วันสุดท้ายของ Vietnam Trip เรามีเวลาเดินเที่ยวเต็มวัน เครื่องบินกลับกรุงเทพฯ 18.15 น.
หลังอาหารเช้า check-out ฝากสัมภาระไว้
จุดหมายสำคัญวันนี้คือ War Remnants Museum
จากหัวมุมถนน Ly Tu Trong หน้าที่พัก เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Thu Khoa Huan หนึ่งบล็อคถึงแยกตัดกับถนน Nguyen Du เดินตรงต่อไปเป็นถนน Huyen Tran Cong Chua ขวามือคือสวนป่าด้านหลังของ Reunification Palace ซ้ายมือเป็นสนามกีฬา ทั้งสนามฟุตบอล บาสเกตบอล คอร์ทเทนนิส ภายในสวนสาธารณะใหญ่ชื่อ 'Culture Park' เส้นทางนี้จึงร่มรื่นยิ่ง สุดทางเลี้ยวขวาเข้าถนน Nguyen Thi Minh Khai เลียบด้านข้าง Reunification Palace ไปครึ่งด้าน เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Le Quy Don ไปเพียงหนึ่งบล็อคตรงแยกตัดกับถนน Vo Van Tan ที่นี่คือ War Remnants Museum
War Remnants Museum
หลายเมืองในเวียดนามมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงถึงการต่อสู้กับพวกฝรั่งเศสและพวกอเมริกัน แต่ไม่มีพิพิธภัณฑ์ใดที่สำแดงถึงความโหดร้ายและการล้างผลาญ ได้ชัดแจ้งเท่าที่นี่ พิพิธภัณฑ์ที่เดิมเรียกว่า Museum of American War Crimes
สหรัฐอเมริกาใช้จ่ายกว่า 130 พันล้านดอลลาร์ในสงคราม ละทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์อีกหลายพันล้านดอลลาร์ไว้ในเวียดนามตอนแพ้สงครามและอพยพหนีกลับบ้าน ของที่ละทิ้งไว้บางส่วนจัดแสดงด้านนอกอาคารที่นี่ อาทิ ปืนใหญ่ขนาด 175 มม. วิถีโค้ง พิกัด 32 กม. รถถัง M-48 (ช่วงรบรุนแรงปี 1969 มีรถถังชนิดนี้ประจำการถึง 370 คัน) เฮลิคอปเตอร์ Huey (UH-1 Bell helicopter) เฮลิคอปเตอร์ Chinook เครื่องบินขับไล่ รถไถขนาดยักษ์ที่ใช้ในการโค่นป่าไม้ รถลำเลียงพล นับเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากที่ไม่มีที่ใดเหมือน ด้วยเป็นอาวุธของประเทศหนึ่ง แต่จัดแสดงในอีกประเทศหนึ่ง
อาคารพิพิธภัณฑ์นี้ เดิมเป็นที่ทำการสำนักข่าวสารอเมริกัน (United States Information Services, USIS) มี 3 ชั้น สิ่งแสดงส่วนใหญ่เป็นภาพถ่าย บอกเล่าประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่การประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสของ Ho Chi Minh ที่จัตุรัส Ba Dinh กรุง Hanoi เมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 ต้นฉบับคำประกาศจัดเก็บในตู้กระจก
ประวัติศาสตร์สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งกับฝรั่งเศส (1945-1954) จนถึงชัยชนะที่ Dien Bien Phu
ประวัติศาสตร์สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง หรือสงครามเวียดนาม หรือสงครามอเมริกัน กับสหรัฐอเมริกา (1960-1975)
ข้อมูลปริมาณระเบิด ลูกปืนใหญ่ ที่ถล่มใส่ประเทศเวียดนาม
ข้อมูลกำลังพลของสหรัฐอเมริกา และพันธมิตร รวมทั้งประเทศไทยสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ที่ร่วม 'กินโต๊ะ' เวียดนามในสงคราม ข้อมูลส่วนของไทยแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ดังนี้
กองกำลังเดินทางถึง: 19 กันยายน 1967
กองกำลังถอนกลับ: มีนาคม 1972
กำลังพลสูงสุด: 11,570 นาย (ปลาย 1969)
กองกำลังหลัก: กองพันจงอางศึก (Queen's Cobra) กองพลเสือดำ (Black Panthers) กองพลที่ 2 (อาสาสมัคร)
ฐานปฏิบัติการ: Bear Cat (Long Thanh - Bien Hoa)
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังอำนวยความสะดวกให้สหรัฐอเมริกาใช้พื้นที่ของประเทศไทยในหลายด้าน อาทิ
ฐานบิน 7 แห่ง สำหรับกองทัพสหรัฐอเมริกาใช้ส่งกำลังบำรุงและส่งเครื่องบินโจมตีทางอากาศต่อเวียดนาม ได้แก่ อู่ตะเภา อุดร นครพนม ตาคลี อุบล โคราช และดอนเมือง
ศูนย์เรดาร์และโทรคมนาคม
ค่ายพักกองกำลังพิเศษ กองบัญชาการ CIA
ค่ายฝึกทหาร
ภาพสมรภูมิรบ ผลงานของช่างภาพนักข่าวทั่วโลก หลายภาพได้รับรางวัล Pulitzer Prize บันทึกเหล่านี้เป็นหลักฐานแสดงความโหดร้ายของทหารอเมริกัน ภายใต้นโยบายโหดเหี้ยมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อาทิ ภาพการฆ่าล้างหมู่บ้านที่ My Lai ซึ่งอยู่ห่าง 13 กม. ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Quang Ngai เมื่อเช้าวันที่ 16 มีนาคม 1968 ทหารอเมริกัน 1 หน่วย จู่โจมหมู่บ้าน เผา ข่มขืนผู้หญิง ทรมาน และสังหารคนทั้งหมู่บ้าน จำนวนทั้งสิ้น 504 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็ก และคนแก่ ใช้เวลาปฏิบัติการ 4 ชั่วโมง การสังหารหมู่เช่นนี้ มิใช่เป็นแค่เหตุการณ์เดียวที่สนองนโยบาย 'Free-fire Zone' (เขตยิงตามอำเภอใจ) ของกองทัพอเมริกัน เพียงแต่การกระทำครั้งนี้ถูกบันทึกและนำเสนอต่อสาธารณะ สร้างความตระหนกไปทั่วโลก
ภาพการใช้นาปาล์ม (napalm) เผาทำลายชีวิตและทรัพย์สิน
ภาพการใช้อาวุธเคมี อาทิ ระเบิดฟอสฟอรัส
ภาพการพ่นโปรย Agent Orange จากเครื่องบินภายใต้ยุทธการ Operation Ranch Hand นัยว่า Agent Orange เป็น dioxin ทำให้ต้นไม้ทิ้งใบ ยืนต้นตายในที่สุด เพื่อมิให้มีป่าไม้เป็นที่หลบซ่อนของฝ่าย Viet Cong รัฐบาลสหรัฐอเมริกาอ้างว่า Agent Orange เป็นผลิตภัณฑ์ทางเกษตร (herbicides and defoliants) มิใช่อาวุธเคมี สหรัฐอเมริกาจึงมิได้ละเมิด Geneva Protocol (1925) ของสหประชาชาติว่าด้วยอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ทหารอเมริกันที่ทำหน้าที่ผสมและพ่นโปรยสาร กลับต้องใส่หน้ากากป้องกันพิษเต็มรูปแบบและใส่ถุงมืออย่างแน่นหนา หน้ากากป้องกันพิษจำนวนมากจัดแสดงอยู่ในตู้กระจกข้างๆ Agent Orange นี้ผลิตเพื่อจำหน่ายให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดย Monsanto Corporation และ Dow Chemical
ห้องแสดงผลระยะยาวของ Agent Orange ต่อป่าไม้ ดิน น้ำ สิ่งแวดล้อม ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังของป่าไม้ที่หายไป ผลต่อมนุษย์อันทำให้คนเวียดนามในพื้นที่ที่ถูกพ่น Agent Orange เป็นมะเร็งมากขึ้น เด็กพิการแต่กำเนิดมากขึ้น บาปกรรมนี้ยังตามข้ามทวีปไปถึงทหารผ่านศึกอเมริกันที่มีส่วนในการผสมและโปรยสารนี้ เกิดมะเร็งในรุ่นตนและพิการแต่กำเนิดในรุ่นลูก
ห้อง Agent Orange นี้แสดงกิตติกรรมประกาศแก่ช่างภาพนักข่าวชาวญี่ปุ่น Goro Nakamura ผู้เอาการเอางานศึกษา วิจัย ตีพิมพ์ ปาฐกถา เผยแพร่ความรู้ ให้สาธารณะรับทราบถึงหายนะที่เกิดจาก dioxin ของ Agent Orange ทั้งต่อป่าไม้ สิ่งแวดล้อม และต่อมนุษยชาติสืบเนื่องไปอีกหลายรุ่น ผลงานหนังสือชิ้นเอกของเขาได้แก่ Vietnam War and Dioxin พิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่น ผลงานวิจัยอีกหลายชิ้นตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Environmental Studies และในรายงานของมหาวิทยาลัยเกียวโต
Agent Orange ถูกลำเลียงมาประเทศไทยและทดลองใช้รอบๆ ฐานทัพอเมริกัน ตั้งแต่ปี 1961 ภายหลังสงคราม ในปี 1999 ระหว่างการปรับปรุงสนามบินบ่อฝ้าย หัวหิน คนงานขุดพบถังขนาด 200 ลิตร จำนวนมาก ถังผุพัง ขึ้นสนิม บรรจุสารซึ่งยืนยันภายหลังตรวจสอบว่าเป็น Agent Orange ถังพวกนี้ถูกลักลอบฝังทิ้งไว้ตั้งแต่ครั้งสงครามเวียดนาม คนงานหลายคนประสบชะตากรรมจากการสัมผัสสารพิษนี้
โถงชั้น 3 อุทิศแก่ผลงานของช่างภาพนักข่าวจากทั่วโลกกว่า 60 คน ที่ลุยไปในสมรภูมิเวียดนาม ช่างภาพนักข่าวเหล่านี้เสียชีวิตหรือสาบสูญไปขณะทำหน้าที่ ผลงานต่างๆ จึงมีคุณค่าอย่างยิ่งด้วยเป็นบันทึกจากแนวหน้า โดยมืออาชีพที่ทุ่มเทเต็มกำลัง อาทิ ภาพที่ได้รางวัล Pulitzer Prize 1965 ของ Kyoichi Sawada (1936-1970) แห่ง United Press International (UPI) เป็นภาพแม่พาลูกๆ ตะเกียกตะกายข้ามแม่น้ำที่ Loc Thuong, Binh Dinh หนีการทิ้งระเบิดของเครื่องบินอเมริกัน สีหน้าแววตาชัดเจน ช่างภาพคนอื่นๆ ได้แก่ Larry Burrows แห่ง Life Magazine, Henri Huet แห่ง Associated Press (AP), Dana Stone แห่ง CBS News, Sean Flynn แห่ง Time Magazine เป็นต้น
ห้องสุดท้ายจัดแสดงสาร สิ่งพิมพ์ โปสเตอร์ จากทั่วโลก ต่อต้านสงครามโหดร้ายที่ก่อโดยสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังจัดแสดงเหรียญกล้าหาญของทหารอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่ได้รับจากกองทัพ หากภายหลัง ผ่านศึกเหล่านี้รู้สึกผิดและละอายในสัญลักษณ์แห่งเหรียญเครื่องหมายดังกล่าว จึงส่งมายังพิพิธภัณฑ์นี้ หนึ่งในเหรียญกล้าหาญ เป็นระดับ Purple Heart ของจ่าสิบเอกคนหนึ่งพร้อมความในใจที่จารึกไว้ในแผ่นทองเหลืองว่า 'To the people of a United Vietnam. I was wrong. I am sorry.'
ในห้องก่อนหน้านี้ มีโปสเตอร์แสดงข้อความที่คัดมาจากหนังสือบันทึกความทรงจำของ Robert S. McNamara (1916-2009) ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริการะหว่าง 1961-1968 เขามีบทบาทสำคัญในสงครามเวียดนามสมัยประธานาธิบดี John F. Kennedy และ Lyndon B. Johnson หนังสือบันทึกความทรงจำนี้ชื่อ In Retrospect: The Tragedy and Lessons of Vietnam ตีพิมพ์ปี 1995 ภายหลัง McNamara พ้นตำแหน่งกว่า 27 ปี และภายหลังสหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้สงคราม อพยพหนีกลับบ้านไปกว่า 20 ปี McNamara เขียนไว้ดังนี้
'Yet we were wrong, terribly wrong. We owe it to future generations to explain why.'
War Remnants Museum มีสาระประวัติศาสตร์อย่างละเอียด เราไม่สามารถเรียนได้หมดในช่วงเช้า พิพิธภัณฑ์ปิดพัก 12.00-13.30 น. เราพักกินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารเกาหลี Kang Nam Ga ที่อยู่แถวนั้น และกลับเข้าไปเรียนประวัติศาสตร์ต่อในภาคบ่ายจนพิพิธภัณฑ์ปิด
ข้อมูล หลักฐาน ที่ได้เห็น ได้เรียนวันนี้ ทำให้สะท้อนใจถึงผู้ปกครองที่โหยหา 'มหาอำนาจ' ซึ่งตนอุปาทานว่าเป็น 'มหามิตร' โดยลืมคำพระที่สอนว่า นตฺถิ พาเล สหายตา ความเป็นสหาย ไม่มีในคนพาล
จากพิพิธภัณฑ์เดินกลับที่พัก ขนสัมภาระที่ฝากไว้ พนักงานโรงแรมผิวปากเรียกแท็กซี่ Vinasun สีขาวปราดเข้ามาจอดรับเรา ไปส่งที่สนามบิน Tan Son Nhat
เครื่องบินใช้เวลาบินเพียง 1.30 ชั่วโมง กลับถึงกรุงเทพฯ
ข้อมูลค้นจาก
Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
wikipedia.org
wikitravel.org
หายอีกรอบ..จบกัน..ทำไมเป็นอย่างนี้นะ..หมดอารมณ์จริงๆ...ขอบอก !!!!!
ReplyDeleteสรุปว่าจบทริบที่เวียตนามด้วยความเศร้าอาดูร สงครามทำให้เกิดความสูญเสีย ความพินาศย่อยยับ การจากลา และอื่นๆอีกมากมาย ...ขอบคุณคุณพ่อคุณลูกทั้งสองที่เข้าขากันอย่างดีในการท่องเที่ยวประเทศเวียตนาม และนำสิ่งดีๆเป็นความรู้มาเล่าสู่กันฟังด้วยการเขียนอย่างมีอรรถรสเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ข้อความหายรอบที่สามแล้วหมดอารมณ์สุดๆ..จบกัน..
ReplyDeleteเวลาบ่นกลับโพสต์ได้ เขียนจริงๆกลับไม่ได้จะเอาไงดีนะ อารมณ์พาลมาสู่เราแล้ว....เห็นทีต้องไปนั่งนิ่งๆกำหนดลมหายใจ ทำอานาปานัสติ สักพักค่ะ
ReplyDeleteขอชื่นชมด้วยจากใจจริงๆเลยว่า อาจารย์ไมตรี อนันต์โกศล เป็นนักท่องเที่ยวที่สามารถถ่ายทอดสิ่งดีๆมีสาระประโยชน์ สมควรที่ชนรุ่นหลังจะไดัรับรู้เกี่ยวกับประเทศเวียตนามครั้งอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ด้วยการเขียนอย่างมีประสบการณ์และมีอรรถรสอย่างเป็นเลิศอย่างยิ่ง ขอบคุณมากๆค่ะ
ReplyDeleteขอชื่นชมและขอบคุณ อาจารย์ไมตรี อนันต์โกศล กับลูกชายที่ท่องเที่ยวอย่างมีสาระในประเทศเวียตนาม และนำเรื่องราวดีๆมาเล่าสู่กันฟังด้วยการถ่ายทอดด้วยภาษาเขียนที่สละสลวย อ่านง่ายเข้าใจ และมีอรรถรสในภาษาที่สื่อค่ะ ขอขอบคุณอีกครั้งจากใจจริง
ReplyDelete