent Orange สารเคมีพิษโปรยลงเขตปลดปล่อย เช่นที่กระทำในเวียดนามด้วย
     สหรัฐอเมริกาปราชัยอย่างหนักทางด้านการทหารในอินโดจีนและโดดเดี่ยวทางด้านการเมือง ที่สุดต้องยอมเซ็น Paris Peace Accord เมื่อวันที่ 27 มกราคม 1973 เกี่ยวกับเวียดนาม และยอมให้ลาวฝ่ายขวาเซ็นสัญญาสงบศึกกับแนวลาวรักชาติ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1973
     แม้มีสัญญาสงบศึกแล้ว สหรัฐอเมริกายังสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มทำรัฐประหารในวันที่ 20 สิงหาคม 1973 หากแต่ไม่สำเร็จ การเจรจาดำเนินต่อไปถึงวันที่ 14 กันยายน 1973 จึงได้เซ็นอนุสัญญากัน
     วันที่ 3 เมษายน 1974 เจ้าสุภานุวงศ์เดินทางจากเมืองเวียงไชยมายังเวียงจันทน์ เพื่อเตรียมจัดตั้งรัฐบาลผสมและคณะมนตรีผสมการเมืองแห่งชาติ
     วันที่ 5 เมษายน 1974 จัดตั้งรัฐบาลผสม มีเจ้าสุวรรณภูมาเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนคณะมนตรีผสมการเมืองแห่งชาติ มีเจ้าสุภานุวงศ์เป็นประธาน
     หลังจากนั้น การลุกฮือของประชาชน และการปะทะกันของสองฝ่าย ยังคงระเบิดขึ้นในที่ต่างๆ จนเมื่อกัมพูชาได้รับชัยชนะในวันที่ 17 เมษายน 1975 และเวียดนามปลดปล่อยภาคใต้ได้ในวันที่ 30 เมษายน 1975 มหาอำนาจสหรัฐอเมริกาต้องถอนกำลังหนีกลับอย่างฉุกละหุก เป็นกาลเหมาะสมแก่การยึดอำนาจของแนวลาวรักชาติ
     วันที่ 23 สิงหาคม 1975 ศูนย์กลางพรรคปฏิวัติประชาชนลาว จัดพิธียึดอำนาจแห่งสุดท้ายที่นครหลวงเวียงจันทน์ ท่ามกลางชุมนุมชนกว่า 300,000 คน
     วันที่ 1 ธันวาคม 1975 ผู้แทนประชาชนทุกเขตแขวงทั่วประเทศประชุมที่นครหลวงเวียงจันทน์ ที่ประชุมรับรองใบลาออกจากราชบัลลังก์ของเจ้าชีวิตศรีสว่างวัฒนา ประกาศยุบรัฐบาลผสมและคณะมนตรีผสมการเมืองแห่งชาติ ลงมติรับรองธงชาติ เพลงชาติ ภาษาชาติ และประกาศเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่งตั้งเจ้าสุภานุวงศ์เป็นประธานประเทศ แต่งตั้งรัฐบาลโดยท่านไกสอน พมวิหาน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งสภาประชาชนสูงสุดโดยเจ้าสุภานุวงศ์เป็นประธาน
     วันที่ 2 ธันวาคม 1975 ประกาศสถาปนาประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นขีดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติลาว ลาวที่หลุดพ้นจากระบอบศักดินา ประเทศราช อาณานิคม และสงคราม กลายเป็นประเทศเอกราชประชาธิปไตยอย่างแท้จริง วันที่ 2 ธันวาคม 1975 วันชาติลาว ...'น้ำใจ วันชาติที่ 2 ธันวา มั่นยืน'...

อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่า 350 ปี (1353-1707) ตกเป็นประเทศราชของสยามกว่า 110 ปี (1779-1893) ถูกฝรั่งเศสยึดเป็นอาณานิคมกว่า 60 ปี (1893-1954) และต้องต่อสู้ในสงครามที่ไม่ประกาศกับสหรัฐอเมริกาอีกกว่า 20 ปี (1954-1975) วันนี้ประเทศลาวที่เป็นเอกราชเพิ่งมีอายุเพียง 40 ปี
     แม้ความผูกพันพี่น้องของประชาชนสองฝั่งโขงเป็นความจริงทั้งเชิงประวัติศาสตร์และพันธุศาสตร์ แต่ความสัมพันธ์ของรัฐสองฝั่งโขง กลับไม่อาจเรียกขาน 'บ้านพี่เมืองน้อง' ด้วยการกระทำของรัฐหนึ่งต่ออีกรัฐหนึ่งตลอดสองศตวรรษที่ผ่านมา ไม่เป็นแม้แต่ 'เพื่อนบ้าน' ที่ดีต่อกัน



ข้อมูลค้นจาก
   สมชาย นิลอาธิ (ถอดความ). ประวัติศาสตร์ฉบับกระทรวงศึกษาธิการฯ ลาว. สำนักพิมพ์มติชน. 2545.
   wikipedia.org
   hfocus.org
   thaiairsoftgun.com
   cia.gov
   Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.