เมืองประจวบเป็นที่ค้างแรมกึ่งกลางสำหรับการล่องใต้ระยะไกล คนเดินทางจึงมักพักเพียง 1 คืน
ที่ศาลาริมคลองบางนางรมเช้านี้ ว่างกว่าเมื่อวานมาก เรานั่งกินอาหารสบายๆ อ้อยอิ่งไปจน 9.30 น. เป็นลูกค้าชุดสุดท้าย
เตรียมกลับกรุงเทพฯ เหลือวันหยุดพรุ่งนี้อีก 1 วันเผื่อให้ลูกได้พักก่อนเปิดทำงาน 5 พฤษภาคม เที่ยวกลับตั้งใจจะแวะอุทยานแห่งชาติกุยบุรี
ขับรถออกจากโรงแรม แล่นตามถนนปิ่นอนุสรณ์เลียบอ่าวประจวบขึ้นไปทางเหนือ ถนนตีโค้งไปตามอ่าวราว 3.5 กม. ข้างหน้าคือเขาตาม่องล่าย ข้างๆ เป็นหมู่บ้านชาวประมง ชื่อเดียวกับภูเขา น้ำทะเลกำลังลง ชายหาดกว้างขวาง เรือจอดบนหาดทรายหลายลำ ถนนไปสุดทางเมื่อข้ามสะพานโค้งสูงยาว ถึงเชิงเขาซึ่งเป็นวนอุทยานเขาตาม่องล่าย วนอุทยานมีเรือนพัก 2 หลัง และค่ายลูกเสือ แต่ไม่จอแจ หาดทราย ทะเล ภูเขา สงบ ชวนให้นั่งเล่นอยู่พักใหญ่
จากเขาตาม่องล่าย ขับย้อนเลียบอ่าวประจวบมาทางเขาช่องกระจก ออกจากเมือง เลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรเกษม ขึ้นเหนือ ตรงไปอำเภอกุยบุรี...
...แยกซ้ายจากถนนเพชรเกษมไปตามทางหลวง 1002 ป้ายบอกทางสู่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และป้าย 'ช้างป่ากุยบุรี' สองข้างทางไม่มีป่าไม้ หากแต่เป็นไร่สับปะรด สลับกับสวนยางพารา พื้นที่ปลูกพืชทั้งสองกว้างใหญ่ไพศาล สุดสายตา ทางหลวง 1002 ตัดไปทางตะวันตก ลึกเข้าไป ไม่ปรากฏป้าย 'อุทยาน' เหลือเพียงป้าย 'ช้างป่า' ผมเข้าใจว่าสุดท้ายที่หมายทั้งสองคือที่เดียวกัน ทาง 1002 บรรจบกับทางหลวง 3217 พาลัดเลาะอ่างเก็บน้ำเขื่อนยางชุมไปยังบ้านรวมไทย จากบ้านรวมไทยขึ้นเหนือไปอีกราว 5 กม. ถึงจุดตรวจห้วยลึก อุทยานแห่งชาติกุยบุรี รวมระยะทางจากถนนเพชรเกษมถึงห้วยลึก กว่า 30 กม.
เราไปถึงตอนใกล้เที่ยง เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจห้วยลึก อธิบายว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ทำการอุทยาน แต่เป็นขอบป่าซึ่งอุทยานร่วมกับชาวบ้านรวมไทย ในนาม 'ชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ช้างป่ากุยบุรี' นำชมช้างป่าโดยรถกระบะของสมาชิกชมรม พร้อมมัคคุเทศก์ท้องถิ่น เวลาเข้าชม 14.00-18.30 น. ที่นี่ไม่มีที่พัก ไม่มีร้านอาหาร ที่ทำการอุทยานอยู่ห่างไปทางใต้เกือบ 20 กม. เขาแนะนำว่าหากเราจะค้างแรม 'บ้านไร่คงมั่น' รีสอร์ทซึ่งอยู่ก่อนถึงบ้านรวมไทยน่าจะสะดวกกว่า
ขับรถย้อนกลับมาบ้านรวมไทย แวะกินก๋วยเตี๋ยวผัดเป็นมื้อกลางวันที่ร้านป้ากุล ตรงข้ามสถานีพัฒนาอาหารสัตว์ประจวบคีรีขันธ์ ที่นี่เงียบมาก คนงานก่อสร้างสะพานข้ามลำห้วยที่อยู่ใกล้ๆ 4-5 คน พักเที่ยง มากินข้าว ร้านป้ากุลจึงคึกคักขึ้น
เราเห็นพ้องกันว่า มาถึงกุยบุรีแล้วควรได้เห็นช้างป่า และหากจะชมช้างป่าก็ต้องค้างแรมที่นี่
หลังอาหาร แวะไปบ้านไร่คงมั่น อยู่เชิงสะพานที่กำลังก่อสร้าง มีบ้านพักหลังใหญ่ 2 หลัง บ้านแฝด 1 หลัง สวนไม้ดอกปลูกรอบบ้านพัก บริเวณเรียบง่าย เรียบร้อย สะอาด ไม่มีคนเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่มีประตูบานไหนล็อคเลย...นี่เองวิถีชนบทดั้งเดิมแบบอุดมคติ...รอสักครู่ก็ยังไม่มีใครมา จึงโทรศัพท์หาเจ้าของตามหมายเลขที่เขียนไว้ใต้ป้ายรีสอร์ท คุณน้อยรับสาย บอกว่าเธอพาแขกที่พักไปชมไร่ และมีบ้านแฝดว่างสำหรับเรา 3 คน
ราว 10 นาทีต่อมา คุณน้อยและคุณบิวกลับจากไร่ สาวหนุ่ม คู่ภรรยาสามี กระฉับกระเฉง เป็นมิตร คุณน้อยจัดบ้านแฝดซึ่งมีห้องนอนหลังละ 1 ห้อง รวม 2 ห้อง ให้เราพัก ระเบียงด้านหลังเปิดโล่ง ถัดออกไป มีสระน้ำขุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวมาก ริมสระปลูกต้นสักเป็นแนวยาว หลังแนวต้นสักเป็นแนวต้นสนสูงชลูด บรรยากาศสงบ เธอติดต่อรถของชมรมฯ ให้มารับเราที่นี่เพื่อไปชมช้างป่าเวลา 15.00 น. จึงมีเวลานอนพักรอให้แดดร่มลง
ปี 2510 บริษัท Dole แห่งสหรัฐอเมริกา ผู้ผลิตสับปะรดกระป๋องรายใหญ่ที่สุดของโลก ประสบปัญหา เนื่องจากแหล่งปลูกสับปะรดบนเกาะฮาวาย ถูกเปลี่ยนไปทําอย่างอื่นท่ีให้ผลตอบแทนดีกว่า และค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทําให้ต้นทุนการผลิตสับปะรดกระป๋องเพิ่มขึ้น บริษัท Dole ต้องหาแหล่งปลูกสับปะรดใหม่
ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยกำลังต่อสู้กับการแผ่อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงมีนโยบายให้ราษฎรออกจากป่า จัดต้ังหมู่บ้าน จัดสรรท่ีดินทํากิน เปิดพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ส่งเสริมการปลูกสับปะรด และการต้ังโรงงานผลไม้กระป๋องในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จนประเทศไทยกลายเป็นแหล่งปลูกและส่งออกสับปะรดมากที่สุดของโลก
ปี 2520-2525 องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เช่าท่ีป่าจากกรมป่าไม้ จัดสรรเป็นที่ดินทํากินให้แก่ชาวบ้านรวมไทย เพื่อปลูกสับปะรดและทําการเกษตรอื่นๆ ช่วงนั้น ชาวบ้านพบเห็นช้างป่าใกล้กับพื้นที่ไร่ คร้ังละประมาณ 1-3 ตัว ในฤดูกาลที่ช้างป่าเคลื่อนย้ายจากภูเขาลงมาพื้นราบซึ่งยังมีสภาพเป็นป่า แต่เมื่อช้างได้กลิ่นคนก็จะหลบหนีเข้าป่าไป
ปี 2525-2528 มีการบุกรุกขยายพื้นท่ีปลูกสับปะรดจนติดขอบป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี เมื่อผลผลิตออกมาก ราคาก็ตกต่ำ จนเจ้าของต้องทิ้งไร่ ครั้นถึงฤดูกาลช้างป่าเคลื่อนย้ายจากภูเขาลงมา เดินผ่านไร่และได้กินสับปะรดเป็นคร้ังแรก เนื่องจากไม่มีเจ้าของไร่เฝ้าอยู่
ปี 2528-2537 ราคาสับปะรดสูงขึ้นอีกครั้ง ชาวบ้านจึงเข้าทําไร่กันขนานใหญ่ เมื่อถึงฤดูกาลเคลื่อนย้ายของช้างป่า บางไร่จึงถูกช้างเหยียบย่ำเสียหาย ส่วนไร่ที่มีคนเฝ้าจำนวนมาก ช้างจำต้องเปลี่ยนเส้นทางเดิน
ปี 2537-2539 ช้างป่าเริ่มเดินมาบริเวณไร่สับปะรดก่อนฤดูกาลเคลื่อนย้ายปกติ ปรากฏตัวบ่อยข้ึนและใช้เวลาอยู่บริเวณริมป่านานข้ึน ความเสียหายจากช้างป่ากินสับปะรดเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน การสู้รบทางฝั่งประเทศพม่าทวีความรุนแรง มีการดักลูกช้างไปขาย ทําให้ช้างป่าต้องอพยพมาอยู่ริมป่าติดกับไร่สับปะรดซึ่งเป็นพื้นท่ีปลอดภัย ช้างป่าปรับตัว สามารถอยู่กับพื้นที่ได้ และออกมากินสับปะรดในไร่บ่อยขึ้น เจ้าของต้องนอนเฝ้าไร่ในเวลากลางคืน
ปี 2540-2545 ช้างป่าเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่อไปอีก โดยใช้เวลาหากินบริเวณชายป่าใกล้ไร่สับปะรดนานขึ้น ปรากฏตัวนอกพื้นที่ป่ามากข้ึน หากินในพื้นท่ีเปิดโล่งติดกับไร่ทุกวัน และทุกคืนจะลงมากินสับปะรดของชาวไร่ เกิดการเผชิญหน้าระหว่างคนกับช้างป่า กลายเป็นความขัดแย้งมาจนถึงปัจจุบัน
ปี 2541 รัฐบาลจัดตั้งโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดําริ เวนคืนที่ดินและฟื้นฟูสภาพป่า
ปี 2542 กรมป่าไม้จัดตั้งอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า
ปี 2546-2547 จำนวนช้างป่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 140 ตัว แยกเป็นฝูงย่อยๆ ฝูงละ 10-20 ตัว
ปี 2548 อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ชุมชนท้องถิ่น และ WWF ประเทศไทย จัดเสวนาหาทางออกร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า
ปี 2549 อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ทําแผนจัดการประชากรช้างป่า โดยให้ความสําคัญหลักต่อความคิดเห็นและความร่วมมือของชุมชนท้องถิ่น
ปี 2550 อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และชุมชนท้องถิ่น ร่วมดําเนินการตามแผนบางส่วน อาทิ การนำชมช้างป่าของชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ช้างป่ากุยบุรี
ช้างป่าเอเชีย (Elephas maximus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีสมองส่วน cerebrum ขนาดใหญ่ จึงมีความจำ สติปัญญา การใช้เหตุผล การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการแก้ปัญหา ดีเยี่ยม สังคมเป็นครอบครัว มีลำดับชั้น (hierarchy) ตัวเมียจ่าฝูงเป็นผู้อาวุโส เป็นผู้นำ ตัวโต ทรงความรู้ จดจำประวัติศาสตร์ของฝูงได้ดี ปกป้องที่อยู่ที่อาศัย รู้เส้นทางย้ายถิ่นตามฤดูกาล รู้เส้นทางหาอาหารและน้ำแม้ยามแห้งแล้งคับขัน จดจำกระดูกและที่ล้มของบรรพบุรุษได้ นำฝูงคารวะด้วยการเวียนรอบและใช้งวงสัมผัสกระดูกนั้นอย่างอ่อนโยน ลูกช้างได้รับการดูแล คุ้มกันจากตัวเมียหลายตัว ไม่เพียงเฉพาะจากแม่ ช้างวัยรุ่นช่วยดูแลและเป็นเพื่อนเล่นของลูกช้างเช่นกัน ส่วนตัวผู้เมื่อโตถึงวัยรุ่น มักถูกผลักออกจากฝูง หากินตามลำพัง บางครั้งอาจอยู่กับตัวผู้อื่นเป็นกลุ่ม 2-3 ตัว
15.00 น. รถกระบะชมรมฯ มารับตามนัด จากบ้านไร่คงมั่นไปยังจุดตรวจห้วยลึก เราต้องไปลงทะเบียนและจ่ายค่าบริการต่างๆ ที่สำนักงาน ก่อนเข้าป่า คนต้องเดินผ่านแอ่งน้ำฆ่าเชื้อจากรองเท้า ส่วนรถก็แล่นผ่านแอ่งน้ำฆ่าเชื้อจากล้อรถเช่นกัน ผมไม่แน่ใจว่า พิธีกรรมผิวเผินแบบนี้ สามารถป้องกันการนำเชื้อโรคสู่ป่าและฝูงช้างได้จริง รถเข้าไปไล่เลี่ยกัน 3-4 คัน ค่อยๆ แล่นตามทางดิน สองข้างทางเป็นป่าโปร่ง
เพียง 15 นาที รถคันหน้าหยุด คันที่สองของเราหยุดตาม ทิ้งระยะห่างกันราว 20 เมตร ในป่าด้านซ้ายมีฝูงช้างกว่า 10 ตัว รีรอจะข้ามทาง แต่เมื่อเห็นรถ 2 คัน จึงหยุดดูลาดเลา จ่าฝูงตัวโตไม่มั่นใจด้วยมีลูกช้างอยู่ถึง 5-6 ตัว พาฝูงถอยกลับลึกเข้าไป เรารออยู่พักใหญ่ ไม่เห็นออกมาอีก น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นฝูงช้างป่าข้ามทาง รถแล่นต่อไป ลึกเข้าไป ช้างโทนยืนกินใบไม้ ถัดไปอีกหน่อยมี 2 ตัว กำลังเอางวงเหนี่ยวลำต้นอ่อนเข้าหาตัว รูดใบไม้เข้าปาก คนขับรถและมัคคุเทศก์ฝึกมาอย่างดี ทิ้งระยะห่างปลอดภัย และไม่รบกวนช้าง
รถไปจอดพักที่สถานีป่ายาง พื้นที่กว้างขวาง บนเนินมีบ้านพัก 3 หลัง แต่ละหลังอยู่ห่างกันพอควร เลยจากเนินไปทางทิศใต้เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ที่ฝูงช้างมักมาเล่นน้ำ ตอนที่เราถึงสถานีป่ายาง มีรถของชมรมฯ หลายคันจอดอยู่ก่อนแล้ว นักท่องเที่ยวกระจายอยู่บนระเบียงบ้านทั้งสามหลัง เฝ้ารอฝูงช้างมาเล่นน้ำ ไม่นาน เมฆเริ่มก่อตัว รวมกลุ่มทึบทะมึน ครู่เดียวฝนก็เทลงมา พื้นดินชุ่มฉ่ำ อากาศเย็นสบาย คลายร้อนลง ราวครึ่งชั่วโมง เมฆจางไป อาทิตย์ยามเย็นทอแสงทอง รุ้งกินน้ำสองตัวทอดโค้งเหนือทิวเขา ประดับท้องฟ้าด้านตะวันออกอย่างสมบูรณ์แบบ ธรรมชาติงดงามทำให้ผ่อนคลาย สงบสุข แม้สุดท้ายไม่มีช้างลงมาเล่นน้ำให้ชมก็ตาม
ฝนซาลง นักท่องเที่ยวต่างพากันออกจากสถานีป่ายาง รถแล่นตามกันเป็นขบวน มุ่งหน้าไปยัง 'หน้าผา' จุดชมช้างป่าและกระทิง เส้นทางผ่านป่า แต่ไม่มีช้างปรากฏตัวให้เห็นอีก ซึ่งไม่น่าแปลกใจ
'หน้าผา' มีภูมิประเทศงดงาม จุดชมอยู่บนหน้าผาซึ่งโค้งออก อุทยานฯ วางแนวขวางขอบไว้ด้วยท่อนซุงขนาดย่อม เรียงต่อกัน ลึกลงไปเบื้องหน้าเป็นหุบโล่งกว้างใหญ่ เป็นโป่งที่ฝูงกระทิง ฝูงช้าง แวะเวียนมาเติมแร่ธาตุ รอบหุบเป็นป่าทึบสมบูรณ์ ไกลออกไปเห็นทิวเขาเรียงราย องค์ประกอบธรรมชาติทั้งมวลยิ่งใหญ่ มนุษย์เป็นเพียงส่วนย่อยของภาพที่เห็น เราเฝ้ารออยู่นาน ไม่มีช้าง ไม่มีกระทิง ผมไม่แน่ใจว่าเป็นธรรมชาติของสัตว์ที่ไม่ออกมาหลังฝนตกหรือเป็นเพราะไม่อยากเห็นฝูงคนบนหน้าผา
เราชวนมัคคุเทศก์และคนขับรถของเราให้ออกจาก 'หน้าผา' เป็นคันแรก โอกาสพบฝูงช้างน่าจะมากกว่าเป็นคันตาม และหากเป็นคันเดียวยิ่งดี แต่พอรถเราขยับ คันอื่นก็ทยอยตาม กะไม่ให้เราหนีพ้น...
รถค่อยๆ แล่นมาเพียง 10 นาที มัคคุเทศก์ตาไวให้หยุดรถ ในป่าด้านซ้าย ฝูงช้างป่ากว่า 10 ตัวกำลังมุ่งหน้าจะข้ามทางห่างจากที่รถจอดราว 20 เมตร สักพัก จ่าฝูงตัวเมียตัวโตนำขบวนออกจากป่าข้ามทางไปป่าอีกด้าน ตัวอื่นๆ ตามมาเป็นแถว ลูกช้างตัวเล็กน่ารัก 6 ตัวอยู่กลาง ช้างพี่เลี้ยง 4-5 ตัวขนาดเล็กกว่าจ่าฝูงประกบลูกช้างและปิดท้ายขบวน ภาพที่เห็นทำให้อิ่มเอิบใจยิ่ง มัคคุเทศก์บอกให้คนขับกลับไปยังสถานีป่ายาง เธอคะเนทิศทางของฝูงช้างว่าน่าจะไปเล่นน้ำ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะถึงป่ายาง วิทยุจากเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนแจ้งว่าฝูงช้างไม่มาเล่นน้ำ แต่ย้อนกลับเข้าป่าอีก เราจึงกลับเข้าทางเดิม ไม่นานเราก็ได้จอดรถ ชมฝูงช้างข้ามทางย้อนกลับไปป่าด้านซ้ายอีกครั้ง
ตะวันคล้อย รถทยอยออกจากป่า เสียงนกกระแตแต้แว้ดดังขรมจากข้างทาง เห็นตัวบ้างเป็นครั้งคราว แสงเริ่มสลัว ก่อนพ้นราวป่า รถต้องหยุด ห่างไปข้างหน้าราว 20 เมตร ช้างตัวผู้ 2 ตัว ใช้งวงเหนี่ยวโหนต้นไม้อยู่ริมทาง ท่าทางหงุดหงิด ทั้งคู่ประลองกำลังกันพักใหญ่ ตัวเล็กกว่าถอยลึกเข้าไปในป่า ตัวโตกว่ารุกตาม พอห่างจากทาง รถเราค่อยๆ ขยับจะแล่นออก ตัวโตกลับถลันออกมาขวางถนน หันมาประจันหน้า ชูงวงขึ้น ขยับใบหู รถต้องถอยกลับทิ้งระยะห่าง 20 เมตรตามเดิม ช้างตัวโตค่อยสงบลง หันหน้ากลับไปทางป่า แต่ไม่ยอมหลีกจากริมถนน เล่นเอาเถิดแบบนี้อยู่ 3 รอบ ไม่ยอมให้รถผ่าน ตอนนี้รถที่ตามมาต่างต้องจอดทิ้งระยะห่างจากกัน 7-8 เมตร เผื่อทางหนีทีไล่ ต่อกันเป็นแถวยาว มัคคุเทศก์วิทยุปรึกษากันทราบว่า รถของหัวหน้าอุทยานฯ ติดอยู่ท้ายขบวนด้วย กำลังขับขึ้นมาเพื่อเปิดทางให้ รถหัวหน้าค่อยๆ แล่นผ่านรถเราคืบหาช้างตัวโตที่ตอนนี้ไม่ยักทำท่าอย่างเก่า กลับยินยอมล่าถอยเข้าป่าข้างทาง...แม้แต่ช้างป่าก็ยังเกรงใจหัวหน้า
รถกลับออกมาถึงจุดตรวจห้วยลึกราว 18.30 น. ฟ้ามืด อากาศคลายร้อนลง รถส่งเราถึงบ้านไร่คงมั่น ที่รีสอร์ทไม่มีอาหารบริการ เราขับรถไปที่ร้านป้ากุล ร้านเดิมที่กินมื้อกลางวัน วัตถุดิบในครัวเหลือพอแค่อาหารจานเดียวคนละจาน ป้ากุลอัธยาศัยไมตรีเป็นกันเองแบบคนชนบท ป้าเล่าว่าอยู่กัน 2 คนกับสามี ลูกๆ โตแยกเรือนไปหมด สามีเกษียณแล้ว แต่เขามีบำนาญใช้ไม่เดือดร้อน ส่วนป้าไม่มีรายได้ จึงยังเปิดร้านขายอาหารอยู่ นับว่าโชคดีที่ป้ากุลไม่มีบำนาญ เราจึงมีข้าวกินค่ำนี้
นโยบายทางการเมืองของรัฐบาลแต่ละยุค ยากที่จะรอบคอบ รอบด้าน จึงมักก่อปัญหาข้างเคียง (side effects) และปัญหาแทรกซ้อน (complications) ในระยะยาว
ที่ดินทำกินเป็นปัจจัยดำรงชีพพื้นฐานสำคัญของมนุษย์ หากเกิดความขัดแย้งมักนำสู่ความรุนแรง ยิ่งพื้นที่ถูกนับถือเป็นบ้านเกิดเมืองนอน (homeland) ความขัดแย้งยิ่งนำสู่สงคราม การรบพุ่งแต่อดีตจนปัจจุบันและที่จะเกิดในอนาคต ล้วนมีเหตุจาก 'พื้นที่' เป็นสำคัญ
การเปิดป่า การบุกรุกป่ากุยบุรี สร้างความขัดแย้งลักษณะเดียวกัน หากคู่กรณีมิใช่ระหว่างคน แต่ระหว่างคนกับช้างป่า การที่ช้างมีสังคมครอบครัวเข้มแข็งและมีสติปัญญาไม่ด้อยกว่ามนุษย์ จึงเป็นคู่กรณีที่น่าเกรงขามและไม่อาจประมาทได้ การแก้ปัญหา 'บ้านเกิดเมืองนอน' ที่กุยบุรีจึงต้องประนีประนอม เท่าเทียม และยุติธรรมแบบอารยะ
ชมช้างป่าวันนี้ตื่นเต้น ประทับใจ เป็นประสบการณ์ที่มิได้วางแผนมาก่อน
การค้างแรมเพิ่มอีก 1 วัน ในพื้นที่ห่างไกล สงบเงียบแบบชนบท ผู้คนเป็นมิตร น่ารัก เรียบง่าย เป็นโอกาสที่หาได้ไม่ง่าย
ข้อมูลค้นจาก
คู่มือท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
th.wikipedia.org
dnp.go.th
wwfthai.org
คนกับช้างป่าบนสถานการณ์ใหม่ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี. WWF ประเทศไทย. 2550.
ตื่นเต้นใจระทึกตึกตักมากๆ โดยเฉพาะช่วงประจันหน้ากับช้างตัวโตขี้หงุดหงิด ภาพแสดงสดๆ น่าจดจำค่ะ ..เที่ยวชมธรมชาติป่ากุยบุรีครานี้น่าตื่นเต้น ผสมผสานองค์ประกอบอื่นๆที่ทำให้อิ่มเอมใจตามคำบรรยาย... ไม่มีโอกาสได้มาผจญทัวร์แบบนี้ ได้อ่านก็สนุกแล้วค่ะ..ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆให้ได้อ่านและพาเที่ยว
ReplyDelete