ผมฝันหลายครั้งหลายคราว่ากลับเข้าไปอยู่ที่หอพักครอบครัว ด้านหลังโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ถนนสุริยาตร ตรงข้ามวัดสารพัฒนึก หอพักนี้เป็น 'บ้าน' ที่ผมเริ่มครอบครัวเมื่อปี 2527-2532 ลูก 2 คน คลอดที่สรรพสิทธิ์ และโตที่นี่ในช่วงขวบสองขวบสามขวบ เพื่อนบ้านล้วนน่ารัก
โครงการเยี่ยมศิษย์เก่ากุมารศัลยแพทย์ เที่ยวนี้กำหนดไปอุบลราชธานี รู้สึกดีใจที่จะได้กลับไปเยือน 'บ้าน' เดิม
นกบินจากดอนเมือง 7.25 น. เราไปกัน 5 คน เพียง 1 ชั่วโมงก็ถึงอุบล
เจ้าบ้าน 3 คน: หมอเจน หมออุ้ง หมอจิ มารอรับ น่ายินดีที่ได้พบกันพร้อมหน้า
แวะร้านครัวเช้า กินมื้อเช้าแบบอุบล ไข่กระทะ กับกาแฟ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ทุกคนร่าเริง ผ่อนคลาย สบายใจ
10.30 น. รถพาไปถึงโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ตึกอำนวยการแต่ดั้งเดิมที่ชั้นล่างเป็น ER วงเวียนเสาธง และลานโล่งสำหรับจอดรถส่งคนไข้ด้านหน้า หายไปหมด กลายเป็นตึกขนาดใหญ่ เรียงซ้อนกันหลายแถว จนประชิดแนวรั้ว แถมตึกที่อยู่ริมนอกสุดประดับด้วยไม้สักแกะสลักทำนองพลับพลาทรงไทย ดูแปลกแยก ไม่เห็นประโยชน์ใช้สอยและไม่เห็นกาลเทศะในเชิงศิลป์ อีกทั้งกีดขวางทางเข้าออกรถส่งผู้ป่วย ตึก 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ ยาวไปจนประชิดรั้วทิศตะวันตกด้านถนนเทพโยธี บ้านพักและต้นไม้ที่เคยปลูกเรียงตามแนวถนนเทพโยธีไม่เหลืออยู่ ด้านหลังโรงพยาบาลที่แต่ก่อนเป็นส่วนที่อยู่อาศัย ได้แก่ หอพักแพทย์ฝึกหัด หอพักแพทย์ใช้ทุน หอพักครอบครัว หอพักนักศึกษาแพทย์ สนามเทนนิส ล้วนถูกทุบทิ้ง และกำลังก่อสร้างตึก Excellent Centers ฝุ่นตลบ
โรงพยาบาลตั้งอยู่บนพื้นที่ 'สวนโนนดง' ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาพึ่ง พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2400 ทรงเป็นต้นราชสกุล 'ชุมพล' ทรงเป็นข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (มณฑลอีสาน) ระหว่างปี พ.ศ. 2436-2453
หลังการสิ้นพระชนม์ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เมื่อ พ.ศ. 2465 หม่อมเจียงคำ พระชายา (นามเดิม อัญญานางเจียงคำ บุตโรบล ธิดาท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เจ้าเมืองอุบลราชธานี) ได้มอบที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน จำนวน 6 แปลง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการ ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ทุ่งศรีเมือง โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี และพระโอรสคือหม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล ได้อุทิศที่ดิน 'สวนโนนดง' อันเป็นมรดกตกทอด จำนวน 27 ไร่ ให้เป็นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2474 การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2478 และจังหวัดได้ประกอบพิธีเปิดโรงพยาบาลเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2479
เจ้าบ้านพาชมโรงพยาบาลในส่วนของศัลยกรรม ศัลยแพทย์มีครบทุกอนุสาขา รวมกว่า 40 คน
OPD ศัลยกรรม ชั้น 2 ตึก 50 พรรษาฯ คนไข้แน่นขนัด ตึกสร้างแบบปิด ปรับอากาศ หน้าร้อนอากาศร้อนจัด คนไข้จำนวนมาก เครื่องปรับอากาศเก่า จึงยิ่งอึดอัด อย่างไรก็ตาม แม้สภาพทางกายภาพไม่น่าอภิรมย์ แต่คนทำงานกลับแข็งขัน หมอเปียซึ่งอยู่ในคณะเราจากกรุงเทพฯ เคยทำงานที่นี่หลายปี เล่าว่าทีมคัดกรองคนไข้มีประสิทธิภาพสูง สามารถส่งผู้ป่วยพร้อมบันทึกข้อมูลสำคัญไปแต่ละห้องตรวจของศัลยแพทย์อนุสาขาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ผิดพลาดน้อย เธอเปรยว่าโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ควรมาเรียนรู้จากที่นี่
ห้องประชุมศัลยกรรมอยู่ถัดจาก OPD เราเข้าไปนั่งคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน หมอเจนปูพื้นภาพใหญ่ของปัจจุบัน และที่วางเป้าหมายต่อไปในอนาคต ทิศทางชัดเจน หมออุ้งบรรยายสรุปรายละเอียดของงาน
หอผู้ป่วยกุมารศัลยกรรมมี 1 หอ อยู่ชั้น 2 เป็นส่วนต่อเติมขวางด้านหัวตึกระหว่างตึก 1-2 ทางทิศตะวันออกของโรงพยาบาล รับคนไข้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด -15 ปี รวม 30 เตียง พื้นที่ใน ward มีพอแค่ 20 เตียง อีก 10 เตียงต้องตั้งที่ระเบียงเป็นการถาวร ครุภัณฑ์การแพทย์ อาทิ ตู้อบทารก เครื่องช่วยหายใจ Bedside Monitor มีพร้อมมูล ทีมพยาบาลแข็งขัน หัวหน้าหอผู้ป่วยเป็นพยาบาลรุ่นแรกที่มาประจำตั้งแต่แยกเป็นหอผู้ป่วยกุมารศัลยกรรมเมื่อปี 2529
ห้องผ่าตัด อยู่ชั้น 3-6 ตึก 50 พรรษาฯ และอีก 2 ชั้นของตึกวิชิต รวมกว่า 20 ห้อง แต่ยังไม่เพียงพอ
ผังรวมของโรงพยาบาล การทุบตึกเก่า การเกิดตึกใหม่ในลักษณะซ้อนไปเรื่อยๆ แรงกดดันจากจำนวนคนไข้และปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่มีพื้นที่เพิ่ม เส้นทางขนส่งคนไข้จาก OPD ไปหอผู้ป่วย จากหอผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด จากห้องผ่าตัดกลับหอผู้ป่วย ซับซ้อน ไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย ยิ่งกว่านั้น หากเกิดเพลิงไหม้ รถดับเพลิงไม่อาจเข้าทำหน้าที่ได้ ด้วยตึกที่ซ้อนกันอย่างแออัด ปิดทางเข้าถึงโดยสิ้นเชิง
การเจรจาขอแลกเปลี่ยนพื้นที่ ในระดับหน่วยงานท้องถิ่น กับส่วนราชการรอบโรงพยาบาล ได้แก่ วิทยาลัยพยาบาล (ด้านทิศตะวันออก) สถานีตำรวจ (ด้านทิศตะวันตก) และวัดสารพัฒนึก (ด้านทิศเหนือ) ไม่บรรลุผล วิกฤตทางภูมิศาสตร์ของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์นี้ เป็นเรื่องใหญ่ เร่งด่วน ท้าทายฝีมือในการแก้ปัญหาระดับกระทรวง
อย่างไรก็ตามในความคับขันทางโครงสร้างกายภาพ แต่บุคลากรกลับเป็นส่วนที่เข้มแข็ง ภารกิจหลักของโรงพยาบาลจึงดำเนินและพัฒนาไปได้อย่างน่านิยม
12.30 น. กินมื้อกลางวันที่ร้านอินโดจีน ร้านอาหารเวียดนามเก่าแก่ เปิดมากว่า 40 ปี
หลังอาหาร แวะไปชมบ้านหมอจิ ถนนพโลรังฤทธิ์
หมอจิสำเร็จการฝึกอบรมกุมารศัลยศาสตร์ มาทำงานที่สรรพสิทธิ์ได้ 4 ปี มีบ้านเดี่ยว 2 ชั้นของตนเอง ในทำเลดีกลางเมือง มีรถส่วนตัวอีก 5 คัน (จักรยาน) นับว่าประสบความสำเร็จ น่ายินดี
14.00 น. เดินทางไปเขื่อนสิรินธร ใช้เวลา 1.15 ชั่วโมง คืนนี้เราพักค้างที่นี่ เจ้าบ้าน 2 คน หมออุ้ง หมอจิ ร่วมคณะไปด้วยกัน
เขื่อนสิรินธร เป็นเขื่อนหินถม แกนดินเหนียว สร้างกั้นลำโดมน้อย ลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล ที่บริเวณแก่งแซน้อย ตำบลนิคมลำโดมน้อย อำเภอสิรินธร (เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอพิบูลมังสาหาร) จังหวัดอุบลราชธานี ตัวเขื่อนสูง 42 เมตร ยาว 940 เมตร สันเขื่อนกว้าง 7.50 เมตร อ่างเก็บน้ำ มีพื้นที่ประมาณ 288 ตารางกิโลเมตร กักเก็บน้ำได้ 1,966.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่ระดับน้ำสูงสุด 142.20 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) โรงไฟฟ้าพลังน้ำมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 3 เครื่อง กำลังผลิตเครื่องละ 12,000 กิโลวัตต์ รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 36,000 กิโลวัตต์
เขื่อนสิรินธร ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2511 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2514 ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ส่วนบริการต่างๆ ของเขื่อนอยู่ริมอ่างเก็บน้ำ ได้แก่ บ้านพัก ห้องประชุม ร้านอาหาร สนามกอล์ฟ สวนและสนามหญ้าโดยรอบตกแต่งงดงาม
สันเขื่อนเป็นที่ที่ควรเดินเล่น ชมความขัดแย้งของสองฝั่ง อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนคือสุสานแห่งป่าไม้เดิมที่จมน้ำตาย คลุมพื้นที่ 288 ตารางกิโลเมตร ฝั่งใต้เขื่อน ลำโดมน้อยกลายเป็นลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ ออกจากโรงไฟฟ้า
แดดร่มลมตก ออกจากเขื่อน ไปยังวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ตามเส้นทางไปช่องเม็ก
วัดภูพร้าวเป็นวัดเก่าของหลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ ศิษย์รุ่นใหญ่ของพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล (2402-2484) ผู้เป็นที่นับถือฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน และพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต (2413-2492) พระอาจารย์ใหญ่สายวัดป่า หลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญเดินทางจากจำปาสักมาพักปักกลดที่ภูพร้าว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 ต่อมาท่านได้ขอบิณฑบาตสถานที่บนภูจากหน่วยทหารและนายอำเภอพิบูลมังสาหารสร้างวัดภูพร้าว ปี พ.ศ. 2510-2511 มีการสำรวจระดับเพื่อสร้างเขื่อนสิรินธร ทางราชการจึงให้ตั้งชื่อวัดเป็น วัดสิรินธรวราราม ปี พ.ศ. 2516 หลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญเดินทางกลับไปวัดภูมะโรง จำปาสัก วัดสิรินธรวรารามทรุดโทรมลงตามกาลเวลา ความทุรกันดาร และขาดการบูรณะ ปี พ.ศ. 2542 หลวงพ่อสีทน กมโล (2493-2549) แห่งวัดภูหล่น ตำบลสงยาง อำเภอศรีเมืองใหม่ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ ได้ขึ้นมาพัฒนาวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว...
สิม (อุโบสถ) ตั้งโดดเด่นบนเนินสูงสุด สร้างตามแบบวัดเชียงทอง หลวงพระบาง ศิลปะล้านช้าง เอกลักษณ์ที่สำคัญ ได้แก่ หลังคาปีกนก ทรงผายกว้างออก ทำให้มองดูเหมือนหลังคาต่ำกว่าปกติ หลังคาซ้อนสามชั้นประดับช่อฟ้า หน้าบันแกะสลักรูปแจกัน ปักดอกบัวตูม พื้นหลังลายก้านขดงดงาม เชิงชายไม้แกะลายกระหนกโดยรอบ ชายคารับด้วยเสากลมมีบัวหัวเสาและตีนเสา เสาทาสีทอง วาดลายเส้นสีดำรูปดอกไม้อ่อนช้อย เสาเรียงแถวเป็นระเบียบฝั่งละ 2 แถว ยกเว้นช่วงกลางเพิ่มอีก 1 แถวรับหลังคาที่เป็น 3 ปีก สิมเปิดโล่งแบบศาลา ไม่มีผนังโดยรอบ ลมโกรกเย็นสบาย พื้นปูกระเบื้องเคลือบขัดเงา สะท้อนแสงทองของอาทิตย์อัสดงอย่างงดงาม สิมยกสูงจากฐานไพที บันไดทางขึ้นขนาบด้วยนาคสามเศียร ลำตัวนาคทอดยาวไปบนกำแพงแก้วรอบสิม บันไดด้านหลังขนาบด้วยนาคสามเศียรเช่นเดียวกัน ด้านหลังสิมหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ผนังสลักลายต้นทอง ทำนองเดียวกับวัดเชียงทองเช่นกัน แต่ที่พิเศษคือต้นทองนี้ตัดเส้นด้วยวัสดุที่ดูดซับ photon จากแสงอาทิตย์ยามตะวันตกดิน และเรืองแสงสีเขียวเมื่อฟ้ามืดสนิท
พระประธานเป็นปางตรัสรู้ ผนังด้านหลังองค์พระแกะเป็นรูปต้นโพธิ์ หน้าพระประธานตั้งรูปถ่ายของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ และหลวงพ่อสีทน กมโล
ที่ฐานไพที ตรงมุมซ้ายด้านหน้า มีอนุสรณ์เจดีย์พระครูกมลภาวนากร (หลวงพ่อสีทน กมโล) ด้านหลังมีเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุหลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ รูปทรงเลียนแบบพระธาตุพนม เจดีย์นี้มองเห็นได้จากฝั่งลาว
เราเดินชื่นชมความงามของวัด และไปนั่งชมผนังด้านหลังพักใหญ่ น่าเสียดายที่ไม่อาจรอดูต้นทองเรืองแสงได้
กลับลงจากภูพร้าว รถแล่นไปยังโขงเจียม สุดชายแดนไทยตรงที่แม่น้ำมูลไหลลงแม่น้ำโขง
กินมื้อค่ำที่ห้องอาหารริมโขง โรงแรมทอแสงโขงเจียม
หลังอาหาร กลับที่พัก บ้านก้องนทีธาร เขื่อนสิรินธร...
เราเปิดวงเสวนายามค่ำ เริ่มด้วยความเป็นไปของอนุสาขา บุคลิกภาพ ชีวทัศน์ และโลกทัศน์ของผู้คน อันก่อร่างจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก จึงให้น่าสังเกตว่าบางคนคงผ่านวัยเด็กอย่างมืดมน (miserably)
ต่อด้วยประวัติศาสตร์ สงครามเวียดนาม สงครามที่ไม่ประกาศในลาว CIA กับทหารรับจ้างไทยในลาว การเมืองการปกครองของไทย ช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความสัมพันธ์วังหลวง วังหน้า
ปิดท้ายด้วยการปฏิบัติงานในระบบราชการ ระเบียบและกฎหมายต่างๆ
ปิดวงเสวนาราว 23.00 น.
เยือนอุบลวันนี้ ถือเป็นการเยี่ยม 'บ้าน' เดิม
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์โตจนล้น หากไม่สามารถขยายพื้นที่ อาจเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่หลวง
ส่วนดีข้อสำคัญที่ยังคงอยู่คือความแข็งขัน เอาการเอางาน และการพัฒนาตนเองของบุคลากร
ลูกศิษย์ 3 คน ความรู้ ทักษะ เจตคติ สมบูรณ์แบบ ความรับผิดชอบสูง น่าภาคภูมิใจ
การนำองค์กรในระบบราชการสำคัญยิ่ง ผู้นำที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดสามัญสำนึก ทำให้องค์กรเสียหาย เสียเวลา เสียโอกาส และส่งผลเสียระยะยาวเกินกว่าวาระของผู้นำนั้น
ข้อมูลค้นจาก
th.wikipedia.org
ศรัณย์ บุญประเสริฐ. หลวงพระบาง. สำนักพิมพ์สารคดี. 2549.
โครงการเยี่ยมศิษย์เก่ากุมารศัลยแพทย์ เที่ยวนี้กำหนดไปอุบลราชธานี รู้สึกดีใจที่จะได้กลับไปเยือน 'บ้าน' เดิม
นกบินจากดอนเมือง 7.25 น. เราไปกัน 5 คน เพียง 1 ชั่วโมงก็ถึงอุบล
เจ้าบ้าน 3 คน: หมอเจน หมออุ้ง หมอจิ มารอรับ น่ายินดีที่ได้พบกันพร้อมหน้า
แวะร้านครัวเช้า กินมื้อเช้าแบบอุบล ไข่กระทะ กับกาแฟ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ทุกคนร่าเริง ผ่อนคลาย สบายใจ
10.30 น. รถพาไปถึงโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ตึกอำนวยการแต่ดั้งเดิมที่ชั้นล่างเป็น ER วงเวียนเสาธง และลานโล่งสำหรับจอดรถส่งคนไข้ด้านหน้า หายไปหมด กลายเป็นตึกขนาดใหญ่ เรียงซ้อนกันหลายแถว จนประชิดแนวรั้ว แถมตึกที่อยู่ริมนอกสุดประดับด้วยไม้สักแกะสลักทำนองพลับพลาทรงไทย ดูแปลกแยก ไม่เห็นประโยชน์ใช้สอยและไม่เห็นกาลเทศะในเชิงศิลป์ อีกทั้งกีดขวางทางเข้าออกรถส่งผู้ป่วย ตึก 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ ยาวไปจนประชิดรั้วทิศตะวันตกด้านถนนเทพโยธี บ้านพักและต้นไม้ที่เคยปลูกเรียงตามแนวถนนเทพโยธีไม่เหลืออยู่ ด้านหลังโรงพยาบาลที่แต่ก่อนเป็นส่วนที่อยู่อาศัย ได้แก่ หอพักแพทย์ฝึกหัด หอพักแพทย์ใช้ทุน หอพักครอบครัว หอพักนักศึกษาแพทย์ สนามเทนนิส ล้วนถูกทุบทิ้ง และกำลังก่อสร้างตึก Excellent Centers ฝุ่นตลบ
โรงพยาบาลตั้งอยู่บนพื้นที่ 'สวนโนนดง' ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาพึ่ง พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2400 ทรงเป็นต้นราชสกุล 'ชุมพล' ทรงเป็นข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (มณฑลอีสาน) ระหว่างปี พ.ศ. 2436-2453
หลังการสิ้นพระชนม์ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เมื่อ พ.ศ. 2465 หม่อมเจียงคำ พระชายา (นามเดิม อัญญานางเจียงคำ บุตโรบล ธิดาท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เจ้าเมืองอุบลราชธานี) ได้มอบที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน จำนวน 6 แปลง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการ ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ทุ่งศรีเมือง โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี และพระโอรสคือหม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล ได้อุทิศที่ดิน 'สวนโนนดง' อันเป็นมรดกตกทอด จำนวน 27 ไร่ ให้เป็นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2474 การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2478 และจังหวัดได้ประกอบพิธีเปิดโรงพยาบาลเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2479
เจ้าบ้านพาชมโรงพยาบาลในส่วนของศัลยกรรม ศัลยแพทย์มีครบทุกอนุสาขา รวมกว่า 40 คน
OPD ศัลยกรรม ชั้น 2 ตึก 50 พรรษาฯ คนไข้แน่นขนัด ตึกสร้างแบบปิด ปรับอากาศ หน้าร้อนอากาศร้อนจัด คนไข้จำนวนมาก เครื่องปรับอากาศเก่า จึงยิ่งอึดอัด อย่างไรก็ตาม แม้สภาพทางกายภาพไม่น่าอภิรมย์ แต่คนทำงานกลับแข็งขัน หมอเปียซึ่งอยู่ในคณะเราจากกรุงเทพฯ เคยทำงานที่นี่หลายปี เล่าว่าทีมคัดกรองคนไข้มีประสิทธิภาพสูง สามารถส่งผู้ป่วยพร้อมบันทึกข้อมูลสำคัญไปแต่ละห้องตรวจของศัลยแพทย์อนุสาขาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ผิดพลาดน้อย เธอเปรยว่าโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ควรมาเรียนรู้จากที่นี่
ห้องประชุมศัลยกรรมอยู่ถัดจาก OPD เราเข้าไปนั่งคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน หมอเจนปูพื้นภาพใหญ่ของปัจจุบัน และที่วางเป้าหมายต่อไปในอนาคต ทิศทางชัดเจน หมออุ้งบรรยายสรุปรายละเอียดของงาน
หอผู้ป่วยกุมารศัลยกรรมมี 1 หอ อยู่ชั้น 2 เป็นส่วนต่อเติมขวางด้านหัวตึกระหว่างตึก 1-2 ทางทิศตะวันออกของโรงพยาบาล รับคนไข้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด -15 ปี รวม 30 เตียง พื้นที่ใน ward มีพอแค่ 20 เตียง อีก 10 เตียงต้องตั้งที่ระเบียงเป็นการถาวร ครุภัณฑ์การแพทย์ อาทิ ตู้อบทารก เครื่องช่วยหายใจ Bedside Monitor มีพร้อมมูล ทีมพยาบาลแข็งขัน หัวหน้าหอผู้ป่วยเป็นพยาบาลรุ่นแรกที่มาประจำตั้งแต่แยกเป็นหอผู้ป่วยกุมารศัลยกรรมเมื่อปี 2529
ห้องผ่าตัด อยู่ชั้น 3-6 ตึก 50 พรรษาฯ และอีก 2 ชั้นของตึกวิชิต รวมกว่า 20 ห้อง แต่ยังไม่เพียงพอ
ผังรวมของโรงพยาบาล การทุบตึกเก่า การเกิดตึกใหม่ในลักษณะซ้อนไปเรื่อยๆ แรงกดดันจากจำนวนคนไข้และปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่มีพื้นที่เพิ่ม เส้นทางขนส่งคนไข้จาก OPD ไปหอผู้ป่วย จากหอผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด จากห้องผ่าตัดกลับหอผู้ป่วย ซับซ้อน ไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย ยิ่งกว่านั้น หากเกิดเพลิงไหม้ รถดับเพลิงไม่อาจเข้าทำหน้าที่ได้ ด้วยตึกที่ซ้อนกันอย่างแออัด ปิดทางเข้าถึงโดยสิ้นเชิง
การเจรจาขอแลกเปลี่ยนพื้นที่ ในระดับหน่วยงานท้องถิ่น กับส่วนราชการรอบโรงพยาบาล ได้แก่ วิทยาลัยพยาบาล (ด้านทิศตะวันออก) สถานีตำรวจ (ด้านทิศตะวันตก) และวัดสารพัฒนึก (ด้านทิศเหนือ) ไม่บรรลุผล วิกฤตทางภูมิศาสตร์ของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์นี้ เป็นเรื่องใหญ่ เร่งด่วน ท้าทายฝีมือในการแก้ปัญหาระดับกระทรวง
อย่างไรก็ตามในความคับขันทางโครงสร้างกายภาพ แต่บุคลากรกลับเป็นส่วนที่เข้มแข็ง ภารกิจหลักของโรงพยาบาลจึงดำเนินและพัฒนาไปได้อย่างน่านิยม
12.30 น. กินมื้อกลางวันที่ร้านอินโดจีน ร้านอาหารเวียดนามเก่าแก่ เปิดมากว่า 40 ปี
หลังอาหาร แวะไปชมบ้านหมอจิ ถนนพโลรังฤทธิ์
หมอจิสำเร็จการฝึกอบรมกุมารศัลยศาสตร์ มาทำงานที่สรรพสิทธิ์ได้ 4 ปี มีบ้านเดี่ยว 2 ชั้นของตนเอง ในทำเลดีกลางเมือง มีรถส่วนตัวอีก 5 คัน (จักรยาน) นับว่าประสบความสำเร็จ น่ายินดี
14.00 น. เดินทางไปเขื่อนสิรินธร ใช้เวลา 1.15 ชั่วโมง คืนนี้เราพักค้างที่นี่ เจ้าบ้าน 2 คน หมออุ้ง หมอจิ ร่วมคณะไปด้วยกัน
เขื่อนสิรินธร เป็นเขื่อนหินถม แกนดินเหนียว สร้างกั้นลำโดมน้อย ลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล ที่บริเวณแก่งแซน้อย ตำบลนิคมลำโดมน้อย อำเภอสิรินธร (เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอพิบูลมังสาหาร) จังหวัดอุบลราชธานี ตัวเขื่อนสูง 42 เมตร ยาว 940 เมตร สันเขื่อนกว้าง 7.50 เมตร อ่างเก็บน้ำ มีพื้นที่ประมาณ 288 ตารางกิโลเมตร กักเก็บน้ำได้ 1,966.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่ระดับน้ำสูงสุด 142.20 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) โรงไฟฟ้าพลังน้ำมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 3 เครื่อง กำลังผลิตเครื่องละ 12,000 กิโลวัตต์ รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 36,000 กิโลวัตต์
เขื่อนสิรินธร ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2511 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2514 ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ส่วนบริการต่างๆ ของเขื่อนอยู่ริมอ่างเก็บน้ำ ได้แก่ บ้านพัก ห้องประชุม ร้านอาหาร สนามกอล์ฟ สวนและสนามหญ้าโดยรอบตกแต่งงดงาม
สันเขื่อนเป็นที่ที่ควรเดินเล่น ชมความขัดแย้งของสองฝั่ง อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนคือสุสานแห่งป่าไม้เดิมที่จมน้ำตาย คลุมพื้นที่ 288 ตารางกิโลเมตร ฝั่งใต้เขื่อน ลำโดมน้อยกลายเป็นลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ ออกจากโรงไฟฟ้า
แดดร่มลมตก ออกจากเขื่อน ไปยังวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ตามเส้นทางไปช่องเม็ก
วัดภูพร้าวเป็นวัดเก่าของหลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ ศิษย์รุ่นใหญ่ของพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล (2402-2484) ผู้เป็นที่นับถือฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน และพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต (2413-2492) พระอาจารย์ใหญ่สายวัดป่า หลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญเดินทางจากจำปาสักมาพักปักกลดที่ภูพร้าว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 ต่อมาท่านได้ขอบิณฑบาตสถานที่บนภูจากหน่วยทหารและนายอำเภอพิบูลมังสาหารสร้างวัดภูพร้าว ปี พ.ศ. 2510-2511 มีการสำรวจระดับเพื่อสร้างเขื่อนสิรินธร ทางราชการจึงให้ตั้งชื่อวัดเป็น วัดสิรินธรวราราม ปี พ.ศ. 2516 หลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญเดินทางกลับไปวัดภูมะโรง จำปาสัก วัดสิรินธรวรารามทรุดโทรมลงตามกาลเวลา ความทุรกันดาร และขาดการบูรณะ ปี พ.ศ. 2542 หลวงพ่อสีทน กมโล (2493-2549) แห่งวัดภูหล่น ตำบลสงยาง อำเภอศรีเมืองใหม่ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ ได้ขึ้นมาพัฒนาวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว...
สิม (อุโบสถ) ตั้งโดดเด่นบนเนินสูงสุด สร้างตามแบบวัดเชียงทอง หลวงพระบาง ศิลปะล้านช้าง เอกลักษณ์ที่สำคัญ ได้แก่ หลังคาปีกนก ทรงผายกว้างออก ทำให้มองดูเหมือนหลังคาต่ำกว่าปกติ หลังคาซ้อนสามชั้นประดับช่อฟ้า หน้าบันแกะสลักรูปแจกัน ปักดอกบัวตูม พื้นหลังลายก้านขดงดงาม เชิงชายไม้แกะลายกระหนกโดยรอบ ชายคารับด้วยเสากลมมีบัวหัวเสาและตีนเสา เสาทาสีทอง วาดลายเส้นสีดำรูปดอกไม้อ่อนช้อย เสาเรียงแถวเป็นระเบียบฝั่งละ 2 แถว ยกเว้นช่วงกลางเพิ่มอีก 1 แถวรับหลังคาที่เป็น 3 ปีก สิมเปิดโล่งแบบศาลา ไม่มีผนังโดยรอบ ลมโกรกเย็นสบาย พื้นปูกระเบื้องเคลือบขัดเงา สะท้อนแสงทองของอาทิตย์อัสดงอย่างงดงาม สิมยกสูงจากฐานไพที บันไดทางขึ้นขนาบด้วยนาคสามเศียร ลำตัวนาคทอดยาวไปบนกำแพงแก้วรอบสิม บันไดด้านหลังขนาบด้วยนาคสามเศียรเช่นเดียวกัน ด้านหลังสิมหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ผนังสลักลายต้นทอง ทำนองเดียวกับวัดเชียงทองเช่นกัน แต่ที่พิเศษคือต้นทองนี้ตัดเส้นด้วยวัสดุที่ดูดซับ photon จากแสงอาทิตย์ยามตะวันตกดิน และเรืองแสงสีเขียวเมื่อฟ้ามืดสนิท
พระประธานเป็นปางตรัสรู้ ผนังด้านหลังองค์พระแกะเป็นรูปต้นโพธิ์ หน้าพระประธานตั้งรูปถ่ายของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ และหลวงพ่อสีทน กมโล
ที่ฐานไพที ตรงมุมซ้ายด้านหน้า มีอนุสรณ์เจดีย์พระครูกมลภาวนากร (หลวงพ่อสีทน กมโล) ด้านหลังมีเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุหลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ รูปทรงเลียนแบบพระธาตุพนม เจดีย์นี้มองเห็นได้จากฝั่งลาว
เราเดินชื่นชมความงามของวัด และไปนั่งชมผนังด้านหลังพักใหญ่ น่าเสียดายที่ไม่อาจรอดูต้นทองเรืองแสงได้
กลับลงจากภูพร้าว รถแล่นไปยังโขงเจียม สุดชายแดนไทยตรงที่แม่น้ำมูลไหลลงแม่น้ำโขง
กินมื้อค่ำที่ห้องอาหารริมโขง โรงแรมทอแสงโขงเจียม
หลังอาหาร กลับที่พัก บ้านก้องนทีธาร เขื่อนสิรินธร...
เราเปิดวงเสวนายามค่ำ เริ่มด้วยความเป็นไปของอนุสาขา บุคลิกภาพ ชีวทัศน์ และโลกทัศน์ของผู้คน อันก่อร่างจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก จึงให้น่าสังเกตว่าบางคนคงผ่านวัยเด็กอย่างมืดมน (miserably)
ต่อด้วยประวัติศาสตร์ สงครามเวียดนาม สงครามที่ไม่ประกาศในลาว CIA กับทหารรับจ้างไทยในลาว การเมืองการปกครองของไทย ช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความสัมพันธ์วังหลวง วังหน้า
ปิดท้ายด้วยการปฏิบัติงานในระบบราชการ ระเบียบและกฎหมายต่างๆ
ปิดวงเสวนาราว 23.00 น.
เยือนอุบลวันนี้ ถือเป็นการเยี่ยม 'บ้าน' เดิม
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์โตจนล้น หากไม่สามารถขยายพื้นที่ อาจเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่หลวง
ส่วนดีข้อสำคัญที่ยังคงอยู่คือความแข็งขัน เอาการเอางาน และการพัฒนาตนเองของบุคลากร
ลูกศิษย์ 3 คน ความรู้ ทักษะ เจตคติ สมบูรณ์แบบ ความรับผิดชอบสูง น่าภาคภูมิใจ
การนำองค์กรในระบบราชการสำคัญยิ่ง ผู้นำที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดสามัญสำนึก ทำให้องค์กรเสียหาย เสียเวลา เสียโอกาส และส่งผลเสียระยะยาวเกินกว่าวาระของผู้นำนั้น
ข้อมูลค้นจาก
th.wikipedia.org
ศรัณย์ บุญประเสริฐ. หลวงพระบาง. สำนักพิมพ์สารคดี. 2549.
ทดสอบค่ะ
ReplyDeleteหายหมดที่เขียนมาทั้งหมดทั้งมวล ไม่อยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทะเลาะกับตัวเองไปเรื่อยๆแบบนี้ละ...อยากบอกว่าได้อ่านแล้วชอบมาก..ชอบตรงไหน...ชอบตรงที่เรื่องราวมีความเป็นธรรมชาติ เป็นกันเอง ใช้ชื่อเล่นที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นญาติมิตรมากกว่าเป็นสถานะครูแลศิษย์...มันอิ่มใจ อิ่มลึก..ได้อารมณ์ทุกมุมที่เขียน โดยเฉพาะความฝังใจประทับใจในอดีตของชีวิตเริ่มในการเป็นครอบครัว...หอพักครอบครัว..นับเป็นทริปที่มีคุณค่าทางจิตใจทั้งทีมเหย้าและทีมเยือนเลยค่ะ...ขอบคุณจริงๆจากใจที่ให้เราได้รู้จักโรงพยาบาลสรรพประสิทธิประสงค์ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
ReplyDeleteเย้...สำเร็จแล้ว...ดีใจจัง
ReplyDeleteมีโอกาสมาอ่านใหม่ระหว่างรอพบแพทย์แทนแม่ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ความรู้ลึกละเอียดของเขื่อนสิรินธร วัดภูพร้าว และสิม ซึ่งรอบแรกผ่านไปโดยเนื้อหาเก็บภาพรวม ขอบคุณที่ค้นคว้ารายละเอียดของสถานที่และสาระสำคัญต่างๆมาให้อ่านอย่างเต็มอิ่มเลยค่ะ
ReplyDeleteอ่านแล้วใจสั่นด้วยความตื้นตันใจ
ReplyDeleteยังประทับใจบรรยากาศและบทสนทนายามค่ำคืนนั้นอย่างมากค่ะ หวังว่าจะได้มีโอกาสร่วมวงสนทนานั้นอีกครั้งค่ะ