January 19, 2015

Vietnam on Foot: Da Nang: 28.12.2014

หยุดปีใหม่หลายวัน ไปเดินเที่ยวสองคนกับลูกชาย ที่เวียดนามกลาง
เราบินจากกรุงเทพฯ เข้า Ho Chi Minh City (ชื่อเดิม: Saigon) ต่อเครื่องไป Da Nang ถึงตอนค่ำ คืนวาน
พยากรณ์อากาศวันนี้ ฝนตกทั้งวัน เสื้อฝนและร่มจำเป็นอย่างยิ่ง

Da Nang เมืองใหญ่อันดับห้าของเวียดนาม
อากาศเย็นสบาย ฝนตกพรำตลอดวัน
11.00 น. เดินจากที่พัก ชมบ้านเมือง ถนนรนแคม ไป Cham Museum ระยะทางราว 700 เมตร

อาณาจักรจามปา (Kingdom of Champa) ตั้งอยู่ตอนกลางของเวียดนามปัจจุบันมาแต่ทศวรรษ 600 ได้รับอิทธิพลอินเดีย ศิลปะ โบราณสถาน ที่คงอยู่ถึงปัจจุบันปรากฏในงานประติมากรรมหินทรายและปราสาทหิน แบบฮินดู อาทิ ภาพสลักพระศิวะ พระพรหม พระวิษณุ จารึกใช้ภาษาสันสกฤต จามปารุ่งเรืองสูงสุดช่วงศตวรรษที่ 9-10 แต่ภายหลังต้องกรำศึกสงครามกับอาณาจักรไดเวียด (Dai Viet) ทางทิศเหนือ และอาณาจักรขอม (Khmer) ทางทิศใต้อย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1145 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด เข้ายึดครองเมืองหลวงได้ แต่ต่อมาชาวจามรวมตัวกัน จัดกองทัพยกมาตีเอาเมืองหลวงคืนเมื่อ ค.ศ. 1149 ในปี ค.ศ. 1177 กองทัพเรือจามปาเข้าโจมตี เผาทำลายเมืองพระนครของขอมเสียหายยับเยิน อำนาจอาณาจักรขอมเสื่อมไประยะหนึ่ง จนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้ทำสงครามปราบกษัตริย์จามปาสำเร็จ จารึกเป็นภาพสลักยุทธนาวีกับกองทัพจาม ณ ปราสาทนครธม และได้ผนวกอาณาจักรจามปาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอม ต่อมาเมื่ออาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจลง ชาวจามสามารถรวมตัวกันปลดแอกจากอาณาจักรขอมได้สำเร็จ
    ค.ศ. 1471 กษัตริย์เลถั่นตอง (Le Thanh Tong) แห่งไดเวียดส่งทัพตีเมืองหลวงวิชัย (Vijaya) ของจามปาแตกยับเยิน ชาวจาม 40,000 คนถูกตัดหัว อีก 30,000 คนถูกกวาดต้อนไป นับเป็นการสิ้นสุดของอาณาจักรฮินดูทางขอบตะวันออกของอุษาคเนย์ที่ดำรงมา 1,100 ปี กระทั่งที่สุด ค.ศ. 1832 จักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Minh Mang) ได้ผนวกดินแดนส่วนที่เหลือของจามปาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนาม กลืนชาวจามจนกลายเป็นชนกลุ่มน้อย     
    ในไทยมีชาวจามทยอยเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนหนึ่งถูกกวาดต้อนมาจากดินแดนของตัวเองตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และตั้งถิ่นฐานอยู่ปริมณฑลของนครธม เมื่อนครธมถูกเจ้าสามพระยาโจมตี จึงถูกกวาดต้อนมาอยู่อยุธยา ในช่วงสงครามคราวเสียกรุงครั้งที่สอง ชุมชนชาวจามนี้ก็เป็นกำลังส่วนหนึ่งในการสู้รบกับการรุกรานของพม่า ชาวจามที่เหลือรอดได้เข้าสวามิภักดิ์กับพระเจ้ากรุงธนบุรี และได้ตั้งถิ่นฐานที่บ้านครัว ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี มีการรุกรานเขมรและกวาดต้อนครัวจามมาเพิ่มเติมอีก
    ในสงคราม 9 ทัพ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้มีการเกณฑ์เชลยศึกกองทัพอาสาจามไปต่อสู้กับพม่าจนได้รับชัยชนะ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินผืนหนึ่ง เพื่อให้ทำมาหากินอยู่รวมกันเป็นหมู่นอกเขตพระนคร โดยมีต้นไม้ใหญ่เป็นแนวเขต และมีร่องน้ำลำกระโดงตามธรรมชาติไหลผ่านริมคลองมหานาคและคลองแสนแสบ คือชุมชนบ้านครัว
    สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บ้านครัวเป็นแหล่งที่อยู่ของขุนนางและทหารเรือกรมอาสาจาม ภายใต้การนำของพระยาราชวังสัน (บัว) ชาวบ้านครัวมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง หญิงชาวจามมีความชำนาญในการทอผ้าไหม เพราะตามประเพณีดั้งเดิมของชาวจามจะทอผ้าเอาไว้ใช้เองในครอบครัว
    จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีผู้อพยพชาวจามเข้ามามากที่สุดอีกช่วงหนึ่ง คือเมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดครองกัมพูชา บังคับห้ามนับถือศาสนาอิสลาม ชาวจามที่ภายหลังหันมานับถือศาสนาอิสลามจึงเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทย กลุ่มหนึ่งลงเรือมาขึ้นปากอ่าวลำคลองท่าตะเภา และปากอ่าวคลองน้ำเชี่ยว อยู่ตำบลน้ำเชี่ยว อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด อีกกลุ่มขึ้นปากน้ำระยอง และกลุ่มที่สามไปถึงกรุงเทพฯ กลุ่มนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานที่ดินให้อยู่ที่บ้านครัว

Cham Museum
    สร้างเมื่อปี 1915 ในสมัยที่ฝรั่งเศสยึดครองอินโดจีนเป็นอาณานิคม จัดแสดงประติมากรรมกว่า 300 ชิ้น สลักจากหินทราย ดินเผา และสำริด เป็นศิลปวัตถุจากอาณาจักรจามปาซึ่งนับถือศาสนาฮินดู ประติมากรรมเกือบทั้งหมดถูกตัด ถูกยกมาจากโบราณสถานของจามปา อาทิ Tra Kieu (เดิมคือเมือง Simhapura) และ My Son (กลุ่มปราสาทศาสนสถานหินทรายขนาดใหญ่ อายุ 1,500 ปี อยู่ห่าง 45 กิโลเมตรทางทิศตะวันตกของ Hoi An)
    ประติมากรรมสำคัญที่มีชื่อเสียงได้แก่
    Tra Kieu Dancer รูปนางอัปสรร่ายรำท่วงท่าต่างๆ
    Tra Kieu Pedestal ประดับรอบด้วยภาพสลักของพระกฤษณะ
    Pedestal from My Son E1
    พระพิฆเนศ ครุฑ นาค สิงห์ วานร ช้าง
    ประติมากรรมสำแดงการเจริญพันธุ์ เช่น ศิวลึงค์ แท่นบูชามีถันประดับรอบ
ภายนอกอาคาร Cham Museum ปลูกต้นไม้ประดับร่มรื่น ต้นลั่นทมหลายต้นเสริมความเก่าแก่ของพิพิธภัณฑ์ ตัวอาคารทรงเก่างดงาม ห้องจัดแสดงกว้างขวาง เพดานสูง หน้าต่างบานโตสูง สิ่งแสดงหลายชิ้นขนาดมหึมาด้วยตัดออกจากปราสาทศาสนสถานทั้งส่วน น่าเสียดาย หากสิ่งแสดงเหล่านี้ยังคงอยู่ในที่เดิม ณ โบราณสถานต่างๆ ย่อมทรงคุณค่ากว่ามาก

ออกจาก Cham Museum เดินต่อไปริมแม่น้ำ Han ทางเดินริมน้ำกว้างขวางทอดยาว ไร้สิ่งกีดขวาง ไม่มีเพิงอาหารตามสั่ง ไม่มีต้นทางรถเมล์ ไม่มีคิวรถเกะกะ ทิวทัศน์ของแม่น้ำจึงไม่ถูกบดบัง แม้ฟ้ามัว ขมุกขมัว แต่ยังสามารถชื่นชมความงามของแม่น้ำ สะพานมังกรอยู่ตรงหน้า ค่อยๆ เดินเลียบน้ำไปเรื่อยๆ ผ่อนคลาย พักใหญ่ จึงเดินกลับที่พัก

บ่ายคล้อย นั่งแท็กซี่ไปสถานีรถไฟ Da Nang จองตั๋ว Da Nang - Hue สำหรับวันที่ 30 ธันวาคม เที่ยว 14.13 น. จากนั้นนั่งแท็กซี่ไปชม Da Nang Beach

แท็กซี่เวียดนามเป็นที่กล่าวขานว่าเรียกค่าโดยสารสูงเกินควร ไม่ยอมใช้มิเตอร์ หรือหากใช้ มิเตอร์นั้นก็เดินเร็วกว่าที่ควร ยกเว้นแท็กซี่ 2 บริษัทที่เชื่อถือได้ คนขับสุภาพ แต่งเครื่องแบบสะอาดเรียบร้อย มิเตอร์เดินถูกต้อง ค่าโดยสารมีหลายอัตราขึ้นกับขนาดรถ สองบริษัทนี้ คือ Mai Linh รถสีเขียว และ Vinasun รถสีขาว

Da Nang ตั้งอยู่ด้านตะวันออกริมฝั่งทะเลจีนใต้ ประกอบด้วย Bay of Da Nang, Son Tra Peninsula และ Da Nang Beach ซึ่งทอดยาวเหยียด แท็กซี่พาไปถึงริมหาด เราลงไปเดินเล่น ฝนยังตกพรำ ลมทะเลพัดรุนแรง คลื่นสูงซัดเข้าฝั่งแตกฟองขาวต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวเล่นคลื่นอยู่ 4-5 คน สาวสวยวิ่งท้าลมไปตามชายหาด อากาศแบบนี้นี่เอง ราคาห้องโรงแรมริมหาดจึงถูกมากเมื่อตอนเราหาที่พักผ่าน internet แม้คลื่นลมธรรมชาติกราดเกรี้ยว แต่กลับรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ผมปล่อยความคิดย้อนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์...

8 มีนาคม 1965 นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา 2 กองพัน ยกพลขึ้นบกที่นี่ Da Nang Beach เป็นจุดเริ่มต้นการรบภาคพื้นดินของอเมริกันในสงครามเวียดนาม สงครามซึ่งคนเวียดนามเรียกว่า American War of Aggression ฤดูใบไม้ผลิปีนั้น กำลังพลอเมริกันไหลบ่าเข้าไปถึง 72,000 นาย และอีก 3 ปีถัดมา กำลังพลเพิ่มเป็นกว่าครึ่งล้านนาย สงครามยืดเยื้อกว่า 10 ปี ล้างผลาญชีวิตคนเวียดนามไป 3 ล้านคน จำนวนนี้เป็นพลเรือน 2 ล้านคน ส่วนทหารอเมริกันเสียชีวิตไปกว่า 5 หมื่นนาย
    ข้ออ้างสำคัญในการก่อสงครามนี้คือทฤษฎีโดมิโน (The Domino Theory) ซึ่งเสนอโดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Harry S. Truman เมื่อ Ho Chi Minh ประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในวันที่ 2 กันยายน 1945 ณ จัตุรัส Ba Dinh กรุง Hanoi ต่อหน้าฝูงชนกว่า 400,000 คน
    สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนฝรั่งเศสที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลกครั้งที่สองและกลับเข้ามายึดครองอินโดจีนต่อ อันนำไปสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและสร้างรายได้มหาศาลให้สหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นแรงจูงใจสำคัญ ดังนั้นกว่าร้อยละ 80 ของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฝรั่งเศสใช้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งนี้ จึงมาจากสหรัฐอเมริกา
    7 พฤษภาคม 1954 นายพล Vo Nguyen Giap นำกำลังทหาร Viet Minh 55,000 นาย โจมตีที่มั่นสุดท้ายของฝรั่งเศสซึ่งเหลือกำลังพล 16,000 นาย ที่ Dien Bien Phu ภายหลังปิดล้อมอยู่ 55 วัน การรบนองเลือดเบ็ดเสร็จ ฝรั่งเศสต้องยอมจำนน ปิดฉากการเป็นเจ้าอาณานิคมอินโดจีนที่ดำรงมากว่า 100 ปี และนำสู่การเจรจาสันติภาพที่ Geneva ในวันรุ่งขึ้น
    ความปราชัยของฝรั่งเศสทำให้ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ประกาศว่านี่เป็น 'falling domino' สำทับการเข้าแทรกแซงเต็มรูปแบบของสหรัฐอเมริกา สวมรอยฝรั่งเศสที่จำต้องถอนตัวออกไปจากอินโดจีน
    Geneva Accords ไม่ยินยอมให้ Viet Minh รวมประเทศ แต่ให้แบ่งเวียดนามเป็นเหนือและใต้ที่เส้นขนานที่ 17 ให้จัดการเลือกตั้งทั่วประเทศในอีก 2 ปีถัดไปเพื่อการรวมประเทศ แต่การเลือกตั้งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น
    สหรัฐอเมริกาเลือกไม่ลงนามรับรอง Geneva Accords เพื่อที่ตนจะไม่ต้องผูกพันปฏิบัติตามข้อตกลง รัฐบาลจักรพรรดิ์ Bao Dai ไม่ลงนามรับรองเช่นกัน และแต่งตั้ง Ngo Dinh Diem (1901-1963) ตามเสนอของสหรัฐอเมริกาเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเวียดนามใต้
    Ngo Dinh Diem สั่งยกเลิกไม่ให้มีการเลือกตั้งในปี 1956 ด้วยคาดหมายว่า Ho Chi Minh จะได้รับชัยชนะ เขาแต่งตั้ง Ngo Dinh Nhu น้องชายเป็นมือขวา กวาดล้างฝ่ายคอมมิวนิสต์ ย้ายชาวนาจากถิ่นอาศัยเดิมไปอยู่ใน 'agrovilles' เพื่อป้องกันการเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้าม จำกัดเสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม ประกาศให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองผิดกฎหมาย สนับสนุนชาวคาธอลิก และข่มเหงชาวพุทธ
    ปี 1959 Le Duan เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะปฏิวัติฝ่ายใต้ จึงก่อสร้างทาง Ho Chi Minh Trail จากตอนเหนือผ่านขุนเขาของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เพื่อใช้ลำเลียงกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์สู่ฝ่ายใต้ ปี 1960 กองกำลังต่อต้าน Diem ถูกจัดตั้งขึ้นในชื่อ The National Liberation Front (NLF) หรือ Viet Cong
    ฤดูใบไม้ผลิปี 1963 ฝ่ายพุทธรวมตัวต่อต้าน Diem การประท้วงรุนแรงและเป็นที่สนใจไปทั่วโลกภายหลังพระภิกษุ Thich Quang Duc จากวัด Thien Mu แห่งเมือง Hue จุดไฟเผาตัว กลางสี่แยกในกรุง Saigon เดือนพฤศจิกายน ฝ่ายทหารทำรัฐประหารโดยความเห็นชอบจากสหรัฐอเมริกา สังหาร Ngo Dinh Diem และ Ngo Dinh Nhu
    รัฐบาล Diem ล้มไป แต่สหรัฐอเมริกายังคงยึดเวียดนามใต้และทฤษฎีโดมิโน การสร้างสถานการณ์ปะทะกันระหว่างเรือพิฆาต USS Maddox กับเรือตอร์ปิโด 3 ลำของเวียดนามเหนือที่อ่าวตังเกี๋ยในวันที่ 2 สิงหาคม 1964 และรายงานเท็จว่ามีการปะทะกันอีกในวันที่ 4 สิงหาคม 1964 (The Gulf of Tonkin Incident) ทำให้สภาคองเกรสให้อำนาจเต็มที่แก่ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson ในการจัดการทางทหารต่อเวียดนาม นายพล William Westmoreland สั่งเคลื่อนพลเพื่อปกป้องฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกาในเวียดนามใต้ นาวิกโยธินระลอกแรกจำนวน 2 กองพันจึงยกพลขึ้นบกที่ Da Nang Beach เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 1965...

เดินเที่ยวเวียดนามวันนี้ ได้ชมพิพิธภัณฑ์เก่าแก่อายุ 100 ปี สิ่งแสดงจากอาณาจักรที่ล่มสลายไปนานกว่าครึ่งสหัสวรรษ ได้ชื่นชมชายหาดที่งดงามริมทะเลจีนใต้ ซึ่ง 50 ปีก่อนเคยเป็นทางเข้าของกองทัพมหาอำนาจในการทำสงครามกับเจ้าของบ้าน เพียงวันแรกก็ต้องทบทวนประวัติศาสตร์อย่างมาก เพื่อความเข้าใจปัจจุบัน

ข้อมูลค้นจาก
    Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
    wikipedia.org
    th.wikipedia.org
    wikitravel.org

No comments:

Post a Comment