กว่า 35 ปี ที่จากลา คิดถึงเธอเสมอ...
08.35 น. เครื่องบินสีแดงพาเหินจากดอนเมือง เพียง 1.10 ชั่วโมงต่อมาก็ร่อนลงจอดที่สนามบินนครพนม
จากสนามบินเข้าเมืองด้วยรถตู้ของคุณขำ บริษัทนครโคราช
ระยะทาง 18 กิโลเมตร ตามทางหลวงสาย 22 (ถนนนิตโย) ราว 30 นาที ถึงบ้านปันสุข เวลา 10.40 น. ห้องพักยังทำไม่เสร็จ จึงฝากสัมภาระไว้
บ้านปันสุขตั้งอยู่บนถนนสุนทรวิจิตร ถนนเลียบแม่นำ้โขง เป็นตึก 3 ชั้น ห้องพักอยู่ชั้น 2 และ 3 รวม 8 ห้อง ห้องที่อยู่ด้านหน้ามีระเบียงชมโขง ฝั่งตรงข้ามแม่นำ้คือเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ประเทศลาว ไกลออกไปเป็นทิวเขาซ้อนกันหลายชั้นงดงามยิ่ง คุณรินนา มังคละคีรี เจ้าของบ้าน เป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดที่มีชื่อเสียง ก่อตั้งมาแต่ปี 1909 (พ.ศ. 2452)
ท้องฟ้าสีครามปลอดโปร่ง แสงแดดจ้า สงบลม ยังอ้าวเกินกว่าจะเดินเที่ยว ตัดสินใจไปธาตุพนม
11.30 น. โบกขึ้นรถโดยสารสองแถวคันโตที่แล่นผ่านหน้าบ้านปันสุขไปอำเภอธาตุพนม ระยะทาง 53 กิโลเมตรลงใต้จากอำเภอเมือง ถนนสุนทรวิจิตรเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวง 212 สายเลียบโขงตลอดความยาวด้านตะวันออกของจังหวัด รถจอดรับส่งคนรายทาง บันไดขึ้นลงท้ายรถกว้างขวาง แม่ค้าหาบของทั้งสาแหรกขึ้นรถได้โดยสะดวก ข้างทางยังเป็นผืนนาเขียว สบายตา
12.30 น. ถึงธาตุพนม บริเวณคิวรถเป็นตลาดนัด ร้านขายของเรียงแถวเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ขายเสื้อผ้าพื้นเมืองลายงามน่าสนใจ แวะกินไก่ย่างส้มตำเป็นมื้อกลางวัน ก่อนเข้าไปวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
จากซุ้มประตูด้านทิศตะวันออกของระเบียงคด ผ่านอุโบสถที่อยู่ทางซ้ายและหอพระแก้วที่อยู่ทางขวา ตรงหน้าคือพระธาตุ สูงเด่น มีกำแพงแก้วล้อมรอบ 3 ชั้น ชั้นในสุดชิดพระธาตุเป็นเขตของสงฆ์
พระธาตุสูง 57.60 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ 12.33 เมตร
เรือนธาตุชั้นที่ 1 ทั้งสี่ด้าน มีประตูสำหรับเข้าภายในพระธาตุอยู่ตรงกลาง เหนือประตูทำเป็นซุ้มรูปกลีบบัว สองข้างประตูประดับด้วยเสาติดผนัง วางคั่นเป็นระยะๆ บนเสาแกะลวดลายพรรณพฤกษา คล้ายคลึงกับศิลปะจาม ถัดออกไปจนถึงขอบเป็นภาพสลักบนแผ่นอิฐแดง (หรือดินจี่) รูปคนขี่ช้าง คนขี่ม้า สันนิษฐานว่าเป็นภาพพญาจาก 5 เมือง ที่มาร่วมกันสร้างอูบมุงบรรจุพระอุรังคธาตุตามตำนานโบราณ ภาพสลักอิฐนี้เป็นส่วนเก่าแก่ที่สุด ด้วยเรือนธาตุชั้นที่ 1 มิได้พังเสียหายเมื่อคราวพระธาตุพนมทลายลงในปี 1975 และการก่อสร้างพระธาตุองค์ใหม่ได้สร้างครอบบนเรือนธาตุชั้นที่ 1 ของเดิมนี้
เรือนธาตุชั้นที่ 2 ทำเลียนแบบเรือนธาตุชั้นที่ 1
เจดีย์ ทรงบัวเหลี่ยมเรียวขึ้นไป อันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะล้านช้าง ประดับด้วยลายก้านต่อยอด ส่วนบนสุดของเจดีย์ครอบด้วยฉัตร
จากด้านหลังพระธาตุ ผ่านซุ้มประตูทิศตะวันตกของระเบียงคดออกไป เป็นลานต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสงบร่มเย็น
ตำนานอุรังคธาตุเล่าว่า เมื่อ 535 ปีก่อนคริสตกาล (พ.ศ. 8) พระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ได้นำพระอุรังคธาตุ (กระดูกหัวอก) ของพระพุทธเจ้า ไปประดิษฐาน ณ ภูกำพร้า ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ตรงข้ามเมืองศรีโคตรบูร (ลาวเรียกเมืองสีโคดตะบอง) เมืองเอกแห่งอาณาจักรโคตรบูร (ก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 7) โดยมีเจ้าเมืองหนองหานหลวง เจ้าเมืองหนองหานน้อย เจ้าเมืองจุลณี เจ้าเมืองอินทปัตถ์ และเจ้าเมืองศรีโคตรบูร ร่วมกันสร้างอูบมุงทรงสี่เหลี่ยม บรรจุพระอุรังคธาตุ
ต่อมาเกิดโรคระบาดในเมืองศรีโคตรบูร ต้องย้ายเมืองข้ามโขงมาตั้งใหม่ทางเหนือของภูกำพร้า ให้ชื่อว่า ‘มรุกขนคร’
การบูรณะพระธาตุครั้งแรกโดยพญาสุมิตรธรรมวงศา เจ้าเมืองมรุกขนคร
อาณาจักรโคตรบูรเสื่อมอำนาจและสิ้นสุดลงเมื่อถูกเจ้าฟ้างุ้ม (1316-1374) แห่งอาณาจักรล้านช้างโจมตี โคตรบูรตกเป็นประเทศราชของล้านช้าง
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 2 สมัยเจ้าโพธิสะราช (ครองราชย์ ?-1547) ต่อเนื่องสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราช (ครองราชย์ 1548-1572) แห่งอาณาจักรล้านช้าง
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 3 โดยเจ้าพระยานครพิชิตราชธานีศรีโคตรบูรหลวง (เจ้าหน่อเมือง) เจ้าเมืองมรุกขนคร เมื่อปี 1633
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 4 โดยราชครูโพนสะเม็ก แห่งเวียงจันทน์ เมื่อปี 1690-1692 เป็นการบูรณะครั้งใหญ่ จากอูบมุงแปลงเป็นเรือนธาตุ 2 ชั้น ถัดขึ้นไปก่อเป็นเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยมเรียว ประดับลายดอกไม้ร่วง ยอดเจดีย์ครอบด้วยฉัตร
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 5 โดยเจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ พร้อมกับเจ้าเมืองนครพนม และเจ้าเมืองมุกดาหาร เมื่อปี 1806-1807
ปี 1826-1828 เกิดศึกระหว่างเวียงจันทน์กับสยาม ใน 'สงครามกู้เอกราชของเจ้าอนุวงศ์' เพื่อปลดแอกประเทศราชจากสยาม (ไทยเรียก 'กบฏเจ้าอนุวงศ์') เจ้าอนุวงศ์ปราชัย เมืองเวียงจันทน์ถูกเผาทำลายราบ อาณาจักรเวียงจันทน์ถึงแก่การล่มสลาย ปราศจากเจ้าครองต่อไป แม้กว่า 30 ปีให้หลัง คณะสำรวจชาวฝรั่งเศสบันทึกไว้ว่าพบแต่ซากปรักรกร้างตรงที่เมืองเคยตั้งอยู่ ที่ราบสูงโคราชถูกผนวกเข้าเป็นส่วนของสยามทั้งหมด ประชาชนถูกกวาดต้อนย้ายถิ่นอย่างสิ้นเชิง การเทครัวพลเมืองลาวครั้งนี้เป็นการโยกถิ่นประชากรครั้งใหญ่มาก ส่งผลถึงปัจจุบันที่ประเทศลาวมีประชากรเพียง 7 ล้านคน ขณะที่ภาคอีสานของไทยมีประชากรเชื้อสายลาวถึง 22 ล้านคน
พระธาตุพนมถูกทิ้งร้าง ขาดการบำรุงดูแล เป็นเวลาเกือบร้อยปี...
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 6 ในปี 1900 พระเถระ 3 รูป จากเมืองอุบล คือพระอุปัชฌาย์ทา พระอาจารย์เสาร์ และพระอาจารย์มั่น ได้มานมัสการพระธาตุ เห็นพระธาตุเศร้าหมอง รกร้าง วิหารหลวงพังทลายเป็นกองอิฐ เป็นที่น่าสลดใจ จึงแต่งตั้งพ่อใหญ่ชาวธาตุพนมไปอาราธนาพระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นันตระ) วัดทุ่งศรีเมือง อุบล เป็นผู้นำบูรณะ ด้วยท่านเชี่ยวชาญทางศิลปกรรมและเป็นที่เคารพ การบูรณะแล้วเสร็จเมื่อปี 1901
ปี 1940 หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร ให้เสริมส่วนยอดพระธาตุครอบทับองค์เจดีย์เดิมไว้ภายใน เพิ่มความสูงพระธาตุจาก 43 เมตร เป็น 57 เมตร และเปลี่ยนลายดอกไม้ร่วงเป็นลายก้านต่อดอก สื่อนัยบางประการ เวลานั้นเป็นช่วงที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำเนินนโยบาย ‘ลัทธิชาตินิยม-ลัทธิทหาร’ มีการเดินขบวนของนิสิตนักศึกษาในวันที่ 8 ตุลาคม 1940 เรียกร้องดินแดนฝั่งซ้ายและฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่เสียไประหว่างปี 1893-1907 คืนจากฝรั่งเศส กรณีพิพิาทรุนแรงขึ้นเมื่อฝรั่งเศสโจมตีทิ้งระเบิดที่นครพนมในเดือนพฤศจิกายน 1940 ไทยตอบโต้ด้วยการโจมตีที่ท่าแขกและสุวรรณเขต การสู้รบดำเนินไปจนถึงเดือนมกราคม 1941 กองทัพไทยสามารถยึดดินแดนบางส่วนกลับคืนมา ทั้งในพื้นที่ของลาวและกัมพูชา...
วันที่ 11 สิงหาคม 1975 เวลา 19.38 น. พระธาตุพนมพังทลายลงไปทางทิศตะวันออกทั้งองค์ ทับสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงเสียหาย ได้แก่ กำแพงแก้วชั้นที่ 1-2 หอพระทิศเหนือและทิศใต้ ศาลาการเปรียญ และวิหารหอพระแก้ว
การล้มลงของพระธาตุก่อนวันสำคัญรุ่งขึ้น ยังความประหวั่นขวัญเสียอย่างยิ่ง เป็นเสมือนลางร้าย เวลานั้นการสู้รบระหว่างกองทัพไทยกับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย รุนแรงในหลายพื้นที่ ขณะเดียวกันสงครามอินโดจีนได้ทยอยยุติโดยชัยชนะเป็นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เขมรแดงยึดพนมเปญได้ในวันที่ 17 เมษายน 1975 กองทัพเวียดนามเหนือยึดไซ่ง่อนปลดปล่อยภาคใต้ได้ในวันที่ 30 เมษายน 1975 และแนวลาวรักชาติกำลังเตรียมพร้อมถึงขั้นยึดอำนาจทั้งประเทศลาว...
การรื้อถอน ขนย้าย ซากปรักขององค์พระธาตุ เริ่มต้นในวันที่ 8 กันยายน 1975
วันที่ 17-18 ตุลาคม 1975 พบพระอุรังคธาตุบนกองอิฐปูนที่พังจากเรือนธาตุชั้นที่ 2 การบรรจุซับซ้อนมาก พระอุรังคธาตุมีจำนวน 8 องค์ บรรจุอยู่ในผอบแก้ว ผอบแก้วอยู่ข้างในผอบทองคำ ผอบทองคำอยู่ข้างในตลับเงิน ตลับเงินอยู่ข้างในบุษบกทองคำ บุษบกทองคำอยู่ข้างในเจดีย์ศิลา เจดีย์ศิลาอยู่ข้างในผอูบสำริด ผอูบสำริดอยู่ในเรือนธาตุชั้นที่ 2
การก่อสร้างพระธาตุองค์ใหม่เริ่มในเดือนพฤษภาคม 1976 โดยสร้างครอบเรือนธาตุชั้นที่ 1 ของเดิมซึ่งมิได้พังทลายทั้งหมด งานก่อสร้างและงานประดับตกแต่งลวดลายทั้งปวงเสร็จเรียบร้อยปลายเดือนกุมภาพันธ์ 1979
พระธาตุพนม จากตำนานเล่าขานกว่าสองพันปี จึงยังคงเป็นจอมเจดีย์สองฝั่งโขง สืบแต่ครั้งอาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรเวียงจันทน์ จนถึงสมัยปัจจุบัน
15.20 น. ขึ้นรถตู้โดยสารที่มาจากมุกดาหาร กลับนครพนม ถึงบ้านปันสุข 16.00 น.
ตอนเย็น เราจูงมือกันเดินเลียบโขงไปท่าเรือลานกันเกรา ตรงข้ามถนนหน้าวัดโอกาส ลงเรือล่องโขงของเทศบาล
17.15 น. เรือออกจากท่า แล่นเลียบฝั่งขึ้นไปทางทิศเหนือ ผ่านวัดโอกาส หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าฯ และวัดนักบุญอันนา น่าเสียดายวันนี้เมฆมาก จึงไม่เห็นแสงทองของอาทิตย์อัสดงหลังวัดนักบุญอันนา
เรือแล่นตัดไปทางตะวันออกข้ามไปฟากประเทศลาว เลียบฝั่งลงใต้ ลมพัดเย็นสบาย แสงไฟจากบ้านเรือนริมน้ำมีเพียงเล็กน้อย ชายฝั่งจึงมืดมาก
เรือแล่นตัดกลับทางตะวันตกมายังฝั่งไทย แสงไฟสว่างไสวต่างจากฝั่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เรือค่อยๆ แล่นขึ้นเหนือผ่าน The River Hotel (CP Group), Fortune River View Hotel, วัดอินทร์แปลง, วัดมหาธาตุ แสงไฟส่องพระธาตุเด่นสง่า, วัดกลาง โบสถ์งดงาม, วัดโพธิ์ศรี, และพญาศรีสัตตนาคราช กำลังพ่นน้ำ
พญาศรีสัตตนาคราช หล่อด้วยทองเหลือง น้ำหนักรวม 9,000 กิโลกรัม เป็นรูปพญานาคขดหาง 7 เศียร ประดิษฐานบนแท่นฐานแปดเหลี่ยม กว้าง 6 เมตร ความสูงทั้งหมดรวมฐาน 15 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 3 ปี เพิ่งมีงานสมโภชเมื่อวันที่ 9-17 กันยายน 2016
เรือจอดที่ท่าเรือลานกันเกรา เวลา 18.30 น. เราเดินกลับมายังลานนาคราช
19.00 น. สำนักวัฒนธรรมนครพนม จัดพิธีถวายอาลัยรัชกาลที่ 9 ณ ลานนาคราช ตรงสามแยกถนนสุนทรวิจิตรตัดกับถนนนิตโย
รายการเริ่มด้วยหมอลำ แม่ฉวีวรรณ ดำเนิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) พ.ศ. 2536 จากอุบลราชธานี ท่านขับขานอย่างไพเราะ เสียงกังวาน ชัดเจน น่าประทับใจ
ต่อมาเป็นฟ้อน 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ ใช้คนนับหลายร้อย แต่งกายด้วยชุดประจำชนเผ่าและเชื้อชาติ ลวดลายสีสันหลากหลายน่าตื่นตา ขบวนตั้งแถวเต็มถนนนิตโย ยาวเหยียดสุดสายตา ท่วงท่าฟ้อนรำอ่อนช้อยงดงาม
สองข้างถนนสุนทรวิจิตร ถนนเลียบโขง คึกคักด้วยเพิงขายของกิน ของใช้ ข้าวจี่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น กลิ่นแบบนี้นี่เองที่ทำให้คนอีสานคิดถึงบ้าน บรรยากาศและอาหารท้องถิ่นชวนให้ผ่อนคลาย เอร็ดอร่อย เราเดินกลับบ้านปันสุขตอน 21.00 น.
ข้อมูลค้นจาก
wikipedia.org
manager.co.th
อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ (บก.). พระธาตุพนม. นนทบุรี: มติชน. 2557.
สมชาย นิลอาธิ (ถอดความ). ประวัติศาสตร์ฉบับกระทรวงศึกษาธิการฯ ลาว. สำนักพิมพ์มติชน. 2545.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, วิกัลย์ พงศ์พนิดานนท์ (บก.). จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับการเมืองไทยสมัยใหม่. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2540.
No comments:
Post a Comment