วันนี้ อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าโปร่ง
11.00 น. นั่งรถเมล์เย็นไปลงหน้าวัดพระแก้ว นักท่องเที่ยวแน่นขนัด ออตรงทางเข้าและภายในวัดพระแก้ว
ผมเดินเลาะไปตามถนนหน้าพระลาน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนมหาราช ด้านซ้ายคือกำแพงพระบรมมหาราชวัง ด้านขวาเปิดโล่ง พื้นที่ราชนาวี เลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านท่าราชวรดิษฐ์ ถึงท่าเตียน ตรงมุมถนนมหาราช ตัดกับถนนท้ายวัง เลยไปทางด้านซ้ายคือวัดพระเชตุพนฯ ด้านขวาเป็นตึกแถวเก่าตลาดท่าเตียน กำลังบูรณะทั้งแถว เดินลำบาก คาดว่าเมื่อบูรณะเสร็จ ร้านค้าแบบเก่าคงไม่เหลือให้เห็น แต่จะมีร้านกาแฟ ร้านขนมยี่ห้อข้ามชาติมาแทน เพื่อบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ผมเลี้ยวขวาเข้าท่าโรงโม่ ท่าเรือข้ามฟากวัดโพธิ์-วัดอรุณ ลงเรือไปวัดอรุณฯ
เรือท่องเที่ยวแล่นขวักไขว่ในแม่น้ำเจ้าพระยา เสียงมัคคุเทศก์ผ่านไมค์ส่งภาษาจีนกลางทุกลำ สำเนียงชัดทำให้เข้าใจว่ามัคคุเทศก์เหล่านี้ไม่ใช่คนไทย เราไม่มีกฎหมายบังคับเรื่องทำนองนี้เช่นบ้านเมืองอื่น
ลมเย็นสบาย เรือแล่นข้ามฟาก ครู่เดียวก็ถึงท่าวัดอรุณฯ
วัดอรุณราชวราราม พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เหนือพระราชวังเดิม เป็นวัดโบราณสร้างแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกวัดมะกอก แล้วเปลี่ยนเป็นวัดมะกอกนอก ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้ง
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับนั้น ทรงเอาที่ข้างฝั่งตะวันตกของป้อมวิชัยประสิทธิ์เป็นที่ตั้งพระราชวัง แล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์สมัยอยุธยา ทรงปฏิสังขรณ์พระอุโบสถเก่าเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์เมื่อ พ.ศ. 2322
สมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้ทรงสร้างพระอุโบสถใหม่ มาสำเร็จในปี พ.ศ. 2363 เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 2 แล้ว โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดว่า วัดอรุณราชธาราม ภายหลังเปลี่ยนเป็น วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2
รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระปรางค์เป็นยอดมงกุฎ มีฐานกลมโดยรอบ 243 เมตร สูง 81 เมตร ทรงปฏิสังขรณ์ทั่วพระอารามจนสำเร็จ
รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างมณฑปเพิ่มเติม
ในปี พ.ศ. 2438 เกิดเพลิงไหม้พระอุโบสถ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถใหม่เกือบทั้งหมด ได้จัดงานฉลองพระอุโบสถพร้อมงานพระราชพิธีทวีธาภิเษก เงินที่เหลือจากการบริจาคของพระบรมวงศานุวงศ์โปรดเกล้าฯ ให้นำไปสร้างโรงเรียนภายในวัด ชื่อโรงเรียนทวีธาภิเษก
ในปี พ.ศ. 2452 โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมพระปรางค์และอื่นๆ ภายในวัด ทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร และเสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐินด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคเป็นครั้งแรก
ศาลาท่าน้ำ
อยู่หน้าพระอุโบสถ บนลานริมน้ำมีสวนหินจัดไว้งดงาม มีศิลาสลักจากเมืองจีนเป็นรูปทหารถืออาวุธ รูปครุฑ รูปกินรี และพระบรมรูปรัชกาลที่ 2
พระอุโบสถ
ของเดิมสร้างสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นศิลปะอยุธยาตอนปลาย ภายหลังแก้รูปทรงเพรียวขึ้น มีเสารับชายคาโบสถ์เป็นเสาเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง บัวหัวเสากลีบยาว ลงรักปิดทอง โคนเสามีฐาน
รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เสริมซุ้มรูปบุษบกยอดปรางค์ขึ้นที่มุขหน้า เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 2 และมุขหลังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4
รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างบุษบกต่อ เมื่อเกิดเพลิงไหม้โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะครั้งใหญ่
ตัวพระอุโบสถก่ออิฐถือปูน ติดช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันจำหลักลายทองประดับกระจก ผนังภายในพระอุโบสถมีภาพระบายสี ลงทองอย่างวิจิตร ผนังระหว่างช่องหน้าต่างทั้งด้านเหนือและด้านใต้เขียนภาพเรื่องทศชาติ เหนือหน้าต่างขึ้นไปด้านเหนือ ด้านตะวันออก และด้านตะวันตกเขียนภาพพุทธประวัติ ส่วนด้านใต้เขียนภาพพระเวสสันดร บานประตูหน้าต่างด้านในเขียนภาพและลวดลายด้วยรักสีต่างๆ ตัดเส้นเดินทองสลับสีสวยสด ภาพเหล่านี้ถูกทำลายเสียหายไปมากเมื่อคราวไฟไหม้ ในการบูรณะโปรดเกล้าฯ ให้เขียนขึ้นใหม่โดยพยายามรักษาเค้าเดิมไว้
ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐานพระประธานคือ พระพุทธธรณิศรราชโลกนาถดิลก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2 เมตร หล่อสมัยรัชกาลที่ 2 กล่าวกันว่าพระพักตร์เป็นฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 2 ทรงปั้นหุ่นเอง ในพระพุทธอาสน์บรรจุพระบรมอัฐิรัชกาลที่ 2 ตรงกลางมีรูปครุฑ อยู่ในอุณาโลม กลางผ้าทิพย์
ภายนอกพระอุโบสถด้านหน้าตรงมุข มีบุษบกประดิษฐานอยู่กลางระหว่างประตูทั้งสองข้าง ตัวบุษบกจำหลักลายวิจิตรปิดทองประดับกระจก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปนฤมิต พระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 2 เป็นพระยืนทรงเครื่องปิดทอง พระพุทธลักษณะงดงาม รัชกาลที่ 4 ได้ทรงสร้างจำลองพระพุทธรูปฉลองพระองค์ในหอพระสุลาไลยพิมาน โดยมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่บุษบกนั้น แต่ยังหาได้อัญเชิญไปไม่ จนถึงรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานเมื่อ พ.ศ. 2438
ด้านหน้าพระอุโบสถ หน้าประตูทางเข้าซึ่งทำเป็นยอดซุ้มทรงมงกุฎลายปูนปั้น มียักษ์ 2 ตน เฝ้าอยู่ ยักษ์สีขาวชื่อ สหัสเดชะ สีเขียวชื่อ ทศกัณฐ์ ทำด้วยปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสีต่างๆ ลักษณะท่าทางเหมือนยักษ์วัดพระแก้ว ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 3
พระวิหารคต
อยู่ล้อมรอบพระอุโบสถทั้ง 4 ด้าน สร้างในสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นอาคารยาวก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ประดับช่อฟ้า ใบระกา ภายในพระวิหารคตประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย เรียงรายอยู่เป็นระยะโดยรอบ ลายเขียนที่ผนังเป็นฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 2 มีประตูเข้าออก 4 ด้าน รูปทรงกะทัดรัด ตรงมุมสร้างหลังคาให้เห็นเป็นพิเศษ เสาทุกต้นย่อมุมไม้สิบสอง บัวหัวเสาปิดทองสวยงาม ระหว่างเสามีรูปศิลาสลักเป็นคนขี่ม้า ควาย และสัตว์ต่างๆ ฝีมือช่างจีน เรียงรายรอบพระวิหารคต
พระมณฑปพระพุทธบาท
รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้จำลองพระพุทธบาทมาประดิษฐานไว้ ตัวพระมณฑปประดับกระเบื้องเคลือบทำเป็นลวดลายดอกไม้ทุกด้าน ระเบียงตกแต่งด้วยเครื่องถ้วย พระมณฑปตั้งอยู่ระหว่างพระอุโบสถและพระวิหาร
พระวิหาร
เป็นอาคารที่ปฏิสังขรณ์จากของเดิมครั้งกรุงธนบุรี และสร้างใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 2 รูปทรงเป็นอย่างเดียวกับพระอุโบสถ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ประดับกระเบื้องเคลือบลายดอกไม้ร่วงที่ผนังภายนอกให้เหมือนกับพระอุโบสถ
ภายในพระวิหาร ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์ คือ พระประธานชื่อ พระพุทธชัมภูนุทมหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิธ หล่อด้วยทองแดง หน้าตักกว้าง 3 เมตร บนพระเศียรบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนองค์เล็กประดิษฐานอยู่ข้างหน้าคือ พระอรุณ ชาวบ้านเรียก พระแจ้ง เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง หล่อด้วยสำริด หน้าตักกว้าง 50 ซม. องค์พระกับผ้าครองหล่อสีต่างกัน รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทน์ เมื่อ พ.ศ. 2401 ด้วยพระพุทธรูปองค์นี้มีพระนามตรงกับชื่อวัด
พระปรางค์
เป็นโบราณสถานที่สำคัญที่สุดของวัด เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ เป็นที่รู้จักทั่วโลก แม้กำลังบูรณะขนานใหญ่ นั่งร้านเกะกะ บันไดขึ้นถูกปิดหลายด้าน แต่พระปรางค์ยังคงความยิ่งใหญ่งดงาม
รัชกาลที่ 2 ทรงพระราชปรารภที่จะสถาปนาพระปรางค์เดิมซึ่งสูงเพียง 16 เมตร ให้งดงามเป็นศรีสง่าแก่พระนคร แต่เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ลงมือขุดรากก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน
รัชกาลที่ 3 โปรดให้ดำเนินการสถาปนาต่อจนเสร็จ ยกยอดนภศูล แต่ยังมิได้ฉลอง ก็เสด็จสวรรคต
รัชกาลที่ 4 ทรงสถาปนาต่อเติมจนสำเร็จบริบูรณ์
พระปรางค์วัดรอบฐาน 243 เมตร สูง 81 เมตร มีปรางค์เล็กและมณฑปทั้ง 4 ทิศ บนยอดพระปรางค์มีพระมหามงกุฎ นภศูล ปิดทอง พระมหามงกุฎนั้นเดิมสร้างเพื่อถวายพระประธานวัดนางนอง เมื่อจะยกนภศูล รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้นำมาต่อสวมยอดนภศูล เพื่อเป็นนิมิตแก่มหาชนว่า 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' ทรงเป็นรัชทายาท
พื้นฐานมีตุ๊กตาจีนสลักด้วยศิลาเป็นรูปคนและสัตว์ ประดับเรียงรายรอบองค์พระปรางค์ กำแพงด้านตะวันออกมี 3 ประตู ด้านตะวันตกมี 2 ประตู ซุ้มประตูทั้งห้า ประดิษฐ์เป็นลายรูปพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5
พื้นฐานทักษิณมี 4 ชั้น แต่ละชั้นมีกำแพงแก้วกั้นรอบ
ฐานทักษิณชั้นที่หนึ่ง มีพระปรางค์เล็ก 4 ทิศ เป็นเครื่องประดับพระปรางค์องค์ใหญ่ ภายในซุ้มมีรูปพระพายทรงม้าขาว เชิงบาตรมีรูปยักษ์และกระบี่แบกสลับกัน ในซุ้มล่างบรรจุตัวกินนรปูนปั้นติดผนังโดยรอบ
ฐานทักษิณชั้นที่สอง มีมณฑป 4 ทิศ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป
มณฑปทิศเหนือ ตั้งพระพุทธรูปปางประสูติ ทำเป็นรูปพระนางสิริมหามายาประทับยืนเหนี่ยวกิ่งสาละ มีรูปพระพุทธองค์แรกประสูติประทับยืนบนดอกบัวชูนิ้วชี้ขวาขึ้น เป็นสัญลักษณ์ประกาศความเป็นเอกอัครมหาบุรุษของพระองค์
มณฑปทิศตะวันออก ตั้งพระพุทธรูปปางตรัสรู้ มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ 3 องค์ องค์กลางเป็นพระนาคปรก องค์ริมเป็นพระมารวิชัยใต้ร่มโพธิ์และร่มไทรด้านละองค์
มณฑปทิศใต้ ตั้งพระพุทธรูปปางเทศนา มีรูปพระปัญจวัคคีย์นั่งประนมมือ
มณฑปทิศตะวันตก ตั้งพระพุทธรูปปางปรินิพพาน มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์อยู่ระหว่างไม้สาละคู่ มีพระภิกษุนั่งเฝ้าอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์
ฐานทักษิณชั้นที่สาม องค์ปรางค์ชั้นบนประดับซุ้มรูปกินนร เหนือซุ้มเชิงบาตรเป็นรูปกระบี่แบกโดยรอบ
ฐานทักษิณชั้นที่สี่ ชั้นสูงสุด เหนือซุ้มเชิงบาตรเป็นรูปพรหมแบกโดยรอบ องค์พระปรางค์ที่ซุ้มคูหายื่นออกมาเป็นจตุรมุขทั้ง 4 ด้าน ทำยอดเป็นปรางค์เล็กๆ ภายในประดิษฐานรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เชิงบาตรเหนือซุ้มเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ
ฐานทักษิณทั้ง 4 ชั้น มีบันไดขึ้นถึงตลอดทุกชั้น บันไดสูงชัน ท้าชวนให้ขึ้นชมความงาม ละเอียด ประณีตของพระปรางค์อย่างใกล้ชิด
องค์พระปรางค์ใหญ่ พระปรางค์เล็ก มณฑป ซุ้ม กำแพงแก้ว ทุกส่วนประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบลวดลายสีต่างๆ อย่างประณีตบรรจง บางชิ้นเป็นรูปลายกระหนก บางส่วนทำเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนำมาประดับเป็นลายดอกไม้ต่างๆ บางดอกใช้กระเบื้องเคลือบธรรมดา บางดอกใช้กระเบื้องเคลือบสลับเปลือกหอย บางดอกใช้กระเบื้องเคลือบจานชามลวดลายงามๆ แบบเก่า เช่น ชามเบญจรงค์ซึ่งหายาก ศิลปะการเอาชิ้นกระเบื้องสีมาปะติดปะต่อเป็นรูปต่างๆ อย่างนี้มีมาแต่ครั้งรัชกาลที่ 3
พระวิหารน้อย
มี 2 หลัง อยู่หน้าพระปรางค์ ฝีมือช่างกรุงธนบุรี
หลังเหนือ เป็นพระอุโบสถของวัดมาแต่ก่อน มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆ บนฐานชุกชี นอกจากนี้ยังมีพระแท่นบรรทมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทำด้วยไม้กระดานแผ่นเดียว กว้างประมาณ 167 ซม. ภายในพระวิหารน้อยนี้ตกแต่งแบบจีน
หลังใต้ เป็นพระวิหารเดิม ขณะนี้ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจุฬามณี ที่บานประตูมีรูปเขียนลงรักปิดทอง เป็นทหารใส่หมวกถือปืน ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 5
หอระฆัง
ตั้งอยู่หลังพระวิหาร ก่อแบบจีน ลักษณะทรวดทรงงดงาม
พระราชวังเดิม
รั้วด้านทิศใต้ของวัด มีประตูเปิดเข้าพระราชวังเดิมที่อยู่ติดกันได้ แต่ทหารเรือประจำประตูไม่อนุญาตให้ผ่าน ไม่อนุญาตให้ชมพระราชวังเดิม
วัดอรุณราชวรารามเป็นโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ ชัยภูมิริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งให้พระปรางค์ใหญ่โดดเด่น งดงาม และเป็น silhouette ยามอาทิตย์อัสดงที่น่าประทับใจทุกวัน
การตกแต่งประดับด้วยกระเบื้องเคลือบหลากหลายวิธี แต่ละชิ้นงานละเอียด และสร้างงานศิลปะอย่างอิสระ น่านิยม
ค่ารถไปกลับ 29.50 บาท
ค่าเรือข้ามฟากไปกลับ 6.00 บาท
ข้อมูลค้นจาก
นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
th.wikipedia.org
watarun.org
เดินเท้าวันนี้พาเดิน ข้ามน้ำด้วยเรือข้ามฟาก ทำให้คิดถึงสมัยเรียนที่ต้องข้ามฟากไปมา ลมเย็นที่ผ่านผิวน้ำยังฉ่ำใจไม่หายเลย.. วัดอรุณราชวรารามคงความสวยงามอยู่นานนิรันดร์จริงๆ อ่านเรื่องราวตั้งแต่เริ่มเดินเท้า จนกลับได้รับความรู้มากมาย คิดถึงตำนานที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า ยักษ์วัดโพธิ์ ตีกับยักษ์วัดแจ้งจนเกิดเป็นท่าเตียน...
ReplyDeleteขอบคุณที่นำพาเที่ยววัดหลวงที่ทรงคุณค่าและงดงามตลอดกาล