July 24, 2017

Hanoi Revisited: National Children's Hospital: 30.08.2016

ออกจาก Ho Chi Minh Mausoleum
เราเดินเล่นบริเวณจัตุรัส Ba Dinh อีกพักใหญ่
08.30 น. นั่งแท็กซี่ไปยังโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ระยะทางราว 4.5 กิโลเมตร เราไปถึงก่อนเวลานัดหมาย คุณ Chang ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ พาไปที่ห้องประชุม ตึกใหม่ (15 ชั้น)
09.00 น. Associate Professor Khu Thi Khanh Dung รองผู้อำนวยการ (Neonatologist) และ Dr. Pham Duy Hien หัวหน้าแผนกศัลยกรรม มาที่ห้องประชุม ทักทายเป็นกันเอง ด้วยเราเคยพบกันมาก่อนทั้งที่นี่และที่กรุงเทพฯ
     หัวหน้าฝ่ายวิเทศสัมพันธ์บรรยายสรุปข้อมูลโรงพยาบาล

โรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย (Vietnam National Children’s Hospital, VNCH)
     แรกเริ่มก่อตั้งเป็นสถาบันปกป้องสุขภาพเด็ก (Institute for the Protection of Child’s Health) ณ Bach Mai General Hospital เมื่อปี 1969
     ปี 1975-1981 ได้รับงบสนับสนุนจากรัฐบาลสวีเดน สร้างโรงพยาบาลเด็ก เปิดเมื่อปี 1981
     ปี 1981-1999 ได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และด้านกิจการโรงพยาบาลจากรัฐบาลสวีเดน รับผู้ป่วยในได้ 450 เตียง ใช้ชื่อ National Hospital of Pediatrics
     ปี 2014 ได้รับงบจากรัฐบาลเวียดนาม ก่อสร้างตึกใหม่ 15 ชั้น และปรับปรุงตึกเก่า 8 ชั้น
     ปี 2016 เปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษเป็น Vietnam National Children’s Hospital (VNCH) และเปลี่ยนโลโก้ใหม่
     ปัจจุบันเป็นศูนย์ตติยภูมิ ครอบคลุมประชากร 30 ล้านคน ภูมิภาคทางเหนือของประเทศ รับผู้ป่วยในได้ 1,500 เตียง ผู้ป่วยนอกวันละ 3,000-4,000 ราย ความสำเร็จที่โดดเด่นได้แก่ การผ่าตัดผ่านกล้อง (laparoscopic and thoracoscopic surgery) การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ (robotic surgery)

10.00 น. หลังจบพิธีการในห้องประชุม Dr. Pham Duy Hien พาชมโรงพยาบาล
     ตึกใหม่ 15 ชั้นก่อสร้างเสร็จแล้ว แต่การตกแต่งภายในยังไม่เรียบร้อย จึงเปิดใช้ได้เพียงบางส่วน ได้แก่ OPD และหอผู้ป่วย คนไข้แน่นขนัด Dr. Hien เรียกส่วนนี้ว่า ‘Socialist Hospital’
     ตึกเก่า 8 ชั้น ปรับปรุงไปได้ครึ่งตึก ทำเป็นคลีนิคพิเศษ สำหรับคนที่จ่ายเงินเอง Dr. Hien เรียกส่วนนี้ว่า ‘Capitalist Hospital’
     ตรงโถง OPD ตึกเก่านี้ มีประติมากรรมสำริดครึ่งตัวของ Olof Palme ตั้งเด่นอยู่ บนผนังข้างๆ ติดแผ่นโลหะจารึกเป็นภาษาอังกฤษ ความว่า
        ‘Olof Palme (1927-1986) เป็นนายกรัฐมนตรีสวีเดน 1969-1976 และ 1982-1986 เป็นมิตรแท้ของเวียดนามในระหว่างสงคราม ท่านนำความสนับสนุนจากสวีเดนสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้ ภายหลังกรุงฮานอยถูกระเบิดถล่มเมื่อเดือนธันวาคม 1972
        ประติมากรรมนี้สำเร็จได้โดยเงินบริจาคจาก Olof Palme International Centre, Olof Palme Memorial Fund, Swedish Committee for Vietnam, Laos and Cambodia และ Social Democratic Party of Sweden ตลอดจนจากบุคคลอื่นๆ
        รูปปั้นนี้จำลองจากต้นแบบที่ตั้งอยู่ ณ รัฐสภาแห่งชาติสวีเดน
        ประติมากร: Thomas Qvasebo’

     ...ตุลาคม 1972 การเจรจาเพื่อยุติสงครามเวียดนาม ณ กรุงปารีส ระหว่าง Henry Kissinger ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงสหรัฐอเมริกา กับ Le Duc Tho ผู้แทนเวียดนามเหนือ ใกล้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง หากประธานาธิบดี Richard M. Nixon กลับไม่ยอมรับ และสั่งทิ้งระเบิดปูพรมพื้นที่จากกรุงฮานอยถึงเมืองท่าไฮฟองระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร ช่วงวันที่ 18-29 ธันวาคม 1972 ชื่อยุทธการ Operation Linebacker II หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า ‘Christmas Bombing’ โดยระดม ‘ป้อมบินยักษ์’ B-52 กว่าร้อยลำจากฐานที่เกาะกวมและอู่ตะเภา นับเป็นการทิ้งระเบิดครั้งหนักหน่วงที่สุดของสงคราม ระเบิดรวมกว่า 40,000 ตัน ฝ่ายเวียดนามปลุกกำลังใจโดยเรียกการศึกนี้ว่า ‘Dien Bien Phu in the Air’ นัยบ่งถึงชัยชนะเช่นที่เคยเอาชนะฝรั่งเศสในสมรภูมิ Dien Bien Phu เมื่อปี 1954
     การโจมตีในคืนวันที่ 22 ธันวาคม 1972 ระเบิดลงยังปีกหนึ่งของโรงพยาบาล Bach Mai ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงฮานอย นายแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เสียชีวิตรวม 28 คน
     วันที่ 23 ธันวาคม 1972 Olof Palme นายกรัฐมนตรีสวีเดน ปราศรัยทางวิทยุกระจายเสียงแห่งสวีเดน เปรียบยุทธการนี้กับ ‘อาชญากรรม’ ในอดีต อาทิ การทิ้งระเบิดที่ Guernica, การสังหารหมู่ที่ Oradour-sur-Glane, Babi Yar, Katyn, Lidice และ Sharpeville ตลอดจนการสังหารชาวยิวที่ Treblinka เขากล่าวว่า ‘บัดนี้อีกหนึ่งชื่อได้ถูกเพิ่มเข้าในบัญชีอาชญากรรมดังกล่าว: ฮานอย, คริสต์มาส 1972’
     คำปราศรัยนี้ยังความไม่พอใจแก่สหรัฐอเมริกาเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดเรียกทูตประจำสวีเดนของตนกลับ และแจ้งแก่สวีเดนว่าไม่ต้องส่งทูตไปประจำกรุงวอชิงตันอีก
     วันที่ 26 ธันวาคม 1972 ระเบิดถูกทิ้งลงย่านถนน Kham Thien ประชาชนเสียชีวิต 278 คน บาดเจ็บเกือบ 300 คน บ้านเรือนถูกทำลายกว่า 2,000 หลัง
     รัฐบาลเวียดนามเหนือประณามยุทธการนี้ว่าสหรัฐอเมริกาปูพรมระเบิดใส่โรงพยาบาล โรงเรียน และเขตบ้านเรือน อย่างป่าเถื่อน ทำให้พลเรือนเสียชีวิตถึง 1,624 คน
     ในสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดี Richard M. Nixon ถูกวิจารณ์ว่า ‘เป็นคนบ้า’ (a madman) หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวเรียกยุทธการนี้ว่า ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ (Genocide), ‘ความป่าเถื่อนยุคหิน’ (Stone-Age Barbarism) และ ‘โหดเหี้ยมไร้สติ’ (Savage and Senseless)...

ภายหลังสงคราม รัฐบาลสวีเดนของนายกรัฐมนตรี Olof Palme ได้สนับสนุนงบประมาณและผู้เชี่ยวชาญในการก่อตั้งและดำเนินงานโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ตั้งแต่ปี 1975 ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปี
     วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1986 เวลาก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย ที่ถนน Sveavägen กลางกรุงสต็อคโฮล์ม นายกรัฐมนตรี Olof Palme ถูกคนร้ายจ่อยิงกลางหลัง ขณะเดินกลับบ้านพร้อมภริยา (Lisbet Palme) ภายหลังชมภาพยนตร์ ท่านเสียชีวิตก่อนส่งถึงโรงพยาบาล
     ตำรวจไม่สามารถจับคนร้ายได้ และจนบัดนี้ยังไม่ทราบสาเหตุของการสังหารดังกล่าว!

11.00 น. Dr. Hien ต้องไปผ่าตัด จึงชวนพวกเราเข้าไปด้วย ห้องผ่าตัดยังคงใช้ห้องเดิมที่ตึกเก่า ที่ซึ่งเมื่อปี 2009 ตอนผมพบ Professor Nguyen Thanh Liem ครั้งแรก ท่านเป็นผู้นำชม…
     Dr. Hien พาไปดู Robot (Da Vinci) ที่ได้งบซื้อและใช้งานมาแต่ปี 2014 อุปกรณ์แต่ละชิ้นถูกกำหนดจำนวนครั้งการใช้งานอย่างตายตัวจากผู้ผลิต ทุกอย่างล้วนราคาแพง แม้ Dr. Hien เป็นผู้ใช้เทคโนโลยีนี้ แต่ก็เห็นว่าต้นทุนสูงเกินไป ไม่เหมาะแก่ประเทศ
     จากนั้นเราเข้าชมการผ่าตัด laparoscopic excision of choledochal cyst โดย Dr. Hien ทำส่วน hepatico-jejunostomy เราได้ร่วมบรรยากาศในห้องผ่าตัดที่ใช้คนไม่มาก แต่ละคนจึงต้องทำหลายหน้าที่!
     เสร็จจากผ่าตัด เจ้าบ้านพาไปกินมื้อกลางวัน เราพบ Professor Le Thanh Hai ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ตรงทางออก ได้คารวะทักทายกัน ท่านเคยเยี่ยมเยือนโรงพยาบาลเด็กแห่งกรุงเทพฯ ตอนไปร่วมงานประชุมวิชาการของเราเมื่อปี 2014 วันนี้ท่านติดภารกิจหลายอย่าง จึงได้คุยกันเพียงครู่เดียว
     ที่ Hai Cang Restaurant ทีมศัลยแพทย์เจ้าภาพ 5-6 คน รออยู่ก่อนแล้ว
     Dr. Hien กล่าวต้อนรับคณะของเรา กล่าวถึงมิตรภาพที่เริ่มมาแต่ครั้ง Professor Nguyen Thanh Liem เป็นผู้อำนวยการและหัวหน้าแผนกศัลยกรรม
     บรรยากาศเป็นกันเอง วงอาหารผ่อนคลาย
     หลังอาหาร ผมกล่าวขอบคุณเจ้าภาพ ผมเล่าถึงการเริ่มต้นส่งแพทย์ประจำบ้านของเรามารับการฝึกอบรม pediatric laparoscopic surgery กับ Professor Nguyen Thanh Liem เมื่อปี 2009 ตอนนั้นท่านตอบรับโดยไม่มีพิธีรีตอง หลังจากนั้น การส่งแพทย์ประจำบ้านฝึกอบรมที่ฮานอยดำเนินต่อเนื่อง ถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 7 ปี หัวหน้าแผนกศัลยกรรมของทั้งสองฝ่ายต่างเกษียณอายุราชการไปแล้ว 2 รุ่น วาระนี้เป็นโอกาสดีที่รุ่นสามได้มาพบเยี่ยมเยือนกัน เพื่อธำรงมิตรภาพอันทรงคุณค่าระหว่างโรงพยาบาลเด็กทั้งสองต่อไป    

14.00 น. เจ้าบ้านต้องกลับไปทำงาน เราร่ำลากัน
Dr. Hien มอบหมายให้ Dr. Nguyen Tho Anh แพทย์ประจำบ้านกุมารศัลยศาสตร์ ดูแลคณะเราในภาคบ่าย

ประวัติศาสตร์สอนเราให้รู้จัก ‘มิตรแท้’
     Olof Palme แห่งสวีเดน มิเพียงแต่ปราศรัย ต่อต้านความรุนแรง และการใช้กำลังข่มเหงของ ‘มหาอำนาจ’ ที่นับว่าเป็น ‘อาชญากรรม’ หากให้ความสนับสนุนเป็นรูปธรรม จนเกิดโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ซึ่งพัฒนามาอย่างสำคัญถึงทุกวันนี้

ประวัติศาสตร์สอนเราให้รู้จัก ‘คนพาล’
     เราพึงหลีกเลี่ยง หลีกหนีจาก ‘คนพาล’ เช่นคำพระที่สอนว่า นตฺถิ พาเล สหายตา ความเป็นสหาย ไม่มีในคนพาล


ข้อมูลค้นจาก
     Lady Borton. Ho Chi Minh: A Journey. Hanoi: Gioi Publishers. 2007.
     Duiker, WJ. Ho Chi Minh. Adelaide: Allen & Unwin. 2000.
     Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
     wikipedia.org

July 19, 2017

Hanoi Revisited: Ho Chi Minh Mausoleum: 30.08.2016

เราตื่นแต่เช้าตรู่ ขึ้นไปกินอาหารที่ชั้น 63 ตอน 06.00 น. ทิวทัศน์เมืองจากมุมสูงที่นี่งดงาม บรรยากาศรื่นรมย์ อาหารหลากหลายจึงยิ่งเอร็ดอร่อย
07.00 น. นั่งแท็กซี่ไปยัง Ho Chi Minh Mausoleum ระยะทางเพียง 3 กิโลเมตรเศษ ใช้เวลา 15 นาที

Ho Chi Minh Mausoleum
     Ho Chi Minh (1890-1969) รัฐบุรุษ และประธานาธิบดี ผู้นำการปลดแอกอาณานิคมจากฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) ผู้นำการต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาในสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง (1960-1975) หรือสงครามเวียดนาม (ชื่อที่สหรัฐอเมริกาเรียก) หรือสงครามอเมริกัน (ชื่อที่เวียดนามเรียก) สู่การรวมประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด
     Ho Chi Minh Mausoleum ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจัตุรัส Ba Dinh สถานที่ซึ่งเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 Ho Chi Minh ประกาศเอกราช จัดตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (Democratic Republic of Vietnam) ต่อหน้าประชาชนสี่แสนคน ไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกต่อไป
     Ho Chi Minh เขียนพินัยกรรมเกี่ยวกับร่างของท่านไว้ว่า ให้เผา นำอังคารแบ่งใส่โกศดินเผา 3 ใบ เก็บไว้ทางเหนือ กลาง และใต้ของประเทศแห่งละหนึ่งใบ
     อย่างไรก็ตาม Ho Chi Minh ถึงแก่กรรม (1969) ขณะที่สงครามเวียดนามกำลังรุนแรง ผู้นำพรรคจึงไม่เปิดเผยพินัยกรรมของท่านต่อสาธารณะ และตกลงใจให้สร้างสุสานเพื่อเก็บรักษาร่างของท่านไว้ ด้วยกรรมวิธีแบบเดียวกับสุสานเลนินในกรุงมอสโคว์ พินัยกรรมของท่านได้ตีพิมพ์เมื่อปี 1990 ในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่าน
     สุสานเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1973 และเปิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1975 สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากสุสานเลนิน (Lenin’s Mausoleum) ในกรุงมอสโคว์ โครงสร้างภายนอกเป็นหินแกรนิตสีเทา ภายในเป็นหินอ่อนจาก Marble Mountains (Ngu Hanh Son) เมือง Da Nang
     ตึกสุสานสูง 21.60 เมตร กว้าง 41.20 เมตร ด้านหน้าตึกตรงคานส่วนบนจารึกอักษร ‘Chu Tich Ho Chi Minh’ แปลว่า ‘ท่านประธานโฮจิมินห์’ สองข้างตึกเป็นแท่นยาว ยกพื้นสูง 7 ขั้นบันได สำหรับชมขบวนสวนสนามตรงลานซีเมนต์ข้างหน้า ถัดจากลานซีเมนต์ไปทางตะวันออกเป็นสนามหญ้าเขียวกว้างใหญ่ ซอยแบ่งด้วยทางเดินตัดตั้งฉากกัน เป็นตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 15 เมตร รวม 210 แปลง สวนรอบสุสานปลูกต้นไม้ราว 250 ชนิดจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ
     จุดเริ่มต้นเข้าแถวอยู่ห่างจากตึกมาก เพื่อให้มีที่รองรับกรณีแถวยาว วันนี้ ผู้คนรอเข้าคารวะร่างของ ‘ลุงโฮ’ ไม่มาก คณะของเราจึงเดินไปได้เรื่อยๆ ไม่ติดขัด กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์ ถูกแยกใส่ถุงฝากไว้นำเข้าไม่ได้
     ถึงตึกสุสาน ขึ้นบันได ผ่านทางเข้า ผ่านห้อง สู่โถงกลางปรับอากาศเย็นฉ่ำ ไฟสลัว แถวแยกออกสองข้างโลงแก้วที่ร่าง Ho Chi Minh นอนอยู่ แสงไฟส่องที่โลงแก้วเป็นจุดเด่นกลางโถงสลัวนั้น แถวค่อยเคลื่อนผ่านไปช้าๆ ไม่อนุญาตให้หยุด จึงเห็น ‘ลุงโฮ’ เพียงครู่เดียว
     ในสุสานยังมีจารึกคำพูดสำคัญของ Ho Chi Minh ที่ว่า ‘ไม่มีสิ่งใดมีค่ากว่าอิสรภาพและเสรีภาพ’

Ho Chi Minh (1890-1969)
     ตอนเกิดชื่อ Nguyen Sinh Cung ที่หมู่บ้านในจังหวัด Nghe An ตอนกลางประเทศ เวลานั้นเวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้วตั้งแต่ปี 1863
     อายุ 11 ปี บิดาเปลี่ยนชื่อให้เป็น Nguyen Tat Thanh (‘ผู้ประสบความสำเร็จ’) ตามจารีตในการเปลี่ยนชื่อเมื่อบุตรเข้าสู่วัยรุ่น
     ครูสอนภาษาฝรั่งเศสแนะเขาว่า ‘หากต้องการเอาชนะคนฝรั่งเศส คุณต้องเข้าใจเขา และหากต้องการเข้าใจเขา คุณต้องเรียนรู้ภาษาของเขา’
     ปี 1907-1909 Nguyen Tat Thanh เข้าศึกษาที่โรงเรียน Quoc Hoc (National Academy) เมือง Hue
     ปี 1911 Nguyen Tat Thanh โดยสารเรือฝรั่งเศสออกจากเวียดนาม หลายปีจากนั้น เขาใช้ชีวิตตามเมืองต่างๆ อาทิ นิวยอร์ค บอสตัน ลอนดอน จนถึงปลายปี 1917 จึงย้ายไปฝรั่งเศส
     ต้นปี 1919 เข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส ตีพิมพ์บทความต่อต้านลัทธิอาณานิคม
     ปี 1919 ภายใต้ชื่อ Nguyen Ai Quoc (‘ผู้รักชาติ’) เขาส่ง ‘ข้อเสนอ 8 ประการ’ ต่อที่ประชุม Versailles Peace Conference ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) ยุติลง เรียกร้องสิทธิปกครองตนเอง หรือเอกราชโดยสมบูรณ์ ของเวียดนาม
     ประธานาธิบดี Woodrow Wilson แห่งสหรัฐอเมริกา ตอบสนองต่อประเด็นอาณานิคมอย่างคลุมเครือ ขณะที่ Vladimir Lenin แห่งสหภาพโซเวียต ประกาศอย่างชัดเจนในปี 1920 เรียกร้องให้ประเทศคอมมิวนิสต์ในโลกตะวันตกร่วมต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชนทุกหนแห่งให้หลุดจากแอกอาณานิคม ท่าทีที่ต่างกันสุดขั้วดังกล่าวทำให้ Nguyen Ai Quoc เดินทางไปยังกรุงมอสโคว์ในปี 1924 เพื่อแสวงความสนับสนุนจากโซเวียต
     ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) มิถุนายน 1940 กองทัพเยอรมนีบุกเข้าฝรั่งเศสและยึดกรุงปารีสได้ ฝรั่งเศสต้องจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
     ในเอเชีย ญี่ปุ่นเปิดแนวรบใหญ่ ขยายอิทธิพล โดยอ้างว่าเพื่อสร้าง 'วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา' ยกทัพเข้าอินโดจีนในเดือนกันยายน 1940
     ต้นปี 1941 Ho Chi Minh (ใช้ชื่อนี้ตั้งแต่สิงหาคม 1942) เดินทางกลับเวียดนาม ภายหลังจากไปถึง 30 ปี และร่วมกับ Pham Van Dong (1906-2000) และ Vo Nguyen Giap (1911-2013) จัดตั้งกลุ่ม Viet Minh
     เมื่อกำลังของฝรั่งเศสในอินโดจีนอ่อนลงสุดขีด ญี่ปุ่นจึงยึดอินโดจีนทั้งหมด เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1945
     นับแต่กลางปี 1945 สถานการณ์สงครามพลิกกลับ ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในทุกสมรภูมิ วันที่ 6 สิงหาคม 1945 Hiroshima ถูกทำลายราบด้วยระเบิดปรมาณู ตามด้วย Nagasaki ในวันที่ 9 สิงหาคม 1945 ที่สุดจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้ในวันที่ 15 สิงหาคม 1945
     วันที่ 2 กันยายน 1945 Ho Chi Minh ประกาศเอกราช จัดตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (Democratic Republic of Vietnam) ต่อหน้าประชาชนสี่แสนคน ณ จัตุรัส Ba Dinh กรุงฮานอย ไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกต่อไป
     หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสกลับเข้ามายึดอินโดจีนในฐานะอาณานิคมของตนอีก การเจรจาไม่เป็นผล เกิดการปะทะกันระหว่างทหารฝรั่งเศสและเวียดนาม Ho Chi Minh ประกาศให้ทั้งประเทศลุกต่อสู้กับฝรั่งเศส นำสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 (1946-1954)
     สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนฝรั่งเศสที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและสร้างรายได้มหาศาลให้สหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแรงจูงใจสำคัญ ดังนั้นกว่าร้อยละ 80 ของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฝรั่งเศสใช้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 นี้ จึงมาจากสหรัฐอเมริกา
     ฤดูหนาวปี 1953 ถึงฤดูใบไม้ผลิปี 1954 ฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำในทุกสมรภูมิอินโดจีน
     วันที่ 7 พฤษภาคม 1954 นายพล Vo Nguyen Giap นำกำลังทหาร Viet Minh 55,000 นาย โจมตีที่มั่นสุดท้ายของฝรั่งเศสซึ่งเหลือกำลังพล 16,000 นาย ที่ Dien Bien Phu ภายหลังปิดล้อมอยู่ 55 วัน การรบนองเลือดเบ็ดเสร็จ ฝรั่งเศสต้องยอมจำนน ปิดฉากการเป็นเจ้าอาณานิคมอินโดจีนที่ดำรงมาเกือบ 100 ปี และนำสู่การเจรจาสันติภาพที่ Geneva ในวันรุ่งขึ้น (8 พฤษภาคม 1954) นัยเพื่อการถอยออกจากอินโดจีน 'อย่างมีเกียรติ' ของฝรั่งเศส
     ความปราชัยของฝรั่งเศสทำให้ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ประกาศว่านี่เป็น 'falling domino' สำทับการเข้าแทรกแซงเต็มรูปแบบของสหรัฐอเมริกา สวมรอยฝรั่งเศสที่จำต้องถอนตัวออกไปจากอินโดจีน
     การเจรจาที่ Geneva เป็นไปอย่างเคร่งเครียด กินเวลาถึง 75 วัน ที่สุด Geneva Accords จึงได้ลงนามกันในวันที่ 20 กรกฎาคม 1954
     Geneva Accords ไม่ยินยอมให้ Viet Minh รวมประเทศ แต่ให้แบ่งเวียดนามเป็นเหนือและใต้ที่เส้นขนานที่ 17 ให้จัดการเลือกตั้งทั่วประเทศในอีก 2 ปีถัดไปเพื่อการรวมประเทศ แต่การเลือกตั้งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น
     สหรัฐอเมริกาเลือกไม่ลงนามรับรอง Geneva Accords เพื่อที่ตนจะไม่ต้องผูกพันปฏิบัติตามข้อตกลง รัฐบาลจักรพรรดิ์ Bao Dai ไม่ลงนามรับรองเช่นกัน และแต่งตั้ง Ngo Dinh Diem (1901-1963) ตามเสนอของสหรัฐอเมริกาเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเวียดนามใต้
     Ngo Dinh Diem สั่งยกเลิกไม่ให้มีการเลือกตั้งในปี 1956 ด้วยคาดหมายว่า Ho Chi Minh จะได้รับชัยชนะ เขาแต่งตั้ง Ngo Dinh Nhu น้องชายเป็นมือขวา กวาดล้างฝ่ายคอมมิวนิสต์ ย้ายชาวนาจากถิ่นอาศัยเดิมไปอยู่ใน 'agrovilles' เพื่อป้องกันการเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้าม จำกัดเสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม ประกาศให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองผิดกฎหมาย สนับสนุนชาวคาธอลิก และข่มเหงชาวพุทธ
     ปี 1959 Le Duan เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะปฏิวัติฝ่ายใต้ จึงก่อสร้างทาง Ho Chi Minh Trail จากตอนเหนือผ่านขุนเขาของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เพื่อใช้ลำเลียงกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์สู่ฝ่ายใต้
     ปี 1960 กองกำลังต่อต้าน Ngo Dinh Diem ถูกจัดตั้งขึ้นในชื่อ The National Liberation Front (NLF) หรือ Viet Cong
     ฤดูใบไม้ผลิปี 1963 ฝ่ายพุทธรวมตัวต่อต้าน Ngo Dinh Diem การประท้วงรุนแรงและเป็นที่สนใจไปทั่วโลกภายหลังพระภิกษุ Thich Quang Duc จากวัด Thien Mu แห่งเมือง Hue จุดไฟเผาตัว กลางสี่แยกในกรุง Saigon เดือนพฤศจิกายน ฝ่ายทหารทำรัฐประหารโดยความเห็นชอบจากสหรัฐอเมริกา สังหาร Ngo Dinh Diem และ Ngo Dinh Nhu
     รัฐบาล Ngo Dinh Diem ล้มไป แต่สหรัฐอเมริกายังคงยึดเวียดนามใต้และอ้างทฤษฎีโดมิโน (The Domino Theory) ซึ่งเสนอโดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Harry S. Truman เมื่อครั้ง Ho Chi Minh ประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
     การสร้างสถานการณ์ปะทะกันระหว่างเรือพิฆาต USS Maddox กับเรือตอร์ปิโด 3 ลำของเวียดนามเหนือที่อ่าวตังเกี๋ยในวันที่ 2 สิงหาคม 1964 และรายงานเท็จว่ามีการปะทะกันอีกในวันที่ 4 สิงหาคม 1964 (The Gulf of Tonkin Incident) ทำให้สภาคองเกรสให้อำนาจเต็มที่แก่ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson ในการจัดการทางทหารต่อเวียดนาม นายพล William Westmoreland สั่งเคลื่อนพลเพื่อปกป้องฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกาในเวียดนามใต้ นาวิกโยธินระลอกแรกจำนวน 2 กองพัน ยกพลขึ้นบกที่ Da Nang Beach เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 1965 เป็นจุดเริ่มต้นการรบภาคพื้นดินของอเมริกัน
     ฤดูใบไม้ผลิปีนั้น กำลังพลอเมริกันไหลบ่าเข้าไปถึง 72,000 นาย
     ปี 1966 สหรัฐอเมริกาใช้ ‘ป้อมบินยักษ์’ B-52 ระดมทิ้งระเบิดใส่เวียดนามเหนืออย่างหนัก
     วันที่ 31 มกราคม 1968 วันตรุษ Tet กองทัพเวียดนามเหนือเปิดยุทธการ Tet General Offensive พร้อมกันกว่า 30 เมืองทางใต้ หวังเผด็จศึกเบ็ดเสร็จ แต่ไม่สำเร็จ และสูญเสียทหารกว่า 50,000 นาย ส่วนสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญการประท้วงต่อต้านสงครามจากคนอเมริกันเองอย่างหนัก เวลานั้นกำลังพลอเมริกันในเวียดนามมีมากถึงครึ่งล้านนาย
     วันที่ 13 พฤษภาคม 1968 เริ่มการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียดนามที่กรุงปารีสเพื่อหาทางยุติสงคราม
     วันที่ 2 กันยายน 1969 ประธานาธิบดี Ho Chi Minh ถึงแก่กรรมด้วยหัวใจวาย
     ตุลาคม 1972 การเจรจาที่กรุงปารีสระหว่าง Henry Kissinger ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงสหรัฐอเมริกา กับ Le Duc Tho ใกล้บรรลุข้อตกลง หากประธานาธิบดี Richard M. Nixon ไม่ยอมรับ และสั่งทิ้งระเบิดปูพรมพื้นที่จากฮานอยถึงเมืองท่าไฮฟองระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร ในช่วงวันที่ 18-29 ธันวาคม 1972 ที่เรียกว่า ‘Christmas Bombing’ เป็นการทิ้งระเบิดครั้งหนักหน่วงที่สุดของสงคราม น้ำหนักระเบิดรวมกว่า 40,000 ตัน ฝ่ายเวียดนามปลุกกำลังใจโดยเรียกการศึกนี้ว่า ‘Dien Bien Phu in the Air’
     วันที่ 27 มกราคม 1973 ที่กรุงปารีส ทั้งสองฝ่ายลงนามข้อตกลงหยุดยิงเพื่อสันติภาพในเวียดนาม แต่การสู้รบยังไม่ยุติ...

ปี 1974 ตอนผมเรียนชั้นปีที่ 3 (Pre-clinic) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พวกเรานักศึกษามีโต๊ะประจำส่วนตัวในห้องปฏิบัติการอเนกประสงค์ (Multidisciplinary Laboratory, MDL) ใช้เป็นที่ทำงาน อ่านหนังสือ ทำแล็บ และสัมมนากลุ่มย่อย เราต่างรู้สึกเป็นเจ้าของ MDL
     วันหนึ่ง อาจารย์ประจำภาควิชาพยาธิวิทยาท่านหนึ่งเดินเข้ามาใน MDL เห็นภาพ Ho Chi Minh ที่ใครบางคนแขวนไว้บนผนังบริเวณหัวตึก อาจารย์ตะคอกเสียงดังว่า ‘นี่รูปพ่อใคร? เอาลงเดี๋ยวนี้!’ เมื่อไม่มีเสียงหรืออาการตอบรับจากนักศึกษา อาจารย์ก็จำต้องล่าถอยไปเอง เป็นการยืนยันว่า MDL คือพื้นที่ของพวกเรา ผมไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของรูปนั้น รู้เพียงว่า Ho Chi Minh เป็นอดีตผู้นำเวียดนามเหนือที่ถึงแก่กรรมแล้ว และการแขวนรูปดังกล่าวไม่ต่างจากกระแสนิยมรูปของ Che Guevara (1928-1967) นักปฏิวัติชาวอาร์เจนตินาผู้นิยมลัทธิมาร์กซ์ หรือรูปของ Al Pacino ที่รับบทเป็น Frank Serpico ตำรวจนครนิวยอร์ค ในภาพยนตร์เรื่อง Serpico (ฉายเมื่อปี 1973) อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจว่าข้อขัดแย้งทางความคิดและการเมืองระหว่างฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาภายหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 1973 ทำให้เกิดความอ่อนไหวต่อรูป Ho Chi Minh ดังกล่าว
     ขณะนั้นสงครามเวียดนามกำลัง ‘เข้าด้ายเข้าเข็ม’ กองทัพสหรัฐอเมริกาเพลี่ยงพล้ำในสนามรบและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาถูกประชาชนต่อต้านการทำสงครามอย่างหนัก ปีถัดมา วันที่ 30 เมษายน 1975 รถถังในบังคับบัญชาของพันเอก Bui Tin แห่งกองทัพเวียดนามเหนือแล่นชนพังประตูทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Independence Palace) เข้ายึดศูนย์อำนาจของฝ่ายใต้ทั้งหมด ปิดฉากสงครามเวียดนาม สงครามที่คนเวียดนามเรียกว่า American War of Aggression อันยาวนานกว่า 15 ปี ล้างผลาญชีวิตคนเวียดนามไป 3 ล้านคน จำนวนนี้เป็นพลเรือน 2 ล้านคน ส่วนทหารอเมริกันเสียชีวิตไปกว่า 5 หมื่นนาย
   
ทุกวันนี้ในแต่ละปี มีผู้คนกว่า 1 ล้านคนเข้าคารวะ Ho Chi Minh ณ สุสานนี้ บทกวี ข้อเขียน และคำคม ของท่านได้รับการกล่าวอ้างอยู่เสมอ คนเวียดนามทั้งผู้นำและชาวบ้านต่างเรียกขานท่านว่า ‘Bac Ho’ ‘Bac’ แปลว่า ‘ลุง’ เป็นคำที่แฝงนัยแห่งความเคารพและความรักต่อผู้อาวุโสในครอบครัว นัยดังกล่าวนี้เป็นธรรมชาติและเป็นที่ยอมรับ
     Ho Chi Minh มิใช่พ่อใคร? อย่างที่อาจารย์พยาธิวิทยาตะคอกถาม
     Ho Chi Minh เป็นรัฐบุรุษผู้รักชาติ อุทิศตนรับใช้ชาติ เอาชนะมหาอำนาจตะวันตกทั้งฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาผู้รุกรานด้วยอำนาจอธรรม จนที่สุดนำสู่การรวมประเทศเวียดนามที่มีเอกราช เสรีภาพ และสันติภาพ ชีวิตของท่านได้ให้นิยามแก่คำว่า ‘รักชาติ’ และ ‘รับใช้ชาติ’ ที่แท้จริง

การได้เข้าคารวะ ‘ลุงโฮ’ ที่ Ho Chi Minh Mausoleum เช้านี้ ถือเป็นวาระแห่งความทรงจำที่สำคัญ...


ข้อมูลค้นจาก
     Lady Borton. Ho Chi Minh: A Journey. Hanoi: Gioi Publishers. 2007.
     Duiker, WJ. Ho Chi Minh. Adelaide: Allen & Unwin. 2000.
     Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
     wikipedia.org

July 8, 2017

Hanoi Revisited: Prologue: 29.08.2016

08.00 น. เครื่อง TG บินจากสุวรรณภูมิ ช้ากว่ากำหนด 15 นาที
09.45 น. ถึงสนามบินนานาชาติ Noi Bai กรุงฮานอย สนามบินขยายใหญ่โต ทันสมัยขึ้นมาก เทียบกับสองปีก่อนตอนผมมาครั้งหลังสุดเมื่อปี 2014
     คณะเรา 4 คน เข้าเมืองด้วย airport limousine ตั๋วไปกลับราคา USD 45 ถูกกว่าซื้อทีละเที่ยว 2 ครั้ง รถออกจากสนามบินแล่นไปตามถนน Vo Nguyen Giep ทางกว้างขวาง โรงแรมหลายแห่งเรียงรายบริเวณใกล้กับสนามบิน ไกลออกไปสองข้างทางเป็นผืนนาเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ กว้างใหญ่สุดสายตา ราว 15 กิโลเมตรต่อมา ทางยกระดับต่อเนื่องเป็นถนน Cau Nhat Tan/ Vo Chi Cong ข้ามแม่น้ำแดง (Red River) เข้าเขตเมือง กรุงฮานอยเปลี่ยนไปมาก เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ถนนรนแคมเรียบร้อยกว่าก่อน รถยนต์มากขึ้น จึงดูเหมือนมอเตอร์ไซค์ลดน้อยลง หากการจราจรยังคงชุลมุนเช่นเคย รถแล่นออกจากทางด่วนเข้าถนน Buoi เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Doi Can ราว 1 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าถนน Lieu Giai อีก 600 เมตร ถึง Lotte Hotel Hanoi รวมระยะทาง 26 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที
     Lotte Hotel Hanoi เป็นธุรกิจในเครือ Lotte Group กลุ่มทุนข้ามชาติจากเกาหลีใต้ โรงแรมตั้งอยู่ส่วนบนของตึกสูง 65 ชั้น ส่วนล่างเป็นห้างสรรพสินค้าและสำนักงานให้เช่า ล็อบบี้โรงแรมอยู่ที่ชั้น 38 ผนังกระจกใสจากพื้นถึงเพดาน 3 ด้าน อวดทิวทัศน์พาโนราม่างดงามด้านตะวันตกของกรุงฮานอย ย่านธุรกิจที่กำลังขยายตัว West Lake ทะเลสาบน้ำจืดใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง (ชายฝั่งยาว 17 กิโลเมตร คลุมพื้นที่ 5 ตารางกิโลเมตร) อยู่ห่าง 1.5 กิโลเมตรไปทางเหนือ Thu Le Lake อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน Dao Tan ทางทิศใต้ จากมุมสูงนี้ทำให้เห็นภูมิลักษณ์อันอุดมของกรุงฮานอย ทะเลสาบจำนวนมาก แม่น้ำแดง เขตเมืองเก่าด้านตะวันออก และย่านธุรกิจด้านตะวันตก หากถนนหนทางและการจราจรถูกจัดระเบียบอย่างเหมาะสม ฮานอยจะเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ไม่แพ้เมืองใดเลย
     หลังเช็คอิน เก็บสัมภาระ ได้เวลาสำรวจเมือง…
     จากถนน Lieu Giai หน้าโรงแรม เราเดินไปทางใต้ ข้ามแยกตัดกับถนน Dao Tan และแยกตัดกับถนน Kim Ma ต่อเข้าถนน Nguyen Chi Thanh เลียบ Ngoc Khanh Lake ฝั่งตะวันออก ทะเลสาบกว้างนี้ช่วยคลายร้อนอบอ้าวลง เราพักกินมื้อกลางวันที่ Mon Hue ภัตตาคารริมทะเลสาบ อาหารพื้นเมืองเอร็ดอร่อย ไขมันน้อย เคียงผักหลากหลาย นี่เองคือปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้เวียดนามได้ชื่อว่า ‘สามผอม’ อันได้แก่ ประเทศผอม ตึกรามบ้านเรือนผอม และผู้หญิงผอม
     หลังอาหาร เราเดินเล่นต่อไปทางชายฝั่งด้านใต้ของทะเลสาบ เวียดนามเป็นแหล่งปลูกกาแฟชั้นดี จึงเห็นร้านกาแฟเรียงรายอยู่ทั่วไป เราแวะที่ Coffee Nam Hai เขาชง Trung Nguyen กาแฟแบรนด์ดัง แบบโบราณได้อย่างยอดเยี่ยม

14.15 น. นั่งแท็กซี่ไปยัง Vinmec International Hospital เรานัดพบกับ Professor Nguyen Thanh Liem ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เพื่อเยี่ยมคารวะท่านและขอชมโรงพยาบาล    
   
Professor Nguyen Thanh Liem เป็นอดีตหัวหน้าแผนกศัลยกรรม และอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย (National Hospital of Pediatrics) ท่านวางนโยบายให้การผ่าตัดผ่านกล้องเป็นทิศทางสำคัญตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ประสบการณ์สั่งสมยาวนาน และคนไข้จำนวนมาก ถึงวันนี้อาจกล่าวได้ว่าโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอยมีผลงานการผ่าตัดผ่านกล้องโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
     ปลายปี 2008 ผมได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานศัลยศาสตร์ ในการแถลงนโยบาย ผมเสนอให้ส่งแพทย์ประจำบ้านกุมารศัลยศาสตร์ของเราไปฝึกอบรม pediatric laparoscopic surgery ณ สถาบันต่างประเทศคนละ 1 เดือน มีเสียงค้านว่าไม่มีความจำเป็น มีเสียงหยันว่า staff ยังไม่ได้ไปเลย จะส่งแพทย์ประจำบ้านไปได้อย่างไร ใช้งบอะไร
     เมษายน 2009 ผม email ถึง Professor Nguyen Thanh Liem แนะนำตัวเองและหารือขอส่งแพทย์ประจำบ้านของเราไปฝึกอบรมกับท่านคนละ 1 เดือน ท่านตอบรับโดยไม่มีพิธีรีตอง ผมส่งโครงการเพื่อขออนุมัติและผู้อำนวยการกรุณาจัดสรรงบจากกองทุนให้ อย่างไรก็ตาม เกิดข้อกังขาว่า เหตุใดจึงส่งแพทย์ประจำบ้านไปฮานอย เขาเก่งกว่าเราหรือ?
     8-9 ตุลาคม 2009 ผมเข้าร่วม Workshop: Advanced Laparoscopic Surgery ณ โรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ได้พบ Professor Nguyen Thanh Liem เป็นครั้งแรก และท่านพาชมห้องผ่าตัด ซึ่งแม้เป็นตึกเก่า คับแคบ แต่เครื่องมือ laparoscope ทันสมัย พร้อมเพรียง นอกจากนี้ ยังได้พบ Professor Hock Lim Tan หัวหน้าแผนกกุมารศัลยกรรม National University of Malaysia (Universiti Kebangsaan Malaysia, UKM) ซึ่งมาสาธิตการผ่าตัดใน workshop ด้วย
     พฤศจิกายน 2009 แพทย์หญิงอารดา สุทธิวงษ์สิงห์ แพทย์ประจำบ้านกุมารศัลยศาสตร์ของเราเป็นคนแรกที่ไปฮานอย บุคลิกและความกระตือรือร้นของเธอเป็นที่รัก ถึงขนาดได้เข้าร่วมพิธีรับตำแหน่ง Professor ของ Professor Nguyen Thanh Liem ณ Temple of Literature โบราณสถานสำคัญทางการศึกษา
     หลังจากนั้น การส่งแพทย์ประจำบ้านฝึกอบรมที่ฮานอยดำเนินต่อเนื่องไป อย่างไรก็ตาม มีบางคนขอไม่ไปด้วยความเป็นอยู่ลำบากและด้วยข้อกังขาข้างต้น
     ปี 2010 เพื่อเปิดทางเลือกเพิ่มขึ้น ผม email ถึง Professor Hock Lim Tan หารือขอส่งแพทย์ประจำบ้านไปฝึกอบรมกับท่านที่ UKM ท่านตอบรับโดยไม่มีพิธีรีตองเช่นกัน
     มีนาคม 2011 แพทย์หญิงจิรา ไตรรงค์จิตเหมาะ และแพทย์หญิงปิติพร ตั้งขบวนบุตร เป็นแพทย์ประจำบ้านเพียง 2 คนที่ได้ไปฝึกอบรมกับ Professor Hock Lim Tan เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็หมดสัญญากับ UKM
     26 มกราคม 2012 มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) เพื่อความร่วมมือด้านสุขภาพระหว่างกระทรวงสาธารณสุขเวียดนามและไทย โดยระบุคู่โรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอยกับโรงพยาบาลเด็กแห่งกรุงเทพฯ ไว้เป็นการจำเพาะหนึ่งข้อ วันรุ่งขึ้น (27 มกราคม 2012) Professor Nguyen Thanh Liem ซึ่งร่วมมาในคณะของรัฐมนตรีฝ่ายเวียดนาม นำทีมเยือนโรงพยาบาลเด็ก เพื่อหารือการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในสาขาต่างๆ รวม 10 สาขา อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกรุงเทพฯ ตอบสนองข้อหารือดังกล่าวอย่างเย็นชา!
     กุมภาพันธ์ 2012 รังสีแพทย์จากโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ขอดูงานด้าน Nuclear Medicine ผมประสานการดูงานให้ ณ โรงพยาบาลราชวิถี เป็นเวลา 1 เดือน
     ปี 2013 Professor Nguyen Thanh Liem เกษียณอายุราชการ และต่อมารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล Vinmec International Hospital โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่
     ปี 2014 กรมการแพทย์เปิดโครงการความร่วมมือประชาคมอาเซียน
     5 มีนาคม 2014 ผมร่วมคณะบริหารกรมการแพทย์เยือนโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอย ซึ่งตอนนั้นกำลังก่อสร้างตึกใหม่สูง 16 ชั้น และได้จัดซื้อ Robot (Da Vinci) เข้ามาราว 20 วัน ใช้ผ่าตัดไปแล้วกว่าสิบราย เราถามว่าเหตุใดจึงลงทุนกับ Robotic surgery ซึ่งราคาสูงมาก Dr. Pham Duy Hien ศัลยแพทย์ ตอบว่า 'เพื่อรู้เท่าทันเทคโนโลยี'
     23-24 มิถุนายน 2014 ก่อนการประชุมวิชาการประจำปีของสถาบัน เราจัด Pre-congress Workshop: 'Pediatric Minimally Invasive Surgery - Live Demonstration' เชิญคณะของ Professor Nguyen Thanh Liem มาสาธิตการผ่าตัดผ่านกล้อง
     ความก้าวหน้าด้าน pediatric laparoscopic surgery ของฮานอยเป็นที่ประจักษ์ ทั้งในการนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการ บทความตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ และตำรา
     ถึงวันนี้ คงไม่มีข้อกังขาว่า เหตุใดจึงส่งแพทย์ประจำบ้านไปฮานอย เขาเก่งกว่าเราหรือ?
     ความสัมพันธ์ต่อเนื่องนานกว่า 7 ปี ระหว่างโรงพยาบาลเด็กแห่งฮานอยกับโรงพยาบาลเด็กแห่งกรุงเทพฯ นับว่าทรงคุณค่า
     Professor Nguyen Thanh Liem กล่าวไว้ว่า 'ความรู้เป็นสิ่งที่ควรให้โดยไม่คิดราคา เพราะผู้รับความรู้นั้นย่อมนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลรักษาคนไข้ต่อไป'

Vinmec International Hospital เป็นธุรกิจในเครือ Vingroup กลุ่มทุนใหญ่ของเวียดนาม ครอบคลุมหลายภาค ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก โรงเรียน และโรงพยาบาล
     ภาคโรงพยาบาลมี 4 แห่ง กำหนดขยายเป็น 10 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2020 สะท้อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของเวียดนาม
     เราไปถึง Vinmec International Hospital, Time City ราว 15.00 น. Professor Nguyen Thanh Liem ยังติดพันภารกิจอื่นอยู่ ท่านให้สาวสวยฝ่ายต้อนรับในชุด Ao Dai สีน้ำเงินทับสีครีมขาว นำชมโรงพยาบาล
     เริ่มด้วยตัวอย่างห้องพักขนาดต่างๆ ในหอผู้ป่วย, แผนกผู้ป่วยนอก (OPD), แผนก X-ray, Rehabilitation Medicine นอกจากนี้ที่น่าสนใจยิ่งคือ Stem Cell Center และ Gene Technology Center ศูนย์ทั้งสองไม่เพียงแต่ทำงานวิจัย หากได้นำสู่การรักษาแล้ว
     15.40 น. มัคคุเทศก์สาวสวยพาคณะเราไปยังห้องทำงาน Professor Nguyen Thanh Liem ท่านต้อนรับทักทายเป็นกันเองเช่นทุกครั้ง ท่านยังคงเดินทางไปต่างประเทศ เป็นวิทยากร และทำ workshop อยู่เนืองๆ ถือเป็น ‘ครู’ ระดับโลกอย่างแท้จริง ในวาระที่คณะเรามากรุงฮานอยจึงเป็นโอกาสดีที่ได้เยี่ยมคารวะและขอบคุณในน้ำใจไมตรีของท่าน อันส่งเสริมต่อมิตรภาพยาวนานระหว่างโรงพยาบาลเด็กของทั้งสองประเทศ
     16.10 น. เราร่ำลา Professor Nguyen Thanh Liem กลับที่พัก

ตอนเย็น เราออกไปแถว Hoan Kiem Lake กินมื้อค่ำที่ Wrap & Roll
บรรยากาศรอบ Hoan Kiem Lake คึกคัก ไม่เพียงแต่ผู้คน ยังมีสุนัขทั้งพันธุ์ใหญ่พันธุ์เล็กที่เจ้าของพามาวิ่งกระโดดกันอย่างสนุกสนาน...น่ายินดี!


ข้อมูลค้นจาก
     wikipedia.org
     vinmec.com