หลังรองท้องด้วยมื้อเช้าเรียบง่าย เราเดินจากบ้านปันสุข เลียบริมโขง ถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ราว 10.00 น.
เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขง
บัตรผ่านแดน ฝั่งไทย ราคา 46 บาท
เรือข้ามโขง 60 บาท ใช้เวลาราว 15 นาที
ด่านตรวจคนเข้าเมือง ฝั่งลาว ตั้ง 2 โต๊ะ โต๊ะแรก 60 บาท เป็นค่า ‘เหยียบแผ่นดิน’ โต๊ะที่สอง 50 บาท ไม่อธิบายว่าค่าอะไร เจ้าหน้าที่แต่ละคน ถมึงทึง ไม่เป็นมิตร!
รถตุ๊กตุ๊กหลายคันจอดรออยู่หน้าด่าน
เราตกลงนั่งรถชมเมือง คนขับขอ 200 บาท…
ตึกราม ร้านรวง ตลาด หน้าตาพื้นๆ
โรงเรียนประถม ตึกเรียนเก่า สนามดินกว้าง หญ้าหร็อมแหร็ม มีเครื่องเล่นให้เด็กปีนป่ายตั้งอยู่ 2-3 ชิ้น เสียดายวันนี้วันเสาร์ ไม่มีเด็กนักเรียน ยิ่งเงียบเหงาไร้ชีวิตชีวา
โรงเรียนมัธยมนาโบ ตึกใหม่ใหญ่โตกว่าโรงเรียนประถม
ตึกทำงานของรัฐ เรียก ‘แผนก’ ต่างๆ (คือกรม กระทรวง) ประดับธงชาติลาว
คนขับรถชวนให้ไปชมวัดสีโคดตะบอง วัดเก่าแก่อยู่ริมโขง ห่างจากเมืองท่าแขกไปทางใต้ราว 6 กิโลเมตร ขอค่ารถเพิ่มอีก 200 บาท…
อาณาจักรโคตรบูร (ก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 7) (ลาวเรียกอาณาจักรโคดตะบอง)
ตามตำนานอุรังคธาตุ เขตแดนของโคตรบูรอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง ฝั่งขวาตั้งแต่อุดรธานี หนองคาย นครพนม ลงไปจนจรดอุบลราชธานี ฝั่งซ้ายครอบคลุมแขวงบอลิคำไซ เวียงจันทน์ แขวงคำม่วน แขวงสุวรรณเขต แขวงสาละวัน แขวงจำปาสัก แขวงอัตตะปือ และแขวงเซกอง
เมืองศรีโคตรบูรเป็นเมืองเอก อยู่ลึกจากปากน้ำเซบั้งไฟ เข้าไปราว 15 กิโลเมตร (ปากน้ำเซบั้งไฟอยู่ตรงข้ามอำเภอธาตุพนม) ต่อมาเกิดโรคระบาด ต้องย้ายเมืองข้ามโขงมาตั้งใหม่ทางเหนือของภูกำพร้า ให้ชื่อว่า ‘มรุกขนคร’
อาณาจักรโคตรบูรเสื่อมอำนาจและสิ้นสุดลงเมื่อถูกเจ้าฟ้างุ้ม (1316-1374) แห่งอาณาจักรล้านช้างโจมตี โคตรบูรตกเป็นประเทศราชของล้านช้าง
วัดสีโคดตะบอง
จากซุ้มประตูรั้ววัดด้านตะวันออก เหนือซุ้มเขียนว่า ‘สีโคตบูน’ ทางเดินยาวราว 100 เมตร พาผ่านสนามหญ้ากว้าง และศาลากลางน้ำทรงจตุรมุข ตรงสู่พระธาตุ ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำโขง
พระธาตุโคตรบูร (ลาวเรียกพะทาดโคดตะบอง) ชาวบ้านเชื่อว่าสร้างแต่ครั้งอาณาจักรโคตรบูร (รุ่นเดียวกับพระธาตุพนม) บูรณะครั้งแรกสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราช (1534-1572) แห่งอาณาจักรล้านช้าง
พระธาตุตั้งบนฐานไพทีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 50 เมตร มีกำแพงแก้วโดยรอบ ตรงกลางกำแพงแก้วแต่ละด้าน (ยกเว้นด้านทิศเหนือ) มีทางบันไดขึ้นจากพื้นด้านนอก ตรงมุมทั้งสี่ของกำแพงแก้วประดิษฐานพระธาตุน้อย
ฐานพระธาตุรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 20 เมตร ชั้นที่สองและสาม ย่อมุม ทำเป็นรูปกลีบบัวสีขาว เจดีย์เหลี่ยมเรียวขึ้นไปทาสีทอง (แบบพระธาตุหลวงที่เวียงจันทน์) พระธาตุสูง 29 เมตร
หน้าพระธาตุด้านตะวันออก มีเสมาหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่
สิม (วิหาร) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระธาตุ หลังคาสามชั้นลด ศิลปะเชียงขวาง กลางสันหลังคามีช่อฟ้ารูปฉัตร 9 ยอด หน้าบันเป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับ มีวานรและช้างหมอบข้างซ้ายและขวา ภายในสิมประดิษฐานพระประธานปางสมาธิ สร้างแต่สมัยเจ้าอนุวงศ์ (ครองเวียงจันทน์ 1805-1827)
อาณาบริเวณวัดกว้างขวาง สิ่งก่อสร้างไม่มาก ไม่รกตา นักท่องเที่ยวไม่กี่คน ลมจากแม่น้ำโขงพัดโชยเย็นสบาย ช่างสงบสุขจริงๆ
จากรั้ววัดไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 100 เมตร เป็นวงเวียนอนุสาวรีย์พระยาโคดตะบอง ในท่ายืน มือขวาชี้ไปข้างหน้า มือซ้ายถือตะบองอันใหญ่ อนุสาวรีย์นี้สร้างเมื่อปี 2009
เรากลับด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าแขก จ่ายค่า ‘อำลาแผ่นดิน’ 60 บาท
เรือข้ามโขง 60 บาท
กลับถึงฝั่งนครพนมราว 12.00 น.
กินมื้อกลางวันที่ร้านสบายดี@นครพนม ปลาเนื้ออ่อนทอดกรอบแสนอร่อย แม่น้ำโขงยังคงเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญเสมอ
หลังอาหาร เราเดินเล่นไปตามถนนริมโขง
หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์
สถาปัตยกรรมเรียบง่าย หากสง่างาม ด้วยตั้งอยู่ตรงมุมสามเหลี่ยมที่ถนนศรีเทพแยกจากถนนชยางกูร หอนาฬิกาทรงสี่เหลี่ยม สูง 50 เมตร มีหน้าปัดบอกเวลาทั้งสี่ด้าน ด้านหน้าหอเป็นบ่อน้ำพุ (ชำรุด) ด้านหลังเป็นศาลาโล่งสองชั้น
ใต้หน้าปัดนาฬิกาด้านทิศเหนือ จารึกอักษรไทยและเวียดนาม ความว่า ‘ชาวเวียตนามอนุสรณ์ คราวย้ายกลับปิตุภูมิ 2503’
ช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) ชาวเวียดนามบางส่วนอพยพหนีภัยมาอยู่นครพนม กระทั่งวันที่ 7 พฤษภาคม 1954 สงครามยุติลงเมื่อฝรั่งเศสปราชัยอย่างย่อยยับในสมรภูมิ Dien Bien Phu ปิดฉากอาณานิคม ‘อินโดจีนของฝรั่งเศส’ ที่ดำรงมากว่าศตวรรษ
คนเวียดนามในนครพนมจึงทยอยเดินทางกลับบ้านเกิด และได้สร้างหอนาฬิกาไว้เป็นอนุสรณ์แห่งมิตรภาพเมื่อปี 1960
เราเดินกลับถึงบ้านปันสุข 14.00 น.
15.00 น. คุณขำ ขับรถ SUV มารับเราตามที่นัดไว้ ไปส่งสนามบิน เจ้าของบริษัทนครโคราช ส่งลูกค้าเองเพราะรถตู้เต็มหมดทุกคัน กิจการรับส่งคนเดินทางจากสนามบินคึกคักยิ่ง
คุณขำปรารภว่าสนามบินนครพนมเป็นปัจจัยหลักที่นำความเจริญสู่จังหวัด สร้างงานและสร้างฐานะแก่เธออย่างสำคัญ…
สนามบินนครพนมสร้างโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา! เริ่มเมื่อปี 1961 แล้วเสร็จปี 1962
ช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ขยายตัว ยังความประหวั่นแก่สหรัฐอเมริกา จนเกิดทฤษฎีโดมิโน (The Domino Theory) ซึ่งเสนอโดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Harry S. Truman เมื่อ Ho Chi Minh ประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในวันที่ 2 กันยายน 1945 ณ จัตุรัส Ba Dinh กรุง Hanoi ต่อหน้าฝูงชนกว่า 400,000 คน
สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนฝรั่งเศสที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลับเข้ามายึดครองอินโดจีนต่อ อันนำไปสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและสร้างรายได้มหาศาลให้สหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแรงจูงใจสำคัญ ดังนั้นกว่าร้อยละ 80 ของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฝรั่งเศสใช้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งนี้ จึงมาจากสหรัฐอเมริกา
ความปราชัยหมดรูปของฝรั่งเศสที่ Dien Bien Phu (1954) ทำให้ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ประกาศว่านี่เป็น 'falling domino' สำทับการเข้าแทรกแซงเต็มรูปแบบของสหรัฐอเมริกา สวมรอยฝรั่งเศสที่จำต้องถอนตัวออกไปจากอินโดจีน และที่สุดนำไปสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง (1960-1975) หรือสงครามเวียดนาม (ชื่อที่สหรัฐอเมริกาเรียก) หรือสงครามอเมริกัน (ชื่อที่เวียดนามเรียก)
รัฐบาลไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ทำ ‘ข้อตกลงสุภาพบุรุษ’ (gentleman’s agreement) กับสหรัฐอเมริกาให้ใช้พื้นที่ของประเทศไทยในการทำสงครามเวียดนามและเลยเถิดถึง ‘สงครามที่ไม่ประกาศ’ ในลาว เริ่มด้วยการสร้างฐานบิน 7 แห่ง สำหรับกองทัพสหรัฐอเมริกาใช้ส่งกำลังบำรุงและส่งเครื่องบินโจมตีทางอากาศต่อเวียดนาม ฐานบิน 7 แห่งนี้ได้แก่ อู่ตะเภา ตาคลี อุดร นครพนม อุบล โคราช และดอนเมือง
คุณโชคชัย บูลกุล เจ้าของฟาร์มโชคชัย ผู้เป็นที่รู้จัก บันทึกไว้ว่า ช่วงปี 1965-1969 เขาได้มีส่วนร่วมกับกองทัพสหรัฐอเมริกา ก่อสร้างสนามบิน 8 แห่ง 6 แห่งในไทย ได้แก่ ตาคลี สัตหีบ โคราช อุบล อุดร และนครพนม กับอีก 2 แห่งนอกไทย ได้แก่ ปากเซ ลาว และเวียดนาม
เขาเริ่มต้นด้วยการให้เช่ารถตัก รถดัมพ์ รถผสมปูน ที่อุดร, ให้เช่าถังเก็บน้ำมันขนาด 20,000 ลิตร ที่ตาคลี, ต่อมาก่อสร้างทางวิ่ง ราดยางมะตอย ที่โคราช, ปรับปรุงลานบินที่อุดร, ติดตั้งเครื่องปั่นไฟส่องสว่างให้เครื่องบินลงจอดตอนกลางคืน ตลอดจนถึงขนาดรับจ้างขุดระเบิดที่เครื่องบินต้องปลดลงหลุมดินก่อนลงจอดที่นครพนม (กรณีเครื่องบินนั้นทิ้งระเบิดไม่หมดในเวียดนาม)
รายได้อย่างงามจากธุรกิจเหล่านี้ ทำให้คุณโชคชัย บูลกุล ในวัยยี่สิบเศษ ถึงกับตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจว่า ‘โชคชัยเกิดแล้ว’ เงินแสนที่เขาหาได้ภายในเวลาเพียง 30 วัน เมื่อคราวให้เช่ารถตัก รถดัมพ์ รถผสมปูน ที่อุดร เป็นจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งที่จะตามมา
กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา (The United States Air Force, USAF) ส่งเครื่องบินรบจำนวนมากมาประจำการในประเทศไทยตั้งแต่ปี 1961 ถึง 1975 กว่าร้อยละ 80 ของเครื่องบินอเมริกันที่ทิ้งระเบิดถล่มเวียดนามขึ้นจากฐานบินในประเทศไทย และช่วงปี 1969 มีนักบินอเมริกันประจำการในไทยมากกว่าในเวียดนามใต้
...ดอลลาร์สะพัด...
คำอีสานกล่าวไว้ว่า
‘ไปเสิกไปข่า ไปค่าไปตั๋วะ’
ไปศึกไปฆ่า ไปค้าไปมุสา
เช่นนั้นแล้ว ไปค้าสงครามจะเป็นขนาดไหนหนอ?...
‘ข้อตกลงสุภาพบุรุษ’ ได้นำความมั่งคั่ง มั่นคง สู่ ‘ชนชั้นนำ’ ของไทยอย่างสำคัญ
น่ายินดี วันนี้สนามบินนครพนมเป็นสนามบินพลเรือน เป็นสนามบินพาณิชย์
เครื่องบินออกตามเวลา 16.55 น. เพียง 1 ชั่วโมงต่อมา ก็ร่อนลงดอนเมือง
นครพนม...นครแห่งความหลัง นครแห่งความรัก...
กว่า 35 ปี ที่จากลา คิดถึงเธอเสมอ...
ข้อมูลค้นจาก
wikipedia.org
ศรีศักร วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: มติชน. 2546.
ศรัณย์ บุญประเสริฐ. คู่มือนำเที่ยวหลวงพระบาง. สำนักพิมพ์สารคดี. 2549.
seabeemuseum.wordpress.com
โชคชัย บูลกุล. ผมฝันอยากเป็นคาวบอยตั้งแต่เด็กๆ. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง. 2552.