April 28, 2020

Thakhek: พะทาดโคดตะบอง: 19.11.2016

ตื่นแต่เช้าหวังชมอาทิตย์ขึ้นเหนือโขง แม้ท้องฟ้ามีเมฆเป็นแถบขวาง กระนั้นยังมีช่องว่างพอดีให้แสงทองของอาทิตย์อุทัยฉายออกมาอย่างงดงาม

หลังรองท้องด้วยมื้อเช้าเรียบง่าย เราเดินจากบ้านปันสุข เลียบริมโขง ถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ราว 10.00 น.
เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขง
     บัตรผ่านแดน ฝั่งไทย ราคา 46 บาท
     เรือข้ามโขง 60 บาท ใช้เวลาราว 15 นาที
     ด่านตรวจคนเข้าเมือง ฝั่งลาว ตั้ง 2 โต๊ะ โต๊ะแรก 60 บาท เป็นค่า ‘เหยียบแผ่นดิน’ โต๊ะที่สอง 50 บาท ไม่อธิบายว่าค่าอะไร เจ้าหน้าที่แต่ละคน ถมึงทึง ไม่เป็นมิตร!
     รถตุ๊กตุ๊กหลายคันจอดรออยู่หน้าด่าน
     เราตกลงนั่งรถชมเมือง คนขับขอ 200 บาท…

ตึกราม ร้านรวง ตลาด หน้าตาพื้นๆ
     โรงเรียนประถม ตึกเรียนเก่า สนามดินกว้าง หญ้าหร็อมแหร็ม มีเครื่องเล่นให้เด็กปีนป่ายตั้งอยู่ 2-3 ชิ้น เสียดายวันนี้วันเสาร์ ไม่มีเด็กนักเรียน ยิ่งเงียบเหงาไร้ชีวิตชีวา
     โรงเรียนมัธยมนาโบ ตึกใหม่ใหญ่โตกว่าโรงเรียนประถม
     ตึกทำงานของรัฐ เรียก ‘แผนก’ ต่างๆ (คือกรม กระทรวง) ประดับธงชาติลาว

คนขับรถชวนให้ไปชมวัดสีโคดตะบอง วัดเก่าแก่อยู่ริมโขง ห่างจากเมืองท่าแขกไปทางใต้ราว 6 กิโลเมตร ขอค่ารถเพิ่มอีก 200 บาท…

อาณาจักรโคตรบูร (ก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 7) (ลาวเรียกอาณาจักรโคดตะบอง)
     ตามตำนานอุรังคธาตุ เขตแดนของโคตรบูรอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง ฝั่งขวาตั้งแต่อุดรธานี หนองคาย นครพนม ลงไปจนจรดอุบลราชธานี ฝั่งซ้ายครอบคลุมแขวงบอลิคำไซ เวียงจันทน์ แขวงคำม่วน แขวงสุวรรณเขต แขวงสาละวัน แขวงจำปาสัก แขวงอัตตะปือ และแขวงเซกอง
     เมืองศรีโคตรบูรเป็นเมืองเอก อยู่ลึกจากปากน้ำเซบั้งไฟ เข้าไปราว 15 กิโลเมตร (ปากน้ำเซบั้งไฟอยู่ตรงข้ามอำเภอธาตุพนม) ต่อมาเกิดโรคระบาด ต้องย้ายเมืองข้ามโขงมาตั้งใหม่ทางเหนือของภูกำพร้า ให้ชื่อว่า ‘มรุกขนคร’
     อาณาจักรโคตรบูรเสื่อมอำนาจและสิ้นสุดลงเมื่อถูกเจ้าฟ้างุ้ม (1316-1374) แห่งอาณาจักรล้านช้างโจมตี โคตรบูรตกเป็นประเทศราชของล้านช้าง

วัดสีโคดตะบอง
     จากซุ้มประตูรั้ววัดด้านตะวันออก เหนือซุ้มเขียนว่า ‘สีโคตบูน’ ทางเดินยาวราว 100 เมตร พาผ่านสนามหญ้ากว้าง และศาลากลางน้ำทรงจตุรมุข ตรงสู่พระธาตุ ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำโขง
     พระธาตุโคตรบูร (ลาวเรียกพะทาดโคดตะบอง) ชาวบ้านเชื่อว่าสร้างแต่ครั้งอาณาจักรโคตรบูร (รุ่นเดียวกับพระธาตุพนม) บูรณะครั้งแรกสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราช (1534-1572) แห่งอาณาจักรล้านช้าง
     พระธาตุตั้งบนฐานไพทีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 50 เมตร มีกำแพงแก้วโดยรอบ ตรงกลางกำแพงแก้วแต่ละด้าน (ยกเว้นด้านทิศเหนือ) มีทางบันไดขึ้นจากพื้นด้านนอก ตรงมุมทั้งสี่ของกำแพงแก้วประดิษฐานพระธาตุน้อย
     ฐานพระธาตุรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 20 เมตร ชั้นที่สองและสาม ย่อมุม ทำเป็นรูปกลีบบัวสีขาว เจดีย์เหลี่ยมเรียวขึ้นไปทาสีทอง (แบบพระธาตุหลวงที่เวียงจันทน์) พระธาตุสูง 29 เมตร
     หน้าพระธาตุด้านตะวันออก มีเสมาหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่
     สิม (วิหาร) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระธาตุ หลังคาสามชั้นลด ศิลปะเชียงขวาง กลางสันหลังคามีช่อฟ้ารูปฉัตร 9 ยอด หน้าบันเป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับ มีวานรและช้างหมอบข้างซ้ายและขวา ภายในสิมประดิษฐานพระประธานปางสมาธิ สร้างแต่สมัยเจ้าอนุวงศ์ (ครองเวียงจันทน์ 1805-1827)
     อาณาบริเวณวัดกว้างขวาง สิ่งก่อสร้างไม่มาก ไม่รกตา นักท่องเที่ยวไม่กี่คน ลมจากแม่น้ำโขงพัดโชยเย็นสบาย ช่างสงบสุขจริงๆ

จากรั้ววัดไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 100 เมตร เป็นวงเวียนอนุสาวรีย์พระยาโคดตะบอง ในท่ายืน มือขวาชี้ไปข้างหน้า มือซ้ายถือตะบองอันใหญ่ อนุสาวรีย์นี้สร้างเมื่อปี 2009

เรากลับด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าแขก จ่ายค่า ‘อำลาแผ่นดิน’ 60 บาท
เรือข้ามโขง 60 บาท
กลับถึงฝั่งนครพนมราว 12.00 น.
กินมื้อกลางวันที่ร้านสบายดี@นครพนม ปลาเนื้ออ่อนทอดกรอบแสนอร่อย แม่น้ำโขงยังคงเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญเสมอ

หลังอาหาร เราเดินเล่นไปตามถนนริมโขง

หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์
     สถาปัตยกรรมเรียบง่าย หากสง่างาม ด้วยตั้งอยู่ตรงมุมสามเหลี่ยมที่ถนนศรีเทพแยกจากถนนชยางกูร หอนาฬิกาทรงสี่เหลี่ยม สูง 50 เมตร มีหน้าปัดบอกเวลาทั้งสี่ด้าน ด้านหน้าหอเป็นบ่อน้ำพุ (ชำรุด) ด้านหลังเป็นศาลาโล่งสองชั้น
     ใต้หน้าปัดนาฬิกาด้านทิศเหนือ จารึกอักษรไทยและเวียดนาม ความว่า ‘ชาวเวียตนามอนุสรณ์ คราวย้ายกลับปิตุภูมิ 2503’
     ช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) ชาวเวียดนามบางส่วนอพยพหนีภัยมาอยู่นครพนม กระทั่งวันที่ 7 พฤษภาคม 1954 สงครามยุติลงเมื่อฝรั่งเศสปราชัยอย่างย่อยยับในสมรภูมิ Dien Bien Phu ปิดฉากอาณานิคม ‘อินโดจีนของฝรั่งเศส’ ที่ดำรงมากว่าศตวรรษ
     คนเวียดนามในนครพนมจึงทยอยเดินทางกลับบ้านเกิด และได้สร้างหอนาฬิกาไว้เป็นอนุสรณ์แห่งมิตรภาพเมื่อปี 1960
   
เราเดินกลับถึงบ้านปันสุข 14.00 น.

15.00 น. คุณขำ ขับรถ SUV มารับเราตามที่นัดไว้ ไปส่งสนามบิน เจ้าของบริษัทนครโคราช ส่งลูกค้าเองเพราะรถตู้เต็มหมดทุกคัน กิจการรับส่งคนเดินทางจากสนามบินคึกคักยิ่ง
     คุณขำปรารภว่าสนามบินนครพนมเป็นปัจจัยหลักที่นำความเจริญสู่จังหวัด สร้างงานและสร้างฐานะแก่เธออย่างสำคัญ…

สนามบินนครพนมสร้างโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา! เริ่มเมื่อปี 1961 แล้วเสร็จปี 1962

ช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ขยายตัว ยังความประหวั่นแก่สหรัฐอเมริกา จนเกิดทฤษฎีโดมิโน (The Domino Theory) ซึ่งเสนอโดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Harry S. Truman เมื่อ Ho Chi Minh ประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในวันที่ 2 กันยายน 1945 ณ จัตุรัส Ba Dinh กรุง Hanoi ต่อหน้าฝูงชนกว่า 400,000 คน
     สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนฝรั่งเศสที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลับเข้ามายึดครองอินโดจีนต่อ อันนำไปสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและสร้างรายได้มหาศาลให้สหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแรงจูงใจสำคัญ ดังนั้นกว่าร้อยละ 80 ของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฝรั่งเศสใช้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งนี้ จึงมาจากสหรัฐอเมริกา
     ความปราชัยหมดรูปของฝรั่งเศสที่ Dien Bien Phu (1954) ทำให้ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ประกาศว่านี่เป็น 'falling domino' สำทับการเข้าแทรกแซงเต็มรูปแบบของสหรัฐอเมริกา สวมรอยฝรั่งเศสที่จำต้องถอนตัวออกไปจากอินโดจีน และที่สุดนำไปสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง (1960-1975) หรือสงครามเวียดนาม (ชื่อที่สหรัฐอเมริกาเรียก) หรือสงครามอเมริกัน (ชื่อที่เวียดนามเรียก)
     รัฐบาลไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ทำ ‘ข้อตกลงสุภาพบุรุษ’ (gentleman’s agreement) กับสหรัฐอเมริกาให้ใช้พื้นที่ของประเทศไทยในการทำสงครามเวียดนามและเลยเถิดถึง ‘สงครามที่ไม่ประกาศ’ ในลาว เริ่มด้วยการสร้างฐานบิน 7 แห่ง สำหรับกองทัพสหรัฐอเมริกาใช้ส่งกำลังบำรุงและส่งเครื่องบินโจมตีทางอากาศต่อเวียดนาม ฐานบิน 7 แห่งนี้ได้แก่ อู่ตะเภา ตาคลี อุดร นครพนม อุบล โคราช และดอนเมือง
     คุณโชคชัย บูลกุล เจ้าของฟาร์มโชคชัย ผู้เป็นที่รู้จัก บันทึกไว้ว่า ช่วงปี 1965-1969 เขาได้มีส่วนร่วมกับกองทัพสหรัฐอเมริกา ก่อสร้างสนามบิน 8 แห่ง 6 แห่งในไทย ได้แก่ ตาคลี สัตหีบ โคราช อุบล อุดร และนครพนม กับอีก 2 แห่งนอกไทย ได้แก่ ปากเซ ลาว และเวียดนาม
     เขาเริ่มต้นด้วยการให้เช่ารถตัก รถดัมพ์ รถผสมปูน ที่อุดร, ให้เช่าถังเก็บน้ำมันขนาด 20,000 ลิตร ที่ตาคลี, ต่อมาก่อสร้างทางวิ่ง ราดยางมะตอย ที่โคราช, ปรับปรุงลานบินที่อุดร, ติดตั้งเครื่องปั่นไฟส่องสว่างให้เครื่องบินลงจอดตอนกลางคืน ตลอดจนถึงขนาดรับจ้างขุดระเบิดที่เครื่องบินต้องปลดลงหลุมดินก่อนลงจอดที่นครพนม (กรณีเครื่องบินนั้นทิ้งระเบิดไม่หมดในเวียดนาม)
     รายได้อย่างงามจากธุรกิจเหล่านี้ ทำให้คุณโชคชัย บูลกุล ในวัยยี่สิบเศษ ถึงกับตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจว่า ‘โชคชัยเกิดแล้ว’ เงินแสนที่เขาหาได้ภายในเวลาเพียง 30 วัน เมื่อคราวให้เช่ารถตัก รถดัมพ์ รถผสมปูน ที่อุดร เป็นจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งที่จะตามมา
     กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา (The United States Air Force, USAF) ส่งเครื่องบินรบจำนวนมากมาประจำการในประเทศไทยตั้งแต่ปี 1961 ถึง 1975 กว่าร้อยละ 80 ของเครื่องบินอเมริกันที่ทิ้งระเบิดถล่มเวียดนามขึ้นจากฐานบินในประเทศไทย และช่วงปี 1969 มีนักบินอเมริกันประจำการในไทยมากกว่าในเวียดนามใต้
     ...ดอลลาร์สะพัด...

คำอีสานกล่าวไว้ว่า
‘ไปเสิกไปข่า ไปค่าไปตั๋วะ’
ไปศึกไปฆ่า ไปค้าไปมุสา  
เช่นนั้นแล้ว ไปค้าสงครามจะเป็นขนาดไหนหนอ?...

‘ข้อตกลงสุภาพบุรุษ’ ได้นำความมั่งคั่ง มั่นคง สู่ ‘ชนชั้นนำ’ ของไทยอย่างสำคัญ

น่ายินดี วันนี้สนามบินนครพนมเป็นสนามบินพลเรือน เป็นสนามบินพาณิชย์
เครื่องบินออกตามเวลา 16.55 น. เพียง 1 ชั่วโมงต่อมา ก็ร่อนลงดอนเมือง

นครพนม...นครแห่งความหลัง นครแห่งความรัก...
กว่า 35 ปี ที่จากลา คิดถึงเธอเสมอ...


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     ศรีศักร วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: มติชน. 2546.
     ศรัณย์ บุญประเสริฐ. คู่มือนำเที่ยวหลวงพระบาง. สำนักพิมพ์สารคดี. 2549.
     seabeemuseum.wordpress.com
     โชคชัย บูลกุล. ผมฝันอยากเป็นคาวบอยตั้งแต่เด็กๆ. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง. 2552.
   

April 13, 2020

Nakhon Phanom: รอบเมือง: 18.11.2016

ออกจากอนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ ลุงฮงขับรถลัดเลาะไปตามถนนเลียบอ่างเก็บน้ำหนองญาติ ราว 3 กิโลเมตร ก็บรรจบกับทางหลวง 2033 ตรงเทศบาลตำบลหนองญาติ ต่อไปอีก 300 เมตร ถึงศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานครพนม พื้นที่กว้างขวาง ภายในเปิดให้ชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและหอเฉลิมพระเกียรติ อาคารทั้งสองห่างกันราว 500 เมตร รถบัสหลายคันพาเด็กนักเรียนตัวน้อยมากับครู บรรยากาศคึกคัก

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ‘โลกของปลาแม่น้ำโขง’
     จัดแสดงปลาน้ำจืด เกือบ 100 ชนิด จากแม่น้ำโขง แม่น้ำสงคราม และแม่น้ำก่ำ สามสายน้ำสำคัญของนครพนม ตู้ปลาขนาดใหญ่ อุโมงค์ปลา และแววตาเป็นประกายของเด็กๆ ทำให้พิพิธภัณฑ์มีชีวิตชีวา นอกจากนี้ ยังมีแท็งค์ปลาบึก ราชินีแห่งแม่น้ำโขง แหวกว่ายอวดโฉม น่าตื่นตาตื่นใจ

หอเฉลิมพระเกียรติราชวงศ์จักรี
     อาคารขนาดใหญ่ ทรงจตุรมุข หันหน้าไปทางตะวันออก ตึกยาวตามแนวตะวันออก-ตกหลังคาจั่วสามชั้นลด ภายในมี 2 ชั้น
     ชั้นล่าง พื้นหินขัดเงา จัดแสดงภาพเขียนสีน้ำมัน รัชกาลที่ 1-9 และนิทรรศการเรื่องราชวงศ์จักรี
     ชั้นบน จัดแสดงเอกลักษณ์สำคัญทางมนุษยศาสตร์ของนครพนม: 8 พระธาตุ 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ
        8 พระธาตุ จัดแสดงด้วยภาพ คือ
           พระธาตุนคร วัดมหาธาตุ อำเภอเมือง
           พระธาตุท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน
           พระธาตุหินอ่อน วัดโพธิ์ไชย อำเภอท่าอุเทน
           พระธาตุพนม อำเภอธาตุพนม
           พระธาตุเรณู อำเภอเรณูนคร
           พระธาตุศรีคุณ อำเภอนาแก
           พระธาตุมหาชัย อำเภอปลาปาก
           พระธาตุประสิทธิ์ อำเภอนาหว้า
        8 ชนเผ่า จัดแสดงวิถีชีวิต ประเพณี ของ 8 ชนเผ่า อันได้แก่ ไทข่า ไทโส้ ไทญ้อ ไทกวน ไทกะเลิง ผู้ไท ไทแสก ไทอีสาน นอกจากนี้ ยังจัดแสดงชุดแต่งกายประจำชนเผ่า ทั้งชายและหญิง แบบ ผ้า สีสัน ลวดลาย ล้วนงดงาม น่าสนใจ
        2 เชื้อชาติ จัดแสดงวิถีชีวิต ประเพณี ของ 2 เชื้อชาติ คือ จีน และเวียดนาม

เที่ยงเศษ เราออกจากหนองญาติ กลับเข้าเมือง พักกินมื้อกลางวันที่ ‘เรือนริมน้ำ’ ถนนสุนทรวิจิตร ร้านอาหารตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง บรรยากาศผ่อนคลาย

หลังอาหาร เราเดินทางต่อ...วัดนักบุญอันนา หนองแสง ห่างไปเพียง 500 เมตร

วัดนักบุญอันนา หนองแสง
     วัดคาธอลิก สร้างเมื่อปี 1926 (พ.ศ. 2469) อาณาบริเวณกว้างขวาง ปลูกต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม
     จากถนนสุนทรวิจิตร (212) ถนนเลียบโขง ผ่านซุ้มรั้ววัดเข้าไปภายใน ลานกว้างด้านหน้ามีประติมากรรมรูปนักบุญอันนา (มารดา) ยืนอยู่หลัง สองแขนโอบไหล่พระนางมารี (บุตรสาว) ที่ยืนอยู่หน้า ดูอ่อนโยน อบอุ่น
     โบสถ์หันหน้าไปทางตะวันออกสู่แม่น้ำโขง ตึกเป็นหอคอยคู่ทรงสี่เหลี่ยมขนาบสองข้าง ส่วนบนหอคอยทำเป็นปิรามิดเรียวขึ้นไป ยอดเป็นไม้กางเขนโดดเด่น ตรงฐานปิรามิดเป็นดาดฟ้าเดินได้รอบ มีสะพานทางเดินโค้งเชื่อมดาดฟ้าหอคอยทั้งสองเข้าด้วยกัน
     ภายในโบสถ์ กำลังมีพิธีอาลัยผู้ตายก่อนฝัง เราจึงไม่ได้เข้าไปชม
     ถัดไปทางทิศใต้ของโบสถ์ เป็นตึกมูลนิธิบาทหลวงเอดัวรด์นำลาภ (1952) ก่อตั้งโดยคุณพ่อเอดัวรด์ (ยอแซฟ) ถัง นำลาภ (1893-1965) เจ้าอาวาสวัดนักบุญอันนา หนองแสง ช่วง 1929-1964 สถาปัตยกรรมของตึกงดงาม หากรกร้าง รอการบูรณะ?

ออกจากวัดนักบุญอันนา รถแล่นเลียบโขงลงใต้ไป 800 เมตร เลี้ยวขวาเข้าจวนผู้ว่าฯ หลังเก่า

พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม
     ตึกหลังนี้เป็นบ้านเก่าของพระยาพนมนครานุรักษ์ (อุ้ย นาครทรรภ) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2454-2468) สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2457 ต่อมาปี พ.ศ. 2468 ขายให้กระทรวงมหาดไทยใช้เป็นจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจนถึงปี พ.ศ. 2527
     กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนตึกเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. 2548 บูรณะและจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เมื่อปี พ.ศ. 2549
     ตึก 2 ชั้น หลังคาจั่ว มีหน้าต่างสูงโดยรอบทั้งชั้นบนและล่าง บานหน้าต่างและราวระเบียงไม้ทาสีเขียว ส่งให้ตึกสีเหลืองยิ่งงดงาม ประตูทางเข้าเป็นซุ้มโค้ง พื้นชั้นล่างปูกระเบื้องลายทแยงสลับสีขาวดำดูเคร่งขรึม
     สิ่งจัดแสดงได้แก่
          ห้องพื้นเมืองนคร เล่าเรื่องอาณาจักรโคตรบูร มรุกขนคร ก่อนเป็นนครพนม
          ห้องเจ้าเมืองเรืองนาม ประดับภาพผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนปัจจุบัน
          ห้องวัฒนธรรมหลากหลาย ของชนเผ่าต่างๆ
          ห้องเมื่อครั้งยังเสด็จ บันทึกการเสด็จเยี่ยมนครพนม 8 ครั้ง ของรัชกาลที่ 9 และพระราชินี
          ห้องคืนประทับแรม เป็นห้องพระบรรทมของรัชกาลที่ 9 และพระราชินี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498
          ห้องพสกนิกรแซ่ซ้อง แสดงภาพชาวบ้านรอรับเสด็จฯ เมื่อปี 2498 รวมทั้งภาพ ‘ยายตุ้มถวายดอกบัวเหี่ยว 3 ดอก’
          ห้องเปิดบันทึกท่านสง่า บันทึกการปรับปรุงจวนเพื่อรับเสด็จฯ เมื่อปี 2498 โดยท่านสง่า ปลัดจังหวัด
     ด้านหลังจวน มีเรือนหลังเล็กชั้นเดียว เรียก ‘เฮือนเฮือไฟ’ เล่าเรื่องประเพณี ‘ไหลเรือไฟ’ ของชาวนครพนมในวันออกพรรษา แบ่งเป็น 4 ห้อง ได้แก่ สืบสานประเพณี งามตาไหลเรือไฟ อัคคีแห่งศรัทธา และรวมใจไทนคร
             
จากพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าฯ รถแล่นเข้าถนนอภิบาลบัญชา ผ่านโรงพยาบาลนครพนม
     กว่า 35 ปี ที่จากมา ตึกรามเปลี่ยนไปมาก หน้าโรงพยาบาลติดป้าย 4 ภาษา: ไทย อังกฤษ ลาว เวียดนาม สะท้อนพื้นเพหลากหลายของคนนครพนม

ถัดมาราว 900 เมตร ถึงหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
     ตึก 3 ชั้น สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2458 เดิมเป็นศาลากลางจังหวัด ปรับปรุงเป็นหอสมุดเมื่อปี 2537 ได้รับคัดเลือกเป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่นปี 2540 และกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน
     บริเวณด้านหน้าตึกเป็นสนามกว้าง มีไม้ประดับตัดแต่งเป็นระเบียบ ตรงกลางประดิษฐานอนุสาวรีย์พระรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5
     ตึกหอสมุดใหญ่โตโอ่อ่า พื้นที่เกือบ 1,300 ตารางเมตร บันไดและราวบันไดไม้ขัดเงางดงาม จัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ ได้แก่ ห้องหนังสือทั่วไป ห้องหนังสืออ้างอิง ห้องวารสารและหนังสือพิมพ์ ห้องหนูรักหนังสือ ห้องโสตทัศนศึกษา และห้องศรีโคตรบูร (บริการเอกสารภาษาโบราณ เช่น สมุดไทย คัมภีร์ใบลาน รวมทั้งสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวกับท้องถิ่นอีสาน)
     ภูมิทัศน์ทั้งภายในและภายนอกหอสมุดรื่นรมย์ ชวนให้นั่งอ่านหนังสือจริงๆ
   
ออกจากหอสมุด รถแล่นลงใต้ ราว 3 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายวกกลับเข้าถนนสุนทรวิจิตร ถนนเลียบโขง เข้าไปจอดในวัดมหาธาตุ

วัดมหาธาตุ
     เป็นวัดเก่าแก่ เดิมชื่อ วัดมิ่งเมือง สร้างแต่ปี พ.ศ. 1150 โดยพระยามหาอำมาตย์ (ป้อม) แม่ทัพใหญ่จากเวียงจันทน์
     พระธาตุนคร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2465 ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง 5.85 เมตร สูง 24 เมตร เจดีย์ทรงบัวเหลี่ยมเรียว ประดับลายดอกไม้ร่วง
     รอบพระธาตุรายล้อมด้วยประติมากรรมสูงใหญ่จำนวนมาก ประดับลวดลายสีทองละลานตา บดบัง ทอนความสง่างามของพระธาตุลงอย่างน่าเสียดาย
   
จากวัดมหาธาตุ ลุงฮงขับรถต่อมาเพียง 2 นาที ถึงบ้านปันสุข เวลา 15.00 น.
ปิดทริปชมเมืองหนึ่งวันอันประทับใจ

นครพนม เมืองเก่าแก่ริมโขง ก่อนกำเนิดสยามประเทศ
นครพนม เมืองสงบ ผังเมืองงดงาม ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นน่าสนใจ น่าเรียนรู้
นครพนม เมืองที่รัก...


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     catholichaab.com