เมฆหนาทึบปกคลุมทิวเขา บดบังดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือโขง เพียงครู่เดียวแสงก็จ้าไปเสียแล้ว
ระหว่างรองท้องด้วยขนมปังกับกาแฟ ‘แก่น’ เด็กสาวผู้ทำทุกหน้าที่ในบ้านปันสุข โทรศัพท์ตาม ‘ลุงฮง’ เจ้าของรถตุ๊กตุ๊ก รถดัดแปลงจากมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่พ่วงท้ายด้วยกระบะโดยสาร ที่นั่งสองแถวตามยาวหันหน้าหากัน แต่ก่อนเรียก 'รถสกายแล็บ' (Skylab) เราตกลงเหมารถให้ลุงฮงขับตระเวนพาเที่ยวทั้งวันนี้
08.30 น. ออกเดินทาง จุดหมายสำคัญแรกคือบ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง
ลุงฮงขับพาเลี่ยงรถติดในเมืองไปตามถนนสารภาณนุสรณ์ ถนนสายแรกของนครพนม ทางสัญจรดั้งเดิมของชุมชนคนญวน เลี้ยวขวาเข้าถนนเลี่ยงเมือง (240) ไปราว 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนนิตโย (22) ไปอีก 1 กิโลเมตรเศษ ข้ามคลอง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนทางไปที่ว่าการอำเภอเมือง ผ่านวัดภูเขาทอง เพียง 2 กิโลเมตร ก็ถึงบ้านลุงโฮ เวลา 09.00 น….
Ho Chi Minh (1890-1969)
รัฐบุรุษ และประธานาธิบดี ผู้นำการปลดแอกอาณานิคมจากฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) ผู้นำการต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาในสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง (1960-1975) หรือสงครามเวียดนาม (ชื่อที่สหรัฐอเมริกาเรียก) หรือสงครามอเมริกัน (ชื่อที่เวียดนามเรียก) สู่การรวมประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด
ตอนเกิดชื่อ Nguyen Sinh Cung ที่หมู่บ้านในจังหวัด Nghe An ตอนกลางประเทศ เวลานั้นเวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้วตั้งแต่ปี 1863
อายุ 11 ปี บิดาเปลี่ยนชื่อให้เป็น Nguyen Tat Thanh (‘ผู้ประสบความสำเร็จ’) ตามจารีตในการเปลี่ยนชื่อเมื่อบุตรเข้าสู่วัยรุ่น
ครูสอนภาษาฝรั่งเศสแนะเขาว่า ‘หากต้องการเอาชนะคนฝรั่งเศส คุณต้องเข้าใจเขา และหากต้องการเข้าใจเขา คุณต้องเรียนรู้ภาษาของเขา’
ปี 1907-1909 Nguyen Tat Thanh เข้าศึกษาที่โรงเรียน Quoc Hoc (National Academy) เมือง Hue
ปี 1911 Nguyen Tat Thanh โดยสารเรือฝรั่งเศสออกจากเวียดนาม หลายปีจากนั้น เขาใช้ชีวิตตามเมืองต่างๆ อาทิ นิวยอร์ค บอสตัน ลอนดอน จนถึงปลายปี 1917 จึงย้ายไปฝรั่งเศส
ต้นปี 1919 เข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส ตีพิมพ์บทความต่อต้านลัทธิอาณานิคม
ปี 1919 ภายใต้ชื่อ Nguyen Ai Quoc (‘ผู้รักชาติ’) เขาส่ง ‘ข้อเสนอ 8 ประการ’ ต่อที่ประชุม Versailles Peace Conference ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) ยุติลง เรียกร้องสิทธิปกครองตนเอง หรือเอกราชโดยสมบูรณ์ ของเวียดนาม
ประธานาธิบดี Woodrow Wilson แห่งสหรัฐอเมริกา ตอบสนองต่อประเด็นอาณานิคมอย่างคลุมเครือ ขณะที่ Vladimir Lenin แห่งสหภาพโซเวียต ประกาศอย่างชัดเจนในปี 1920 เรียกร้องให้ประเทศคอมมิวนิสต์ในโลกตะวันตกร่วมต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชนทุกหนแห่งให้หลุดจากแอกอาณานิคม ท่าทีที่ต่างกันสุดขั้วดังกล่าวทำให้ Nguyen Ai Quoc เดินทางไปยังกรุงมอสโคว์เพื่อแสวงความสนับสนุนจากโซเวียต
ปี 1923 ร่วมประชุม First International Congress of Farmers ของ Comintern (Communist International) ที่กรุงมอสโคว์
ปี 1924-1927 ประจำที่ Guangzhou ในฐานะล่ามภาษารัสเซีย-จีน และเป็นผู้เชี่ยวชาญกิจการเอเชียของ Comintern นอกจากนี้ เขายังจัดฝึกอบรมทางการเมืองแก่ยุวชนปฏิวัติเวียดนาม
พฤษภาคม 1927 Nguyen Ai Quoc หนีการจับกุมของรัฐบาลก๊กมินตั๋ง จาก Guangzhou ไปฮ่องกง และต่อไปยังมอสโคว์ จากนั้น Comintern ส่งเขาไปฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมนี เป็นเวลาสั้นๆ ก่อนย้อนกลับมาเอเชีย เขาเดินทางผ่านสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี แล้วโดยสารเรือญี่ปุ่นมายังสยาม
กรกฎาคม 1928 Nguyen Ai Quoc ในวัยฉกรรจ์ (38 ปี) เดินทางถึงกรุงเทพฯ
เวลานั้น ชาวเวียดนามส่วนหนึ่งที่ต่อต้านการยึดครองของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ได้อพยพมาปักหลักอยู่แถบภาคอีสานของสยาม ตั้งแต่ช่วงหลังของศตวรรษที่ 19
ปี 1928-1930 Nguyen Ai Quoc ซึ่งเรียกตนเองว่า ‘คุณพ่อจิ้น’ (Father Chin) เดินทางไปพำนักตามชุมชนชาวเวียดนามในจังหวัดต่างๆ อาทิ พิจิตร อุดรธานี หนองคาย สกลนคร มุกดาหาร นครพนม และอุบลราชธานี จุดประสงค์คือการจัดตั้ง ‘สันนิบาตยุวชนปฏิวัติแห่งเวียดนาม’ (Vietnam Revolutionary Youth League) เพื่อนำสู่ Comintern ในเอเชีย
เขาหนุนกำลังใจชุมชนชาวเวียดนามให้ดำเนินชีวิตกลมกลืน ร่วมมือ และเป็นมิตรกับชาวสยามในพื้นที่ ตลอดจนให้เรียนรู้ภาษาไทย
ที่บ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง นครพนม ‘คุณพ่อจิ้น’ พำนักกับ หว่อตร่องต่าย สหายสนิท…
ประตูรั้วเปิดกว้าง เสาปูนด้านซ้ายปักธงชาติไทย ด้านขวาปักธงชาติเวียดนาม ใต้ซุ้มประตูรั้วแขวนป้ายผ้าสีขาว 2 ผืนต่อกัน ผืนหนึ่งมีตัวหนังสือสีแดงเขียนว่า ‘บ้านลุงโฮจิมิน’ อีกผืนเขียนว่า ‘Ho Chi Minh’s House’
ภายในบริเวณร่มครึ้มด้วยไม้ใหญ่ มีต้นมะเฟืองที่ปักป้ายไว้ว่าปลูกโดยลุงโฮ
ถนนลูกรังโรยกรวด พาผ่านแนวไม้ดอกสองฝั่ง ตรงสู่บ้านไม้ชั้นเดียว
ประตูบ้านอยู่ตรงกลาง ชายคาแขวนบังแดดทำด้วยไผ่ขัดแตะ บังประตูเกือบถึงพื้น ผนังด้านหน้ามีหน้าต่างข้างละช่อง เหนือหน้าต่างข้างซ้ายติดป้ายเขียนว่า ‘A place where President Ho Chi Minh used to stay.’
ในบ้านแบ่งเป็นห้องนอนเล็กๆ 2 ห้อง และห้องโถงทำงาน ด้านหนึ่งตั้งหิ้งบูชา บนผนังหลังหิ้งบูชามีรูปหว่อตร่องต่าย และรูปโฮจิมินห์ (ในวัยอาวุโสซึ่งเป็นที่คุ้นตา) แขวนอยู่คู่กัน นอกจากนี้ยังมีรูปโฮจิมินห์ในหลายเหตุการณ์ หลายเวลา ติดบนผนังโดยรอบ
หลังบ้านมีห้องครัวเล็กๆ
ข้างบ้านมียุ้งฉางยกพื้นสูงตั้งบนเสา และมีเกวียนจอดอยู่
คุณกรกนก วงศ์ประชาสุข เจ้าของบ้าน ทายาทรุ่นที่สาม เป็นหลานของปู่หว่อตร่องต่าย กับย่านำ วรหาญ และเป็นลูกสาวของพ่อเหงียนวันเตียว เธอนำชมบ้านอย่างกระตือรือร้น เป็นกันเอง อีกทั้งเล่าประวัติศาสตร์อย่างสนุก
บ้านลุงโฮหลังนี้ถูกปิดเป็นความลับมายาวนาน โดยเฉพาะระหว่างสงครามเวียดนาม (1960-1975) ที่รัฐบาลไทยสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ส่งกองทหารกว่าหนึ่งหมื่นนาย เข้าไปร่วมกับ ‘มหามิตร’ สหรัฐอเมริกา ‘รุมกินโต๊ะ’ เวียดนาม ในช่วงปี 1967-1972 อีกทั้งอำนวยความสะดวกให้สหรัฐอเมริกาใช้พื้นที่ของประเทศไทยในหลายด้าน ที่สำคัญคือ ฐานบิน 7 แห่ง สำหรับกองทัพสหรัฐอเมริกาใช้ส่งกำลังบำรุงและส่งเครื่องบินโจมตีทางอากาศต่อเวียดนาม ฐานบิน 7 แห่งนี้ได้แก่ อู่ตะเภา ตาคลี อุดร นครพนม อุบล โคราช และดอนเมือง นอกจากนี้ ยังมีศูนย์เรดาร์โทรคมนาคม ค่ายพักกองกำลังพิเศษ กองบัญชาการ CIA และค่ายฝึกทหาร
วันที่ 30 เมษายน 1975 รถถังในบังคับบัญชาของพันเอก Bui Tin แห่งกองทัพเวียดนามเหนือแล่นชนพังประตูทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Independence Palace) กลางกรุงไซ่ง่อน เข้ายึดศูนย์อำนาจของฝ่ายใต้ทั้งหมด ปิดฉากสงครามเวียดนาม และเปิดทางสู่การรวมประเทศ
วันที่ 6 สิงหาคม 1976 ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนาม และต่อมาเปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ในปี 1978
Ho Chi Minh (ใช้ชื่อนี้ตั้งแต่ปี 1942) ได้รับความนับถือยกย่องอย่างสูงในประเทศสังคมนิยม ในฐานะรัฐบุรุษผู้รักชาติ อุทิศตนรับใช้ชาติ เอาชนะมหาอำนาจตะวันตกทั้งฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาผู้รุกรานด้วยอำนาจอธรรม จนที่สุดนำสู่การรวมประเทศเวียดนามที่มีเอกราช เสรีภาพ และสันติภาพ ชีวิตของท่านได้ให้นิยามแก่คำว่า ‘รักชาติ’ และ ‘รับใช้ชาติ’ ที่แท้จริง
ปี 1987 UNESCO มีมติเป็นทางการ เชิญชวนประเทศสมาชิกร่วมรำลึกและจัดกิจกรรมในปี 1990 วาระ 100 ปี ชาตกาล Ho Chi Minh บุคคลสำคัญของโลก
ความคลี่คลายของประวัติศาสตร์ทำให้ห้วงเวลาของ ‘คุณพ่อจิ้น’ ที่บ้านนาจอก มิใช่เรื่องต้องปิดลับอีกต่อไป บ้านลุงโฮที่คงรักษาสภาพดั้งเดิม ในสวนร่มครึ้ม จึงปรากฏแก่สาธารณะ โดยมีทายาทรุ่นที่สามของ หว่อตร่องต่าย สหายสนิทของ ‘คุณพ่อจิ้น’ ทำหน้าที่บันทึกและถ่ายทอดประวัติศาสตร์สำคัญในแบบ communicative memory
ความทรงจำและการนำเสนออย่างเรียบง่ายตามความเป็นจริงเช่นนี้ ไม่ต้องรสนิยมและอัตวิสัยของ ‘ราชการ’ ประกอบกับบ้านลุงโฮเป็นที่ส่วนบุคคล ‘ราชการ’ ไม่อาจยุ่มย่ามตามอำเภอใจ จึงเกิดสิ่งปลูกสร้างในนาม ‘พิพิธภัณฑ์’ และ ‘อนุสรณ์สถาน’ ห่างจากบ้านลุงโฮ ไปทางตะวันตกเพียง 400 เมตร
พิพิธภัณฑ์ประธานโฮจิมินห์ หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ส.ส. นครพนม ของบประมาณ จำนวน 7.5 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ 2 ชั้น สิ่งแสดงได้แก่ ชีวประวัติ Ho Chi Minh และแบบจำลองบ้านเกิดของท่านที่หมู่บ้านในจังหวัด Nghe An เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีอาคารเปิดโล่ง สำหรับจัดกิจกรรม
พิพิธภัณฑ์ประธานโฮจิมินห์ หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม นี้ ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2004 โดย ฟามวันขาย นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ทั้งสองได้ปลูกต้นไม้ไว้เป็นอนุสรณ์คนละหนึ่งต้น
อนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์
สร้างบนพื้นที่ 7 ไร่ ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ประธานโฮจิมินห์ หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม
งบประมาณ 45 ล้านบาท จากรัฐบาลเวียดนาม ใช้เวลาก่อสร้างราว 2 ปี เพิ่งทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2016 ในวาระ 126 ปี ชาตกาล ประธานาธิบดี Ho Chi Minh
ภูมิสถาปัตยกรรมเป็นแบบจารีตนิยมเวียดนาม จากซุ้มประตูอลังการ ผ่านเข้าภายใน ข้ามสะพานโค้งที่ทอดเหนือสระน้ำทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีฝูงปลาคาร์ปแหวกว่าย สู่เก๋งประธาน ภายในตั้งรูปปั้นประธานาธิบดี Ho Chi Minh บนแท่นบูชา ผนังด้านหลังประดับธงชาติเวียดนาม
ด้านนอกเก๋งประธาน บริเวณส่วนหลังของอนุสรณ์สถาน มีภูเขาทำด้วยหินสลักขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายมีเรือนไม้ 3 หลัง จำลองเสมือนบ้านลุงโฮ ห้องครัว และยุ้งฉาง ยังขาดแต่เกวียนที่จอดข้างยุ้งฉาง เรือนทั้งสามนี้ถ่ายแบบและวางตำแหน่งตามของจริงในสวนของ หว่อตร่องต่าย ซึ่งอยู่ห่างอนุสรณ์สถานนี้ไปเพียง 400 เมตร
นอกจากนี้ ร้านจำหน่ายของที่ระลึก ยังมีชุด Ao Dai สีสันงดงามจำนวนมาก ไว้ให้นักท่องเที่ยวเช่า เพื่อเซลฟี่ที่รื่นรมย์สมบรรยากาศ
อนุสรณ์สถานแห่งนี้ถูกอวดอ้างว่าเป็นอนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก!
แต่เดิม ‘ราชการ’ เห็น Ho Chi Minh เป็นบุคคลต้องห้าม เป็นศัตรู ตามกำกับของ ‘มหามิตร’
ครั้น Ho Chi Minh ได้รับการนับถือยกย่องในฐานะบุคคลสำคัญของโลก ‘ราชการ’ ก็จำต้อง ‘ปรับทัศนคติใหม่’ บันดาลให้เกิด ‘พิพิธภัณฑ์’ และ ‘อนุสรณ์สถาน’ จัดแสดง ‘ของจำลอง’ ขึ้นที่บ้านนาจอก หมายเพื่อเป็นตัวแทนแห่งร่องรอยของ Ho Chi Minh ณ ที่นี้เมื่ออดีต ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่เพียงละเลยคุณค่าของความจริงในสถานที่จริงเท่านั้น หากยังสร้างความสับสนต่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างที่พึงประสงค์อีกด้วย
ข้อมูลค้นจาก
Lady Borton. Ho Chi Minh: A Journey. Hanoi: Gioi Publishers. 2007.
Duiker, WJ. Ho Chi Minh. Adelaide: Allen & Unwin. 2000.
wikipedia.org
thaiembassy.org
Assmann J. Communicative and Cultural Memory. Cultural Memory Studies. An International and Interdisciplinary Handbook. Berlin, New York, 2008, S109-118.
March 18, 2018
February 23, 2018
Nakhon Phanom: พระธาตุพนม: 17.11.2016
นครพนม...นครแห่งความหลัง นครแห่งความรัก...
กว่า 35 ปี ที่จากลา คิดถึงเธอเสมอ...
08.35 น. เครื่องบินสีแดงพาเหินจากดอนเมือง เพียง 1.10 ชั่วโมงต่อมาก็ร่อนลงจอดที่สนามบินนครพนม
จากสนามบินเข้าเมืองด้วยรถตู้ของคุณขำ บริษัทนครโคราช
ระยะทาง 18 กิโลเมตร ตามทางหลวงสาย 22 (ถนนนิตโย) ราว 30 นาที ถึงบ้านปันสุข เวลา 10.40 น. ห้องพักยังทำไม่เสร็จ จึงฝากสัมภาระไว้
บ้านปันสุขตั้งอยู่บนถนนสุนทรวิจิตร ถนนเลียบแม่นำ้โขง เป็นตึก 3 ชั้น ห้องพักอยู่ชั้น 2 และ 3 รวม 8 ห้อง ห้องที่อยู่ด้านหน้ามีระเบียงชมโขง ฝั่งตรงข้ามแม่นำ้คือเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ประเทศลาว ไกลออกไปเป็นทิวเขาซ้อนกันหลายชั้นงดงามยิ่ง คุณรินนา มังคละคีรี เจ้าของบ้าน เป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดที่มีชื่อเสียง ก่อตั้งมาแต่ปี 1909 (พ.ศ. 2452)
ท้องฟ้าสีครามปลอดโปร่ง แสงแดดจ้า สงบลม ยังอ้าวเกินกว่าจะเดินเที่ยว ตัดสินใจไปธาตุพนม
11.30 น. โบกขึ้นรถโดยสารสองแถวคันโตที่แล่นผ่านหน้าบ้านปันสุขไปอำเภอธาตุพนม ระยะทาง 53 กิโลเมตรลงใต้จากอำเภอเมือง ถนนสุนทรวิจิตรเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวง 212 สายเลียบโขงตลอดความยาวด้านตะวันออกของจังหวัด รถจอดรับส่งคนรายทาง บันไดขึ้นลงท้ายรถกว้างขวาง แม่ค้าหาบของทั้งสาแหรกขึ้นรถได้โดยสะดวก ข้างทางยังเป็นผืนนาเขียว สบายตา
12.30 น. ถึงธาตุพนม บริเวณคิวรถเป็นตลาดนัด ร้านขายของเรียงแถวเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ขายเสื้อผ้าพื้นเมืองลายงามน่าสนใจ แวะกินไก่ย่างส้มตำเป็นมื้อกลางวัน ก่อนเข้าไปวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
จากซุ้มประตูด้านทิศตะวันออกของระเบียงคด ผ่านอุโบสถที่อยู่ทางซ้ายและหอพระแก้วที่อยู่ทางขวา ตรงหน้าคือพระธาตุ สูงเด่น มีกำแพงแก้วล้อมรอบ 3 ชั้น ชั้นในสุดชิดพระธาตุเป็นเขตของสงฆ์
พระธาตุสูง 57.60 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ 12.33 เมตร
เรือนธาตุชั้นที่ 1 ทั้งสี่ด้าน มีประตูสำหรับเข้าภายในพระธาตุอยู่ตรงกลาง เหนือประตูทำเป็นซุ้มรูปกลีบบัว สองข้างประตูประดับด้วยเสาติดผนัง วางคั่นเป็นระยะๆ บนเสาแกะลวดลายพรรณพฤกษา คล้ายคลึงกับศิลปะจาม ถัดออกไปจนถึงขอบเป็นภาพสลักบนแผ่นอิฐแดง (หรือดินจี่) รูปคนขี่ช้าง คนขี่ม้า สันนิษฐานว่าเป็นภาพพญาจาก 5 เมือง ที่มาร่วมกันสร้างอูบมุงบรรจุพระอุรังคธาตุตามตำนานโบราณ ภาพสลักอิฐนี้เป็นส่วนเก่าแก่ที่สุด ด้วยเรือนธาตุชั้นที่ 1 มิได้พังเสียหายเมื่อคราวพระธาตุพนมทลายลงในปี 1975 และการก่อสร้างพระธาตุองค์ใหม่ได้สร้างครอบบนเรือนธาตุชั้นที่ 1 ของเดิมนี้
เรือนธาตุชั้นที่ 2 ทำเลียนแบบเรือนธาตุชั้นที่ 1
เจดีย์ ทรงบัวเหลี่ยมเรียวขึ้นไป อันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะล้านช้าง ประดับด้วยลายก้านต่อยอด ส่วนบนสุดของเจดีย์ครอบด้วยฉัตร
จากด้านหลังพระธาตุ ผ่านซุ้มประตูทิศตะวันตกของระเบียงคดออกไป เป็นลานต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสงบร่มเย็น
ตำนานอุรังคธาตุเล่าว่า เมื่อ 535 ปีก่อนคริสตกาล (พ.ศ. 8) พระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ได้นำพระอุรังคธาตุ (กระดูกหัวอก) ของพระพุทธเจ้า ไปประดิษฐาน ณ ภูกำพร้า ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ตรงข้ามเมืองศรีโคตรบูร (ลาวเรียกเมืองสีโคดตะบอง) เมืองเอกแห่งอาณาจักรโคตรบูร (ก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 7) โดยมีเจ้าเมืองหนองหานหลวง เจ้าเมืองหนองหานน้อย เจ้าเมืองจุลณี เจ้าเมืองอินทปัตถ์ และเจ้าเมืองศรีโคตรบูร ร่วมกันสร้างอูบมุงทรงสี่เหลี่ยม บรรจุพระอุรังคธาตุ
ต่อมาเกิดโรคระบาดในเมืองศรีโคตรบูร ต้องย้ายเมืองข้ามโขงมาตั้งใหม่ทางเหนือของภูกำพร้า ให้ชื่อว่า ‘มรุกขนคร’
การบูรณะพระธาตุครั้งแรกโดยพญาสุมิตรธรรมวงศา เจ้าเมืองมรุกขนคร
อาณาจักรโคตรบูรเสื่อมอำนาจและสิ้นสุดลงเมื่อถูกเจ้าฟ้างุ้ม (1316-1374) แห่งอาณาจักรล้านช้างโจมตี โคตรบูรตกเป็นประเทศราชของล้านช้าง
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 2 สมัยเจ้าโพธิสะราช (ครองราชย์ ?-1547) ต่อเนื่องสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราช (ครองราชย์ 1548-1572) แห่งอาณาจักรล้านช้าง
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 3 โดยเจ้าพระยานครพิชิตราชธานีศรีโคตรบูรหลวง (เจ้าหน่อเมือง) เจ้าเมืองมรุกขนคร เมื่อปี 1633
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 4 โดยราชครูโพนสะเม็ก แห่งเวียงจันทน์ เมื่อปี 1690-1692 เป็นการบูรณะครั้งใหญ่ จากอูบมุงแปลงเป็นเรือนธาตุ 2 ชั้น ถัดขึ้นไปก่อเป็นเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยมเรียว ประดับลายดอกไม้ร่วง ยอดเจดีย์ครอบด้วยฉัตร
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 5 โดยเจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ พร้อมกับเจ้าเมืองนครพนม และเจ้าเมืองมุกดาหาร เมื่อปี 1806-1807
ปี 1826-1828 เกิดศึกระหว่างเวียงจันทน์กับสยาม ใน 'สงครามกู้เอกราชของเจ้าอนุวงศ์' เพื่อปลดแอกประเทศราชจากสยาม (ไทยเรียก 'กบฏเจ้าอนุวงศ์') เจ้าอนุวงศ์ปราชัย เมืองเวียงจันทน์ถูกเผาทำลายราบ อาณาจักรเวียงจันทน์ถึงแก่การล่มสลาย ปราศจากเจ้าครองต่อไป แม้กว่า 30 ปีให้หลัง คณะสำรวจชาวฝรั่งเศสบันทึกไว้ว่าพบแต่ซากปรักรกร้างตรงที่เมืองเคยตั้งอยู่ ที่ราบสูงโคราชถูกผนวกเข้าเป็นส่วนของสยามทั้งหมด ประชาชนถูกกวาดต้อนย้ายถิ่นอย่างสิ้นเชิง การเทครัวพลเมืองลาวครั้งนี้เป็นการโยกถิ่นประชากรครั้งใหญ่มาก ส่งผลถึงปัจจุบันที่ประเทศลาวมีประชากรเพียง 7 ล้านคน ขณะที่ภาคอีสานของไทยมีประชากรเชื้อสายลาวถึง 22 ล้านคน
พระธาตุพนมถูกทิ้งร้าง ขาดการบำรุงดูแล เป็นเวลาเกือบร้อยปี...
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 6 ในปี 1900 พระเถระ 3 รูป จากเมืองอุบล คือพระอุปัชฌาย์ทา พระอาจารย์เสาร์ และพระอาจารย์มั่น ได้มานมัสการพระธาตุ เห็นพระธาตุเศร้าหมอง รกร้าง วิหารหลวงพังทลายเป็นกองอิฐ เป็นที่น่าสลดใจ จึงแต่งตั้งพ่อใหญ่ชาวธาตุพนมไปอาราธนาพระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นันตระ) วัดทุ่งศรีเมือง อุบล เป็นผู้นำบูรณะ ด้วยท่านเชี่ยวชาญทางศิลปกรรมและเป็นที่เคารพ การบูรณะแล้วเสร็จเมื่อปี 1901
ปี 1940 หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร ให้เสริมส่วนยอดพระธาตุครอบทับองค์เจดีย์เดิมไว้ภายใน เพิ่มความสูงพระธาตุจาก 43 เมตร เป็น 57 เมตร และเปลี่ยนลายดอกไม้ร่วงเป็นลายก้านต่อดอก สื่อนัยบางประการ เวลานั้นเป็นช่วงที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำเนินนโยบาย ‘ลัทธิชาตินิยม-ลัทธิทหาร’ มีการเดินขบวนของนิสิตนักศึกษาในวันที่ 8 ตุลาคม 1940 เรียกร้องดินแดนฝั่งซ้ายและฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่เสียไประหว่างปี 1893-1907 คืนจากฝรั่งเศส กรณีพิพิาทรุนแรงขึ้นเมื่อฝรั่งเศสโจมตีทิ้งระเบิดที่นครพนมในเดือนพฤศจิกายน 1940 ไทยตอบโต้ด้วยการโจมตีที่ท่าแขกและสุวรรณเขต การสู้รบดำเนินไปจนถึงเดือนมกราคม 1941 กองทัพไทยสามารถยึดดินแดนบางส่วนกลับคืนมา ทั้งในพื้นที่ของลาวและกัมพูชา...
วันที่ 11 สิงหาคม 1975 เวลา 19.38 น. พระธาตุพนมพังทลายลงไปทางทิศตะวันออกทั้งองค์ ทับสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงเสียหาย ได้แก่ กำแพงแก้วชั้นที่ 1-2 หอพระทิศเหนือและทิศใต้ ศาลาการเปรียญ และวิหารหอพระแก้ว
การล้มลงของพระธาตุก่อนวันสำคัญรุ่งขึ้น ยังความประหวั่นขวัญเสียอย่างยิ่ง เป็นเสมือนลางร้าย เวลานั้นการสู้รบระหว่างกองทัพไทยกับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย รุนแรงในหลายพื้นที่ ขณะเดียวกันสงครามอินโดจีนได้ทยอยยุติโดยชัยชนะเป็นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เขมรแดงยึดพนมเปญได้ในวันที่ 17 เมษายน 1975 กองทัพเวียดนามเหนือยึดไซ่ง่อนปลดปล่อยภาคใต้ได้ในวันที่ 30 เมษายน 1975 และแนวลาวรักชาติกำลังเตรียมพร้อมถึงขั้นยึดอำนาจทั้งประเทศลาว...
การรื้อถอน ขนย้าย ซากปรักขององค์พระธาตุ เริ่มต้นในวันที่ 8 กันยายน 1975
วันที่ 17-18 ตุลาคม 1975 พบพระอุรังคธาตุบนกองอิฐปูนที่พังจากเรือนธาตุชั้นที่ 2 การบรรจุซับซ้อนมาก พระอุรังคธาตุมีจำนวน 8 องค์ บรรจุอยู่ในผอบแก้ว ผอบแก้วอยู่ข้างในผอบทองคำ ผอบทองคำอยู่ข้างในตลับเงิน ตลับเงินอยู่ข้างในบุษบกทองคำ บุษบกทองคำอยู่ข้างในเจดีย์ศิลา เจดีย์ศิลาอยู่ข้างในผอูบสำริด ผอูบสำริดอยู่ในเรือนธาตุชั้นที่ 2
การก่อสร้างพระธาตุองค์ใหม่เริ่มในเดือนพฤษภาคม 1976 โดยสร้างครอบเรือนธาตุชั้นที่ 1 ของเดิมซึ่งมิได้พังทลายทั้งหมด งานก่อสร้างและงานประดับตกแต่งลวดลายทั้งปวงเสร็จเรียบร้อยปลายเดือนกุมภาพันธ์ 1979
พระธาตุพนม จากตำนานเล่าขานกว่าสองพันปี จึงยังคงเป็นจอมเจดีย์สองฝั่งโขง สืบแต่ครั้งอาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรเวียงจันทน์ จนถึงสมัยปัจจุบัน
15.20 น. ขึ้นรถตู้โดยสารที่มาจากมุกดาหาร กลับนครพนม ถึงบ้านปันสุข 16.00 น.
ตอนเย็น เราจูงมือกันเดินเลียบโขงไปท่าเรือลานกันเกรา ตรงข้ามถนนหน้าวัดโอกาส ลงเรือล่องโขงของเทศบาล
17.15 น. เรือออกจากท่า แล่นเลียบฝั่งขึ้นไปทางทิศเหนือ ผ่านวัดโอกาส หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าฯ และวัดนักบุญอันนา น่าเสียดายวันนี้เมฆมาก จึงไม่เห็นแสงทองของอาทิตย์อัสดงหลังวัดนักบุญอันนา
เรือแล่นตัดไปทางตะวันออกข้ามไปฟากประเทศลาว เลียบฝั่งลงใต้ ลมพัดเย็นสบาย แสงไฟจากบ้านเรือนริมน้ำมีเพียงเล็กน้อย ชายฝั่งจึงมืดมาก
เรือแล่นตัดกลับทางตะวันตกมายังฝั่งไทย แสงไฟสว่างไสวต่างจากฝั่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เรือค่อยๆ แล่นขึ้นเหนือผ่าน The River Hotel (CP Group), Fortune River View Hotel, วัดอินทร์แปลง, วัดมหาธาตุ แสงไฟส่องพระธาตุเด่นสง่า, วัดกลาง โบสถ์งดงาม, วัดโพธิ์ศรี, และพญาศรีสัตตนาคราช กำลังพ่นน้ำ
พญาศรีสัตตนาคราช หล่อด้วยทองเหลือง น้ำหนักรวม 9,000 กิโลกรัม เป็นรูปพญานาคขดหาง 7 เศียร ประดิษฐานบนแท่นฐานแปดเหลี่ยม กว้าง 6 เมตร ความสูงทั้งหมดรวมฐาน 15 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 3 ปี เพิ่งมีงานสมโภชเมื่อวันที่ 9-17 กันยายน 2016
เรือจอดที่ท่าเรือลานกันเกรา เวลา 18.30 น. เราเดินกลับมายังลานนาคราช
19.00 น. สำนักวัฒนธรรมนครพนม จัดพิธีถวายอาลัยรัชกาลที่ 9 ณ ลานนาคราช ตรงสามแยกถนนสุนทรวิจิตรตัดกับถนนนิตโย
รายการเริ่มด้วยหมอลำ แม่ฉวีวรรณ ดำเนิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) พ.ศ. 2536 จากอุบลราชธานี ท่านขับขานอย่างไพเราะ เสียงกังวาน ชัดเจน น่าประทับใจ
ต่อมาเป็นฟ้อน 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ ใช้คนนับหลายร้อย แต่งกายด้วยชุดประจำชนเผ่าและเชื้อชาติ ลวดลายสีสันหลากหลายน่าตื่นตา ขบวนตั้งแถวเต็มถนนนิตโย ยาวเหยียดสุดสายตา ท่วงท่าฟ้อนรำอ่อนช้อยงดงาม
สองข้างถนนสุนทรวิจิตร ถนนเลียบโขง คึกคักด้วยเพิงขายของกิน ของใช้ ข้าวจี่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น กลิ่นแบบนี้นี่เองที่ทำให้คนอีสานคิดถึงบ้าน บรรยากาศและอาหารท้องถิ่นชวนให้ผ่อนคลาย เอร็ดอร่อย เราเดินกลับบ้านปันสุขตอน 21.00 น.
ข้อมูลค้นจาก
wikipedia.org
manager.co.th
อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ (บก.). พระธาตุพนม. นนทบุรี: มติชน. 2557.
สมชาย นิลอาธิ (ถอดความ). ประวัติศาสตร์ฉบับกระทรวงศึกษาธิการฯ ลาว. สำนักพิมพ์มติชน. 2545.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, วิกัลย์ พงศ์พนิดานนท์ (บก.). จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับการเมืองไทยสมัยใหม่. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2540.
กว่า 35 ปี ที่จากลา คิดถึงเธอเสมอ...
08.35 น. เครื่องบินสีแดงพาเหินจากดอนเมือง เพียง 1.10 ชั่วโมงต่อมาก็ร่อนลงจอดที่สนามบินนครพนม
จากสนามบินเข้าเมืองด้วยรถตู้ของคุณขำ บริษัทนครโคราช
ระยะทาง 18 กิโลเมตร ตามทางหลวงสาย 22 (ถนนนิตโย) ราว 30 นาที ถึงบ้านปันสุข เวลา 10.40 น. ห้องพักยังทำไม่เสร็จ จึงฝากสัมภาระไว้
บ้านปันสุขตั้งอยู่บนถนนสุนทรวิจิตร ถนนเลียบแม่นำ้โขง เป็นตึก 3 ชั้น ห้องพักอยู่ชั้น 2 และ 3 รวม 8 ห้อง ห้องที่อยู่ด้านหน้ามีระเบียงชมโขง ฝั่งตรงข้ามแม่นำ้คือเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ประเทศลาว ไกลออกไปเป็นทิวเขาซ้อนกันหลายชั้นงดงามยิ่ง คุณรินนา มังคละคีรี เจ้าของบ้าน เป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดที่มีชื่อเสียง ก่อตั้งมาแต่ปี 1909 (พ.ศ. 2452)
ท้องฟ้าสีครามปลอดโปร่ง แสงแดดจ้า สงบลม ยังอ้าวเกินกว่าจะเดินเที่ยว ตัดสินใจไปธาตุพนม
11.30 น. โบกขึ้นรถโดยสารสองแถวคันโตที่แล่นผ่านหน้าบ้านปันสุขไปอำเภอธาตุพนม ระยะทาง 53 กิโลเมตรลงใต้จากอำเภอเมือง ถนนสุนทรวิจิตรเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวง 212 สายเลียบโขงตลอดความยาวด้านตะวันออกของจังหวัด รถจอดรับส่งคนรายทาง บันไดขึ้นลงท้ายรถกว้างขวาง แม่ค้าหาบของทั้งสาแหรกขึ้นรถได้โดยสะดวก ข้างทางยังเป็นผืนนาเขียว สบายตา
12.30 น. ถึงธาตุพนม บริเวณคิวรถเป็นตลาดนัด ร้านขายของเรียงแถวเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ขายเสื้อผ้าพื้นเมืองลายงามน่าสนใจ แวะกินไก่ย่างส้มตำเป็นมื้อกลางวัน ก่อนเข้าไปวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
จากซุ้มประตูด้านทิศตะวันออกของระเบียงคด ผ่านอุโบสถที่อยู่ทางซ้ายและหอพระแก้วที่อยู่ทางขวา ตรงหน้าคือพระธาตุ สูงเด่น มีกำแพงแก้วล้อมรอบ 3 ชั้น ชั้นในสุดชิดพระธาตุเป็นเขตของสงฆ์
พระธาตุสูง 57.60 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ 12.33 เมตร
เรือนธาตุชั้นที่ 1 ทั้งสี่ด้าน มีประตูสำหรับเข้าภายในพระธาตุอยู่ตรงกลาง เหนือประตูทำเป็นซุ้มรูปกลีบบัว สองข้างประตูประดับด้วยเสาติดผนัง วางคั่นเป็นระยะๆ บนเสาแกะลวดลายพรรณพฤกษา คล้ายคลึงกับศิลปะจาม ถัดออกไปจนถึงขอบเป็นภาพสลักบนแผ่นอิฐแดง (หรือดินจี่) รูปคนขี่ช้าง คนขี่ม้า สันนิษฐานว่าเป็นภาพพญาจาก 5 เมือง ที่มาร่วมกันสร้างอูบมุงบรรจุพระอุรังคธาตุตามตำนานโบราณ ภาพสลักอิฐนี้เป็นส่วนเก่าแก่ที่สุด ด้วยเรือนธาตุชั้นที่ 1 มิได้พังเสียหายเมื่อคราวพระธาตุพนมทลายลงในปี 1975 และการก่อสร้างพระธาตุองค์ใหม่ได้สร้างครอบบนเรือนธาตุชั้นที่ 1 ของเดิมนี้
เรือนธาตุชั้นที่ 2 ทำเลียนแบบเรือนธาตุชั้นที่ 1
เจดีย์ ทรงบัวเหลี่ยมเรียวขึ้นไป อันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะล้านช้าง ประดับด้วยลายก้านต่อยอด ส่วนบนสุดของเจดีย์ครอบด้วยฉัตร
จากด้านหลังพระธาตุ ผ่านซุ้มประตูทิศตะวันตกของระเบียงคดออกไป เป็นลานต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสงบร่มเย็น
ตำนานอุรังคธาตุเล่าว่า เมื่อ 535 ปีก่อนคริสตกาล (พ.ศ. 8) พระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ได้นำพระอุรังคธาตุ (กระดูกหัวอก) ของพระพุทธเจ้า ไปประดิษฐาน ณ ภูกำพร้า ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ตรงข้ามเมืองศรีโคตรบูร (ลาวเรียกเมืองสีโคดตะบอง) เมืองเอกแห่งอาณาจักรโคตรบูร (ก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 7) โดยมีเจ้าเมืองหนองหานหลวง เจ้าเมืองหนองหานน้อย เจ้าเมืองจุลณี เจ้าเมืองอินทปัตถ์ และเจ้าเมืองศรีโคตรบูร ร่วมกันสร้างอูบมุงทรงสี่เหลี่ยม บรรจุพระอุรังคธาตุ
ต่อมาเกิดโรคระบาดในเมืองศรีโคตรบูร ต้องย้ายเมืองข้ามโขงมาตั้งใหม่ทางเหนือของภูกำพร้า ให้ชื่อว่า ‘มรุกขนคร’
การบูรณะพระธาตุครั้งแรกโดยพญาสุมิตรธรรมวงศา เจ้าเมืองมรุกขนคร
อาณาจักรโคตรบูรเสื่อมอำนาจและสิ้นสุดลงเมื่อถูกเจ้าฟ้างุ้ม (1316-1374) แห่งอาณาจักรล้านช้างโจมตี โคตรบูรตกเป็นประเทศราชของล้านช้าง
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 2 สมัยเจ้าโพธิสะราช (ครองราชย์ ?-1547) ต่อเนื่องสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราช (ครองราชย์ 1548-1572) แห่งอาณาจักรล้านช้าง
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 3 โดยเจ้าพระยานครพิชิตราชธานีศรีโคตรบูรหลวง (เจ้าหน่อเมือง) เจ้าเมืองมรุกขนคร เมื่อปี 1633
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 4 โดยราชครูโพนสะเม็ก แห่งเวียงจันทน์ เมื่อปี 1690-1692 เป็นการบูรณะครั้งใหญ่ จากอูบมุงแปลงเป็นเรือนธาตุ 2 ชั้น ถัดขึ้นไปก่อเป็นเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยมเรียว ประดับลายดอกไม้ร่วง ยอดเจดีย์ครอบด้วยฉัตร
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 5 โดยเจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ พร้อมกับเจ้าเมืองนครพนม และเจ้าเมืองมุกดาหาร เมื่อปี 1806-1807
ปี 1826-1828 เกิดศึกระหว่างเวียงจันทน์กับสยาม ใน 'สงครามกู้เอกราชของเจ้าอนุวงศ์' เพื่อปลดแอกประเทศราชจากสยาม (ไทยเรียก 'กบฏเจ้าอนุวงศ์') เจ้าอนุวงศ์ปราชัย เมืองเวียงจันทน์ถูกเผาทำลายราบ อาณาจักรเวียงจันทน์ถึงแก่การล่มสลาย ปราศจากเจ้าครองต่อไป แม้กว่า 30 ปีให้หลัง คณะสำรวจชาวฝรั่งเศสบันทึกไว้ว่าพบแต่ซากปรักรกร้างตรงที่เมืองเคยตั้งอยู่ ที่ราบสูงโคราชถูกผนวกเข้าเป็นส่วนของสยามทั้งหมด ประชาชนถูกกวาดต้อนย้ายถิ่นอย่างสิ้นเชิง การเทครัวพลเมืองลาวครั้งนี้เป็นการโยกถิ่นประชากรครั้งใหญ่มาก ส่งผลถึงปัจจุบันที่ประเทศลาวมีประชากรเพียง 7 ล้านคน ขณะที่ภาคอีสานของไทยมีประชากรเชื้อสายลาวถึง 22 ล้านคน
พระธาตุพนมถูกทิ้งร้าง ขาดการบำรุงดูแล เป็นเวลาเกือบร้อยปี...
การบูรณะพระธาตุครั้งที่ 6 ในปี 1900 พระเถระ 3 รูป จากเมืองอุบล คือพระอุปัชฌาย์ทา พระอาจารย์เสาร์ และพระอาจารย์มั่น ได้มานมัสการพระธาตุ เห็นพระธาตุเศร้าหมอง รกร้าง วิหารหลวงพังทลายเป็นกองอิฐ เป็นที่น่าสลดใจ จึงแต่งตั้งพ่อใหญ่ชาวธาตุพนมไปอาราธนาพระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นันตระ) วัดทุ่งศรีเมือง อุบล เป็นผู้นำบูรณะ ด้วยท่านเชี่ยวชาญทางศิลปกรรมและเป็นที่เคารพ การบูรณะแล้วเสร็จเมื่อปี 1901
ปี 1940 หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร ให้เสริมส่วนยอดพระธาตุครอบทับองค์เจดีย์เดิมไว้ภายใน เพิ่มความสูงพระธาตุจาก 43 เมตร เป็น 57 เมตร และเปลี่ยนลายดอกไม้ร่วงเป็นลายก้านต่อดอก สื่อนัยบางประการ เวลานั้นเป็นช่วงที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำเนินนโยบาย ‘ลัทธิชาตินิยม-ลัทธิทหาร’ มีการเดินขบวนของนิสิตนักศึกษาในวันที่ 8 ตุลาคม 1940 เรียกร้องดินแดนฝั่งซ้ายและฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่เสียไประหว่างปี 1893-1907 คืนจากฝรั่งเศส กรณีพิพิาทรุนแรงขึ้นเมื่อฝรั่งเศสโจมตีทิ้งระเบิดที่นครพนมในเดือนพฤศจิกายน 1940 ไทยตอบโต้ด้วยการโจมตีที่ท่าแขกและสุวรรณเขต การสู้รบดำเนินไปจนถึงเดือนมกราคม 1941 กองทัพไทยสามารถยึดดินแดนบางส่วนกลับคืนมา ทั้งในพื้นที่ของลาวและกัมพูชา...
วันที่ 11 สิงหาคม 1975 เวลา 19.38 น. พระธาตุพนมพังทลายลงไปทางทิศตะวันออกทั้งองค์ ทับสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงเสียหาย ได้แก่ กำแพงแก้วชั้นที่ 1-2 หอพระทิศเหนือและทิศใต้ ศาลาการเปรียญ และวิหารหอพระแก้ว
การล้มลงของพระธาตุก่อนวันสำคัญรุ่งขึ้น ยังความประหวั่นขวัญเสียอย่างยิ่ง เป็นเสมือนลางร้าย เวลานั้นการสู้รบระหว่างกองทัพไทยกับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย รุนแรงในหลายพื้นที่ ขณะเดียวกันสงครามอินโดจีนได้ทยอยยุติโดยชัยชนะเป็นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เขมรแดงยึดพนมเปญได้ในวันที่ 17 เมษายน 1975 กองทัพเวียดนามเหนือยึดไซ่ง่อนปลดปล่อยภาคใต้ได้ในวันที่ 30 เมษายน 1975 และแนวลาวรักชาติกำลังเตรียมพร้อมถึงขั้นยึดอำนาจทั้งประเทศลาว...
การรื้อถอน ขนย้าย ซากปรักขององค์พระธาตุ เริ่มต้นในวันที่ 8 กันยายน 1975
วันที่ 17-18 ตุลาคม 1975 พบพระอุรังคธาตุบนกองอิฐปูนที่พังจากเรือนธาตุชั้นที่ 2 การบรรจุซับซ้อนมาก พระอุรังคธาตุมีจำนวน 8 องค์ บรรจุอยู่ในผอบแก้ว ผอบแก้วอยู่ข้างในผอบทองคำ ผอบทองคำอยู่ข้างในตลับเงิน ตลับเงินอยู่ข้างในบุษบกทองคำ บุษบกทองคำอยู่ข้างในเจดีย์ศิลา เจดีย์ศิลาอยู่ข้างในผอูบสำริด ผอูบสำริดอยู่ในเรือนธาตุชั้นที่ 2
การก่อสร้างพระธาตุองค์ใหม่เริ่มในเดือนพฤษภาคม 1976 โดยสร้างครอบเรือนธาตุชั้นที่ 1 ของเดิมซึ่งมิได้พังทลายทั้งหมด งานก่อสร้างและงานประดับตกแต่งลวดลายทั้งปวงเสร็จเรียบร้อยปลายเดือนกุมภาพันธ์ 1979
พระธาตุพนม จากตำนานเล่าขานกว่าสองพันปี จึงยังคงเป็นจอมเจดีย์สองฝั่งโขง สืบแต่ครั้งอาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรเวียงจันทน์ จนถึงสมัยปัจจุบัน
15.20 น. ขึ้นรถตู้โดยสารที่มาจากมุกดาหาร กลับนครพนม ถึงบ้านปันสุข 16.00 น.
ตอนเย็น เราจูงมือกันเดินเลียบโขงไปท่าเรือลานกันเกรา ตรงข้ามถนนหน้าวัดโอกาส ลงเรือล่องโขงของเทศบาล
17.15 น. เรือออกจากท่า แล่นเลียบฝั่งขึ้นไปทางทิศเหนือ ผ่านวัดโอกาส หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าฯ และวัดนักบุญอันนา น่าเสียดายวันนี้เมฆมาก จึงไม่เห็นแสงทองของอาทิตย์อัสดงหลังวัดนักบุญอันนา
เรือแล่นตัดไปทางตะวันออกข้ามไปฟากประเทศลาว เลียบฝั่งลงใต้ ลมพัดเย็นสบาย แสงไฟจากบ้านเรือนริมน้ำมีเพียงเล็กน้อย ชายฝั่งจึงมืดมาก
เรือแล่นตัดกลับทางตะวันตกมายังฝั่งไทย แสงไฟสว่างไสวต่างจากฝั่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เรือค่อยๆ แล่นขึ้นเหนือผ่าน The River Hotel (CP Group), Fortune River View Hotel, วัดอินทร์แปลง, วัดมหาธาตุ แสงไฟส่องพระธาตุเด่นสง่า, วัดกลาง โบสถ์งดงาม, วัดโพธิ์ศรี, และพญาศรีสัตตนาคราช กำลังพ่นน้ำ
พญาศรีสัตตนาคราช หล่อด้วยทองเหลือง น้ำหนักรวม 9,000 กิโลกรัม เป็นรูปพญานาคขดหาง 7 เศียร ประดิษฐานบนแท่นฐานแปดเหลี่ยม กว้าง 6 เมตร ความสูงทั้งหมดรวมฐาน 15 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 3 ปี เพิ่งมีงานสมโภชเมื่อวันที่ 9-17 กันยายน 2016
เรือจอดที่ท่าเรือลานกันเกรา เวลา 18.30 น. เราเดินกลับมายังลานนาคราช
19.00 น. สำนักวัฒนธรรมนครพนม จัดพิธีถวายอาลัยรัชกาลที่ 9 ณ ลานนาคราช ตรงสามแยกถนนสุนทรวิจิตรตัดกับถนนนิตโย
รายการเริ่มด้วยหมอลำ แม่ฉวีวรรณ ดำเนิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) พ.ศ. 2536 จากอุบลราชธานี ท่านขับขานอย่างไพเราะ เสียงกังวาน ชัดเจน น่าประทับใจ
ต่อมาเป็นฟ้อน 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ ใช้คนนับหลายร้อย แต่งกายด้วยชุดประจำชนเผ่าและเชื้อชาติ ลวดลายสีสันหลากหลายน่าตื่นตา ขบวนตั้งแถวเต็มถนนนิตโย ยาวเหยียดสุดสายตา ท่วงท่าฟ้อนรำอ่อนช้อยงดงาม
สองข้างถนนสุนทรวิจิตร ถนนเลียบโขง คึกคักด้วยเพิงขายของกิน ของใช้ ข้าวจี่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น กลิ่นแบบนี้นี่เองที่ทำให้คนอีสานคิดถึงบ้าน บรรยากาศและอาหารท้องถิ่นชวนให้ผ่อนคลาย เอร็ดอร่อย เราเดินกลับบ้านปันสุขตอน 21.00 น.
ข้อมูลค้นจาก
wikipedia.org
manager.co.th
อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ (บก.). พระธาตุพนม. นนทบุรี: มติชน. 2557.
สมชาย นิลอาธิ (ถอดความ). ประวัติศาสตร์ฉบับกระทรวงศึกษาธิการฯ ลาว. สำนักพิมพ์มติชน. 2545.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, วิกัลย์ พงศ์พนิดานนท์ (บก.). จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับการเมืองไทยสมัยใหม่. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2540.
January 27, 2018
Metamorphosis of Japan after the War: 13.10.2016
Japan Foundation, Bangkok จัดนิทรรศการภาพถ่าย ‘Metamorphosis of Japan after the War’ ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน วันที่ 17 กันยายน - 14 ตุลาคม 2016
ผมเพิ่งทราบข่าวเมื่อใกล้หมดเขต วันนี้จึงรีบไปชม
10.30 น. นั่งรถเมล์เย็น ไปลงที่หน้าหอศิลป์
อาคารหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เป็นหนึ่งในอาคาร 15 หลัง ริมถนนราชดำเนินกลาง สร้างขึ้น ระหว่างปี 1937-1948 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
ปี 1937 รัฐบาลออกพระราชบัญญัติเวนคืนที่ เพื่อสร้างอาคารริมถนนราชดำเนินกลางทั้งสองฝั่ง กำหนดเขตลึกเข้าไปฝั่งละ 40 เมตร เป็นอาคาร 3 ชั้นครึ่ง จำนวน 15 หลัง มีถนนซอยระหว่างตึก บริเวณมุมอาคารก่อมุขโค้งครึ่งวงกลม ดาดฟ้ามุขเทคอนกรีต ผิวผนังทำขรุขระ ไม่ฉาบเรียบเหมือนอาคารทั่วไป มีบันไดสูง 3 ขั้น ขึ้นด้านหน้าตึก
อาคารริมถนนราชดำเนินกลางนี้สง่างามรับกับถนนกว้างใหญ่ จึงเป็นที่ตั้งของบริษัทห้างร้าน ต่อมา อาคารถูกปล่อยร้าง เนื่องจากผู้เช่าเดิมหมดสัญญา
ปี 2010 สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้ริเริ่มโครงการปรับปรุงอาคารแห่งนี้ให้เป็นหอศิลป์ร่วมสมัย
นิทรรศการภาพถ่าย
ภาพขาวดำจำนวน 123 ภาพ จัดแสดงแบ่งตามเวลาเป็น 3 ช่วง ได้แก่ หลังสงคราม จารีตกับสมัยนิยม และสู่ยุคใหม่ บันทึกโดยช่างภาพฝีมือดี 11 คน ประกอบด้วย Ihee Kimura (1901-1974), Ken Domon (1909-1990), Hiroshi Hamaya (1915-1999), Tadahiko Hayashi (1918-1990), Yasuhiro Ishimoto (1921-), Shigeichi Nagano (1925-), Takeyoshi Tanuma (1929-), Shomei Tomatsu (1930-), Ikko Narahara (1931-), Kikuji Kawada (1933-) และ Eikoh Hosoe (1933-) ภัณฑารักษ์ได้แก่ Tsuguo Tada และ Marc Feustel
แม้ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และบ้านเมืองถูกทำลายย่อยยับเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง แต่กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เพียง 2 ทศวรรษนับจากสงครามยุติในปี 1945 จนถึงการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวในปี 1964 ญี่ปุ่นพลิกฟื้นประเทศจากซากปรัก จากเถ้าถ่าน สู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ อันเห็นได้จากกำเนิดรถไฟความเร็วสูง ‘Shinkansen’ และมาตรฐานชีวิตใหม่ในครัวเรือน
ช่วงที่ 1 หลังสงคราม
เวลาเที่ยง วันที่ 15 สิงหาคม 1945 สงครามอันยาวนานสิ้นสุดลง เมื่อได้ยินข่าว Hiroshi Hamaya วิ่งออกนอกบ้าน เล็งกล้องถ่ายรูปไปยังดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า...นี่คือภาพแรกของนิทรรศการ
สนามรบครอบคลุมกว้างขวาง ทั้งแผ่นดินใหญ่จีน คาบสมุทรเกาหลี อุษาคเนย์ ตลอดจนหมู่เกาะในแปซิฟิก สงครามทำลายชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาล ในญี่ปุ่น Hiroshima และ Nagasaki ราพณาสูรด้วยระเบิดปรมาณู Tokyo, Osaka, Nagoya และเมืองสำคัญอื่นๆ ถูกระเบิดเพลิงเผาผลาญยับ ความปราชัยทำให้สมบูรณาญาสิทธิและจักรพรรดินิยมที่ปกครองประเทศมาแต่เก่า กลับเป็นโมฆะไปในวันเดียว ญี่ปุ่นถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ผู้กำหนดการปฏิรูปขนานใหญ่ทุกระดับ ส่งผลสะเทือนวงกว้าง
ท่ามกลางความระส่ำและความไม่แน่นอนต่ออนาคต อุตสาหกรรมการพิมพ์ตื่นขึ้นก่อน นิตยสารที่ถูกปิดโดยระบอบเก่า ฟื้นคืนชีพ นิตยสารใหม่ทยอยกันออกมา ผู้คนที่เอือมระอาต่อโฆษณาชวนเชื่อและการเซ็นเซอร์ข่าวของลัทธิทหารระหว่างสงครามต่างโหยหาความจริง ส่งผลให้สำนักข่าวขยายตัวอย่างคึกคักในช่วงหลังของทศวรรษ 1940 ช่างภาพจำนวนมากถูกส่งออกไปทั่วโลก คนหนุ่มเหล่านี้ได้แก่ Shigeichi Nagano, Takeyoshi Tanuma และ Shomei Tomatsu พวกเขาเริ่มอาชีพที่ Iwanami Shashin Bunko และ Shukan Sun News weekly ส่วนช่างภาพที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ก่อนสงคราม อาทิ Tadahiko Hayashi, Ihee Kimura, Ken Domon และ Hiroshi Hamaya ต่างเข้าร่วมงานกับนิตยสารที่ฟื้นขึ้นใหม่ กล้องของพวกเขาบันทึกสภาพสิ้นหวังของซากปรักบ้านเมือง ความยากจนตามถนนในโตเกียว และที่สุด...ใบหน้าแจ่มใสของเด็กๆ ที่เปี่ยมด้วยพลัง!
ช่วงที่ 2 จารีตกับสมัยนิยม
ยุค ‘หลังสงคราม’ สิ้นสุดลงในปี 1952 เมื่อญี่ปุ่นลงนาม San Francisco Peace Treaty กับสหรัฐอเมริกาและฝ่ายสัมพันธมิตร ถึงปี 1955 เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัว รายได้ประเทศสูงกว่าตอนก่อนสงคราม ปัจจัยเร่งสำคัญคืออุปสงค์ต่อสงครามเกาหลีที่ปะทุขึ้นจากการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต สิ่งทอเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ สินค้านำเข้าและการไปต่างประเทศถูกจำกัดอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง อาทิ วิทยุทรานซิสเตอร์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และกล้องถ่ายรูป ล้วนเป็นดาวในภาคส่งออก ส่งให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว
ระบบสังคมถูกปฏิรูปตามนโยบายของผู้ยึดครอง เริ่มจากที่ดิน สิทธิของคนงาน การทอนอำนาจของกลุ่มทุนตระกูลใหญ่ (Zaibatsu conglomerates) ความเสมอภาคทางเพศในการศึกษาและการเมืองที่ระบุในรัฐธรรมนูญใหม่ เสรีภาพในการพูด การแสดงความเห็น เสรีภาพของสื่อสิ่งพิมพ์ ได้รับการเคารพ โครงสร้างอุตสาหกรรมและผังเมืองล้วนเปลี่ยนไปเพื่อรองรับคลื่นคนหนุ่มสาวจากชนบทกสิกรรมสู่สังคมเมือง
ภาพถ่ายหลังสงครามได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากกระแสสัจนิยม (photo-realism) นำโดย Ken Domon เป็นอาทิ อย่างไรก็ตาม เมื่ออัตลักษณ์ของชาติค่อยๆ เลือนไป Hiroshi Hamaya และ Ihee Kimura จึงหันกล้องสู่ชนบท ที่ซึ่งยังคงเหลือวิถีแบบญี่ปุ่นอยู่ ในความสัมพันธ์ของผู้คนกับธรรมชาติที่ไม่ปรานี พวกเขาได้นำเสนอภาพความเข้มแข็งของชาวบ้าน จารีต และขนบอันเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน
ช่วงที่ 3 สู่ยุคใหม่
การเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว ปี 1964 ทำให้มีการก่อสร้างถนน สวนสาธารณะ และโครงสร้างพื้นฐานทั้งประเทศ ‘Shinkansen’ รถไฟความเร็วสูง (ที่สุดในตอนนั้น) เริ่มวิ่งระหว่างโตเกียวกับโอซาก้า ปลายปี 1960 รัฐบาลประกาศแผนเพิ่มรายได้เป็นสองเท่าในสิบปี หากในความเป็นจริงอัตราเติบโตเกินเป้าร้อยละ 7.2 ต่อปี และบรรลุแผนเพียงเวลาไม่กี่ปี ถึงปี 1964 ครัวเรือนส่วนใหญ่มีโทรทัศน์ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น ‘สามสมบัติศักดิ์สิทธิ์’ แห่งยุคใหม่ เวลานั้นไม่มีใครคิดว่าวันหนึ่งบริษัทญี่ปุ่นจะแข็งแกร่งยิ่งในตลาดโลกจากการขยายตัวของตลาดภายใน และนำประเทศสู่ชาติอุตสาหกรรมผู้ส่งออกเหล็ก เรือ รถยนต์ และคอมพิวเตอร์ ชาวญี่ปุ่นมุ่งทำงานหนักเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น โดยมิได้เฉลียวว่าประเทศจะกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อีกทั้งมิได้ใส่ใจถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จะตามมา
สำหรับช่างภาพญี่ปุ่น ‘หลังสงคราม’ เริ่มด้วยปฏิกิริยาตอบโต้จารีตแห่งการเชื่อฟังเดิม สู่อิสระในการบันทึกภาพสังคมที่อลหม่าน ตามด้วยกระแสค่านิยมใหม่ แล้วรุ่นต่อมา อาทิ Yasuhiro Ishimoto, Shomei Tomatsu, Kikuji Kawada, Ikko Narahara และ Eikoh Hosoe นำเสนอภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมด้วยวิถีและการตีความหลากหลายจากสัจนิยมแบบเดิม ภาพ Nagasaki 11:02 ของ Shomei Tomatsu ที่เกี่ยวเนื่องกับระเบิดปรมาณู และภาพชุด Chizu (‘แผนที่’) ของ Kikuji Kawada นับเป็น masterpiece ส่วนภาพ Ordeal by Roses ของ Eikoh Hosoe นั้นเปิดมุมใหม่ที่น่าสนใจ
นิทรรศการภาพถ่ายจัดอย่างประณีต เส้นทางเดินชัดเจน พาผู้ชมผ่านกาลเวลาตามลำดับ ภาพขาวดำยิ่งแสดงฝีมือช่างภาพ ทั้งองค์ประกอบ แสงเงา และ contrast แผ่นข้อมูลให้ความรู้อย่างวิเศษ
การพ่ายแพ้สงคราม การถูกยึดครอง การล้มล้างลัทธิทหาร การปฏิรูปประเทศ ความเสมอภาค เสรีภาพ และประชาธิปไตย เหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ส่งให้ญี่ปุ่นพลิกฟื้นประเทศจากซากปรักสู่ความรุ่งเรืองในเวลาเพียง 2 ทศวรรษ เมื่อประชาชนหลุดพ้นจากแอกและภาระแห่งลัทธิทหารซึ่งนำประเทศสู่หายนะของการก่อสงคราม
Metamorphosis of Japan น่านับถือและน่าชื่นชมยิ่ง
…..
19.00 น. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ถ่ายทอดประกาศสำคัญจากสำนักพระราชวัง…
การเปลี่ยนผ่านจะเป็นเช่นไรหนอ?
84 ปี คือ 7 รอบนักษัตร นับจากการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 1932!
เพียง 25 ปี ต่อมา (1957) วงจรอุบาทว์แห่งรัฐประหาร ความรุนแรง ภายใต้การแทรกแซงอันแยบยล การโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) อันเป็นระบบ คงหมุนกงล้อย้อนกลับสู่ลำดับชนชั้น และการถืออำนาจแบบเก่า
84 ปีแล้ว เราฟักจากไข่ โตเป็นตัวหนอน (larvae) พยายามเป็นดักแด้ (pupae) หากวนเวียนอยู่ได้เพียงเท่านี้ มิอาจเจริญเป็นผีเสื้อโบยบินต่อไป
Metamorphosis of Thailand ช่างยาวนานและ ‘เลือดเย็น’ จริงๆ!
ข้อมูลค้นจาก
jfbkk.or.th
wikipedia.org
rcac84.com
ผมเพิ่งทราบข่าวเมื่อใกล้หมดเขต วันนี้จึงรีบไปชม
10.30 น. นั่งรถเมล์เย็น ไปลงที่หน้าหอศิลป์
อาคารหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เป็นหนึ่งในอาคาร 15 หลัง ริมถนนราชดำเนินกลาง สร้างขึ้น ระหว่างปี 1937-1948 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
ปี 1937 รัฐบาลออกพระราชบัญญัติเวนคืนที่ เพื่อสร้างอาคารริมถนนราชดำเนินกลางทั้งสองฝั่ง กำหนดเขตลึกเข้าไปฝั่งละ 40 เมตร เป็นอาคาร 3 ชั้นครึ่ง จำนวน 15 หลัง มีถนนซอยระหว่างตึก บริเวณมุมอาคารก่อมุขโค้งครึ่งวงกลม ดาดฟ้ามุขเทคอนกรีต ผิวผนังทำขรุขระ ไม่ฉาบเรียบเหมือนอาคารทั่วไป มีบันไดสูง 3 ขั้น ขึ้นด้านหน้าตึก
อาคารริมถนนราชดำเนินกลางนี้สง่างามรับกับถนนกว้างใหญ่ จึงเป็นที่ตั้งของบริษัทห้างร้าน ต่อมา อาคารถูกปล่อยร้าง เนื่องจากผู้เช่าเดิมหมดสัญญา
ปี 2010 สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้ริเริ่มโครงการปรับปรุงอาคารแห่งนี้ให้เป็นหอศิลป์ร่วมสมัย
นิทรรศการภาพถ่าย
ภาพขาวดำจำนวน 123 ภาพ จัดแสดงแบ่งตามเวลาเป็น 3 ช่วง ได้แก่ หลังสงคราม จารีตกับสมัยนิยม และสู่ยุคใหม่ บันทึกโดยช่างภาพฝีมือดี 11 คน ประกอบด้วย Ihee Kimura (1901-1974), Ken Domon (1909-1990), Hiroshi Hamaya (1915-1999), Tadahiko Hayashi (1918-1990), Yasuhiro Ishimoto (1921-), Shigeichi Nagano (1925-), Takeyoshi Tanuma (1929-), Shomei Tomatsu (1930-), Ikko Narahara (1931-), Kikuji Kawada (1933-) และ Eikoh Hosoe (1933-) ภัณฑารักษ์ได้แก่ Tsuguo Tada และ Marc Feustel
แม้ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และบ้านเมืองถูกทำลายย่อยยับเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง แต่กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เพียง 2 ทศวรรษนับจากสงครามยุติในปี 1945 จนถึงการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวในปี 1964 ญี่ปุ่นพลิกฟื้นประเทศจากซากปรัก จากเถ้าถ่าน สู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ อันเห็นได้จากกำเนิดรถไฟความเร็วสูง ‘Shinkansen’ และมาตรฐานชีวิตใหม่ในครัวเรือน
ช่วงที่ 1 หลังสงคราม
เวลาเที่ยง วันที่ 15 สิงหาคม 1945 สงครามอันยาวนานสิ้นสุดลง เมื่อได้ยินข่าว Hiroshi Hamaya วิ่งออกนอกบ้าน เล็งกล้องถ่ายรูปไปยังดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า...นี่คือภาพแรกของนิทรรศการ
สนามรบครอบคลุมกว้างขวาง ทั้งแผ่นดินใหญ่จีน คาบสมุทรเกาหลี อุษาคเนย์ ตลอดจนหมู่เกาะในแปซิฟิก สงครามทำลายชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาล ในญี่ปุ่น Hiroshima และ Nagasaki ราพณาสูรด้วยระเบิดปรมาณู Tokyo, Osaka, Nagoya และเมืองสำคัญอื่นๆ ถูกระเบิดเพลิงเผาผลาญยับ ความปราชัยทำให้สมบูรณาญาสิทธิและจักรพรรดินิยมที่ปกครองประเทศมาแต่เก่า กลับเป็นโมฆะไปในวันเดียว ญี่ปุ่นถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ผู้กำหนดการปฏิรูปขนานใหญ่ทุกระดับ ส่งผลสะเทือนวงกว้าง
ท่ามกลางความระส่ำและความไม่แน่นอนต่ออนาคต อุตสาหกรรมการพิมพ์ตื่นขึ้นก่อน นิตยสารที่ถูกปิดโดยระบอบเก่า ฟื้นคืนชีพ นิตยสารใหม่ทยอยกันออกมา ผู้คนที่เอือมระอาต่อโฆษณาชวนเชื่อและการเซ็นเซอร์ข่าวของลัทธิทหารระหว่างสงครามต่างโหยหาความจริง ส่งผลให้สำนักข่าวขยายตัวอย่างคึกคักในช่วงหลังของทศวรรษ 1940 ช่างภาพจำนวนมากถูกส่งออกไปทั่วโลก คนหนุ่มเหล่านี้ได้แก่ Shigeichi Nagano, Takeyoshi Tanuma และ Shomei Tomatsu พวกเขาเริ่มอาชีพที่ Iwanami Shashin Bunko และ Shukan Sun News weekly ส่วนช่างภาพที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ก่อนสงคราม อาทิ Tadahiko Hayashi, Ihee Kimura, Ken Domon และ Hiroshi Hamaya ต่างเข้าร่วมงานกับนิตยสารที่ฟื้นขึ้นใหม่ กล้องของพวกเขาบันทึกสภาพสิ้นหวังของซากปรักบ้านเมือง ความยากจนตามถนนในโตเกียว และที่สุด...ใบหน้าแจ่มใสของเด็กๆ ที่เปี่ยมด้วยพลัง!
ช่วงที่ 2 จารีตกับสมัยนิยม
ยุค ‘หลังสงคราม’ สิ้นสุดลงในปี 1952 เมื่อญี่ปุ่นลงนาม San Francisco Peace Treaty กับสหรัฐอเมริกาและฝ่ายสัมพันธมิตร ถึงปี 1955 เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัว รายได้ประเทศสูงกว่าตอนก่อนสงคราม ปัจจัยเร่งสำคัญคืออุปสงค์ต่อสงครามเกาหลีที่ปะทุขึ้นจากการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต สิ่งทอเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ สินค้านำเข้าและการไปต่างประเทศถูกจำกัดอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง อาทิ วิทยุทรานซิสเตอร์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และกล้องถ่ายรูป ล้วนเป็นดาวในภาคส่งออก ส่งให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว
ระบบสังคมถูกปฏิรูปตามนโยบายของผู้ยึดครอง เริ่มจากที่ดิน สิทธิของคนงาน การทอนอำนาจของกลุ่มทุนตระกูลใหญ่ (Zaibatsu conglomerates) ความเสมอภาคทางเพศในการศึกษาและการเมืองที่ระบุในรัฐธรรมนูญใหม่ เสรีภาพในการพูด การแสดงความเห็น เสรีภาพของสื่อสิ่งพิมพ์ ได้รับการเคารพ โครงสร้างอุตสาหกรรมและผังเมืองล้วนเปลี่ยนไปเพื่อรองรับคลื่นคนหนุ่มสาวจากชนบทกสิกรรมสู่สังคมเมือง
ภาพถ่ายหลังสงครามได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากกระแสสัจนิยม (photo-realism) นำโดย Ken Domon เป็นอาทิ อย่างไรก็ตาม เมื่ออัตลักษณ์ของชาติค่อยๆ เลือนไป Hiroshi Hamaya และ Ihee Kimura จึงหันกล้องสู่ชนบท ที่ซึ่งยังคงเหลือวิถีแบบญี่ปุ่นอยู่ ในความสัมพันธ์ของผู้คนกับธรรมชาติที่ไม่ปรานี พวกเขาได้นำเสนอภาพความเข้มแข็งของชาวบ้าน จารีต และขนบอันเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน
ช่วงที่ 3 สู่ยุคใหม่
การเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว ปี 1964 ทำให้มีการก่อสร้างถนน สวนสาธารณะ และโครงสร้างพื้นฐานทั้งประเทศ ‘Shinkansen’ รถไฟความเร็วสูง (ที่สุดในตอนนั้น) เริ่มวิ่งระหว่างโตเกียวกับโอซาก้า ปลายปี 1960 รัฐบาลประกาศแผนเพิ่มรายได้เป็นสองเท่าในสิบปี หากในความเป็นจริงอัตราเติบโตเกินเป้าร้อยละ 7.2 ต่อปี และบรรลุแผนเพียงเวลาไม่กี่ปี ถึงปี 1964 ครัวเรือนส่วนใหญ่มีโทรทัศน์ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น ‘สามสมบัติศักดิ์สิทธิ์’ แห่งยุคใหม่ เวลานั้นไม่มีใครคิดว่าวันหนึ่งบริษัทญี่ปุ่นจะแข็งแกร่งยิ่งในตลาดโลกจากการขยายตัวของตลาดภายใน และนำประเทศสู่ชาติอุตสาหกรรมผู้ส่งออกเหล็ก เรือ รถยนต์ และคอมพิวเตอร์ ชาวญี่ปุ่นมุ่งทำงานหนักเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น โดยมิได้เฉลียวว่าประเทศจะกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อีกทั้งมิได้ใส่ใจถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จะตามมา
สำหรับช่างภาพญี่ปุ่น ‘หลังสงคราม’ เริ่มด้วยปฏิกิริยาตอบโต้จารีตแห่งการเชื่อฟังเดิม สู่อิสระในการบันทึกภาพสังคมที่อลหม่าน ตามด้วยกระแสค่านิยมใหม่ แล้วรุ่นต่อมา อาทิ Yasuhiro Ishimoto, Shomei Tomatsu, Kikuji Kawada, Ikko Narahara และ Eikoh Hosoe นำเสนอภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมด้วยวิถีและการตีความหลากหลายจากสัจนิยมแบบเดิม ภาพ Nagasaki 11:02 ของ Shomei Tomatsu ที่เกี่ยวเนื่องกับระเบิดปรมาณู และภาพชุด Chizu (‘แผนที่’) ของ Kikuji Kawada นับเป็น masterpiece ส่วนภาพ Ordeal by Roses ของ Eikoh Hosoe นั้นเปิดมุมใหม่ที่น่าสนใจ
นิทรรศการภาพถ่ายจัดอย่างประณีต เส้นทางเดินชัดเจน พาผู้ชมผ่านกาลเวลาตามลำดับ ภาพขาวดำยิ่งแสดงฝีมือช่างภาพ ทั้งองค์ประกอบ แสงเงา และ contrast แผ่นข้อมูลให้ความรู้อย่างวิเศษ
การพ่ายแพ้สงคราม การถูกยึดครอง การล้มล้างลัทธิทหาร การปฏิรูปประเทศ ความเสมอภาค เสรีภาพ และประชาธิปไตย เหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ส่งให้ญี่ปุ่นพลิกฟื้นประเทศจากซากปรักสู่ความรุ่งเรืองในเวลาเพียง 2 ทศวรรษ เมื่อประชาชนหลุดพ้นจากแอกและภาระแห่งลัทธิทหารซึ่งนำประเทศสู่หายนะของการก่อสงคราม
Metamorphosis of Japan น่านับถือและน่าชื่นชมยิ่ง
…..
19.00 น. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ถ่ายทอดประกาศสำคัญจากสำนักพระราชวัง…
การเปลี่ยนผ่านจะเป็นเช่นไรหนอ?
84 ปี คือ 7 รอบนักษัตร นับจากการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 1932!
เพียง 25 ปี ต่อมา (1957) วงจรอุบาทว์แห่งรัฐประหาร ความรุนแรง ภายใต้การแทรกแซงอันแยบยล การโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) อันเป็นระบบ คงหมุนกงล้อย้อนกลับสู่ลำดับชนชั้น และการถืออำนาจแบบเก่า
84 ปีแล้ว เราฟักจากไข่ โตเป็นตัวหนอน (larvae) พยายามเป็นดักแด้ (pupae) หากวนเวียนอยู่ได้เพียงเท่านี้ มิอาจเจริญเป็นผีเสื้อโบยบินต่อไป
Metamorphosis of Thailand ช่างยาวนานและ ‘เลือดเย็น’ จริงๆ!
ข้อมูลค้นจาก
jfbkk.or.th
wikipedia.org
rcac84.com
Subscribe to:
Comments (Atom)