07.55 น. บางกอก ATR 72-500 แบบใบพัด สองเครื่องยนต์ 70 ที่นั่ง บินจากสุวรรณภูมิ
อีก 1.30 ชั่วโมงต่อมา เครื่องร่อนลงสนามบินลำปางอย่างนุ่มนวล
โครงการเยี่ยมศิษย์เก่ากุมารศัลยศาสตร์ปีนี้ กำหนดเยือนลำปางและเชียงราย คณะเรารวม 6 คน
หมอภาคและหมอนวลมารอรับ พาขึ้นรถตู้ ตรงไปโรงพยาบาลลำปางทันที ระยะทางไม่ถึง 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 6-7 นาที
โรงพยาบาลลำปางเป็นโรงพยาบาลศูนย์ของภาคเหนือตอนบน ขนาดกว่า 860 เตียง บริเวณกว้างขวางเกือบ 70 ไร่ ตึกรามไม่สูง ไม่เบียดเสียด พื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ การปิดปรับปรุงตึกเก่าทยอยทำต่อเนื่องได้โดยสะดวก ตึกเก่าจึงไม่ทรุดโทรม แวดล้อมร่มรื่นสบายตาสบายใจ
เจ้าบ้านพาคณะเราไปยังห้องประชุม ตึกศัลยกรรมทรวงอก หมอภาคนำเสนอข้อมูลพื้นฐานของโรงพยาบาล เขตรับผิดชอบ และรายละเอียดของหน่วยกุมารศัลยกรรม ปริมาณงานเหมาะสมกับจำนวนกุมารศัลยแพทย์ที่มีอยู่ 2 คน
จากนั้นไปเดินชมสถานที่ เริ่มด้วยห้องผ่าตัด จำนวน 24 ห้อง สร้างใหม่อายุราว 2 ปี สภาพเรียบร้อย สะอาด เป็นห้องผ่าตัดทันสมัยที่พึงประสงค์ สะท้อนวิสัยทัศน์และฝีมือของฝ่ายบริหารได้อย่างดี
หอผู้ป่วยไม่แออัด
ER เพดานสูง กว้างขวาง แต่ละเตียงมีพื้นที่เพียงพอสำหรับรับมืองานฉุกเฉินชุลมุน
ภูมิศาสตร์ของโรงพยาบาล คนไข้ไม่ล้นแออัด จำนวนแพทย์เหมาะสมกับงาน บรรยากาศผ่อนคลาย โรงพยาบาลลำปางจึงนับเป็นที่ทำงานที่ดียิ่ง
12.30 น. กินมื้อกลางวัน ที่ร้าน 'ของกิ๋นบ้านเฮา' ถนนจามเทวี บริเวณร่มรื่นด้วยสวนต้นไม้ใหญ่ อากาศเย็นสบาย อาหารพื้นเมืองเหนือขนานแท้ ภรรยาหมอภาค (อดีตพยาบาลหอผู้ป่วยศัลยกรรม โรงพยาบาลเด็ก) และพี่ชายหมอเอิง (อัยการจังหวัดลำปาง) ตามมาสมทบ เป็นโอกาสดีที่ได้พบปะครอบครัวด้วย
ช่วงบ่าย หมอนวลเป็นมัคคุเทศก์พาคณะเราไปเยือนสถานที่สำคัญ
วัดพระธาตุลำปางหลวง
ตั้งอยู่ในเขตตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา ห่างจากเมืองลำปางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 18 กิโลเมตร วัดตั้งอยู่บนเนินสูง การจัดวางผังและองค์ประกอบของวัดสมบูรณ์แบบ จากถนนหน้าวัดด้านทิศตะวันออกมีบันไดนาคนำขึ้นสู่ซุ้มประตูโขง ผ่านซุ้มประตูโขงเข้าไปเป็น วิหารหลวง และพระธาตุเจดีย์ ทิศเหนือขององค์พระธาตุ มีวิหารน้ำแต้ม ทิศตะวันตกมี วิหารละโว้ และหอพระพุทธบาท ทิศใต้มี วิหารลายคำ (วิหารพระพุทธ) และอุโบสถ ทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสี่ด้าน กำแพงแก้วด้านทิศใต้มีประตูเปิดเข้าเขตสังฆาวาส ซึ่งประกอบด้วยหอพระไตรปิฎก กุฏิประดิษฐานพระแก้วดอนเต้า พิพิธภัณฑ์ และกุฏิสงฆ์
บันไดนาค
บันไดทางขึ้นด้านหน้าเป็นรูปพญานาคทั้งสองข้าง เชิงบันไดมีรูปสิงห์ปูนปั้นขนาดใหญ่สองตัว สร้างในสมัยพระเจ้าดวงทิพย์ เจ้าผู้ครองนครลำปาง (ครอง พ.ศ. 2337-2368)
ประตูโขง
เป็นอาคารทรงมณฑป มียอดแหลมซ้อนหลายชั้น โครงสร้างก่ออิฐถือปูน แต่งลายปูนปั้นรูปดอกไม้ ช่องทางเดินตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก เหนือช่องทางเดินประดับซุ้มโค้งซ้อน 2 ชั้น ลวดลายวิจิตร ประตูโขงนี้ใช้เป็นสัญลักษณ์เมืองในตราประจำจังหวัดลำปาง
วิหารหลวง
เป็นวิหารประธานของวัด ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงวิหารโล่งแบบล้านนายุคแรก หลังคาจั่วสามชั้นลด ด้านในตามแนวคอสอง มีภาพเขียนสีโบราณเรื่องชาดก บริเวณท้ายวิหารมีกู่ทรงมณฑปประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง พระพุทธรูปซึ่งหล่อขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2019
พระธาตุเจดีย์
องค์พระเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา หุ้มด้วยแผ่นทองเหลืองสลักดุนลายที่ภาษาถิ่นพายัพเรียก 'ทองจังโก' (หรือ 'ทองสักโก' เอกสารบางฉบับเรียก 'ทองจังโกฎก์') แต่ละแผ่นลวดลายต่างกัน ล้วนละเอียดประณีตงดงาม ฐานพระเจดีย์สูงหลายชั้นทรงสี่เหลี่ยมย่อมุม ลักษณะศิลปะเชียงแสนรุ่นหลัง (พุทธศตวรรษที่ 21-22)
วิหารน้ำแต้ม
เป็นวิหารทิศตั้งอยู่ทางเหนือขององค์พระธาตุเจดีย์ เครื่องไม้ ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปร่างและสัดส่วนงดงาม บนแผงไม้คอสองมีภาพเขียนสีโบราณเก่าแก่ วิหารน้ำแต้มเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง 45 นิ้ว
หอพระพุทธบาท
เป็นสถาปัตยกรรมก่ออิฐทรงสี่เหลี่ยม ฐานสร้างครอบรอยพระพุทธบาท สร้างขึ้นสมัยเจ้าหาญแต่ท้อง เมื่อปี พ.ศ. 1992 ภายในมองเห็นภาพหัวกลับของพระธาตุเจดีย์และพระวิหารจากแสงที่หักเหผ่านช่องผนังเข้ามา (ตามหลักการ 'กล้องรูเข็ม')
วิหารลายคำ (วิหารพระพุทธ)
เป็นวิหารทิศใต้ ตามจักรวาลคติ มีองค์พระธาตุเจดีย์เป็นศูนย์กลาง สร้างขึ้นเป็นวิหารหลังแรก คู่กับวิหารน้ำแต้ม เมื่อปี พ.ศ. 2019 สมัยพระเจ้าติโลกราช (ครองราชย์ พ.ศ. 1985-2031) เดิมเป็นวิหารโล่ง ภายในประดิษฐานพระเจ้าองค์หลวงเมืองเขลางค์ พระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย
ส่วนที่งดงามยิ่งของวิหารนี้คือ 'ลายคำ' ศิลปะการลงรักปิดทองแบบล้านนา ประดับตกแต่งพื้นที่สำคัญของวิหาร อาทิ ขื่อม้าตั่งไหม (โครงสร้างเครื่องบนของวิหาร) เสา ผนัง และแผงไม้คอสอง ลายคำที่ลวดลายเป็นระเบียบสอดคล้องกัน เป็นความงดงาม ส่งเสริมให้เกิดความศรัทธา ความสุขสงบ
นอกจากนี้ ยังปรากฏภาพหัวกลับของพระธาตุเจดีย์จากแสงที่หักเหผ่านช่องผนังเข้ามา
วัดพระธาตุลำปางหลวง ศิลปสถาปัตยกรรมล้านนางดงาม ทรงคุณค่า อายุกว่า 500 ปี เป็นวัดเก่าคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณกาลที่ยังคงทำหน้าที่ศาสนสถานจนถึงทุกวันนี้ วัดพระธาตุลำปางหลวงจึงเป็นโบราณสถานสำคัญที่มีชีวิต
จากลำปางต่อไปยังลำพูน ด้วยกำหนดการคืนนี้เราจะค้างแรมที่เชียงใหม่ เพื่อเดินทางไปเชียงรายพรุ่งนี้เช้า
ออกจากวัดพระธาตุลำปางหลวงไปตามถนนสาย 1034 ราว 11 กิโลเมตร บรรจบกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง (11) เมื่อเข้าเขตลำพูนเราแวะ Delizia Garden ร้านกาแฟริมทาง แวดล้อมด้วยสวนสวย แดดยามบ่ายมุมแสงงดงาม อากาศเย็นสบาย กาแฟดำจึงอร่อยยิ่ง
เดินทางต่อไปตามสาย 11 ประมาณ 20 กิโลเมตร เบี่ยงซ้ายเข้าทางหลวง 114 อีกราว 10 กิโลเมตร ถึงเมืองลำพูน รวมระยะทางจากลำปาง 70 กิโลเมตร
วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร
ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลำพูน ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 150 เมตร สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 รัชสมัยพญาอาทิตยราช กษัตริย์แห่งจามเทวีวงศ์
จากถนนรอบเมืองใน ด้านทิศตะวันออก เป็นทางเข้าหน้าวัด ผ่านซุ้มประตูโขงเข้าไปเป็น วิหารหลวง และพระธาตุเจดีย์ ทิศเหนือขององค์พระธาตุ มีวิหารพระละโว้ และวิหารพระพันตน ทิศตะวันตกมี วิหารพระทันใจ ทิศใต้มี วิหารพระพุทธ และวิหารพระบาทสี่รอย ทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสี่ด้าน ริมกำแพงด้านทิศเหนือตรงมุมด้านตะวันตกมีวิหารพระกลักเกลือ ถัดมาเป็นสุวรรณเจดีย์ (ปทุมวดีเจดีย์) และวิหารพระไสยาสน์ ผังและองค์ประกอบทั้งมวลงดงามสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง
ประตูโขง
โครงสร้างก่ออิฐถือปูน ประดับลวดลายวิจิตรพิสดาร ประกอบด้วยซุ้มยอดเป็นชั้นๆ เบื้องหน้าซุ้มประตูมีสิงห์ใหญ่คู่หนึ่งยืนเป็นสง่า บนแท่นสูงประมาณ 1 เมตร สิงห์คู่นี้ปั้นขึ้นในสมัยพญาอาทิตยราช เมื่อทรงถวายวังให้เป็นสังฆาราม
วิหารหลวง
เป็นวิหารที่บูรณะขึ้นใหม่ แทนวิหารเดิมที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2054 สมัยพระเมืองแก้ว กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ และต่อมาถูกลมพายุใหญ่พัดพังยับเยินเมื่อปี พ.ศ. 2458
วิหารหลวง ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาจั่วสามชั้นลด หน้าบันและโก่งคิ้วใต้หน้าบัน ศิลปะล้านนา ลายจำหลักไม้ลงรักปิดทองงดงาม มีพระระเบียงโดยรอบ ภายในวิหารหลวงเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วขาว พระเสตังคมณีศรีเมืองหริภุญชัย ประทับนั่งเหนือบุษบก
พระธาตุเจดีย์
เป็นโบราณสถานสำคัญที่พญาอาทิตยราช สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 17 เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เดิมเป็นสถูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาท มีซุ้มทวารทะลุกันสี่ด้าน ก่อด้วยศิลาแลง เมื่อพญามังรายตีเมืองหริภุญชัยได้ โปรดให้ซ่อมแซมดัดแปลงองค์พระธาตุจากสถูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาทเป็นเจดีย์ฐานกลมแบบลังกา ปี พ.ศ. 1951 พระเจ้าแสนเมืองโปรดให้ปิดทององค์พระธาตุ ต่อมาปี พ.ศ. 1990 พระเจ้าติโลกราชแห่งนครเชียงใหม่ โปรดให้ก่อพระธาตุเจดีย์สูงขึ้นเป็น 92 ศอก กว้าง 52 ศอก เป็นรูปร่างที่เห็นในปัจจุบัน
ฐานปัทม์แบบบัวลูกแก้วย่อเก็จ ถัดขึ้นไปเป็นฐานเขียงกลมสามชั้น รับฐานบัวลักษณะคล้ายมาลัยเถาสามชั้น ตั้งรับองค์ระฆังกลม องค์ระฆังประดับลวดลายดอกไม้สี่กลีบโดยรอบ ระหว่างดอกไม้สี่กลีบมีการดุนนูนเป็นภาพพระพุทธรูป เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์ย่อมุม ปล้องไฉน และปลียอดบนสุดเป็นฉัตรเก้าชั้น
นอกจากนี้พระเจ้าติโลกราชโปรดให้ก่อกำแพงโดยรอบพุทธาวาสเพื่อป้องกันรักษาองค์พระธาตุอีกชั้นหนึ่ง ให้ก่อสร้างซุ้มประตูโขงประดับลวดลายปูนปั้นอย่างงดงามทั้งสี่ทิศ (ปัจจุบันคงเหลือแต่ซุ้มประตูโขง ทางทิศตะวันออก และทิศใต้)
ปี พ.ศ. 2054 พระเมืองแก้ว กษัตริย์นครเชียงใหม่ โปรดให้หุ้มองค์พระธาตุด้วยแผ่นทองจังโก (หรือทองสักโก หรือทองจังโกฎก์) โปรดให้สร้างระเบียงหอก ทำด้วยทองเหลืองจากเมืองเชียงแสน เป็นรั้วล้อมโดยรอบองค์พระธาตุ
หอระฆัง
ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวิหารหลวง สร้างโดยพระครูพิทักษ์เจติยานุกิจ (ครูบาคำฟู) เมื่อ พ.ศ. 2481 ชั้นบนแขวนระฆังซึ่งหล่อขึ้นในสมัยเจ้าหลวงดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน ชั้นล่างห้อยกังสดาลซึ่งหล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2403 ฝีมือครูบาสูงเม่น
หอไตรหรือหอธรรม
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวิหารหลวง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2053 ในสมัยพระเมืองแก้ว เป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์พระไตรปิฎก หอไตรเป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นเครื่องไม้ บันไดขึ้นทางด้านหน้า สองข้างบันไดมีสิงห์โตหินประดับที่หัวเสา ตัวอาคารประกอบด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจกสวยงาม มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หลังคาลดชั้น มุงด้วยแผ่นดีบุก ประดับด้วยช่อฟ้าใบระกาหางหงส์
สุวรรณเจดีย์ (ปทุมวดีเจดีย์)
ตั้งอยู่ริมกำแพงแก้วทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือขององค์พระธาตุ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 โดยพระนางปทุมวดี อัครมเหสีของพญาอาทิตยราช ลักษณะแบบเดียวกับเจดีย์กู่กุด วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน องค์เจดีย์สร้างด้วยศิลาแลงและอิฐ ทรงปราสาท มีฐานสี่เหลี่ยมซ้อนขึ้นไปห้าชั้น แต่ละชั้นประดับซุ้มจระนำทั้งสี่ด้าน ด้านละสามซุ้ม ภายในซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปดินเผาประทับยืน มีร่องรอยการลงรักปิดทอง ปัจจุบันเหลือให้เห็นเพียงไม่กี่องค์ ส่วนบนสุดของเจดีย์เป็นกลีบบัวปูนปั้นหุ้มด้วยโลหะแผ่น ส่วนยอดปลายสุดทำเป็นกรวยแหลมเรียวยาวขึ้นไป
รอบพระธาตุเจดีย์ มีวิหารทิศประกอบ ทุกหลังฝีมือประณีต สง่างาม ได้แก่
วิหารพระละโว้ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือขององค์พระธาตุ เป็นวิหารสร้างใหม่ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ เรียกว่าพระละโว้
วิหารพระพันตน ตั้งอยู่หลังวิหารพระละโว้ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปจำนวนมาก
วิหารพระทันใจ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกขององค์พระธาตุ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปยืน เรียกว่าพระทันใจ ด้วยถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้ผู้ที่กราบไหว้สมหวังดังใจ
วิหารพระพุทธ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ขององค์พระธาตุ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ลงรักปิดทอง เรียกว่า พระพุทธ
วิหารพระบาทสี่รอย ตั้งอยู่หลังวิหารพระพุทธ ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง จากอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
วิหารพระกลักเกลือหรือพระเจ้าแดง ตั้งอยู่ริมกำแพงด้านทิศเหนือตรงมุมตะวันตก ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย ขนาดใหญ่ ทาด้วยสีแดง
วิหารพระไสยาสน์ ตั้งอยู่ริมกำแพงด้านทิศเหนือ ถัดจากสุวรรณเจดีย์มาทางตะวันออก ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ลงรักปิดทอง
ด้านตะวันออกของวิหารพระไสยาสน์ มีห้องขนาดเล็กชิดกำแพง ข้างหน้าปักป้ายเขียนว่า 'สถานที่กักบริเวณ ครูบาเจ้าศรีวิชัย ก่อนนิมนต์ท่านไปสอบสวนที่กรุงเทพ'...
...ครูบาศรีวิชัย (พ.ศ. 2421-2481) พระมหาเถระซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้างถนนทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2477 ได้รับการขนานนามว่า 'ตนบุญแห่งล้านนา'
แต่เดิมการปกครองสงฆ์ของล้านนาเป็นระบบ 'หัวหมวดอุโบสถ' หรือ 'หัวหมวดวัด' พระเถระที่ชาวบ้านเคารพนับถือเป็น 'ครูบา' และได้รับคัดเลือกเป็น 'เจ้าหัวหมวดอุโบสถ' จะมีวัดอยู่ในการดูแลจำนวนหนึ่ง เป็นพระอุปัชฌาย์ได้ ซึ่งครูบาศรีวิชัย เจ้าอาวาสวัดบ้านปาง อำเภอลี้ ลำพูน ก็อยู่ในฐานะดังกล่าว
การปฏิรูปการปกครองของรัชกาลที่ 5 แบบรวมศูนย์อำนาจ ลดบทบาทของล้านนาลงทุกวิถีทาง เป้าหมายคือการผนวกดินแดนล้านนาทั้งหมดให้เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม ตาม 'นโยบายกลืนชาติ'
ด้านการปกครอง สยามส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ มาประจำมณฑลพายัพ ดึงผลประโยชน์จากท้องถิ่นเข้าสู่ส่วนกลาง เจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานค่อยๆ หมดอำนาจในการคลังท้องถิ่น
พ.ศ. 2444 ส่วนกลางควบคุมการจัดเก็บภาษีอากรมากยิ่งขึ้น ยกเลิกสิทธิพิเศษที่เจ้านายบุตรหลานเคยได้รับยกเว้นภาษีที่นา นอกจากนี้ยังจัดเก็บภาษี 'เงินค่าราชการ' หรือ 'เงินรัชชูปการ' เป็นภาษีที่เสียแทนการถูกเกณฑ์แรงงาน โดยเก็บจากชายที่มีอายุ 18-60 ปี อัตราปีละ 4 บาท การที่เจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานเสียผลประโยชน์และอำนาจ ส่วนราษฎรถูกขูดรีดภาษีเงิน 4 บาท ทำให้เกิดกระแสต่อต้านอำนาจรัฐส่วนกลางมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้านศาสนา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้จัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ. 2446) พระราชบัญญัตินี้กำหนดว่า พระอุปัชฌาย์ที่จะบวชกุลบุตรได้ ต้องได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลางเท่านั้น โดยให้เจ้าคณะแขวงเป็นผู้คัดเลือก แล้วนำชื่อเสนอเจ้าคณะผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ พิจารณาแต่งตั้งต่อไป การจัดระเบียบการปกครองใหม่ของกรุงเทพฯ นี้ถือเป็นวิธีการสลายจารีตเดิมของสงฆ์ในล้านนาอย่างได้ผล เกิดความขัดแย้งระหว่างสงฆ์ในล้านนาด้วยกันเอง ดังกรณีความขัดแย้งระหว่างครูบาศรีวิชัยกับพระครูมหารัตนากรเจ้าคณะแขวงลี้ อำเภอลี้ ลำพูน จนนำสู่การจับกุมครูบาศรีวิชัย การจับกุมแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ครอบคลุมระยะเวลาเกือบ 30 ปี
ช่วงแรก พ.ศ. 2451-2453
ครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ สืบเนื่องจากชาวบ้านมีความศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่าน นำบุตรหลานไปฝากฝังให้บวชเณรและอุปสมบท ซึ่งเจ้าคณะแขวงเห็นว่าล่วงเกินอำนาจของตน ผิดพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ. 2446) จึงให้นายอำเภอนำกำลังตำรวจเข้าจับกุมไปกักขังไว้ที่วัดเจ้าคณะแขวง 4 คืน จากนั้นจึงส่งท่านให้เจ้าคณะจังหวัดไต่สวน ผลไม่ปรากฏความผิดอันใด
ต่อมาเจ้าคณะแขวงเรียกให้ครูบาศรีวิชัยนำลูกวัดไปประชุมเพื่อรับทราบระเบียบกฎหมายใหม่จากนายอำเภอและเจ้าคณะแขวง แต่ครูบาศรีวิชัยไม่ไปตามหมายเรียก และเจ้าอธิการหัววัดที่อยู่ในหมวดอุโบสถของครูบาศรีวิชัย ไม่ไปประชุมเช่นกัน เพราะเห็นว่าเจ้าหัวหมวดไม่ไปประชุม ลูกวัดก็ไม่ควรไป เจ้าคณะแขวงจึงให้ตำรวจจับกุมครูบาศรีวิชัย นำส่งให้เจ้าคณะจังหวัดไต่สวน และกักขังไว้ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยเป็นเวลา 23 วัน
ในปีเดียวกัน เจ้าคณะแขวงสั่งให้ครูบาศรีวิชัย นำเจ้าอธิการหัววัดในหมวด ไปประชุมที่วัดเจ้าคณะแขวง ตามพระราชบัญญัติที่จะเพิ่มขึ้น ปรากฏว่าครูบาศรีวิชัยไม่ไปประชุมอีก มีผลให้บรรดาหัววัดไม่ไปอีกเช่นกัน เจ้าคณะแขวงจึงมีหนังสือฟ้องถึงเจ้าคณะจังหวัด ครูบาศรีวิชัยจึงถูกจับขังไว้ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยเป็นเวลา 2 ปี และถูกปลดจากตำแหน่งหัวหมวดวัด มิให้เป็นพระอุปัชฌาย์อีกต่อไป
ช่วงที่สอง พ.ศ. 2454-2464
การต้องอธิกรณ์ในช่วงแรกส่งผลให้ศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อครูบาศรีวิชัยกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น มีการโจษจันถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ทำให้ความนับถือเลื่อมใสครูบาศรีวิชัยแพร่ขยายออกไปอีก เจ้าคณะแขวงและนายอำเภอจึงเข้าแจ้งเจ้าคณะจังหวัด ตั้งข้อกล่าวหาว่า ท่านซ่องสุมคน ทั้งคฤหัสถ์และนักบวช เป็นก๊กเหล่า และใช้เวทมนตร์ ในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2462 เจ้าคณะจังหวัดมีหนังสือถึงครูบาศรีวิชัย แจ้งให้ท่านออกจากเมืองลำพูนภายใน 15 วัน ครูบาศรีวิชัยอ้างถึงพระวินัยว่า ท่านได้กระทำผิดพุทธบัญญัติข้อใด เจ้าคณะแขวงไม่อาจเอาผิดได้ จึงต้องเลิกราไปพักหนึ่ง
ต่อมาทางการเรียกครูบาศรีวิชัยพร้อมลูกวัดเข้าเมืองลำพูน เหตุการณ์ครั้งนี้ ชี้ให้เห็นสถานะตนบุญของครูบาศรีวิชัยชัดเจนมากขึ้น เพราะมีขบวนแห่แหนท่านเข้าเมืองของบรรดาภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์อย่างใหญ่โต เมื่อทางบ้านเมืองเห็นว่ามีผู้ติดตามท่านมากเช่นนี้ เกิดความประหวั่น อุปราชมณฑลพายัพจึงสั่งย้ายท่านไปยังเชียงใหม่ โดยให้พักอยู่ที่วัดเชตวัน ในช่วงที่ถูกกักตัวที่วัดนี้ ได้มีพ่อค้าใหญ่เข้ามาเป็นอุปัฏฐาก ตลอดจนผู้คนในเมืองเชียงใหม่และเมืองใกล้เคียงเดินทางมานมัสการเป็นจำนวนมาก ฝ่ายที่ดูแลเกรงเรื่องลุกลามใหญ่โต เจ้าคณะเชียงใหม่และเจ้าคณะมณฑลพายัพจึงส่งท่านไปรับการไต่สวนที่กรุงเทพฯ โดยตั้งข้อหาไว้ 8 ข้อ อาทิ ตั้งตัวเป็นพระอุปัชฌาย์โดยไม่มีใบอนุญาต กระด้างกระเดื่องต่อพระราชบัญญัติสงฆ์ อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ทำให้ส่วนกลางหวาดระแวงว่าท่านจะประพฤติตัวเป็น 'ผีบุญ'
อย่างไรก็ตาม ที่สุดท่านหลุดจากข้อหาทั้งปวง และได้รับการปล่อยตัวกลับภูมิลำเนาเดิม บารมีของครูบาศรีวิชัยในฐานะ 'ตนบุญแห่งล้านนา' จึงยิ่งเป็นที่ศรัทธา
ช่วงที่สาม พ.ศ. 2478-2479
ครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์เป็นครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2478 ความขัดแย้งขยายวงออกไปเป็นระหว่างท้องถิ่นกับส่วนกลาง พระสงฆ์ในเมืองเชียงใหม่รวม 10 แขวง 50 วัด ขอลาออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ส่วนกลาง ไปขึ้นตรงต่อครูบาศรีวิชัย ต่อมามีพระสงฆ์เข้าร่วมเพิ่มอีกเป็น 90 วัด เหตุการณ์ลุกลาม รัฐบาลกลางจึงควบคุมตัวครูบาศรีวิชัยไว้ที่กรุงเทพฯ ก่อให้เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งในหมู่พระสงฆ์และฆราวาสในล้านนา ประเด็นเกี่ยวกับครูบาศรีวิชัยนี้ ได้แปรสภาพจากปัญหาระหว่างสงฆ์ล้านนารูปหนึ่งกับคณะสงฆ์ส่วนกลาง กลายเป็นปัญหาระหว่างชาวล้านนากับอำนาจส่วนกลาง อีก 2 ปีถัดมา ครูบาศรีวิชัยถึงแก่มรณภาพ ความขัดแย้งจึงค่อยยุติลง...
วัดพระธาตุหริภุญชัย ประวัติศาสตร์ยาวนานนับ 900 ปี เป็นโบราณสถานที่มีชีวิตอยู่คู่บ้านคู่เมืองลำพูนอย่างสำคัญ
ออกจากวัด ต่อไปยังสวนสาธารณะหนองดอก เทศบาลเมืองลำพูน ระยะทางราว 1 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ. 2525
พระนางจามเทวี (พ.ศ. 1166-1258 บ้างว่า พ.ศ. 1176-1274) เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญชัย ครองราชย์ พ.ศ. 1205-1212 บ้างว่า พ.ศ. 1205-1222 หรือ พ.ศ. 1202-1231
เดินทางต่อไปยังเชียงใหม่ ตามเส้นทางเชียงใหม่-ลำพูน (106) ถนนสายเก่า สองข้างทางเรียงรายด้วยต้นขี้เหล็กและต้นยางนาสูงใหญ่ อายุกว่าร้อยปี ทุกต้นห่มจีวร เป็นเครื่องหมายปรามความคิด 'ตัดไม้ขยายถนน' ที่คุกรุ่นอยู่เนืองๆ
ในอดีต แม้ว่าแม่น้ำปิงมีการเปลี่ยนร่องน้ำ แต่ราษฎรยังคงตั้งถิ่นฐานตามแนวแม่ปิงสายเดิม ('ปิงห่าง') ทำให้เกิดเส้นทางคมนาคมทางบกเลียบแนวแม่น้ำดังกล่าว เป็นเส้นทางหลักในการติดต่อค้าขายระหว่างชาวเมืองเชียงใหม่กับเมืองลำพูน
พ.ศ. 2438 พระยาทรงสุรเดช (อั้น บุนนาค) ข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวเฉียงในรัชกาลที่ 5 ให้สร้างถนนสายเลียบแม่น้ำปิงห่าง หรือถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตั้งแต่เชิงสะพานนวรัฐ จนถึงเมืองลำพูน
พ.ศ. 2454 ทางราชการได้นำต้นยางนามาให้ราษฎรช่วยกันปลูก เพื่อความร่มรื่นสวยงามตลอดสองข้างทางในเขตเมืองเชียงใหม่ ส่วนในเขตเมืองลำพูน ได้ปลูกต้นขี้เหล็ก รวมจำนวนต้นไม้ทั้งสิ้นกว่าสองพันต้น ระยะห่างระหว่างต้น 10-20 วา เป็นเอกลักษณ์ของถนนงามสายนี้จนถึงปัจจุบัน
ถึงเชียงใหม่ราว 19.00 น. เรากินมื้อค่ำที่ 'เฮือนโบราณบ้านฮิมปิง' ถนนเชียงใหม่-ลำพูน (106) อากาศเย็นสบาย บรรยากาศผ่อนคลาย อาหารอร่อย วงเสวนาเป็นกันเอง
21.00 น. check-in เข้าพักที่ Victoria Nimman Hotel หัวมุมถนนศิริมังคลาจารย์ตัดกับถนนนิมมานเหมินทร์ 17
ลำปาง ลำพูน สองนครล้านนาที่สงบสุขสันติ สองพระธาตุคู่บ้านคู่เมือง ศิลปสถาปัตยกรรมงดงาม ทรงคุณค่า วันแรกของการเดินทางอันน่าประทับใจ
ข้อมูลค้นจาก
lampang.go.th
i.lamphun.go.th
th.wikipedia.org
สุภัทรดิศ ดิศกุล หม่อมเจ้า. ศิลปะในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2539.
น. ณ ปากน้ำ. แบบแผนบ้านเรือนในสยาม. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. 2543.
พระธรรมวิมลโมลี, เกรียงศักดิ์ ชัยดรุณ. 100 ปี เหตุการณ์เงี้ยวก่อการจลาจลในมณฑลพายัพ พ.ศ. 2445. พะเยา: นครนิวส์การพิมพ์. 2548.