Cu Chi Tunnels
ไม่มีพื้นที่ใดในสงครามเวียดนามที่น่าฉงนเท่า Cu Chi ที่ซึ่งชาวนา ชาวบ้าน 18,000 คนร่วมรบแบบกองโจร จากอุโมงค์ขุดด้วยมือเป็นโครงข่ายใต้ดินรวมยาวกว่า 200 กม. ในอุโมงค์นี้เองที่ Viet Cong วางแผนโจมตี Saigon ในการรบ 'Tet Offensive' ปี 1968
ชาวบ้าน Cu Chi จำต้องมุดหลบลงใต้ดินตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1940 ระหว่างสงครามอินโดจีนกับพวกฝรั่งเศส ถึงปี 1967 โครงข่ายอุโมงค์ซับซ้อนประกอบด้วยโรงพยาบาล โรงครัว โรงมหรสพ ที่พัก คลังอาวุธ บ่อเก็บน้ำ โรงพิมพ์ และอื่นๆ แบ่งเป็น 3 ชั้น ลึก 3-9 เมตรใต้พื้นดิน ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางจนขนาดกองร้อยทหารราบที่ 25 ของสหรัฐอเมริกา (นามเรียกขาน 'Tropic Lightning') ตั้งฐานอยู่เหนือส่วนหนึ่งของอุโมงค์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง Cu Chi โดยไม่ระแคะระคาย
กองทัพบกสหรัฐอเมริกาพยายามส่งสายลับเรียกว่า 'หนูอุโมงค์' เสาะหาข้อมูลและทำลายฐานใต้ดินเหล่านี้ ระหว่างยุทธการต้นไม้ล้ม (Operation Cedar Falls) ปี 1967 รถไถโค่นทำลายป่าไม้บริเวณนี้ไปกว่า 11 ตารางกิโลเมตร นัยว่าเพื่อไม่ให้พวก Viet Cong มีที่หลบซ่อน ในช่วงรุนแรงที่สุดของสงคราม กองทัพสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดใส่ที่นี่มากกว่า 200,000 ลูกต่อเดือน ทำให้ Cu Chi เป็นที่ที่ 'ถูกทิ้งระเบิด ถูกระดมยิง ถูกรมแกสพิษ ถูกโค่นทำลายป่าไม้ ถูกทำให้ราบเป็นหน้ากลอง มากที่สุดในประวัติศาสตร์การรบของมนุษยชาติ' ตามบันทึกในหนังสือ The Tunnels of Cu Chi ปี 1985 ของนักข่าวชาวอังกฤษ Tom Mangold และ John Penycate แม้โครงข่ายอุโมงค์ถูกระเบิดทำลายกว่าร้อยละ 70 แต่ Cu Chi ยังคงเป็นฐานสำคัญของ Viet Cong ในการรบตลอดสงคราม
ปี 1990 รัฐบาลเวียดนามเปิดโครงข่ายอุโมงค์ 2 ส่วนให้สาธารณะเยี่ยมชม ได้แก่ ศูนย์บัญชาการที่ Ben Duoc และส่วนอุโมงค์ที่ Ben Dinh
วันนี้เราซื้อทัวร์เยือน Cu Chi Tunnels ที่ Ben Dinh ระยะทาง 50 กม. ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Ho Chi Minh City รถรับนักท่องเที่ยวจากโรงแรมต่างๆ และมารับเรา 2 คนสุดท้ายตอน 9.00 น.
คณะบนรถ ราว 20 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป อาทิ ฝรั่งเศส สวีเดน สวิส เยอรมัน ชาวเอเชียมี 4 คน สิงคโปร์ 2 คน ไทย 2 คน นอกจากนี้ มีชาวบราซิล 2 คน อเมริกัน 3-4 คน หนึ่งในนั้นเป็นทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม ตัวใหญ่หนา หนวดเคราเฟิ้ม ผมยาวรวบมัดเป็นมวยตรงท้ายทอย ใส่แว่นดำปิดบังดวงตา ลักษณะแบบนี้เดาไม่ยาก และ Mickey ไกด์หนุ่มชาวเวียดนาม รูปร่างผอมเกร็ง ก็รู้ทันทีเช่นกัน ลีลาประชด เหน็บแนมอย่างแยบคายต่อผ่านศึกตัวโตนี้ จึงมีเป็นระยะ
Mickey ปูพื้นเรื่องสงครามโดยย่อ แต่ไม่ลืมขยายความเหตุจูงใจของสหรัฐอเมริกาทั้งต่อทรัพยากรของเวียดนามและรายได้มหาศาลจากอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ เขาพูดต่อถึงโลกทัศน์ของคนเวียดนามปัจจุบันว่าทุกคนล้วนใฝ่หาและมุ่งสู่สันติภาพ ความสงบสุข และความก้าวหน้า หนึ่งพันปีที่รบกับจีน หนึ่งร้อยปีใต้แอกอาณานิคมฝรั่งเศส เกือบสิบปีของสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งกับกองทัพฝรั่งเศส และอีกกว่าสิบห้าปีของสงครามอินโดจีนครั้งที่สองหรือสงครามเวียดนามหรือสงครามอเมริกันกับกองทัพสหรัฐอเมริกา มากเกินพอ สันติภาพเพิ่งหยั่งรากไม่นานในรุ่นปัจจุบัน เวียดนามต้อนรับนักลงทุน นักเดินทางจากทุกทิศ เขาว่าคนเวียดนามไม่ต้องการ 'ฟื้นกุมฝอยหาตะเข็บ' ของอดีต แต่ผมรู้ดีว่า Mickey และคนเวียดนามไม่ไช่คนประเภทที่ไม่รู้และไม่จดจำประวัติศาสตร์ของตนเอง
9.50 น. รถแวะที่ Cu Chi Handicapped Handicraft Centre (ก่อตั้งปี 1976)
ที่นี่เป็นศูนย์รวมงานฝีมือของชาวบ้านแถบนี้ คนพิการจากสงครามที่ไม่อาจทำมาหากินอย่างเดิม ต้องรับการฝึกและหันมาทำงานฝีมือเพื่อยังชีพแทน สินค้าที่จัดแสดงหลากหลาย ทั้งขนาด ชนิด ฝีมือ ความประณีต และราคา บริการจัดส่งทั่วโลก
11.15 น. ถึง Ben Dinh บริเวณเป็นป่าโปร่งแบบชนบททางอิสานของไทย จุดสนใจต่างๆ ทำเป็นกระท่อมใหญ่น้อย หลังคามุงจาก นักท่องเที่ยวขวักไขว่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทัวร์แบบคณะของเรา
เราเริ่มที่มุมชมภาพยนตร์แสดงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน Cu Chi ก่อนสงคราม และระหว่างสงคราม ผังอุโมงค์ ขวากกับดัก หนังยาวราว 10 นาที
เดินต่อไปชมหลุมขวากลักษณะต่างๆ ที่ไว้ดักทหารอเมริกัน หลักการเดียวกับกับดักสัตว์ บ้างใช้ไม้ไผ่เหลาปลายแหลม บ้างใช้เหล็กแหลม ทหารอเมริกันตัวใหญ่ น้ำหนักมาก เวลาตกลงไป ขวากยิ่งทะลุทะลวงไม่เว้นแม้พื้นรองเท้าบูท กับดักบ้านๆ แบบนี้เป็นที่หวาดกลัวและทำเอา GI อเมริกันสติแตก
ถัดไป บนพื้นดินธรรมดา มีทางลงอุโมงค์พรางตาไว้ ดูไม่ออก เป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดพอคนร่างผอมลงไปได้ มีแผ่นไม้ปิด ก่อนลงและหลังขึ้นมาต้องเอาใบไม้แห้งรอบๆ มาคลุมแผ่นไม้ปิดปากทางให้แนบเนียน นักท่องเที่ยว 2 คนในกลุ่มเรา ทดลองลงไปในหลุม ทำได้ดีทีเดียว
เดินต่อไป แวะชมซากรถถัง M-41 ของสหรัฐอเมริกาที่แล่นทับกับระเบิดเมื่อปี 1970 หมดสภาพ ถูกลากมาจัดแสดงริมทางเดินในป่าโปร่งนี้ ใกล้ๆ กันเป็นโรงผลิตอาวุธ หลังคามุงจาก ดินปืนแคะจากลูกระเบิดด้าน และลูกปืนใหญ่ด้านของอเมริกัน โรงผลิตรองเท้าแตะทำจากยางรถยนต์ พื้นรองเท้าออกแบบให้ทิ้งรอยบนพื้นดินในลักษณะกลับทิศทางเพื่อลวงศัตรู รองเท้าแตะลุยพื้นเปียก ข้ามลำห้วย ฝ่าฝน ได้สะดวก ส่วนบูทอเมริกันลุยข้ามน้ำ หรือเจอฝนตกหนักเมื่อไร เจ้าของบูทเป็นเท้าแฉะไม่ยอมแห้ง ย่ำแย่ไม่น้อย
ใกล้ร้านค้าขายอาหาร มีสนามยิงปืนสงคราม อาทิ M-16 AK-47 (ชุด 10 นัด ราคา VND 400,000 ราว 600 บาท) คาร์บิน ลูกซอง
ปิดท้ายทัวร์ด้วยการมุดอุโมงค์จริง อุโมงค์ดินที่แคบ มืด ชื้น ต้องนั่งยองหรือคลาน ช่องทางถูกทำให้คดเคี้ยว ซิกแซ็ก เพื่อหลบทิศทางกระสุน ผนังดินช่วยลดความรุนแรง ความเสียหายจากไฟ สารเคมี และน้ำที่กองทัพอเมริกันพ่นใส่อุโมงค์ ผนังดินแข็งแรงเหมือนซีเมนต์ ดินจากการขุดอุโมงค์นี้ ชาวบ้านนำไปถมที่นา ถมหลุมระเบิด และลำคลอง ไม่ทิ้งให้เห็นร่องรอยการขุดอุโมงค์ Mickey ท้าชวนให้พวกเรามุด บอกเป็นประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต ไม่ควรพลาด แถมเหน็บด้วยว่าอุโมงค์นี้ล้างผนังจนปลอดสารพิษจากระเบิดเคมีที่ทหารอเมริกันโยนใส่แล้ว และไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครหย่อนระเบิด พ่นไฟนาปาล์ม หรือฉีดน้ำให้ท่วมจากปากหลุมเหมือนที่ชาวบ้าน Cu Chi โดนกระทำ
รถพากลับถึง Ho Chi Minh City 14.30 น. เราลงที่ Ben Thanh Market
Ben Thanh Market เปิดเมื่อปี 1914 หอนาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์เด่นตั้งตรงประตูทิศใต้ ตลาดครอบคลุมพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น 4 ส่วนโดยทางเดินหลัก 2 ทางตั้งฉากกัน และทางย่อยอีกมากมาย ประตูใหญ่เปิดเข้าแต่ละส่วน ประตูย่อยอีก 12 แห่งอยู่โดยรอบ
เริ่มจากหอนาฬิกาทางทิศใต้ เป็นส่วนขายเสื้อผ้า ถัดเข้าไปเป็นรองเท้า กระเป๋า หมวก ด้านในเป็นร้านอาหาร ทางด้านทิศเหนือเป็นตลาดสด ขายผัก ของทะเล เนื้อสัตว์
เดินชมบรรยากาศทั่วๆ แวะกินมื้อกลางวันที่ร้านด้านใน ย้อนกลับออกมาหาซื้อหมวก ลูกชายเลือกมา 2 ใบ สาวคนขายเปิดที่ราคา VND 280,000 ใจดีคิดแค่ 200,000 ลูกต่อราคาเหลือ 80,000 ผมรู้สึกตกใจว่าทำไมไปต่อราคาเขาขนาดนั้น และสาวคนขายก็ไม่ยอม แต่ไม่มีท่าทีเคือง เราเดินต่อ สาวขอ 140,000 เมื่อเราไม่เห็นด้วย เธอจึงตกลงที่ 80,000 มารู้ภายหลังว่าแผงขายของกว่า 1,200 แผงในตลาด ต่างตั้งราคาสินค้าสูงเป็น 4-5 เท่าของราคาที่ควรกันทั้งนั้น
ตรงข้ามตลาด ด้านตะวันตก พื้นที่แคบๆ ตลอดความยาวระหว่างถนน Le Lai และถนน Pham Ngu Lao เป็นสวนสาธารณะ ปลูกไม้ดอกประดับ สีสันสวยงาม เราเข้าไปนั่งเล่น พักสบายๆ สวนนี้ชื่อ '23-9 Park' เป็นที่ระลึกถึงวันที่ 23 กันยายน 1945 วันที่ Ho Chi Minh ปลุกระดมให้ชาวเวียดนามลุกขึ้นต่อสู้กับพวกฝรั่งเศสที่ไม่ยอมรับการประกาศเอกราชของ Ho Chi Minh เมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 และส่งกองทัพกลับเข้ามายึดครองเวียดนามอีกภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง
เดินเลาะถนน Pham Ngu Lao ย้อนกลับ ตั้งใจไปชมตลาดเก่าที่อยู่ไกลออกไปทางริมแม่น้ำ เมื่อถึงวงเวียนใหญ่ทางทิศใต้ของ Ben Thanh Market แผนที่แสดงว่าหากเลี้ยวขวาเข้าถนน Pho Duc Chinh ไปไม่ถึงหนึ่งบล็อคเป็นที่ตั้งของ Ho Chi Minh City Fine Arts Museum เราจึงเลี้ยวเข้าไป...
Ho Chi Minh City Fine Arts Museum
ตึกพิพิธภัณฑ์ใหญ่โต งดงามแบบ colonial ประตูกระจกสี (stained-glass) แบบฝรั่งเศส ระเบียงด้านนอกตึกโอ่อ่า หลากหลายรูปแบบ เดิมเป็นคฤหาสน์ของคหบดี เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์เมื่อ 1991
ชั้น 1 จัดแสดงจิตรกรรมโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda art)
ชั้น 2 จัดแสดงภาพเขียนแลคเกอร์ และภาพเขียนบนผ้าไหม ล้วนฝีมือยอดเยี่ยม โดยเฉพาะห้องแสดงภาพเขียนแลคเกอร์ 9 แผ่นต่อกัน ผลงานชิ้นเอก (masterpiece) ของ Nguyen Gia Tri (1908-1993) ศิษย์รุ่นบุกเบิกของ Indochina School of Fine Arts
ชั้น 3 จัดแสดงประติมากรรมสำริด ไม้แกะ เครื่องปั้นดินเผายุคศตวรรษที่ 19-20 พระพุทธรูป ไม้แกะรูปเคารพตามลัทธิขงจื๊อ ประติมากรรมจาม ประติมากรรมขอม
ศิลปสถาปัตยกรรมของตัวตึกพิพิธภัณฑ์เองวิจิตรงดงาม ชวนให้พินิจรายละเอียด มีเวลาเดินชมเพียง 1 ชั่วโมงก่อนพิพิธภัณฑ์ปิด 17.30 น. จึงชมสิ่งแสดงได้เพียง 2 ชั้น ไปไม่ถึงชั้น 3
นิราศเวียดนามวันนี้ได้ไปถึง Cu Chi Tunnels ได้มุดอุโมงค์รับรู้ความลำบากของชาวบ้านที่ต้องหนีภัยสงครามลงใต้ดิน สงครามที่มหาอำนาจจากอีกซีกโลกกระหน่ำอาวุธทำลายล้างหลากรูปแบบเท่าที่มนุษย์จินตนาการได้เข้าใส่เจ้าของบ้านโดยไม่มีเหตุโกรธเคืองชัดเจน ได้เห็นการดิ้นรน ต่อสู้ และเอาชนะศัตรูของชาวบ้านอย่างน่านับถือ
ได้ชม Ho Chi Minh City Fine Arts Museum ที่งดงามทั้งตัวอาคารและงานศิลปะที่จัดแสดง เป็นโบนัสที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า
ข้อมูลค้นจาก
Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
wikipedia.org
wikitravel.org
เรื่องราวตอนนี้เร้าใจตื่นเต้นไปกับการบอกเล่าของผู้เขียน ประวัติศาสตร์การรบอันยาวนานกว่าสิบปี สร้างความเสียหายมากมายแต่ทำให้เราได้รู้ว่าความมานะอดทนพยายามในการขุดอุโมงค์ที่มีความยาวละมีโครงข่ายได้ครบถ้วนต่อการหลบภัยและรับมือกับข้าศึกได้อย่างมหัศจรรย์จริงๆ... และสิ่งที่เป็นhighlightที่สุดของผู้เขียนก็คือการได้มุดในอุโมงค์นี้ด้วย..ถามจริงเถอะค่ะ..กลัวมั๊ยกับบรรยากาศแห่งอดีตอันน่ากลัวเช่นนั้น..และเดินหรือคลานในอุโมงค์เป็นระยะทางไกลมั๊ยคะ..ขอปรบมือ ขอบคุณ และะชื่นชมสองพ่อลูกนักเดินทางเป็นอย่างมากด้วยค่ะ
ReplyDelete