May 22, 2015

Prachuap Revisited: ด่านสิงขร หว้ากอ กองบิน 5: 02.05.2015

โรงแรมที่พัก ด้านหน้าติดถนนปิ่นอนุสรณ์ ถนนเลียบชายทะเล ด้านหลังลึกเข้าไปจรดคลองบางนางรม ทำเลเยี่ยม เสียแต่กำลังก่อสร้างตึกใหม่ด้านหน้า ที่ทางรก ทั้งคนและรถเข้าออกลำบาก
     อาหารเช้าเสิร์ฟที่ศาลาริมคลองบางนางรม ฝั่งตรงข้ามเป็นป่าโกงกางทึบ ในคลองปักโครงเสา ห้อยเชือก เลี้ยงหอยนางรม สมกับชื่อคลอง ลมพัดเย็นสบาย มื้อเช้าจึงผ่อนคลาย ไม่รีบร้อน คุณธานี สุวรรณนาวา เจ้าของโรงแรมอยู่ดูแล พูดคุยกับแขกเหรื่อเป็นกันเอง

วันนี้ตั้งใจตระเวนไปด่านสิงขร ดูชายแดนแถบนี้ ต่อด้วยหว้ากอ พัฒนาถึงไหนแล้ว เย็นๆ ไปชมอ่าวมะนาว อุทยานประวัติศาสตร์ และเยี่ยมค่างแว่นที่เขาล้อมหมวก

9.00 น. จากที่พัก ขับรถออกจากเมืองประจวบ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพชรเกษมลงใต้ไปราว 8 กม. เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงชนบท 11207 ทางลาดยางเรียบ ผ่านไร่นาชาวบ้าน ไปจนบรรจบกับทางหลวง 1039 ที่โรงเรียนด่านสิงขร ทางหลวง 1039 นำต่อไปจนถึงด่านสิงขร รวมระยะทางที่แยกจากถนนเพชรเกษมถึงด่าน 13 กม.
     ด่านสิงขรเป็นจุดผ่อนปรนการค้า อยู่ห่างราว 1 กม. จากช่องเขามุด่อง (Maw Daung Pass) ของพม่าตรงชายแดน ลึกเข้าไปฝั่งพม่าคือบ้านมุด่อง (Maw Daung) มีทางหลวงตัดขวางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือถึงเมืองมะริด (Myeik) เมืองท่าริมทะเลอันดามัน ภาคตะนาวศรี (Tanintharyi) อันเป็นภาคใต้สุดของประเทศพม่า
     บริเวณด่าน การค้าขายคึกคัก วุ่นวายแบบชายแดน ตลาดไทยเปิดทุกวัน ส่วนตลาดพม่าเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ แม่ค้าพม่าผ่านแดนมาแต่เช้าและต้องกลับตอนบ่าย ตลาดแบ่งเป็นโซน ได้แก่ กล้วยไม้ป่า เฟอร์นิเจอร์ไม้ อัญมณี เป็นต้น กล้วยไม้ป่าถูกแซะมาเป็นต้น เป็นกอ ไม่เว้นแม้พืชที่ขึ้นบนคาคบไม้ (epiphytes) เช่น ชายผ้าสีดา และเฟิร์นต่างๆ เมื่อนักท่องเที่ยวมากขึ้น ของป่าเหล่านี้ที่เคยขายราคาถูกก็แปรไปตามอุปสงค์ และอีกไม่นานคงหมดป่า
     จากตลาด เราเดินขึ้นเนินไปยังด่านตรวจผ่านแดน ใกล้เที่ยง คนพม่าเริ่มทยอยกลับ เราไปคุยกับนายตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ประจำอยู่ ถามเขาเรื่องการเปิดด่านเป็นจุดผ่อนปรนพิเศษ ชาวบ้านโจษกันว่านายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมาเป็นประธานเปิดวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ นายตำรวจบอกว่ายังไม่มีเรื่อง และกำหนดการดังกล่าว
     เก้าปีก่อน ผมเคยขับรถมาที่ด่านนี้ ด้วยความอยากรู้ว่าด่านสิงขรเป็นอย่างไร ตอนนั้นถนนยังเป็นทางดินสลับลูกรัง ตรงด่านไม่มีการค้าขาย ไม่มีกิจกรรมใดๆ
     วันนี้ คนค้าขายต่างกระตือรือร้น รอการผ่อนปรนการเข้าออกผ่านพรมแดน ด้วยหวังให้เกิดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ
     ภายหลังเรากลับจากทริปนี้แล้ว ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2558 นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้มาเป็นประธานเปิดด่านอย่างที่โจษกัน หากแต่ลงนามประกาศกระทรวงมหาดไทยเปิดด่านสิงขรเป็นจุดผ่อนปรนพิเศษ อนุญาตให้คนพม่าข้ามพรมแดนมาได้ครั้งละไม่เกิน 2 วัน (ค้างได้ 1 คืน) ภายในเขตอำเภอเมืองประจวบ ขณะเดียวกัน มุขมนตรีภาคตะนาวศรีของพม่าอนุญาตให้คนไทยข้ามพรมแดนไปถึงเมืองมะริดได้ จำนวนวันพำนัก ขึ้นกับชนิดของเอกสารผ่านแดน และจะมีพิธีเปิดด่านเป็นทางการวันที่ 23 พฤษภาคม 2558

จากด่านสิงขร ย้อนกลับออกตามทางหลวงชนบท 11017 เลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรเกษม ลงใต้ราว 2 กม. ถึงแยกไปหว้ากอ เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง 1041 ประมาณ 3 กม. ถึงอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ
     พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณล่วงหน้าไว้ถึง 2 ปีว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ปีมะโรง จุลศักราช 1230 ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม 2411 โดยเส้นศูนย์ของอุปราคา จะผ่านมาใกล้ที่สุด ณ บ้านหว้ากอ เมืองประจวบคีรีขันธ์ พระราชอาณาจักรสยาม ทางฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมมลายู ตรงเส้นวิตถันดร (แลตติดจูต) 11 องศา 38 ลิปดาทิศเหนือ และเส้นทีรฆันดร (ลองติดจูต) 99 องศา 39 ลิปดาทิศตะวันออก โดยคราสเริ่มจับเวลา 10 นาฬิกา 4 นาที จับเต็มดวง เวลา 11 นาฬิกา 36 นาที 20 วินาที กินเวลานาน 6 นาที 45 วินาที คลายคราสออกเวลา 13 นาฬิกา 37 นาที 45 วินาที
     ทั้งนี้ ไม่ปรากฏหลักฐานการคำนวณเหตุการณ์ดังกล่าวจากประเทศตะวันตกมาก่อน
     ทรงโปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สร้างค่ายไว้ล่วงหน้า และพระองค์ใช้ค่ายนี้เป็นห้องทดลองกลางแจ้ง เป็นที่ชุมนุมของนักวิทยาศาสตร์และคณะทูตประเทศต่างๆ พิสูจน์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงตามที่พระองค์ทรงคำนวณโดยไม่คลาดเคลื่อน แสดงถึงพระอัจฉริยภาพด้านดาราศาสตร์ของพระองค์ แต่เมื่อพระองค์เสด็จกลับกรุงเทพฯ ได้เพียง 5 วัน ก็ทรงประชวรและเสด็จสวรรคตด้วยไข้มาลาเรีย ในวันที่ 1 ตุลาคม 2411
     ปี 2532 รัฐบาลเห็นชอบให้ดำเนินโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย
     ปี 2533 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนาม 'อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ'
     ปี 2536 กระทรวงศึกษาธิการจัดให้อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ เป็นสถานศึกษา ปัจจุบันสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย

อุทยานฯ มีพื้นที่กว้างขวางถึง 500 ไร่ ด้านตะวันออกติดทะเล ชายหาดหว้ากอยาว 3 กม. ภูมิทัศน์งดงามและเหมาะสมในการจัดค่ายเยาวชนอย่างยิ่ง ฐานการเรียนรู้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และพลังงาน กลุ่มดาราศาสตร์และอวกาศ กลุ่มธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
     พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Waghor Aquarium) จัดแสดงปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ ส่วนสำคัญได้แก่ Big Tank สูง 3 ชั้น แสดงปลาขนาดใหญ่ อาทิ ฉลาม กระพง กระเบน และการให้อาหารโดยนักประดาน้ำ อีกส่วนที่น่าชมคืออุโมงค์ปลา จัดทางเดินให้ผู้ชมมองเห็นปลาที่ว่ายอยู่ด้านบน
     ออกจาก aquarium ไปนั่งเล่นรับลมทะเลที่ริมหาดหว้ากอ ท้องฟ้าและน้ำทะเลสีคราม บรรยากาศสงบ ผ่อนคลาย สักพักจึงขับรถไปตามถนนเลียบชายหาด ผ่านพระบรมราชานุสาวรีย์ ร. 4 ตรงนี้เป็นที่ตั้งพลับพลาประทับเมื่อคราวพระองค์เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคา 18 สิงหาคม 2411 ผ่านหอดูดาว และอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ
     ด้านหน้าอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ ทำเป็นหอคอยสูง ภายในมีบันไดเวียนเล่าเรื่องเอกภพ จักรวาล ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ ความรู้จากบรรพกาลเริ่มที่ผนังชั้นล่าง ต่อเนื่องตามลำดับเวลาจนถึงปัจจุบันที่ชั้นบน ยอดหอคอยเป็นโดมกระจก มองเห็นทิวทัศน์โดยรอบ
     ด้านหลัง ตรงชั้นสอง เปิดเข้าห้องจัดแสดงเครื่องมืออุปกรณ์ดาราศาสตร์ของรัชกาลที่ 4 อาทิ แผนที่ดาว sextant กล้องดูดาว แม้ส่วนใหญ่เป็นของจำลอง (replica) แต่ก็น่าสนใจทุกชิ้น
     15.50 น. เจ้าหน้าที่ประกาศหมดเวลา เชิญผู้ชมออกจากอาคาร ปิดไฟไล่อย่างรวดเร็ว ทั้งที่ยังมีผู้คนเดินชมหลายคนและยังไม่ถึงเวลาปิด 16.00 น.
     ออกจากอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ ขับรถตามถนนเลียบชายหาดต่อไปยังหมู่บ้านวิทยาศาสตร์ ฐานเปิดโลกคอมพิวเตอร์ อุทยานการศึกษา ค่ายหว้ากอ ฐานวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ และสวนผีเสื้อ แต่ละฐานกว้างขวางทิ้งระยะห่างจากกันอย่างเหมาะสม

จากอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ขับรถเลียบชายหาดกลับเมืองประจวบ ผ่านบ้านคลองวาฬ
     หมู่บ้านประมงแห่งนี้ ถนนหลักไม่กว้าง มีเขาคลองวาฬเป็นฉากหลัง ดูอบอุ่น บ้านเรือนสองฟากถนนสูงเพียง 1-2 ชั้น เรือนไม้หลายหลังประดับขนมปังขิงที่ชายคาอย่างงดงาม ร้านค้าริมทางคึกคัก มีชีวิตชีวา เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ตลาดย้อนยุคจัดฉากแบบดาดๆ
     เราลงจากรถ เดินเล่นช้าๆ ชื่นชมวิถีชาวบ้าน ซื้อขนม ของกิน ผู้คนเป็นมิตร มีมารยาท

จากคลองวาฬผ่านเข้ากองบิน 5
     อ่าวมะนาวอยู่ในเขตกองบิน ทะเลและชายหาดเหมาะแก่การเล่นน้ำและกีฬาทางน้ำอื่นๆ จึงเป็นที่นิยม อ่าวมะนาวไม่เคยร้างนักท่องเที่ยว ที่พักไม่เคยว่าง
     ทางทิศเหนือของอ่าวมะนาว มีเขาล้อมหมวก ก่อนถึงเชิงเขา เป็นอุทยานประวัติศาสตร์...

7 ธันวาคม 2484 เวลา 22.30 น. เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น (นายซูโบกามิ) และคณะ เข้าขอพบนายกรัฐมนตรี (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ที่วังสวนกุหลาบ ซึ่งขณะนั้นเป็นทำเนียบนายกรัฐมนตรี แต่นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ ไปราชการที่อรัญประเทศ คณะทูตญี่ปุ่นจึงขอพบรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส) แต่รองนายกรัฐมนตรีไม่เต็มใจจะพบ จึงขอให้รัฐมนตรีต่างประเทศ (นายดิเรก ชัยนาม) พบแทน
     เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นกล่าวว่า ทุกท่านย่อมทราบดีแล้วว่า สหรัฐอเมริกา และอังกฤษได้บีบคั้นญี่ปุ่นตลอดมา บัดนี้ญี่ปุ่นทนต่อไปไม่ได้แล้ว วันนี้จึงตัดสินใจลุกขึ้นต่อสู้ โดยได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษแล้ว ฉะนั้น ทูตจึงได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้มาแจ้งต่อนายกรัฐมนตรีไทยว่า เนื่องด้วยเหตุจำเป็น กองทัพญี่ปุ่นจึงจำต้องขอเดินผ่านประเทศไทยเพื่อไปโจมตีประเทศทั้งสองซึ่งเป็นศัตรูของญี่ปุ่น แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีไม่สามารถพบได้ ก็จำเป็นต้องแจ้งแก่รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นทางราชการ
     รัฐมนตรีได้ตอบว่า ประเทศไทยได้ประกาศตนเป็นกลาง ฉะนั้นจึงมีนโยบายไม่ช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
     ทูตตอบว่าโดยที่เรื่องนี้เกี่ยวกับความเป็นความตายของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจำต้องได้รับอนุญาตให้เคลื่อนกำลังทั้งทางบกทางทะเลและอากาศ ผ่านประเทศไทยให้จงได้
     รัฐมนตรีชี้แจงตอบว่า แต่การจะอนุญาตหรือไม่ รัฐมนตรีต่างประเทศไม่มีอำนาจอย่างใด อำนาจสั่งอนุญาตไม่ให้ต่อสู้นั้นคือนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง และรัฐบาล โดยทางผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ประกาศเป็นคำสั่งประจำ (standing order) ไว้แล้วว่า ไม่ว่ากองทหารประเทศใด ถ้าเข้ามาในดินแดนไทย ให้ต่อต้านเต็มที่  ฉะนั้น ผู้ที่จะประกาศยกเลิกคำสั่งนี้ก็คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด
     ทันใดนั้นผู้ช่วยทูตทหารบกญี่ปุ่น (พันเอกทามูรา) กล่าวว่า แต่รัฐมนตรีควรจะทราบว่า การล่าช้าก็หมายถึงการนองเลือด เพราะเวลานี้กองทหารญี่ปุ่น ได้ยกพลขึ้นบกตามจุดต่างๆ ในประเทศไทยแล้ว
     รัฐมนตรีตอบว่า ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่อย่างไรก็ดี จะได้รีบรายงานรองนายกรัฐมนตรีให้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเดี๋ยวนี้ แล้วจะได้แจ้งให้คณะทูตทราบถึงผลของการประชุม
     คณะทูตญี่ปุ่นตกลง และนั่งรออยู่ในห้องรับแขก
     รองนายกรัฐมนตรีตกลงเรียกประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งในเวลานั้นรัฐมนตรีส่วนมากก็มานั่งรออยู่แล้ว เวลาประมาณ 23.00 น. จึงเปิดประชุม รองนายกรัฐมนตรีให้รัฐมนตรีต่างประเทศรายงานถึงเรื่องที่ญี่ปุ่นมาพบ เมื่ออภิปรายกันแล้ว ที่ประชุมเห็นว่า ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องรอนายกรัฐมนตรีกลับ
     รองนายกรัฐมนตรีได้ชวนรัฐมนตรีต่างประเทศไปกรมไปรษณีย์โทรเลข เพื่อโทรเลขติดต่อกับนายกรัฐมนตรี ทราบว่านายกรัฐมนตรีจะกลับมาเข้าประชุมประมาณย่ำรุ่ง ทั้งสองกลับมาที่ประชุม แจ้งให้ที่ประชุมทราบ รัฐมนตรีต่างประเทศได้ออกไปแจ้งคณะทูตญี่ปุ่นว่า ควรกลับไปก่อน คณะทูตญี่ปุ่นตกลงกลับไปสถานทูต และเวลาราว 5.00 น. ได้กลับมาอีก
     8 ธันวาคม 2484 เวลาประมาณ 7.00 น. จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีมาถึงที่ประชุม รองนายกรัฐมนตรีได้ให้รัฐมนตรีต่างประเทศรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง เมื่อรายงานไปยังไม่ทันจบ นายกรัฐมนตรีถามขึ้นว่า 'แล้วเราจะตกลงใจทำอย่างไรกันแน่' นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีคลังได้เสนอว่า ก่อนที่จะตัดสินใจอย่างไรแน่ ใคร่เสนอให้พิจารณาทางได้ทางเสียว่า ถ้ายอมจะเสียหายอย่างใด ถ้าไม่ยอมเราจะเสียหายอย่างใด ทั้งนี้ เพื่อระวังไม่ให้โลกวิจารณ์เราได้ เพราะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ นายกรัฐมนตรีตอบว่า ในขณะนี้เราไม่มีเวลาที่จะอภิปราย เพราะญี่ปุ่นกำลังเข้าเมืองเราแล้ว ขอทราบความเห็นเท่านั้น ว่าจะยอมหรือไม่ยอม แล้วหันไปถามรัฐมนตรีบางนายซึ่งรับผิดชอบในการทหารว่าสู้ไหวหรือไม่ ได้รับคำตอบว่าสู้ไม่ไหว รองนายกรัฐมนตรีได้อภิปราย ทางได้ทางเสีย โดยสรุปก็คือเราไม่มีหนทางที่จะต่อสู้อย่างใด และฝ่ายสัมพันธมิตรก็มาช่วยอะไรเราไม่ได้ นายกรัฐมนตรีได้ถามความเห็นรัฐมนตรีอื่นต่อไปอีกสองสามนาย ซึ่งก็เห็นด้วยว่าไม่มีทางสู้ประการใด ในที่สุดนายกรัฐมนตรีจึงประกาศว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อต้าน เพราะเราไม่มีกำลัง อังกฤษเอง สหรัฐอเมริกาเอง ก็เคยให้รัฐมนตรีต่างประเทศเร่งให้ช่วยก็ได้ความว่าไม่มีอะไรจะช่วย ครั้นแล้วนายกรัฐมนตรีก็ลุกออกไปพบกับคณะทูตญี่ปุ่น ต่อมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง นายกรัฐมนตรีได้นำนายวนิช ปานะนนท์ อธิบดีกรมพาณิชย์ เข้ามาในที่ประชุม และให้นายวนิชชี้แจงว่าญี่ปุ่นเสนออย่างไร นายวนิชชี้แจงว่า คณะทูตญี่ปุ่นเสนอว่า มีแผนการที่จะขอความร่วมมือจากไทย 3 แผน แผนที่หนึ่งคือ ญี่ปุ่นเพียงขอเดินทหารผ่านไทยไปเท่านั้น แผนที่สองไทยกับญี่ปุ่นทำสัญญาพันธมิตรกันเพื่อป้องกันประเทศไทย และแผนที่สามไทยกับญี่ปุ่นประกาศเป็นสหายสงคราม ร่วมรุกร่วมรบต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกา และในการนี้ ญี่ปุ่นพร้อมที่จะให้คืนดินแดนที่ไทยเสียแก่อังกฤษและฝรั่งเศส กลับคืนมาทั้งหมด
     คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีความเห็นแตกต่างเป็นหลายฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรรับแผนที่สาม เพราะไหนๆ จะให้ญี่ปุ่นผ่านทั้งที ก็ควรเอาประโยชน์ให้เต็มที่ ฝ่ายที่สองไม่ออกความเห็น รัฐมนตรีต่างประเทศเสนอว่าเมื่อเราต้องยอมญี่ปุ่น เพราะเราสู้ไม่ได้ อย่างมากก็เป็นเพียงยอมให้ผ่าน ถ้าเราเอาแผนอื่น โลกต้องวิจารณ์เราแน่นอนว่าที่แถลงไว้ว่าจะเป็นกลางอย่างเคร่งครัดนั้น ความจริงก็สมคบกับญี่ปุ่นและไม่เพียงยอมญี่ปุ่นเพราะสู้ไม่ได้ แต่กลับเข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วย ในการนี้ พลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส กับนายปรีดี พนมยงค์ ได้สนับสนุนความเห็นนี้ ในที่สุดที่ประชุมลงมติให้รับเพียงแผนที่หนึ่ง และให้นายวนิช ปานะนนท์ ออกไปแจ้งแก่คณะทูตญี่ปุ่น ต่อมาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ได้มีการลงนามระหว่างเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นกับรัฐมนตรีต่างประเทศไทย ในสัญญายอมให้ญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยได้ และรัฐบาลได้ออกคำแถลงการณ์ดังต่อไปนี้
     'ด้วยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ตั้งแต่เวลาประมาณ 2.00 น. กองทหารญี่ปุ่นได้เข้าสู่ประเทศไทยโดยทางทะเลในเขตจังหวัด สงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี (บ้านดอน) และบางปู ส่วนทางบกได้เข้ามาทางจังหวัดพระตะบองและพิบูลสงคราม เกือบทุกแห่ง ทหารและตำรวจไทยได้ทำการต่อสู้อย่างเข้มแข็ง
     อนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็ได้มีข่าวจากต่างประเทศว่ากองทัพเรือญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีเกาะฮาวาย และฟิลิปปินส์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ส่งทหารขึ้นบกที่โกตาบารูในเขตมลายูของอังกฤษ และได้เข้าโจมตีสิงคโปร์โดยเครื่องบินอย่างหนักด้วย
     ในเรื่องนี้เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้มาที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีในวันที่ 7 ธันวาคม 2484 เวลา 22.30 น. ได้ชี้แจงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่า ได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาแล้ว แต่มิได้ถือว่าไทยเป็นศัตรู หากแต่มีความจำเป็นต้องขอทางเดินผ่านอาณาเขตไทย
     รัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พิจารณาปรึกษากันโดยรอบคอบแล้ว เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งนี้เป็นสิ่งซึ่งไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ แม้ประเทศไทยได้พยายามโดยสุดกำลังก็ไม่สามารถจะหนีเหตุการณ์อันนี้ได้พ้น และเนื่องจากสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การที่จะต่อสู้กันไปก็จะเป็นการเสียเลือดเนื้อชาวไทยโดยไม่สำเร็จประโยชน์ จึงจำเป็นต้องพิจารณาตามข้อเสนอของรัฐบาลญี่ปุ่นและผ่อนผันให้ทางเดินแก่กองทัพญี่ปุ่น โดยได้รับคำมั่นจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะเคารพเอกราช อธิปไตย และเกียรติศักดิ์ของไทย ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงได้ตกลงให้ทางเดินทัพแก่ญี่ปุ่น และการต่อสู้ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นก็ได้หยุดลง
     ขอให้ประชาชนชาวไทยจงระงับความตื่นเต้นและพยายามประกอบกิจการงานต่อไปตามเดิม รัฐบาลจะทำความพยายามอย่างสูงสุดในอันที่จะให้เหตุการณ์ทั้งหลายผ่อนจากหนักเป็นเบาให้มากที่สุดที่จะทำได้ ขอให้ประชาชนชาวไทยจงรักษาความสงบ และฟังคำสั่งคำตักเตือนของรัฐบาลทุกประการ'

เช้ามืด 8 ธันวาคม 2484 เรืออากาศตรีศรีศักดิ์ สุจริตธรรม และกลุ่มทหารไทยกลุ่มหนึ่งกำลังจะออกเรือไปจับปลาในช่วงเช้า แต่ต้องรีบกลับเข้าฝั่งอย่างรวดเร็วเพราะพบการเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นน้ำบริเวณอ่าวมะนาว หมู่เรือท้องแบนของทหารญี่ปุ่น 3 ลำ ลำเลียงทหารญี่ปุ่นจำนวนมาก กำลังจะเข้ามายังชายหาด จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นเหตุการณ์ก็โกลาหล ทหารประจำกองบินน้อยที่ 5 ได้ทำการต่อสู้ต้านการเข้ายึดพื้นที่ของทหารญี่ปุ่น แม้กำลังพลของกองบินน้อยที่ 5 มีประมาณ 120 คน ส่วนกำลังพลทหารญี่ปุ่นมีประมาณ 3,000 คน แต่การสู้รบดำเนินไปกว่า 33 ชั่วโมง จนถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2484 เวลาประมาณ 11.00 น. ร้อยตำรวจโทสงบ พบปราณี ที่เป็นผู้นำคำสั่งหยุดยิงจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม มายังผู้บังคับการกองบินน้อย ถูกยิงเสียชีวิต ทางจังหวัดต้องส่งบุรุษไปรษณีย์ว่ายน้ำจากอ่าวประจวบมาขึ้นที่เขาล้อมหมวก นำส่งคำสั่งดังกล่าวแทน
     การสู้รบทำให้ทหารอากาศไทยเสียชีวิต 39 นาย ตำรวจ 1 นาย ยุวชนทหาร 1 นาย และพลเรือน 1 คนรวมทั้งสิ้น 42 คน

อุทยานประวัติศาสตร์เปิดเมื่อปี 2546 ประกอบด้วยอาคารจัดแสดง 2 หลัง หลังที่หนึ่งดัดแปลงจากอาคารสโมสรนายทหาร หลังที่สองจากอาคารพักเรือนแถวของนายทหารชั้นสัญญาบัตรแต่ครั้งสงครามโลก
     อาคารหลังที่หนึ่ง จัดแสดงพัฒนาการของกองทัพอากาศไทย และการก่อตั้งกองบินน้อยที่ 5 อ่าวมะนาว
     อาคารหลังที่สอง จัดแสดงประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2
     เราไปถึง 17.00 น. อาคารทั้งสองปิดแล้ว
     ภายนอกอาคาร ประกอบด้วย
        อนุสาวรีย์วีรชน ทหารอากาศในชุดนักบินยืนอยู่บนใบพัดเครื่องบิน ถือธงหันหน้าออกทะเล
        แผ่นหินทรายแกะสลักเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484
        อนุสรณ์แห่งการเสียสละ อนุสาวรีย์รายนามผู้เสียชีวิตเป็นแผ่นหินจารึกชื่อ จำนวน 39 แผ่นเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้กล้าทั้ง 39 ท่าน
        เครื่องบินรุ่นต่างๆ ที่เคยใช้งานในกองทัพ แต่ปลดประจำการแล้ว
     บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สงบเงียบ ชวนให้สงบใจรำลึกถึงจิตใจกล้าหาญ เสียสละ ของบรรพชนจำนวนมากในระหว่างสงครามที่ทำให้ประเทศไทยผ่านความยากลำบากมาได้

เขาล้อมหมวกเป็นที่อยู่ของฝูงค่างแว่นถิ่นใต้ ทุกเช้าเย็น ฝูงค่างจะลงมาหากินบริเวณเชิงเขา
     ค่างแว่นถิ่นใต้ (Trachypithecus obscurus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกค่าง ลักษณะเด่นคือ มีวงกลมสีขาวรอบตาเหมือนกับใส่แว่น อันเป็นที่มาของชื่อ ขนาดลำตัวยาว 45-57 เซนติเมตร หางยาว 66-78 เซนติเมตร น้ำหนัก 6-9 กิโลกรัม ค่างโตเต็มวัยมีขนบริเวณด้านหลังสีเทาเข้มเกือบดำ ขนบริเวณด้านข้างใบหน้า บริเวณปลายมือและปลายเท้ามีสีเทาเข้ม โคนขาและโคนแขนด้านนอกเป็นสีเทาจาง ขนหางสีดำ ลูกที่เกิดใหม่ ขนเป็นสีทอง
     ค่างแว่นมีอุปนิสัยขี้อาย น่ารัก ไม่ก้าวร้าว ไม่ดุร้าย ไม่แย่งอาหาร หรือฉวยชิงสิ่งของ ต่างจากพวกลิง โดยเฉพาะลิงแถวเขาช่องกระจก การเยี่ยมค่างแว่นที่เชิงเขาล้อมหมวก จึงเป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลาย

จากกองบิน 5 กลับเข้าเมืองทางถนนเลียบชายทะเลริมอ่าวประจวบ ร้านอาหารเรียงรายหลายสิบร้าน นักท่องเที่ยวเพียบ หลายร้านรุกข้ามถนนไปตั้งโต๊ะที่ริมชายหาด...เมืองประจวบจะเป็นอย่างไรหนอ...

ข้อมูลค้นจาก
     คู่มือท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
     th.wikipedia.org
     ratchakitcha.soc.go.th
     waghor.go.th
     sac.or.th
     ดิเรก ชัยนาม. ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง. 2549.

Prachuap Revisited: สู่เมืองงามสามอ่าว: 01.05.2015

1 พฤษภาคม วันแรงงาน เป็นวันศุกร์ จึงเป็น long weekend ของภาคเอกชน
5 พฤษภาคม วันฉัตรมงคล เป็นวันอังคาร หยุดราชการ
    คณะรัฐมนตรีลงมติปิดช่องว่างวันหยุดยาว กำหนดให้หยุดราชการเพิ่มจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม นัยว่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว การปิดช่องว่างแบบนี้เป็นวัตรปฏิบัติมาหลายรัฐบาลสำหรับปีใหม่และสงกรานต์ เที่ยวนี้เป็นครั้งแรกที่ขยายมาครอบคลุมวันแรงงานและฉัตรมงคล เชื่อว่าต่อไปคงลามถึงโอกาสอื่นๆ

ชายใด                     ไม่เที่ยวเทียวไป      
ทุกแคว้นแดนไพร      มิอาจประสบพบสุข
ชายใด                     อยู่เหย้าเนาทุกข์     
ไม่ด้นซนซุก               ก็ชื่อว่าชั่วมัวเมา
(นิทานเวตาล พระนิพนธ์แปลของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ น.ม.ส.)

ผมขับรถพาครอบครัวไปเที่ยวค้างแรมต่างจังหวัด ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ 3 ขวบ 5 ขวบ ปีละ 3-4 ครั้ง สำรวจบ้านเมืองไทยอันงดงาม ตอนนั้นน้ำมันเบนซินลิตรละ 8-9 บาท ยังไม่มี internet ข้อมูลต้องไปขอเอกสารจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถนนราชดำเนินนอก กิจกรรมครอบครัวนี้ค่อยๆ ห่างหายไปเมื่อลูกๆ เข้ามหาวิทยาลัย เรียนจบ ทำงาน...หาเวลาว่างพร้อมกันยากขึ้น
    ที่ทำงานลูกหยุด 1-4 พฤษภาคม ผมรีบฉวยโอกาสจัดทริปไปประจวบคีรีขันธ์ ตอนนี้อากาศร้อนจัด ชายทะเลประจวบคงสบายกว่า และระยะทาง 280 กม. คงไกลพอที่จะหลบนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมืองประจวบคีรีขันธ์มีชื่อว่า 'เมืองนารัง' หรือ 'เมืองบางนางรม' หลังกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อปี พ.ศ. 2310 เมืองนารัง (บางนางรม) ก็ร้างไป
    รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองขึ้นใหม่ที่ปากคลองบางนางรม แต่พื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกจึงย้ายที่ว่าการเมืองไปตั้งที่เมืองกุย
    พ.ศ. 2398 รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองกุยเป็น 'เมืองประจวบคีรีขันธ์' โดยรวมเมืองกุย เมืองคลองวาฬ เมืองบางนางรมเข้าด้วยกัน
    พ.ศ. 2438 รัชกาลที่ 5 ทรงจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองประจวบคีรีขันธ์ซึ่งเป็นเมืองชั้นจัตวาถูกยุบเป็นอำเภอ ขึ้นกับเมืองเพชรบุรี มณฑลราชบุรี
    พ.ศ. 2441 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ว่าการอำเภอประจวบคีรีขันธ์ มาตั้งที่อ่าวเกาะหลัก
    พ.ศ. 2449 โปรดเกล้าฯ ให้รวมอำเภอปราณบุรี อำเภอประจวบคีรีขันธ์ และอำเภอกำเนิดนพคุณ เป็นเมืองปราณบุรี อำเภอประจวบคีรีขันธ์จึงแยกจากเมืองเพชรบุรีมาอยู่ในการปกครองของเมืองปราณบุรี
    พ.ศ. 2458 รัชกาลที่ 6 โปรดให้เปลี่ยนชื่อเมืองปราณบุรีเป็น 'เมืองประจวบคีรีขันธ์'

ประจวบคีรีขันธ์ ชื่อบอกว่าเป็น 'เมืองที่มีภูเขาต่อเนื่องกันไป'
ภูมิลักษณ์ของประจวบคีรีขันธ์ลาดเอียงจากเทือกเขาตะนาวศรี ซึ่งกั้นระหว่างไทยกับพม่าด้านทิศตะวัน ตก ลงสู่อ่าวไทยด้านทิศตะวันออก บริเวณตอนกลางตรงส่วนแคบสุดของประเทศคืออำเภอเมือง ชายฝั่งทะเลเป็นอ่าวต่อกันสามอ่าวจากเหนือไปใต้ ได้แก่ อ่าวน้อย อ่าวประจวบ และอ่าวมะนาว ระหว่างอ่าวน้อยและอ่าวประจวบเป็นแหลม ตรงปลายแหลมคือเขาตาม่องล่าย ระหว่างอ่าวประจวบและอ่าวมะนาวเป็นแหลม ตรงปลายแหลมคือเขาล้อมหมวก ในทะเลประดับด้วยเกาะน้อยใหญ่หลายเกาะ อำเภอเมืองจึงมีสมญาว่า 'เมืองงามสามอ่าว'

10.30 น. ออกจากบ้าน มุ่งสู่ถนนพระรามสอง พอเข้าไปได้ไม่กี่กิโลเมตร รถก็ไม่แล่นแต่เริ่มคลานตามกันไป ผมอธิบายไม่ได้ว่ารถออกต่างจังหวัด ไปทางเดียวกัน ทางหลวงไม่มีไฟแดง เหตุใดรถจึงติด ใช้เวลาคลานเกือบ 3 ชั่วโมง จึงผ่านมหาชัย ข้ามแม่น้ำท่าจีน สภาพยังไม่คลี่คลาย
    ใกล้ถึงแม่กลอง เราแวะปั๊มน้ำมัน กินมื้อกลางวันก่อน หลายคนคิดแบบเดียวกัน ที่จอดรถ ที่กิน จึงแออัดพอๆ กับถนนพระรามสอง แม้มุมสั่งอาหารแบบ drive-through ยังติดยาว ดีที่เราเลือกเข้าไปนั่งกินในร้านอาหารเป็นกิจจะลักษณะ จึงไม่ต้องสมเพชตัวเองมากกว่าที่เป็นอยู่

14.00 น. คลานต่อผ่านแม่กลอง นาเกลือที่เคยเป็นเอกลักษณ์แถบนี้ เหลือกระจุกอยู่ไม่กี่แปลง กังหันลมวิดน้ำเข้านาแทบไม่มีให้เห็น ก่อนถึงแยกวังมะนาวที่ถนนพระรามสองบรรจบกับถนนเพชรเกษม กรมทางหลวงเกลี่ยทางย่อยระบายรถช่วงเทศกาลตัดซ้ายลงบ้านวังมะนาว ผ่านท้องนาที่มีต้นข้าวเขียวงามทั้งสองฟาก ทางย่อยนี้ขนานกับถนนเพชรเกษม รถเข้าแถวยาวแล่นช้าๆ เหมือนกันทั้งสองเส้น แต่นาข้าวเขียวขนาบทางย่อยนี้ให้ความรื่นรมย์กว่ามาก อย่างไรก็ตาม ที่สุดก็ต้องกลับเข้าถนนเพชรเกษม
    ผ่านเมืองเพชรบุรี การจราจรเริ่มเข้าที่แบบทางหลวง ถนนที่ขยายกว้างประชิดเขาย้อยกว่าแต่ก่อน ทางเข้าออกอำเภอบ้านลาด อำเภอท่ายาง ซับซ้อนขึ้น ต้นไม้ใหญ่ที่เคยยืนเด่นเป็นแนวในเกาะกลางถนนไม่มีให้เห็นแล้ว ด้วยเกาะกลางเดิมหายไปเมื่อตอนขยายถนน

ถึงชะอำแล่นออกขวาไปทางเลี่ยงเมืองสู่ปราณบุรี ทางสายนี้ยังร่มครึ้มด้วยไม้ใหญ่ทั้งสองข้างทาง หน้าร้อนต่างแข่งกันผลิดอกสีสันงดงาม หางนกยูงสีส้มแดง คูนช่อดอกเหลืองเหมือนโคมระย้า ตะแบกสีม่วง ส่วนตรงเกาะกลางเป็นแนวสนสูงชลูด สลับกับแนวต้นสัก มหาวิทยาลัยหลายแห่งตั้งอยู่บนทางสายนี้ อาทิ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตเพชรบุรี มหาวิทยาลัย Webster
    สิบกว่าปีก่อน ลูกชายเลือกเข้าเรียนคณะ ICT-Design มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตเพชรบุรี ตอนนั้นวิทยาเขตกำลังก่อร่างสร้างตัว คณะ ICT เพิ่งเปิดได้ปีเดียว เขาเข้าเรียนเป็นรุ่นสอง ตึกเรียน ตึกหอพัก มีพอดีพอดีกับจำนวนนักศึกษา พื้นที่โล่งกว้างขวาง เด็กนักศึกษาใช้จักรยานเป็นพาหนะหลัก บรรยากาศชนบท เพื่อนฝูงส่วนมากเป็นคนแถบนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบ ชุมพร ทุกวันนี้เขายังเปรยเสมอว่าวันเวลาที่ ICT วิทยาเขตเพชรบุรีเป็นช่วงที่ดีมาก เป็นบรรยากาศมหาวิทยาลัยที่พึงประสงค์ ทุกครั้งที่เราเดินทางผ่านที่นี่ ความทรงจำ nostalgic จึงผุดขึ้น ชวนให้เคลิบเคลิ้มเป็นสุข

จังหวัดประจวบ อยู่ตรงส่วนแคบสุดของประเทศ อำเภอเรียงเดี่ยวจากเหนือไปใต้: หัวหิน ปราณบุรี สามร้อยยอด กุยบุรี เมือง ทับสะแก บางสะพาน และบางสะพานน้อย
    ผมเลี้ยวซ้ายออกจากถนนเพชรเกษมเข้าเมืองประจวบ ผ่านเขาช่องกระจกแล่นเลาะข้างเขาขึ้นไปทางเหนือ เลียบอ่าวประจวบไปตามถนนปิ่นอนุสรณ์ ตำบลเกาะหลัก ถึงที่พัก Golden Beach Hotel 18.00 น. ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง! นานเป็นสองเท่าของที่ควร

ข้อมูลค้นจาก
    คู่มือท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    th.wikipedia.org

Ubon Revisited: ผาแต้ม สามพันโบก: 13.03.2015

ยามเช้า อากาศดีมาก แม่น้ำโขงที่มองไม่เห็นเมื่อคืนวาน ตอนนี้อยู่ตรงหน้า ลึกลงไปจากลานหน้าที่พัก ชายน้ำเป็นหาดทรายเรียบทอดโค้งออกไป เจ้าของรีสอร์ทผูกทุ่นเป็นแนวปลอดภัยให้เล่นน้ำโขงริมหาดได้ โค้งโขงนี้อยู่เหมาะเจาะ ในช่วงหน้าหนาว ยามโลกอยู่ห่างและแกนเอียงหันหนีจากดวงอาทิตย์ แนวโคจรสัมพัทธ์ของพระอาทิตย์ขึ้นและตกจึงไม่ผ่านกลางท้องฟ้า ทำให้ตรงลานหน้าที่พักนี้ เห็นตะวันขึ้นด้านซ้ายของโค้งโขง และตะวันตกด้านขวาของโค้งโขง เจ้าของรีสอร์ทเรียกลานนี้ว่า 'ตะวันอ้อมโขง'
    มื้อเช้า ไข่กระทะ ขนมปัง กาแฟ อร่อย ผลไม้คือมะเฟืองจากต้นที่ปลูกด้านในรีสอร์ท เสิร์ฟที่โต๊ะตรงลานริมโขง ทิวเขาลางๆ ฝั่งลาวเป็นฉากหลัง ลมโชยเย็นสบาย บรรยากาศงดงามเช่นนี้ ไม่ว่าอาหารอะไรก็ย่อมอร่อยอยู่แล้ว นี่ได้ฝีมือคุณวิจิตรา จึงยิ่งยอดเยี่ยม

Check-out เดินทางต่อไปผาแต้ม

'ผาแต้มเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเขตต้องห้าม เป็นภูผาแห่งความตาย ใครล่วงล้ำเข้าไปมักมีอันเป็นไป อาจเจ็บไข้ หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต' นี่คือความเชื่อของชาวบ้านแต่ครั้งอดีต น้อยคนนักที่จะเดินทางเข้าไปในป่าแห่งนี้
    ปี 2522-2524 ผมรับราชการชดใช้ทุนเรียนแพทย์ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีเมืองใหม่ โรงพยาบาลอำเภอขนาด 10 เตียง มีหมอคนเดียวคือผม ส่วนอำเภอโขงเจียมที่เขตติดกันเพิ่งมีโรงพยาบาลขนาด 10 เตียงเปิดใหม่ หมอไชยยศ ประสานวงค์ (2498-2556) เป็นคนแรก และหมอสมเกียรติ โพธิสัตย์ เป็นคนต่อมา ทำหน้าที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโขงเจียมคนละ 4 เดือน ตอนนั้นพวกเราได้ยินชื่อและได้มีโอกาสเข้าไปชมผาแต้ม ผายาวที่มีภาพเขียนสีแดง ริมน้ำโขง ดูน่าพิศวง
    ปี 2524 อาจารย์และนักศึกษาจากภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สำรวจภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ผาแต้ม บ้านกุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เห็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งสภาพป่าบริเวณใกล้เคียงยังอุดมสมบูรณ์ จึงเสนอต่อกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ขอให้จัดตั้งป่าภูผาในบริเวณผาแต้มเป็นอุทยานแห่งชาติ
    ปี 2526 กรมป่าไม้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติดงภูโหล่น ผนวกเข้ากับอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ
    ปี 2532 กรมป่าไม้พิจารณาเห็นว่าพื้นที่ทั้งสองห่างไกลกัน และอาณาเขตกว้างขวางเกินไป จึงให้แยกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงภูโหล่น อำเภอโขงเจียม อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 340 ตารางกิโลเมตร จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติผาแต้ม
    ภาพเขียนมีอายุราว 3,000 ปี ใช้สีฝุ่น สีแดงเป็นส่วนใหญ่ จำนวนกว่า 300 ภาพ เรียงรายตามความยาวของหน้าผา ติดต่อกันกว่า 180 เมตร เป็นรูปปลาบึก ช้าง ผู้ชาย ผู้หญิง ก้างปลา ตุ้ม (เครื่องมือจับปลา) ฝ่ามือ (ลักษณะพ่นสีรอบฝ่ามือ) รวมทั้งลายเส้นรูปสามเหลี่ยมและรูปทรงขนาน หน้าผานี้อยู่ขนานไปตามแม่น้ำโขง มองเห็นฝั่งลาวอยู่ตรงข้าม เส้นทางเดินจึงน่าสนใจ
    จากผาแต้ม ย้อนทางออกไปราว 3 กม. เป็น 'เสาเฉลียง'
    'สะเลียง' เป็นภาษาส่วย แปลว่า เสาหิน
    เสาเฉลียง ลักษณะคล้ายดอกเห็ด กำเนิดและวิวัฒนาการจากหินทราย 2 ยุค คือ ชั้นล่างยุค Jurassic ชั้นบนยุค Cretaceous หินทรายชั้นบนแข็ง ทนทานต่อการกัดเซาะของลมและน้ำดีกว่าหินทรายชั้นล่าง เมื่อผ่านเวลานาน ชั้นล่างกร่อนมากกว่ากลายเป็นเสาสูงคล้ายโคนเห็ด ส่วนชั้นบนกร่อนน้อยกว่าคงรูปหินใหญ่ยื่นคลุมส่วนล่างที่เป็นเสา จึงดูคล้ายดอกเห็ด เป็นประติมากรรมธรรมชาติที่งดงามยิ่งใหญ่
    ถัดจากเสาเฉลียงขึ้นไปเป็นลานหิน หลายบริเวณ หินแยกจากกันเป็นแนวยาว แบบลานหินแตกที่ภูหินร่องกล้า

จากโขงเจียม รถแล่นไปตามทางหลวง 2112 โขงเจียม-เขมราฐ เลียบชายแดนไทย-ลาว เดิมเรียกทางสายยุทธศาสตร์ เมื่อปี 2522-2524 ตอนผมประจำที่โรงพยาบาลศรีเมืองใหม่ ถนนนี้เป็นลูกรังอัดแน่น เรียบ กว้างมาก ตอนนี้ลาดยางแต่แคบลงอย่างน่าฉงน เราผ่านตำบลหนามแท่ง ตำบลหุ่งหลวง อำเภอศรีเมืองใหม่ ป่าไม้ดูทึบและเขียว ด้วยพื้นที่ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนของอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ผมรู้สึกตื่นเต้น เพราะสองตำบลนี้อยู่สุดชายขอบอำเภอศรีเมืองใหม่ ในอดีตเข้าถึงยากมาก ทางเป็นดิน หน้าฝนยิ่งแย่ และเป็นดงไข้ป่า วันนี้การคมนาคมสะดวกขึ้นมาก ป่าไม้สมบูรณ์กว่าแต่ก่อน

เข้าเขตอำเภอโพธิ์ไทร ไปสามพันโบก
    'โบก' เป็นคำลาว แปลว่า หลุม หมายถึงหลุมที่เกิดบนแก่งหิน ทางธรณีวิทยาเรียกว่า 'กุมภลักษณ์' 
เกิดจากก้อนกรวดก้อนหินที่จมอยู่ในร่องในหลุมของแก่ง ถูกกระแสน้ำพัดหมุนวนในหลุม เป็นเหมือนสว่านให้หลุมค่อยๆ กว้างใหญ่ขึ้นในลักษณะคล้ายหม้อ คือปากหลุมแคบกว่าตรงกลาง (pot-hole)
    สามพันโบกเป็นแก่งอยู่ในแม่น้ำโขง ตรงส่วนที่แม่น้ำตีบแคบเข้า แก่งขนาดใหญ่ กินพื้นที่กว้างขวาง ชวนให้ลงไปเดินชม แก่งหินสูงๆ ต่ำๆ กุมภลักษณ์ขนาดมหึมา จำนวนมากมาย
    ต้นปี 2552 สามพันโบกเริ่มเป็นที่รู้จัก เมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเผยแพร่โฆษณาชุดเที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก มีธงไชย แมคอินไตย์นำเรื่องและจบลงด้วยอาทิตย์อัสดงอย่างงดงามที่สามพันโบก
    ปลายปี 2552 สามพันโบกยิ่งโด่งดังเมื่อปรากฏเป็นฉากสำคัญในภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน 'สามพันโบก' หรือ The Sanctuary
    จังหวัดอุบลราชธานีมีแก่งหินในแม่น้ำอยู่หลายแห่ง อาทิ แก่งสะพือที่อำเภอพิบูลมังสาหาร แก่งตะนะ
ที่อำเภอโขงเจียม แก่งทั้งสองอยู่ในลำน้ำมูล ปี 2537 ภายหลังการก่อสร้างเขื่อนปากมูลขวางแม่น้ำมูลตรง 4.5 กม. ก่อนแม่มูลไหลลงแม่โขง ทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน ความยาว 35 กม. ส่วนท้ายเขื่อน แม่มูลลดขนาดลงอย่างมาก แก่งสะพือซึ่งอยู่เหนือเขื่อนจึงจมน้ำ และแก่งตะนะซึ่งอยู่ท้ายเขื่อนจึงโผล่พ้นน้ำมากขึ้น ไม่มีการขึ้นลงของน้ำแบบแต่ก่อน ภูมิลักษณ์ของแก่งสะพือ แก่งตะนะเปลี่ยนไปอย่างถาวร เช่นเดียวกับนิเวศวิทยาทั้งหมดบริเวณมูลสบโขง ตลอดจนวิถีชีวิตคนโขงเจียม

จากโพธิ์ไทรมุ่งหน้ากลับเมืองอุบลราชธานี ผ่านอำเภอตระการพืชผล เข้าอุบลทางถนนเลี่ยงเมือง หมอเปียขอแวะบ้านหมอปู น้องสาว เธอเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัวประจำโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
    บ้านหมอปูอยู่ในซอยทางเข้าวัดก้านเหลือง ตรงข้ามศูนย์เพาะชำกล้าไม้ หมอปูเพิ่งคลอดลูกคนเล็กได้ไม่กี่เดือน จึงเป็นโอกาสดีที่ป้าเปียได้มาเยี่ยมมายามหลาน ได้มากอดแม่กอดพ่อซึ่งย้ายมาพักกับหมอปู นับเป็นการแวะที่มีคุณค่ายิ่ง

ถึงเมืองอุบล เราไปกินมื้อกลางวันที่ร้านส้มตำจินดา ร้านนี้อยู่ติดกับคลินิกหมออุ้ง ถนนพิชิตรังสรรค์ ตรงข้ามโรงแรมลายทอง ถนนพิชิตรังสรรค์นี้ได้รับสมญาว่า 'ทองหล่ออุบล' จึงน่ายินดีที่หมออุ้งมีคลินิกในทำเลทอง นอกเหนือจากบ้านหลังงามที่ห้วยวังนอง
    ร้านส้มตำจินดา ด้านหน้าเป็นตึกแถว 2 ห้อง ลึกเข้าไปด้านหลังจัดเป็นห้องรับรองหมู่คณะอีก 4 ห้อง ตรงกลางมีสวนหย่อมงามตา บรรยากาศและรสชาติอาหารพื้นบ้านยอดเยี่ยม

หลังอาหาร แวะซื้อของฝากที่ร้านดาวทอง ร้านเก่าแก่กว่า 40 ปี
15.00 น. ถึงสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี ร่ำลา ขอบคุณเจ้าบ้าน หมออุ้ง หมอจิ ที่ร่วมเดินทางกับเราตลอดสามวัน ดูแลคณะของเราอย่างดี น่าประทับใจ
    ที่พักรอผู้โดยสารย้ายออกมาอยู่ด้านหน้านอกอาคาร ด้วยพื้นที่ด้านในปิดซ่อมหลังเหตุเพลิงไหม้ร้านขายของที่ระลึกในสนามบิน กลางดึกวันที่ 17 ตุลาคม 2557 จนถึงวันนี้ยังไม่เรียบร้อย
16.40 น. นกบินกลับกรุงเทพฯ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง

ภูมิประเทศของอีสานมีเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าสนใจ ผาแต้ม เสาเฉลียง สามพันโบก ล้วนยิ่งใหญ่
ผู้คนอ่อนโยน เป็นมิตร น่าประทับใจ
ศิษย์เก่ากุมารศัลยแพทย์ทั้ง 3 คน หมอเจน หมออุ้ง หมอจิ มีความรู้ ทักษะ เจตคติ สมบูรณ์แบบ มีความรับผิดชอบสูง ประสบความสำเร็จทั้งการงานและส่วนตัว เป็นที่น่ายินดี

ข้อมูลค้นจาก
    ภูมิลักษณ์ประเทศไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2534
    guideubon.com
    dnp.go.th
    th.wikipedia.org
    Roberts TR. On the river of no returns: Thailand's Pak Mun Dam and its fish ladder. Nat His Bull Siam Soc. 2001; 49: 189-230.

Ubon Revisited: ภูเพียงบอละเวน: 12.03.2015

ยามเช้าที่เขื่อน อากาศปลอดโปร่ง หลังอาหาร มีเวลาเดินเล่นอีกครู่ใหญ่
วันนี้เราจะไปเยือนที่ราบสูงบอละเวน แขวงจำปาสัก ประเทศลาว และกลับมาพักค้างคืนที่โขงเจียม
8.30 น. ออกเดินทางไปด่านช่องเม็ก ราว 20 นาทีก็ถึง คนรอผ่านแดนไม่มาก แต่พิธีการใช้เวลาพอควร ขนาดบริษัททัวร์ซึ่งรู้ขั้นตอน ทำอยู่ทุกวัน ยังเป็นแบบนี้ เมื่อเอกสารเรียบร้อย รถและคนต้องแยกไปคนละทาง รถแล่นตามถนนข้ามไปยังด่านวังเต่า ประเทศลาว ส่วนคนต้องเดินผ่านทางอุโมงค์จากด่านช่องเม็กลอดใต้ถนนไปโผล่ที่ด่านวังเต่า ตรวจคนเข้าเมือง แล้วจึงไปขึ้นรถที่ข้ามไปรออยู่...

อ้อด (นางวไลวัน) ไกด์ลาว มาขึ้นรถด้วย กฎหมายท่องเที่ยวบ้านเมืองไหนๆ ก็บังคับให้ทัวร์กลุ่มต่างชาติต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำทั้งนั้น ยกเว้นเมืองไทย
อ้อดแนะนำตัว คำนำหน้าหญิงใช้ 'นาง' คำเดียว ไม่แจกแจงว่าแต่งงานหรือยัง ยุติธรรมดี
ภาษาที่ใช้บรรยาย ไทยสลับลาว ด้วยสมาชิกในคณะของเรา เว่าลาว ได้เกินครึ่ง

จากด่านวังเต่า รถแล่นไปตามทางหลวง 16W ผ่านเมืองโพนทอง แหล่งปลูกข้าว เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของแขวงจำปาสัก ร่ำลือว่า 'ข้าวขาว สาวงาม'
    ระหว่างทางผ่านโรงเรียนหลายแห่ง ระบบการเรียนแบ่งเป็น ชั้นประถม 5 ปี มัธยม 7 ปี เรียน 2 เทอม เทอมต้น: กันยายน-มกราคม เทอมปลาย: กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ปิดเทอม: มิถุนายน-สิงหาคม ช่วงหน้าฝน นักเรียนจะได้ช่วยพ่อแม่ทำนาทำไร่ ชั้นอุดมศึกษามีมหาวิทยาลัยจำปาสักอยู่ที่เมืองปากเซ
    จากโพนทองราว 20 นาที ถึงแม่น้ำโขง ข้ามสะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น (2545) เข้าเมืองปากเซ เมืองหลวงของแขวงจำปาสัก ตรงเชิงสะพานด้านซ้าย มีคฤหาสน์ใหญ่ กำลังก่อสร้าง สถาปัตยกรรมผสมผสานจากปราสาทราชวังในยุโรป ตั้งเด่นริมน้ำ อ้อดบอกว่าเจ้าของคือแม่ดาวเฮือง นักธุรกิจใหญ่แห่งปากเซ ลงสะพานเลี้ยวไปทางขวาเป็นท่าจอดรถ ตลาดดาวเฮืองขายของหลากหลาย คึกคักแบบตลาดชายแดน ร้านกาแฟดาว ร้านอาหารดาวเฮือง อยู่รอบท่ารถ อ้อดเล่าว่าแม่ดาวเฮืองเป็นคนเวียดนามอพยพมาลาวเมื่อ 40 ปีก่อน ผมคะเนเวลา หากข้อมูลของอ้อดถูกต้อง น่าจะเป็นช่วงที่ไซ่ง่อนแตก พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975)
    ธุรกิจสำคัญของกลุ่มดาวเฮืองคือกาแฟดาว ที่ราบสูงบอละเวน แขวงจำปาสัก เป็นแหล่งปลูกกาแฟคุณภาพเยี่ยม แน่นอนว่ากลุ่มดาวเฮืองย่อมเป็นเจ้าของ เป็นผู้ดูแลกระบวนการทั้งหมดครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางไร่กาแฟ จนถึงปลายทางร้านกาแฟและซุปเปอร์มาร์เก็ต ปัจจุบันกาแฟดาวไม่เพียงส่งผลิตภัณฑ์ไปขายยังต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ไทย แต่ตั้งโรงคั่วบดเมล็ดกาแฟด้วย ข้อน่าสังเกตอีกประการคือกลุ่มดาวเฮืองเลือกจ้างพนักงานชาวเวียดนามเป็นหลัก
    เมืองปากเซ มีแม่น้ำเซโดนไหลผ่านและไหลลงแม่โขงที่นี่ เมืองจึงชื่อ 'ปากเซ'
    เราเดินทางต่อไปยังจุดหมายคือเมืองปากซอง อาณาบริเวณนี้เรียกว่า 'ภูเพียงบอละเวน' บอละเวนเป็นคำลาวแปลว่า 'ที่ราบสูงขึ้นไปเรื่อยๆ' ความสูง 1,000-1,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสายและมีน้ำตกงดงามมากมาย เป็นที่อยู่ของชนเผ่าต่างๆ ที่รวมเรียกว่า 'ลาวเทิง'
    ประวัติศาสตร์สำคัญของที่ราบสูงบอละเวนอาจแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงลาวเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ช่วงกบฏผู้มีบุญ และช่วงสงครามเวียดนาม
    พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) ฝรั่งเศสยึดดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง และผนวกเพิ่มดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงในปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) และ พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ดินแดนเหล่านี้เดิมเป็นประเทศราชของสยาม พวกฝรั่งเศสทดลองปลูกกาแฟและยางพารา การปลูกกาแฟประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ด้วยพื้นที่นี้อากาศเย็นและฝนตกชุก ผลิตผลเป็นกาแฟชั้นดี พันธุ์ Arabica และ Robusta ปัจจุบันกาแฟเกือบทั้งหมดของลาวปลูกบนที่ราบสูงบอละเวน แขวงจำปาสัก
    พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901) ลาวเทิงลุกขึ้นต่อต้านเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ผสมโรงไปกับ 'กบฏผู้มีบุญ' ที่ชาวบ้านอีสานของไทยลุกฮือขึ้นพร้อมกันหลายแห่ง ต่อต้านอำนาจรวมศูนย์ของสยามเช่นกัน การดิ้นรนเพื่อปลดแอกนี้ถูกปราบปรามลงเมื่อ พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) แม้ลาวเทิงไม่อาจโค่นล้มเจ้าอาณานิคมลงได้ แต่จิตวิญญาณที่ต้องการเป็นไทเป็นที่ประจักษ์
    ระหว่างสงครามเวียดนาม ที่ราบสูงบอละเวนถูกกองทัพสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดหนักหนาที่สุดแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงปลายทศวรรษ 1960 บริเวณนี้ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ด้วย Ho Chi Minh Trail ผ่านเข้ามาทางตะวันออกของบอละเวน ทหารอเมริกันและทหารเวียดนามเหนือต่างพยายามยึดพื้นที่ดังกล่าว กับระเบิดและระเบิดที่ยังไม่ระเบิดจำนวนมากจึงยังคงเป็นอันตรายจนถึงทุกวันนี้
    ปัจจุบัน รายได้สำคัญของบอละเวน มาจากการทำไร่กาแฟ และการท่องเที่ยว ป่าไม้ น้ำตก และวิถีชนเผ่า ล้วนดึงดูดนักเดินทางให้มาเยือน
    วันนี้เราจะไปชมน้ำตก 3 แห่ง ได้แก่ ตาดเยือง ตาดฟาน และตาดผาส่วม แต่ละแห่งห่างกันใช้เวลาเดินทางราว 15-20 นาที

ตาดเยือง
    ตาดแปลว่าน้ำตก เยืองคือเลียงผา
    อากาศที่นี่เย็นสบาย แม้ว่าเข้าหน้าร้อนแล้ว พื้นที่สูงและป่าไม้สมบูรณ์โดยรอบเป็นปัจจัยสำคัญ
    เราเดินตามทางเลาะเขาจากด้านข้างน้ำตกลงไป อ้อมโค้งสู่ด้านหน้า มีจุดพักชมระดับต่างๆ ตรงข้ามน้ำตก ขณะอยู่ด้านบนจึงมองเห็นธารน้ำจากเขาด้านซ้ายไหลมาถึงหน้าผา แยกเป็น 2 สาย เทลงสู่แอ่งหินลึก 45 เมตรด้านล่าง ไม่มีชะง่อนหินกีดขวาง แรงกระแทกทำให้เกิดละอองน้ำลอยอยู่ทั่วบริเวณ ยามต้องแสงแดดทำมุมเหมาะสมจะสะท้อนเป็นสายรุ้ง เมื่อลงถึงด้านล่าง มุมมองน้ำตกงดงามต่างไปอีกแบบ น้ำตกที่เทลงมาเป็น 2 สาย ดูคล้ายเขาเลียงผา จึงชื่อ 'ตาดเยือง'
    ก่อนเดินลงมา อ้อดบอกว่า ตาดเยืองมีสมญาว่า 'น้ำตกขาอ่อน สาวลาว' ขากลับจากตีนน้ำตกขึ้นไปข้างบน จึงเข้าใจสมญานี้...น้ำตกขาอ่อน (แรง)...(ต้อง) สาวราว (ขาขึ้น)

ตาดฟาน
    ฟานแปลว่าเก้ง
    ทางเข้าไปชมน้ำตกต้องผ่านตาดฟานรีสอร์ท เขาทำระเบียงกว้างด้านหน้าที่พัก เป็นที่นั่งจิบกาแฟ ชื่นชมความงามของน้ำตก ลึกจากระเบียงรีสอร์ทลงไป มีทางเดินสู่จุดชมทิวทัศน์ซึ่งเปิดมุมมองน้ำตกกว้างขวางและงดงามกว่า
    15 ปีก่อน (พ.ศ. 2543) ผมกับครอบครัวเคยมาที่ตาดฟาน ช่วงปลายเดือนตุลาคม ตอนนั้นฝนตก อากาศเย็นและชื้นมาก หมอกลงหนาทึบขาวโพลน มองไม่เห็นน้ำตกเลย ได้ยินแต่เสียงน้ำดังชัดเจน เรานั่งจิบกาแฟแก้หนาวตรงระเบียงตาดฟานรีสอร์ทนี้ รอให้หมอกจางลง หวังจะได้เห็นความงามของตาดฟาน แต่สุดท้ายหมอกไม่จางลง....
    ตาดฟานเกิดจากลำน้ำใหญ่บนเขาไหลเทลงจากหน้าผา เป็น 2 สาย ตกลงสู่ปล่องภูเขาไฟลึกลงไป 120 เมตร จุดที่เรายืนชมอยู่ห่างจากขุนเขาทะมึน ป่าไม้ทึบ หน้าผา และน้ำตกราว 6 กม. ภาพรวมทั้งหมดจึงยิ่งใหญ่นัก น้ำตก 2 สายที่สูงมาก แลดูคล้ายเขาเก้ง จึงชื่อ 'ตาดฟาน'
    ธรรมชาติงดงามและป่าไม้ทึบที่เห็น ทำเอาอ้อดจินตนาการว่าตาดฟานเป็นฉากเปิดในหนังเรื่อง Jurassic Park (1993) อันที่จริงภูมิประเทศมีส่วนคล้ายกัน แต่ฉากดังกล่าวถ่ายที่ Manwaiopuna Falls, Hanapepe Valley, Kaua'i, Hawaii
    สมญาของตาดฟานคือ 'น้ำตกน้องเมีย' ชื่นชมได้ห่างๆ แต่แตะต้องไม่ได้

ตาดผาส่วม
    ส่วมแปลว่าหอบ่าวสาว
    เราพักกินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารของคุณวิมล กิจบำรุง นักธุรกิจไทยที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลลาวตั้งแต่ปี 1999 ให้เข้ามาจัดการป่าไม้ พื้นที่ 1,300 ไร่ เขาเขียนบันทึกเผยแพร่เกี่ยวกับโครงการอุทยานบาเจียง น้ำตกผาส่วม อันเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่สัมปทานของเขาว่า เป็นโครงการต้นแบบสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ และสืบทอดวัฒนธรรมโบราณของชนเผ่า ได้ปลูกต้นไม้กว่า 25,000 ต้น จัดตั้งศูนย์อนุรักษ์ชนเผ่า และพนักงานในโครงการประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ 11 เผ่า
    ตาดผาส่วมอยู่ห่างจากร้านอาหารไม่มาก ผาน้ำตกเป็นรูปโค้งเกือกม้า น้ำตกสูงราว 20 เมตร แยกเป็นหลายสาย จุดชมอยู่กลางฝั่งตรงข้าม เห็นน้ำตกทั้งหมด ด้านข้างและด้านหลังเป็นป่าไม้ทึบเขียว ไกลออกไปเป็นทิวเขาลางๆ แสงสี องค์ประกอบส่งให้ตาดผาส่วมงามยิ่ง
    จากน้ำตก เดินต่อไปยังศูนย์อนุรักษ์ชนเผ่า ทางเข้าศูนย์ปลูกกอไผ่เรียงรายเป็นแนวทั้งสองข้าง ทางเดินดินกวาดไว้เรียบร้อย สะอาดตา ภายในศูนย์มีเรือนไม้ชั้นเดียว หลังคามุงจาก ใต้ถุนยกพื้นสูง ตั้งห่างกันอยู่ทั่วไป คุณยายร่างผอมเกร็งนั่งสาวด้ายตรงชานเรือนหลังแรก ข้างตัวมีผ้าทอมือ ทำเป็นผ้าซิ่น ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ลวดลาย สีสัน สวยงามวางขายหลายผืน ถัดเข้าไปเป็นเรือนของเผ่าละแว ลักษณะพิเศษคือมีห้องเล็กๆ อยู่ด้านหน้าเป็นมุขยื่นออกมา เจาะช่องหน้าต่างขนาดเล็กพอมือลอดได้เพียงช่องเดียว ใต้ช่องหน้าต่างด้านนอกเรือน มีตอไม้หน้าตัดเรียบวางอยู่ คนละแวเขาจัดห้องนี้ให้ลูกสาวอยู่เวลาพ่อแม่เข้านอนแล้ว หนุ่มๆ ที่สนใจสาวมาเยี่ยมตอนค่ำได้โดยปีนตอไม้ ส่งมือผ่านช่องหน้าต่าง จับมือถือแขนกัน เรียกกิจกรรมนี้ว่า 'ขึ้นครก จกสาว' สาวเรียนรู้หนุ่มว่าทำงานหรือไม่จากมือนุ่มมือหยาบ ถัดมาอีกมุม มีเรือนเสาเดียวแยกอยู่ต่างหาก เรียก 'บ้านเสาเดี่ยว' หลังนี้สำหรับคู่หนุ่มสาวที่ 'ขึ้นครก จกสาว' จนตกลงใจแล้ว ขยับขึ้นไปอยู่ด้วยกันบนบ้านเสาเดี่ยว แต่เขาว่า 'ห้ามผิดผี'... ละแวเป็นชนเผ่ากลุ่มใหญ่ที่สุดในบอละเวน
    นอกจากเรือนอยู่อาศัย ยังมีเรือนหลังใหญ่ใช้เป็นที่ชุมนุม มีเกราะไม้ไว้เคาะเรียก เรือนหลังใหญ่อีกหลัง จัดเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับของแต่ละชนเผ่า

ขากลับ เราย้อนทางเดิม อ้อดพาไปชิมกาแฟแม่ติ ก่อนไปแวะตลาดดาวเฮืองที่ปากเซ
17.30 น. เดินลอดอุโมงค์จากด่านวังเต่ากลับมาด่านช่องเม็ก
รถเดินทางจากช่องเม็กไปโขงเจียม ถึงที่พักวิจิตราแคมปิงส์แอนด์รีสอร์ท ฟ้ามืดสนิท ที่พักอยู่ริมแม่น้ำโขง แต่มองไม่เห็นแม่น้ำเลย คณะเราเป็นแขกพักเพียงคณะเดียว
มื้อค่ำ ฝีมือคุณวิจิตรา ภรรยาเจ้าของที่พัก อาหารแบบครอบครัว รสชาติยอดเยี่ยม

หลังอาหาร เราเปิดวงเสวนายามค่ำ หมอเปียเพิ่งผ่านหลักสูตรผู้บริหารระดับกลางมาหมาดๆ กำลังร้อนวิชา เธอบอกว่าตอนนี้พร้อมเป็นผู้อำนวยการแล้ว วงเสวนาจึงหนักไปในเรื่องบริหารราชการ สมาชิกเห็นพ้องกันว่าตำแหน่งบริหาร อาทิ ผู้อำนวยการ อธิบดี ควรมีอายุ 40 เศษ ปลัดกระทรวงควรมีอายุ 45-50 ปี
    นอกจากนี้ ยังพูดถึง Peter Principle ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ผู้คนในองค์กรจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น จนไปจบที่ตำแหน่งซึ่งคนนั้นไร้ฝีมือที่สุด
    ปิดวงเสวนาเกือบเที่ยงคืน

เยือนแขวงจำปาสัก ประเทศลาว วันนี้ ได้เห็นภูมิประเทศ ป่าไม้ ขุนเขา น้ำตก ที่สวยงาม
ได้เรียนรู้ ทบทวนประวัติศาสตร์ลาว ซึ่งใกล้ชิดกับอีสานของไทยเป็นอย่างยิ่ง

ข้อมูลค้นจาก
    th.wikipedia.org
    tourismlaos.org