January 25, 2015

Vietnam on Foot: Hoi An: 29.12.2014

วันนี้อากาศเย็นลงมาก เมฆครึ้ม แต่ไม่มีฝน
หลังอาหารเช้า ออกไปเดินเล่นริมแม่น้ำ Han ท้องฟ้าปลอดโปร่งกว่าวานนี้มาก เราไปจนถึงที่ทำการไปรษณีย์ใกล้สะพานข้ามแม่น้ำ แวะชมและซื้อแสตมป์สวยๆ ส่งโปสการ์ดกลับเมืองไทย

เดินกลับที่พัก check-out ไปรอรถโดยสาร Da Nang - Hoi An ป้ายจอดรถอยู่หน้าโบสถ์ Sacred Heart Cathedral ซึ่งเป็น cathedral ของ Diocese of Da Nang ห่างจากที่พักเพียงหนึ่งบล็อค มีเวลาแวะเข้าไปเดินเล่น ชมโบสถ์ และ Bishop's House ครู่หนึ่ง

บนรถโดยสาร คนเดินทางส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น นักท่องเที่ยวมีชาวฝรั่งเศสชายหญิง 1 คู่ ญี่ปุ่นชายหญิง 1 คู่ และชาวไทยพ่อลูก 1 คู่ บรรยากาศถ้อยทีถ้อยอาศัย ใช้เวลา 1 ชั่วโมง รถก็เข้าจอดที่สถานีรถ Hoi An ลงจากรถ มองหารถแท็กซี่เพื่อไปที่พัก แต่ไม่มีเลย มอเตอร์ไซค์ปราดเข้ามา เราไม่แน่ใจ เดินออกมาหน้าสถานีรถ ไม่มีแท็กซี่จริงๆ จึงตกลงใช้บริการมอเตอร์ไซค์คนละคัน กระเป๋าเดินทางวางข้างหน้าคนขับ คนนั่งซ้อนท้าย
    ผังเมือง ป้ายชื่อถนน เลขที่บ้าน ในเวียดนาม เป็นระบบระเบียบชัดเจน เพียงมีที่อยู่ซึ่งระบุเลขที่บ้านและถนน คนขับรถสาธารณะจะพาถึงที่หมายได้โดยง่าย
    ที่พัก The Corner Homestay อยู่บนเกาะคนละฝั่งแม่น้ำ Hoai กับ Old Town เจ้าของบ้านแบ่งห้องให้นักท่องเที่ยวเช่าพักหลายห้อง ลูกสาววัย 4 ขวบเล่นอยู่ในห้องรับแขก ที่หน้าบ้าน นักเดินทางอาวุโส อดีตช่างภาพอาชีพ ชาวเยอรมัน กำลังซ่อมจักรยานของตนที่ปั่นเที่ยวรายทางมาหลายสัปดาห์จากตอนเหนือของเวียดนามเรื่อยมาจนถึง Hoi An เขาตั้งใจจะไปจนถึงดินดอนปากแม่น้ำโขงทางใต้ บรรยากาศที่พักสบายๆ เป็นกันเอง

Hoi An เมืองท่าสำคัญของอุษาคเนย์แต่ครั้งศตวรรษที่ 17 ทว่าตะกอนโคลนเลนสะสมทำให้แม่น้ำตื้นเขิน ปลายศตวรรษที่ 19 เรือสินค้าและการค้าขายจึงย้ายไปยัง Tourane (ปัจจุบันคือ Da Nang) Hoi An ซบเซาลง บ้านเรือน ร้านค้า ถนนรนแคมริมแม่น้ำ สมาคมชุมนุมชาวจีน คงสภาพเมืองท่าเก่า มิอาจเปลี่ยนแปลงเป็นเมืองสมัยใหม่เหมือน Malacca และ Penang เมืองท่าสำคัญในยุคเดียวกัน คุณค่าของการรักษาเมืองเก่าไว้ทำให้ UNESCO ขึ้นทะเบียนเมืองเป็นมรดกโลกในปี 1999
    แม้ส่วน Old Town มีอายุนับเนื่องตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 16 ถึงต้นศตวรรษที่ 18 แต่ที่จริง Hoi An เป็นเมืองท่าโบราณ มาแต่สมัยชาว Sa Huynh (ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล) เป็นศูนย์กลางการค้าสมัยจามปา ต่อเนื่องถึงยุคไดเวียด จักรพรรดิ์ Nguyen ต้อนรับชาวญี่ปุ่นและชาวจีนให้เข้ามาตั้งรกรากคนละฝั่งคลอง ซึ่งเชื่อมกันด้วยสะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge) อันวิจิตร สะพานนี้ยังคงเป็น landmark สำคัญในปัจจุบัน พ่อค้าโปรตุเกสเข้ามาในปี 1535 ตามด้วยพวกดัทช์ อังกฤษ และฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 17 อย่างไรก็ตาม ร่องรอยของชาวยุโรปไม่เหลือปรากฏให้เห็น ต่างจากศิลปสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นและจีนที่มีบทบาทสำคัญในยุคอดีตและยังคงอยู่ให้ชื่นชมจนถึงวันนี้

14.00 น. ออกจากที่พักเดินไป Old Town อยู่ห่างไปเพียง 300 เมตร ข้ามสะพาน An Hoi มีราวเหล็กสลักลายงดงาม ในแม่น้ำ Hoai มีเรือลอยลำจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเรือรับนักท่องเที่ยวล่องชมทิวทัศน์ทางน้ำ สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอยู่บนถนนหลัก 3 สาย ซึ่งเรียงขนานกัน ตามแนวแม่น้ำ ได้แก่ Tran Phu ถนนเก่าแก่ที่สุดเชื่อมสะพานญี่ปุ่นกับวัด Quan Cong ที่อยู่ตรงข้ามตลาด ถนน Nguyen Thai Hoc เปิดเมื่อ 1841 และถนนริมน้ำ Bach Dang เปิดเมื่อ 1886
    ตลอดถนน Tran Phu ลงใต้มาถึงแม่น้ำ มีบ้านเรือนพ่อค้าชาวจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ 17-18 เรียงราย พื้นที่ส่วนนี้เดิมเป็นถิ่นของชาวญี่ปุ่น หากภายหลัง Shogun Tokugawa Iemitsu ออกนโยบาย 鎖国令 (Sakoku-rei, National Seclusion) เมื่อปี 1635 ห้ามการเดินเรือไปต่างประเทศ ห้ามชาวญี่ปุ่นออกนอกประเทศ ชุมชนญี่ปุ่นนี้จึงสลายไป พ่อค้าชาวจีนเข้าครอบครองพื้นที่แทน บ้านเรือนญี่ปุ่นไม่เหลือให้เห็นถึงวันนี้ คงเหลือแต่เพียงผังพื้นลักษณะแบบบ้านเก่าใน Kyoto ตลอดจนลักษณะคานขื่อไม้ ผสมผสานญี่ปุ่น จีน และเวียดนาม กลายเป็นเอกลักษณ์เรือนเก่าของ Hoi An
    สถานที่น่าสนใจแบ่งประเภทได้เป็น เรือนเก่า (Old House) สมาคมชุมนุมชาวจีน (Assembly Hall) พิพิธภัณฑ์ (Museum) และวัด การเข้าชมต้องซื้อบัตรชุด 5 ใบ เข้าชมได้ 5 แห่ง
    Old Town คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว บ้านเรือนเก่ากลายเป็นร้านขายของ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และโรงแรม ไม่มีกลิ่นอายของเมืองท่า ไม่มีวิถีชุมชนโบราณที่สอดคล้องกับโครงสร้างบ้านเรือน มุมสงบที่จะถ่ายรูปให้ปราศจากนักท่องเที่ยวหายากมาก

Japanese Covered Bridge
    สะพานไม้ รับด้วยเสาหิน มีหลังคาคลุม อยู่สุดถนน Tran Phu ด้านตะวันตก สร้างเมื่อต้นศตวรรษที่ 17 โดยชาวญี่ปุ่น เชื่อมสองฝั่งคลองที่แยกชุมชนชาวจีนด้านตะวันตกกับชุมชนชาวญี่ปุ่นด้านตะวันออก ช่วงกลางสะพานด้านทิศเหนือ ต่อออกไปเป็นวัดเต๋า เพื่อบูชาเทพผู้ดูแลสัตว์ใต้พิภพ หางของสัตว์นี้ยามขยับก่อให้เกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น หัวของมันอยู่ใต้อินเดีย ส่วนหัวใจอยู่ใต้ Hoi An จึงเป็นที่ตั้งของวัด เชิงสะพานทั้ง 2 ฝั่งมีรูปปั้นสัตว์ฝั่งละคู่ ฝั่งหนึ่งเป็นลิง อีกฝั่งหนึ่งเป็นสุนัข ตามนักษัตรของปีที่เริ่มสร้างสะพานและปีที่สร้างเสร็จ ใต้หลังคามีป้ายไม้จารึกอักษรจีน ซึ่งจักรพรรดิ์ Nguyen ให้ติดไว้เมื่อปี 1791 เขียนว่า 'แห่งชนชาติที่อยู่ไกลโพ้น'
    สะพานญี่ปุ่นนี้คงสภาพแข็งแรง งดงาม แม้อายุร่วม 400 ปี เป็นสัญลักษณ์สำคัญหนึ่งของ Hoi An

Quan Thang House (77 Tran Phu)
    บ้านไม้เก่าครอบครองโดยคนตระกูลเดียวตกทอดมาแต่ศตวรรษที่ 18 ฝาผนังไม้ ฉากกั้นไม้ ลงเงาบางเนียน แกะสลักอย่างวิจิตร คานขื่อไม้ใต้หลังคา 3 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นแบบญี่ปุ่น ด้านหนึ่งเป็นแบบจีน และอีกด้านเป็นแบบเวียดนาม จากโถงส่วนหน้าเข้าไป ตรงกลางบ้านเป็นส่วนเปิดโล่งรับแดด ลม ฝน ผนังประดับลายปูนปั้นทาสีงดงาม จัดวางกระถางเครื่องเคลือบปลูกไม้ดัด ส่วนหลังเป็นที่อยู่อาศัย
    คุณค่าของบ้านเก่านี้อยู่ที่การดูแลรักษาโครงสร้าง และศิลปกรรมตกแต่งอันประณีตที่ช่างบรรจงสร้างไว้แต่ครั้งอดีต

Museum of Trade Ceramics (80 Tran Phu)
    พิพิธภัณฑ์จัดแสดงภาชนะดินเผา เครื่องกระเบื้องเคลือบที่ค้นพบจากซากเรืออับปางในบริเวณนี้ อย่างไรก็ตาม ตัวเรือนไม้พิพิธภัณฑ์เองกลับน่าสนใจกว่า รายละเอียดของระเบียง ประตูประกอบระเบียง เครื่องเรือนไม้ ล้วนวิจิตรงดงาม

Phuc Kien Assembly Hall (46 Tran Phu)
    ชาวจีนที่มาตั้งรกรากยัง Hoi An ส่วนใหญ่มาจาก 5 จังหวัดทางตอนใต้ของประเทศจีน อาทิ กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ ต่างมีสมาคมชุมนุมของกลุ่มตนเป็นที่พบปะ และประกอบพิธีทางศาสนา
    Phuc Kien Assembly Hall เป็นสมาคมชุมนุมของฮกเกี้ยน สร้างเมื่อ 1757 อยู่ลึกจากถนนเข้าไป ประตูหน้าเพียงช่องเดียว ผ่านสวนและลานโล่ง สู่ประตูใหญ่ 3 ช่องโอ่อ่า เทพประจำคือ Thien Hau เทพธิดาแห่งทะเล ประดิษฐานบนแท่นบูชาด้านใน ลึกเข้าไปจัดแสดง model เรือสำเภาของพ่อค้าจีนในยุคนั้น
    ที่นี่มีที่นั่งสบายๆ ลมเย็น พื้นที่กว้างขวางสมเป็นสมาคมชุมนุม เราจึงถือโอกาสนั่งพักหลังจากเดินมาเป็นเวลานาน

Central Market
    สุดถนน Tran Phu เป็นตลาดกลาง ขายของสด ของแห้ง มีร้านอาหารแบบบ้านๆ นั่งกินหน้าร้าน มากมาย บรรยากาศชวนให้ลิ้มลอง และไม่ผิดหวังกับเมี่ยงเตรียมสดๆ
    ออกจากตลาด เริ่มมืด อากาศเย็นลง เราเดินเข้าถนน Nguyen Thai Hoc นักท่องเที่ยวที่มาเช้าเย็นกลับ ทยอยกลับแล้ว ทางเดินปลอดโปร่งขึ้น จุดท่องเที่ยวยังคงเปิดให้เข้าชม บรรยากาศยามราตรี

Museum of Folk Cultures (33 Nguyen Thai Hoc)
    จัดแสดงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ เครื่องมือประกอบอาชีพ ของชาวชนบท อาทิ งานช่างไม้ ประมง กสิกรรม ทอผ้า ตลอดจนงานรื่นเริงต่างๆ ลักษณะทั่วไปคล้ายชนบทไทย
    ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์นี้เปิดออกสู่ถนน Bach Dang ริมแม่น้ำ Hoai

ยามราตรีเช่นนี้ ถนนริมน้ำคึกคักยิ่ง ร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม เต็มไปด้วยลูกค้า เด็กๆ เสนอขายกระทงกระดาษจุดเทียนไขให้ลอยในแม่น้ำ รูปลักษณ์ห่างชั้นจากกระทงวันเพ็ญเดือนสิบสองของไทยมากนัก
    เรานั่งพักบนม้านั่งริมทางหันหน้าสู่แม่น้ำ เรือเทียบฝั่งกันหมด สายน้ำไหลสงบเงียบ ใจล่องลอยไปในภวังค์ แม่ค้าหาบผลไม้เข้ามาเสนอขาย ดึงให้กลับมานั่งกินส้ม
    ร้าน BBQ ไก่ ห่อด้วยแผ่นแป้ง ราดน้ำจิ้มรสเด็ด แกล้มผัก หาบวางริมทาง คนเวียดนามนั่งล้อมกันเพียบ อย่างนี้ต้องอร่อยแน่ เราจึงเข้าผสมโรงด้วย อิ่มหนำสำราญ จึงเดินกลับที่พัก

Hoi An สามารถรักษาเมืองเก่าได้อย่างน่านิยม ความโหยหาคุณค่าแห่งอดีตปลุกกระแสท่องเที่ยวซึ่งเป็นดาบสองคม อันอาจนำสู่การ 'จัดฉาก' หรือก่อภาวะแทรกซ้อนโดยไม่ตั้งใจ

ข้อมูลค้นจาก
    Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
    wikipedia.org
    wikitravel.org
    

        

January 19, 2015

Vietnam on Foot: Da Nang: 28.12.2014

หยุดปีใหม่หลายวัน ไปเดินเที่ยวสองคนกับลูกชาย ที่เวียดนามกลาง
เราบินจากกรุงเทพฯ เข้า Ho Chi Minh City (ชื่อเดิม: Saigon) ต่อเครื่องไป Da Nang ถึงตอนค่ำ คืนวาน
พยากรณ์อากาศวันนี้ ฝนตกทั้งวัน เสื้อฝนและร่มจำเป็นอย่างยิ่ง

Da Nang เมืองใหญ่อันดับห้าของเวียดนาม
อากาศเย็นสบาย ฝนตกพรำตลอดวัน
11.00 น. เดินจากที่พัก ชมบ้านเมือง ถนนรนแคม ไป Cham Museum ระยะทางราว 700 เมตร

อาณาจักรจามปา (Kingdom of Champa) ตั้งอยู่ตอนกลางของเวียดนามปัจจุบันมาแต่ทศวรรษ 600 ได้รับอิทธิพลอินเดีย ศิลปะ โบราณสถาน ที่คงอยู่ถึงปัจจุบันปรากฏในงานประติมากรรมหินทรายและปราสาทหิน แบบฮินดู อาทิ ภาพสลักพระศิวะ พระพรหม พระวิษณุ จารึกใช้ภาษาสันสกฤต จามปารุ่งเรืองสูงสุดช่วงศตวรรษที่ 9-10 แต่ภายหลังต้องกรำศึกสงครามกับอาณาจักรไดเวียด (Dai Viet) ทางทิศเหนือ และอาณาจักรขอม (Khmer) ทางทิศใต้อย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1145 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด เข้ายึดครองเมืองหลวงได้ แต่ต่อมาชาวจามรวมตัวกัน จัดกองทัพยกมาตีเอาเมืองหลวงคืนเมื่อ ค.ศ. 1149 ในปี ค.ศ. 1177 กองทัพเรือจามปาเข้าโจมตี เผาทำลายเมืองพระนครของขอมเสียหายยับเยิน อำนาจอาณาจักรขอมเสื่อมไประยะหนึ่ง จนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้ทำสงครามปราบกษัตริย์จามปาสำเร็จ จารึกเป็นภาพสลักยุทธนาวีกับกองทัพจาม ณ ปราสาทนครธม และได้ผนวกอาณาจักรจามปาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอม ต่อมาเมื่ออาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจลง ชาวจามสามารถรวมตัวกันปลดแอกจากอาณาจักรขอมได้สำเร็จ
    ค.ศ. 1471 กษัตริย์เลถั่นตอง (Le Thanh Tong) แห่งไดเวียดส่งทัพตีเมืองหลวงวิชัย (Vijaya) ของจามปาแตกยับเยิน ชาวจาม 40,000 คนถูกตัดหัว อีก 30,000 คนถูกกวาดต้อนไป นับเป็นการสิ้นสุดของอาณาจักรฮินดูทางขอบตะวันออกของอุษาคเนย์ที่ดำรงมา 1,100 ปี กระทั่งที่สุด ค.ศ. 1832 จักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Minh Mang) ได้ผนวกดินแดนส่วนที่เหลือของจามปาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนาม กลืนชาวจามจนกลายเป็นชนกลุ่มน้อย     
    ในไทยมีชาวจามทยอยเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนหนึ่งถูกกวาดต้อนมาจากดินแดนของตัวเองตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และตั้งถิ่นฐานอยู่ปริมณฑลของนครธม เมื่อนครธมถูกเจ้าสามพระยาโจมตี จึงถูกกวาดต้อนมาอยู่อยุธยา ในช่วงสงครามคราวเสียกรุงครั้งที่สอง ชุมชนชาวจามนี้ก็เป็นกำลังส่วนหนึ่งในการสู้รบกับการรุกรานของพม่า ชาวจามที่เหลือรอดได้เข้าสวามิภักดิ์กับพระเจ้ากรุงธนบุรี และได้ตั้งถิ่นฐานที่บ้านครัว ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี มีการรุกรานเขมรและกวาดต้อนครัวจามมาเพิ่มเติมอีก
    ในสงคราม 9 ทัพ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้มีการเกณฑ์เชลยศึกกองทัพอาสาจามไปต่อสู้กับพม่าจนได้รับชัยชนะ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินผืนหนึ่ง เพื่อให้ทำมาหากินอยู่รวมกันเป็นหมู่นอกเขตพระนคร โดยมีต้นไม้ใหญ่เป็นแนวเขต และมีร่องน้ำลำกระโดงตามธรรมชาติไหลผ่านริมคลองมหานาคและคลองแสนแสบ คือชุมชนบ้านครัว
    สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บ้านครัวเป็นแหล่งที่อยู่ของขุนนางและทหารเรือกรมอาสาจาม ภายใต้การนำของพระยาราชวังสัน (บัว) ชาวบ้านครัวมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง หญิงชาวจามมีความชำนาญในการทอผ้าไหม เพราะตามประเพณีดั้งเดิมของชาวจามจะทอผ้าเอาไว้ใช้เองในครอบครัว
    จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีผู้อพยพชาวจามเข้ามามากที่สุดอีกช่วงหนึ่ง คือเมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดครองกัมพูชา บังคับห้ามนับถือศาสนาอิสลาม ชาวจามที่ภายหลังหันมานับถือศาสนาอิสลามจึงเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทย กลุ่มหนึ่งลงเรือมาขึ้นปากอ่าวลำคลองท่าตะเภา และปากอ่าวคลองน้ำเชี่ยว อยู่ตำบลน้ำเชี่ยว อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด อีกกลุ่มขึ้นปากน้ำระยอง และกลุ่มที่สามไปถึงกรุงเทพฯ กลุ่มนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานที่ดินให้อยู่ที่บ้านครัว

Cham Museum
    สร้างเมื่อปี 1915 ในสมัยที่ฝรั่งเศสยึดครองอินโดจีนเป็นอาณานิคม จัดแสดงประติมากรรมกว่า 300 ชิ้น สลักจากหินทราย ดินเผา และสำริด เป็นศิลปวัตถุจากอาณาจักรจามปาซึ่งนับถือศาสนาฮินดู ประติมากรรมเกือบทั้งหมดถูกตัด ถูกยกมาจากโบราณสถานของจามปา อาทิ Tra Kieu (เดิมคือเมือง Simhapura) และ My Son (กลุ่มปราสาทศาสนสถานหินทรายขนาดใหญ่ อายุ 1,500 ปี อยู่ห่าง 45 กิโลเมตรทางทิศตะวันตกของ Hoi An)
    ประติมากรรมสำคัญที่มีชื่อเสียงได้แก่
    Tra Kieu Dancer รูปนางอัปสรร่ายรำท่วงท่าต่างๆ
    Tra Kieu Pedestal ประดับรอบด้วยภาพสลักของพระกฤษณะ
    Pedestal from My Son E1
    พระพิฆเนศ ครุฑ นาค สิงห์ วานร ช้าง
    ประติมากรรมสำแดงการเจริญพันธุ์ เช่น ศิวลึงค์ แท่นบูชามีถันประดับรอบ
ภายนอกอาคาร Cham Museum ปลูกต้นไม้ประดับร่มรื่น ต้นลั่นทมหลายต้นเสริมความเก่าแก่ของพิพิธภัณฑ์ ตัวอาคารทรงเก่างดงาม ห้องจัดแสดงกว้างขวาง เพดานสูง หน้าต่างบานโตสูง สิ่งแสดงหลายชิ้นขนาดมหึมาด้วยตัดออกจากปราสาทศาสนสถานทั้งส่วน น่าเสียดาย หากสิ่งแสดงเหล่านี้ยังคงอยู่ในที่เดิม ณ โบราณสถานต่างๆ ย่อมทรงคุณค่ากว่ามาก

ออกจาก Cham Museum เดินต่อไปริมแม่น้ำ Han ทางเดินริมน้ำกว้างขวางทอดยาว ไร้สิ่งกีดขวาง ไม่มีเพิงอาหารตามสั่ง ไม่มีต้นทางรถเมล์ ไม่มีคิวรถเกะกะ ทิวทัศน์ของแม่น้ำจึงไม่ถูกบดบัง แม้ฟ้ามัว ขมุกขมัว แต่ยังสามารถชื่นชมความงามของแม่น้ำ สะพานมังกรอยู่ตรงหน้า ค่อยๆ เดินเลียบน้ำไปเรื่อยๆ ผ่อนคลาย พักใหญ่ จึงเดินกลับที่พัก

บ่ายคล้อย นั่งแท็กซี่ไปสถานีรถไฟ Da Nang จองตั๋ว Da Nang - Hue สำหรับวันที่ 30 ธันวาคม เที่ยว 14.13 น. จากนั้นนั่งแท็กซี่ไปชม Da Nang Beach

แท็กซี่เวียดนามเป็นที่กล่าวขานว่าเรียกค่าโดยสารสูงเกินควร ไม่ยอมใช้มิเตอร์ หรือหากใช้ มิเตอร์นั้นก็เดินเร็วกว่าที่ควร ยกเว้นแท็กซี่ 2 บริษัทที่เชื่อถือได้ คนขับสุภาพ แต่งเครื่องแบบสะอาดเรียบร้อย มิเตอร์เดินถูกต้อง ค่าโดยสารมีหลายอัตราขึ้นกับขนาดรถ สองบริษัทนี้ คือ Mai Linh รถสีเขียว และ Vinasun รถสีขาว

Da Nang ตั้งอยู่ด้านตะวันออกริมฝั่งทะเลจีนใต้ ประกอบด้วย Bay of Da Nang, Son Tra Peninsula และ Da Nang Beach ซึ่งทอดยาวเหยียด แท็กซี่พาไปถึงริมหาด เราลงไปเดินเล่น ฝนยังตกพรำ ลมทะเลพัดรุนแรง คลื่นสูงซัดเข้าฝั่งแตกฟองขาวต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวเล่นคลื่นอยู่ 4-5 คน สาวสวยวิ่งท้าลมไปตามชายหาด อากาศแบบนี้นี่เอง ราคาห้องโรงแรมริมหาดจึงถูกมากเมื่อตอนเราหาที่พักผ่าน internet แม้คลื่นลมธรรมชาติกราดเกรี้ยว แต่กลับรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ผมปล่อยความคิดย้อนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์...

8 มีนาคม 1965 นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา 2 กองพัน ยกพลขึ้นบกที่นี่ Da Nang Beach เป็นจุดเริ่มต้นการรบภาคพื้นดินของอเมริกันในสงครามเวียดนาม สงครามซึ่งคนเวียดนามเรียกว่า American War of Aggression ฤดูใบไม้ผลิปีนั้น กำลังพลอเมริกันไหลบ่าเข้าไปถึง 72,000 นาย และอีก 3 ปีถัดมา กำลังพลเพิ่มเป็นกว่าครึ่งล้านนาย สงครามยืดเยื้อกว่า 10 ปี ล้างผลาญชีวิตคนเวียดนามไป 3 ล้านคน จำนวนนี้เป็นพลเรือน 2 ล้านคน ส่วนทหารอเมริกันเสียชีวิตไปกว่า 5 หมื่นนาย
    ข้ออ้างสำคัญในการก่อสงครามนี้คือทฤษฎีโดมิโน (The Domino Theory) ซึ่งเสนอโดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Harry S. Truman เมื่อ Ho Chi Minh ประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในวันที่ 2 กันยายน 1945 ณ จัตุรัส Ba Dinh กรุง Hanoi ต่อหน้าฝูงชนกว่า 400,000 คน
    สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนฝรั่งเศสที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลกครั้งที่สองและกลับเข้ามายึดครองอินโดจีนต่อ อันนำไปสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและสร้างรายได้มหาศาลให้สหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นแรงจูงใจสำคัญ ดังนั้นกว่าร้อยละ 80 ของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฝรั่งเศสใช้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งนี้ จึงมาจากสหรัฐอเมริกา
    7 พฤษภาคม 1954 นายพล Vo Nguyen Giap นำกำลังทหาร Viet Minh 55,000 นาย โจมตีที่มั่นสุดท้ายของฝรั่งเศสซึ่งเหลือกำลังพล 16,000 นาย ที่ Dien Bien Phu ภายหลังปิดล้อมอยู่ 55 วัน การรบนองเลือดเบ็ดเสร็จ ฝรั่งเศสต้องยอมจำนน ปิดฉากการเป็นเจ้าอาณานิคมอินโดจีนที่ดำรงมากว่า 100 ปี และนำสู่การเจรจาสันติภาพที่ Geneva ในวันรุ่งขึ้น
    ความปราชัยของฝรั่งเศสทำให้ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ประกาศว่านี่เป็น 'falling domino' สำทับการเข้าแทรกแซงเต็มรูปแบบของสหรัฐอเมริกา สวมรอยฝรั่งเศสที่จำต้องถอนตัวออกไปจากอินโดจีน
    Geneva Accords ไม่ยินยอมให้ Viet Minh รวมประเทศ แต่ให้แบ่งเวียดนามเป็นเหนือและใต้ที่เส้นขนานที่ 17 ให้จัดการเลือกตั้งทั่วประเทศในอีก 2 ปีถัดไปเพื่อการรวมประเทศ แต่การเลือกตั้งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น
    สหรัฐอเมริกาเลือกไม่ลงนามรับรอง Geneva Accords เพื่อที่ตนจะไม่ต้องผูกพันปฏิบัติตามข้อตกลง รัฐบาลจักรพรรดิ์ Bao Dai ไม่ลงนามรับรองเช่นกัน และแต่งตั้ง Ngo Dinh Diem (1901-1963) ตามเสนอของสหรัฐอเมริกาเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเวียดนามใต้
    Ngo Dinh Diem สั่งยกเลิกไม่ให้มีการเลือกตั้งในปี 1956 ด้วยคาดหมายว่า Ho Chi Minh จะได้รับชัยชนะ เขาแต่งตั้ง Ngo Dinh Nhu น้องชายเป็นมือขวา กวาดล้างฝ่ายคอมมิวนิสต์ ย้ายชาวนาจากถิ่นอาศัยเดิมไปอยู่ใน 'agrovilles' เพื่อป้องกันการเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้าม จำกัดเสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม ประกาศให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองผิดกฎหมาย สนับสนุนชาวคาธอลิก และข่มเหงชาวพุทธ
    ปี 1959 Le Duan เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะปฏิวัติฝ่ายใต้ จึงก่อสร้างทาง Ho Chi Minh Trail จากตอนเหนือผ่านขุนเขาของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เพื่อใช้ลำเลียงกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์สู่ฝ่ายใต้ ปี 1960 กองกำลังต่อต้าน Diem ถูกจัดตั้งขึ้นในชื่อ The National Liberation Front (NLF) หรือ Viet Cong
    ฤดูใบไม้ผลิปี 1963 ฝ่ายพุทธรวมตัวต่อต้าน Diem การประท้วงรุนแรงและเป็นที่สนใจไปทั่วโลกภายหลังพระภิกษุ Thich Quang Duc จากวัด Thien Mu แห่งเมือง Hue จุดไฟเผาตัว กลางสี่แยกในกรุง Saigon เดือนพฤศจิกายน ฝ่ายทหารทำรัฐประหารโดยความเห็นชอบจากสหรัฐอเมริกา สังหาร Ngo Dinh Diem และ Ngo Dinh Nhu
    รัฐบาล Diem ล้มไป แต่สหรัฐอเมริกายังคงยึดเวียดนามใต้และทฤษฎีโดมิโน การสร้างสถานการณ์ปะทะกันระหว่างเรือพิฆาต USS Maddox กับเรือตอร์ปิโด 3 ลำของเวียดนามเหนือที่อ่าวตังเกี๋ยในวันที่ 2 สิงหาคม 1964 และรายงานเท็จว่ามีการปะทะกันอีกในวันที่ 4 สิงหาคม 1964 (The Gulf of Tonkin Incident) ทำให้สภาคองเกรสให้อำนาจเต็มที่แก่ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson ในการจัดการทางทหารต่อเวียดนาม นายพล William Westmoreland สั่งเคลื่อนพลเพื่อปกป้องฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกาในเวียดนามใต้ นาวิกโยธินระลอกแรกจำนวน 2 กองพันจึงยกพลขึ้นบกที่ Da Nang Beach เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 1965...

เดินเที่ยวเวียดนามวันนี้ ได้ชมพิพิธภัณฑ์เก่าแก่อายุ 100 ปี สิ่งแสดงจากอาณาจักรที่ล่มสลายไปนานกว่าครึ่งสหัสวรรษ ได้ชื่นชมชายหาดที่งดงามริมทะเลจีนใต้ ซึ่ง 50 ปีก่อนเคยเป็นทางเข้าของกองทัพมหาอำนาจในการทำสงครามกับเจ้าของบ้าน เพียงวันแรกก็ต้องทบทวนประวัติศาสตร์อย่างมาก เพื่อความเข้าใจปัจจุบัน

ข้อมูลค้นจาก
    Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
    wikipedia.org
    th.wikipedia.org
    wikitravel.org

January 8, 2015

Bangkok on Foot: วัดอรุณราชวราราม: 19.12.2014

วันนี้ อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าโปร่ง
11.00 น. นั่งรถเมล์เย็นไปลงหน้าวัดพระแก้ว นักท่องเที่ยวแน่นขนัด ออตรงทางเข้าและภายในวัดพระแก้ว
ผมเดินเลาะไปตามถนนหน้าพระลาน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนมหาราช ด้านซ้ายคือกำแพงพระบรมมหาราชวัง ด้านขวาเปิดโล่ง พื้นที่ราชนาวี เลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านท่าราชวรดิษฐ์ ถึงท่าเตียน ตรงมุมถนนมหาราช ตัดกับถนนท้ายวัง เลยไปทางด้านซ้ายคือวัดพระเชตุพนฯ ด้านขวาเป็นตึกแถวเก่าตลาดท่าเตียน กำลังบูรณะทั้งแถว เดินลำบาก คาดว่าเมื่อบูรณะเสร็จ ร้านค้าแบบเก่าคงไม่เหลือให้เห็น แต่จะมีร้านกาแฟ ร้านขนมยี่ห้อข้ามชาติมาแทน เพื่อบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ผมเลี้ยวขวาเข้าท่าโรงโม่ ท่าเรือข้ามฟากวัดโพธิ์-วัดอรุณ ลงเรือไปวัดอรุณฯ
เรือท่องเที่ยวแล่นขวักไขว่ในแม่น้ำเจ้าพระยา เสียงมัคคุเทศก์ผ่านไมค์ส่งภาษาจีนกลางทุกลำ สำเนียงชัดทำให้เข้าใจว่ามัคคุเทศก์เหล่านี้ไม่ใช่คนไทย เราไม่มีกฎหมายบังคับเรื่องทำนองนี้เช่นบ้านเมืองอื่น
ลมเย็นสบาย เรือแล่นข้ามฟาก ครู่เดียวก็ถึงท่าวัดอรุณฯ

วัดอรุณราชวราราม พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เหนือพระราชวังเดิม เป็นวัดโบราณสร้างแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกวัดมะกอก แล้วเปลี่ยนเป็นวัดมะกอกนอก ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้ง
    เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับนั้น ทรงเอาที่ข้างฝั่งตะวันตกของป้อมวิชัยประสิทธิ์เป็นที่ตั้งพระราชวัง แล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์สมัยอยุธยา ทรงปฏิสังขรณ์พระอุโบสถเก่าเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์เมื่อ พ.ศ. 2322
    สมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้ทรงสร้างพระอุโบสถใหม่ มาสำเร็จในปี พ.ศ. 2363 เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 2 แล้ว โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดว่า วัดอรุณราชธาราม ภายหลังเปลี่ยนเป็น วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2
    รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระปรางค์เป็นยอดมงกุฎ มีฐานกลมโดยรอบ 243 เมตร สูง 81 เมตร ทรงปฏิสังขรณ์ทั่วพระอารามจนสำเร็จ
    รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างมณฑปเพิ่มเติม
    ในปี พ.ศ. 2438 เกิดเพลิงไหม้พระอุโบสถ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถใหม่เกือบทั้งหมด ได้จัดงานฉลองพระอุโบสถพร้อมงานพระราชพิธีทวีธาภิเษก เงินที่เหลือจากการบริจาคของพระบรมวงศานุวงศ์โปรดเกล้าฯ ให้นำไปสร้างโรงเรียนภายในวัด ชื่อโรงเรียนทวีธาภิเษก
    ในปี พ.ศ. 2452 โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมพระปรางค์และอื่นๆ ภายในวัด ทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร และเสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐินด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคเป็นครั้งแรก

ศาลาท่าน้ำ
    อยู่หน้าพระอุโบสถ บนลานริมน้ำมีสวนหินจัดไว้งดงาม มีศิลาสลักจากเมืองจีนเป็นรูปทหารถืออาวุธ รูปครุฑ รูปกินรี และพระบรมรูปรัชกาลที่ 2

พระอุโบสถ
    ของเดิมสร้างสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นศิลปะอยุธยาตอนปลาย ภายหลังแก้รูปทรงเพรียวขึ้น มีเสารับชายคาโบสถ์เป็นเสาเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง บัวหัวเสากลีบยาว ลงรักปิดทอง โคนเสามีฐาน
    รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เสริมซุ้มรูปบุษบกยอดปรางค์ขึ้นที่มุขหน้า เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 2 และมุขหลังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4
    รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างบุษบกต่อ เมื่อเกิดเพลิงไหม้โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะครั้งใหญ่
    ตัวพระอุโบสถก่ออิฐถือปูน ติดช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันจำหลักลายทองประดับกระจก ผนังภายในพระอุโบสถมีภาพระบายสี ลงทองอย่างวิจิตร ผนังระหว่างช่องหน้าต่างทั้งด้านเหนือและด้านใต้เขียนภาพเรื่องทศชาติ เหนือหน้าต่างขึ้นไปด้านเหนือ ด้านตะวันออก และด้านตะวันตกเขียนภาพพุทธประวัติ ส่วนด้านใต้เขียนภาพพระเวสสันดร บานประตูหน้าต่างด้านในเขียนภาพและลวดลายด้วยรักสีต่างๆ ตัดเส้นเดินทองสลับสีสวยสด ภาพเหล่านี้ถูกทำลายเสียหายไปมากเมื่อคราวไฟไหม้ ในการบูรณะโปรดเกล้าฯ ให้เขียนขึ้นใหม่โดยพยายามรักษาเค้าเดิมไว้
    ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐานพระประธานคือ พระพุทธธรณิศรราชโลกนาถดิลก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2 เมตร หล่อสมัยรัชกาลที่ 2 กล่าวกันว่าพระพักตร์เป็นฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 2 ทรงปั้นหุ่นเอง ในพระพุทธอาสน์บรรจุพระบรมอัฐิรัชกาลที่ 2 ตรงกลางมีรูปครุฑ อยู่ในอุณาโลม กลางผ้าทิพย์
    ภายนอกพระอุโบสถด้านหน้าตรงมุข มีบุษบกประดิษฐานอยู่กลางระหว่างประตูทั้งสองข้าง ตัวบุษบกจำหลักลายวิจิตรปิดทองประดับกระจก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปนฤมิต พระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 2 เป็นพระยืนทรงเครื่องปิดทอง พระพุทธลักษณะงดงาม รัชกาลที่ 4 ได้ทรงสร้างจำลองพระพุทธรูปฉลองพระองค์ในหอพระสุลาไลยพิมาน โดยมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่บุษบกนั้น แต่ยังหาได้อัญเชิญไปไม่ จนถึงรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานเมื่อ พ.ศ. 2438
    ด้านหน้าพระอุโบสถ หน้าประตูทางเข้าซึ่งทำเป็นยอดซุ้มทรงมงกุฎลายปูนปั้น มียักษ์ 2 ตน เฝ้าอยู่ ยักษ์สีขาวชื่อ สหัสเดชะ สีเขียวชื่อ ทศกัณฐ์ ทำด้วยปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสีต่างๆ ลักษณะท่าทางเหมือนยักษ์วัดพระแก้ว ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 3

พระวิหารคต
    อยู่ล้อมรอบพระอุโบสถทั้ง 4 ด้าน สร้างในสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นอาคารยาวก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ประดับช่อฟ้า ใบระกา ภายในพระวิหารคตประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย เรียงรายอยู่เป็นระยะโดยรอบ ลายเขียนที่ผนังเป็นฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 2 มีประตูเข้าออก 4 ด้าน รูปทรงกะทัดรัด ตรงมุมสร้างหลังคาให้เห็นเป็นพิเศษ เสาทุกต้นย่อมุมไม้สิบสอง บัวหัวเสาปิดทองสวยงาม ระหว่างเสามีรูปศิลาสลักเป็นคนขี่ม้า ควาย และสัตว์ต่างๆ ฝีมือช่างจีน เรียงรายรอบพระวิหารคต

พระมณฑปพระพุทธบาท
    รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้จำลองพระพุทธบาทมาประดิษฐานไว้ ตัวพระมณฑปประดับกระเบื้องเคลือบทำเป็นลวดลายดอกไม้ทุกด้าน ระเบียงตกแต่งด้วยเครื่องถ้วย พระมณฑปตั้งอยู่ระหว่างพระอุโบสถและพระวิหาร

พระวิหาร
    เป็นอาคารที่ปฏิสังขรณ์จากของเดิมครั้งกรุงธนบุรี และสร้างใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 2 รูปทรงเป็นอย่างเดียวกับพระอุโบสถ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ประดับกระเบื้องเคลือบลายดอกไม้ร่วงที่ผนังภายนอกให้เหมือนกับพระอุโบสถ
    ภายในพระวิหาร ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์ คือ พระประธานชื่อ พระพุทธชัมภูนุทมหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิธ หล่อด้วยทองแดง หน้าตักกว้าง 3 เมตร บนพระเศียรบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนองค์เล็กประดิษฐานอยู่ข้างหน้าคือ พระอรุณ ชาวบ้านเรียก พระแจ้ง เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง หล่อด้วยสำริด หน้าตักกว้าง 50 ซม. องค์พระกับผ้าครองหล่อสีต่างกัน รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทน์ เมื่อ พ.ศ. 2401 ด้วยพระพุทธรูปองค์นี้มีพระนามตรงกับชื่อวัด

พระปรางค์
    เป็นโบราณสถานที่สำคัญที่สุดของวัด เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ เป็นที่รู้จักทั่วโลก แม้กำลังบูรณะขนานใหญ่ นั่งร้านเกะกะ บันไดขึ้นถูกปิดหลายด้าน แต่พระปรางค์ยังคงความยิ่งใหญ่งดงาม
    รัชกาลที่ 2 ทรงพระราชปรารภที่จะสถาปนาพระปรางค์เดิมซึ่งสูงเพียง 16 เมตร ให้งดงามเป็นศรีสง่าแก่พระนคร แต่เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ลงมือขุดรากก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน
    รัชกาลที่ 3 โปรดให้ดำเนินการสถาปนาต่อจนเสร็จ ยกยอดนภศูล แต่ยังมิได้ฉลอง ก็เสด็จสวรรคต
    รัชกาลที่ 4 ทรงสถาปนาต่อเติมจนสำเร็จบริบูรณ์
    พระปรางค์วัดรอบฐาน 243 เมตร สูง 81 เมตร มีปรางค์เล็กและมณฑปทั้ง 4 ทิศ บนยอดพระปรางค์มีพระมหามงกุฎ นภศูล ปิดทอง พระมหามงกุฎนั้นเดิมสร้างเพื่อถวายพระประธานวัดนางนอง เมื่อจะยกนภศูล รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้นำมาต่อสวมยอดนภศูล เพื่อเป็นนิมิตแก่มหาชนว่า 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' ทรงเป็นรัชทายาท
    พื้นฐานมีตุ๊กตาจีนสลักด้วยศิลาเป็นรูปคนและสัตว์ ประดับเรียงรายรอบองค์พระปรางค์ กำแพงด้านตะวันออกมี 3 ประตู ด้านตะวันตกมี 2 ประตู ซุ้มประตูทั้งห้า ประดิษฐ์เป็นลายรูปพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5
    พื้นฐานทักษิณมี 4 ชั้น แต่ละชั้นมีกำแพงแก้วกั้นรอบ
    ฐานทักษิณชั้นที่หนึ่ง มีพระปรางค์เล็ก 4 ทิศ เป็นเครื่องประดับพระปรางค์องค์ใหญ่ ภายในซุ้มมีรูปพระพายทรงม้าขาว เชิงบาตรมีรูปยักษ์และกระบี่แบกสลับกัน ในซุ้มล่างบรรจุตัวกินนรปูนปั้นติดผนังโดยรอบ
    ฐานทักษิณชั้นที่สอง มีมณฑป 4 ทิศ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป
       มณฑปทิศเหนือ ตั้งพระพุทธรูปปางประสูติ ทำเป็นรูปพระนางสิริมหามายาประทับยืนเหนี่ยวกิ่งสาละ มีรูปพระพุทธองค์แรกประสูติประทับยืนบนดอกบัวชูนิ้วชี้ขวาขึ้น เป็นสัญลักษณ์ประกาศความเป็นเอกอัครมหาบุรุษของพระองค์
       มณฑปทิศตะวันออก ตั้งพระพุทธรูปปางตรัสรู้ มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ 3 องค์ องค์กลางเป็นพระนาคปรก องค์ริมเป็นพระมารวิชัยใต้ร่มโพธิ์และร่มไทรด้านละองค์
       มณฑปทิศใต้ ตั้งพระพุทธรูปปางเทศนา มีรูปพระปัญจวัคคีย์นั่งประนมมือ
       มณฑปทิศตะวันตก ตั้งพระพุทธรูปปางปรินิพพาน มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์อยู่ระหว่างไม้สาละคู่ มีพระภิกษุนั่งเฝ้าอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์
    ฐานทักษิณชั้นที่สาม องค์ปรางค์ชั้นบนประดับซุ้มรูปกินนร เหนือซุ้มเชิงบาตรเป็นรูปกระบี่แบกโดยรอบ
    ฐานทักษิณชั้นที่สี่ ชั้นสูงสุด เหนือซุ้มเชิงบาตรเป็นรูปพรหมแบกโดยรอบ องค์พระปรางค์ที่ซุ้มคูหายื่นออกมาเป็นจตุรมุขทั้ง 4 ด้าน ทำยอดเป็นปรางค์เล็กๆ ภายในประดิษฐานรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เชิงบาตรเหนือซุ้มเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ
    ฐานทักษิณทั้ง 4 ชั้น มีบันไดขึ้นถึงตลอดทุกชั้น บันไดสูงชัน ท้าชวนให้ขึ้นชมความงาม ละเอียด ประณีตของพระปรางค์อย่างใกล้ชิด
    องค์พระปรางค์ใหญ่ พระปรางค์เล็ก มณฑป ซุ้ม กำแพงแก้ว ทุกส่วนประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบลวดลายสีต่างๆ อย่างประณีตบรรจง บางชิ้นเป็นรูปลายกระหนก บางส่วนทำเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนำมาประดับเป็นลายดอกไม้ต่างๆ บางดอกใช้กระเบื้องเคลือบธรรมดา บางดอกใช้กระเบื้องเคลือบสลับเปลือกหอย บางดอกใช้กระเบื้องเคลือบจานชามลวดลายงามๆ แบบเก่า เช่น ชามเบญจรงค์ซึ่งหายาก ศิลปะการเอาชิ้นกระเบื้องสีมาปะติดปะต่อเป็นรูปต่างๆ อย่างนี้มีมาแต่ครั้งรัชกาลที่ 3     

พระวิหารน้อย
    มี 2 หลัง อยู่หน้าพระปรางค์ ฝีมือช่างกรุงธนบุรี
    หลังเหนือ เป็นพระอุโบสถของวัดมาแต่ก่อน มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆ บนฐานชุกชี นอกจากนี้ยังมีพระแท่นบรรทมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทำด้วยไม้กระดานแผ่นเดียว กว้างประมาณ 167 ซม. ภายในพระวิหารน้อยนี้ตกแต่งแบบจีน
    หลังใต้ เป็นพระวิหารเดิม ขณะนี้ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจุฬามณี ที่บานประตูมีรูปเขียนลงรักปิดทอง  เป็นทหารใส่หมวกถือปืน ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 5

หอระฆัง
    ตั้งอยู่หลังพระวิหาร ก่อแบบจีน ลักษณะทรวดทรงงดงาม

พระราชวังเดิม
    รั้วด้านทิศใต้ของวัด มีประตูเปิดเข้าพระราชวังเดิมที่อยู่ติดกันได้ แต่ทหารเรือประจำประตูไม่อนุญาตให้ผ่าน ไม่อนุญาตให้ชมพระราชวังเดิม

วัดอรุณราชวรารามเป็นโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ ชัยภูมิริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งให้พระปรางค์ใหญ่โดดเด่น งดงาม และเป็น silhouette ยามอาทิตย์อัสดงที่น่าประทับใจทุกวัน
การตกแต่งประดับด้วยกระเบื้องเคลือบหลากหลายวิธี แต่ละชิ้นงานละเอียด และสร้างงานศิลปะอย่างอิสระ น่านิยม
ค่ารถไปกลับ 29.50 บาท
ค่าเรือข้ามฟากไปกลับ 6.00 บาท

ข้อมูลค้นจาก
    นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
    th.wikipedia.org
    watarun.org