เรานั่งรถตุ๊กตุ๊กออกไปกินมื้อเช้าที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปลา ที่ทางสะอาดสะอ้าน พนักงานกระฉับกระเฉง เจ้าของยิ้มแย้ม พูดภาษาไทยชัดเจน อาหารอร่อย
หลังอาหาร นั่งรถตุ๊กตุ๊กไปวัดพนม
วัดพนม
ตั้งอยู่บนเนินเขา ใกล้ถนนพระศรีสวัสดิ์ (Preah Sisowath Quay) ถนนเลียบแม่น้ำต็วนเลซาบ (Tonle Sap River)
เล่ากันว่า นานมาแล้ว ยายเพ็ญ (โฎนเปญ - ในภาษาเขมร) คหปตานีหม้าย พบขอนไม้ใหญ่ลอยมาตามแม่น้ำ ภายในมีพระพุทธรูปสำริด 4 องค์ จึงสร้างวิหารบนเนินเขา เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่
ต่อมา เจ้าพญายาต กษัตริย์กัมพูชา (ครองราชย์ 1445-1481) ย้ายราชธานีจากเมืองบาสาณซึ่งเกิดอุทกภัย มาอยู่ที่กรุงจตุมุข (พนมเพ็ญ) โปรดให้สร้างวัดวาอารามมากมาย หนึ่งในวัดนั้น ได้แก่ วัดพนมโฎนเปญ หรือวัดพนมบรรพต
เชิงเขาด้านทิศใต้ข้างบันไดทางขึ้น มีเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช (ครองราชย์ 1481-1485) สร้างโดยสมเด็จพระศรีราชาธิราช (ครองราชย์ 1485-?) ลักษณะเจดีย์มีองค์ระฆังแปดเหลี่ยม ศิลปะสมัยพนมเปญยุคที่ 1 (ศตวรรษที่ 15-16)
บันไดทางขึ้นวัดหันไปทางทิศตะวันออก ราวบันไดทำเป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียร จนถึงชานพัก จากชานพักขึ้นไปสองข้างบันไดประดับด้วยเทวดาและสิงห์หมอบ นำสู่พระวิหารด้านบน
พระวิหารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคามีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันลายปูนปั้นรูปพระพรหมทรงช้างเอราวัณ ทาสีขาว พื้นหลังสีแดง ชายคากว้างโดยรอบ รับด้วยเสาสี่เหลี่ยม หัวเสาทุกต้นมีกินรีแบก เฉพาะเสาตรงมุมเป็นครุฑแบก ที่เสากลางด้านหน้าประดับซุ้มสำริดรูปนางอัปสรคู่ ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์ ตลอดจนเครื่องบูชาต่างๆ ผนังโดยรอบเขียนภาพชาดกและรามเกียรติ์
ทิศตะวันตกด้านหลังพระวิหาร เป็นเจดีย์ประธาน เจดีย์ทรงระฆัง ฐานสี่เหลี่ยม สร้างโดยเจ้าพญายาต เป็นตัวอย่างสำคัญของศิลปะสมัยพนมเปญยุคที่ 1
เชิงเขาด้านทิศใต้ มีนาฬิกาขนาดใหญ่ หน้าปัดเป็นหญ้าเขียว แวดล้อมด้วยสวนหย่อมสบายตา
ความสำคัญของวัด ความร่มรื่นของบริเวณ ทำให้วัดพนมเป็นแหล่งชุมนุมที่นิยมของชาวพนมเปญ
จากวัดพนม นั่งรถตุ๊กตุ๊กไปยัง Tuol Sleng Genocide Museum ถนน 113 ห่างไปทางใต้ราว 4 กิโลเมตร
สองสาวในคณะขอไม่เข้าชมที่นี่! แต่ไปรอที่ร้านกาแฟใกล้ๆ
ศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่อังกฤษและฝรั่งเศสก้าวขึ้นเป็นเจ้าอาณานิคม ออกล่าเมืองขึ้นทั่วโลก ในเอเชีย อังกฤษใช้กำลังยึดเอาประเทศอินเดีย พม่า อินโดนีเซีย มลายู สิงคโปร์ และแผ่อิทธิพลเข้าสยาม ส่วนฝรั่งเศสเข้ายึดเขตตะวันออกของภาคใต้เวียดนามในปี 1862 และกัมพูชาในปี 1863
สมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร (ครองราชย์ 1860-1904) กษัตริย์กัมพูชา ลงนามยินยอมอยู่ภายใต้อารักขาของฝรั่งเศสเมื่อปี 1863 และที่สุดราชอาณาจักรกัมพูชาก็ถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีน อาณานิคมฝรั่งเศส
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) มิถุนายน 1940 กองทัพเยอรมนีบุกเข้าฝรั่งเศสและยึดกรุงปารีสได้ ฝรั่งเศสต้องจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
ในเอเชีย ญี่ปุ่นเปิดแนวรบใหญ่ ขยายอิทธิพล โดยอ้างว่าเพื่อสร้าง 'วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา' ยกทัพเข้าอินโดจีน ผลักดันให้ไทยในฐานะพันธมิตรขยาย 'ลัทธิชาติไทยใหญ่' บังคับให้ฝรั่งเศสยกดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงของลาว และแขวงพระตะบอง เสียมเรียบ ศรีโสภณของกัมพูชาให้ไทย เมื่อกำลังของฝรั่งเศสในอินโดจีนอ่อนลงสุดขีด ญี่ปุ่นจึงใช้กำลังยึดอินโดจีนทั้งหมด เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1945 และสนับสนุนให้ สมเด็จพระนโรดมสีหนุ (ครองราชย์ 1941-1955 และ 1993-2004) ประกาศเอกราชจากอาณานิคมฝรั่งเศส
นับแต่กลางปี 1945 สถานการณ์สงครามพลิกกลับ ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในทุกสมรภูมิ วันที่ 6 สิงหาคม 1945 Hiroshima ถูกทำลายราบด้วยระเบิดปรมาณู ตามด้วย Nagasaki ในวันที่ 9 สิงหาคม 1945 ที่สุดจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้ในวันที่ 14 สิงหาคม 1945
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสกลับเข้ามายึดอินโดจีนในฐานะอาณานิคมของตนอีก นำสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 (1945-1954) ในส่วนของกัมพูชา การเรียกร้องเอกราชจากอาณานิคมฝรั่งเศสของสมเด็จพระนโรดมสีหนุที่ดำเนินต่อเนื่อง ประสบผลสำเร็จเมื่อตุลาคม 1953
ฤดูหนาวปี 1953 ถึงฤดูใบไม้ผลิปี 1954 ฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำในทุกสมรภูมิอินโดจีน
ในเวียดนาม วันที่ 7 พฤษภาคม 1954 นายพล Vo Nguyen Giap นำกำลังทหาร Viet Minh 55,000 นาย โจมตีที่มั่นสุดท้ายของฝรั่งเศสซึ่งเหลือกำลังพล 16,000 นาย ที่ Dien Bien Phu ภายหลังปิดล้อมอยู่ 55 วัน การรบนองเลือดเบ็ดเสร็จ ฝรั่งเศสต้องยอมจำนน ปิดฉากการเป็นเจ้าอาณานิคมอินโดจีนที่ดำรงมาเกือบ 100 ปี และนำสู่การเจรจาสันติภาพที่ Geneva ในวันรุ่งขึ้น (8 พฤษภาคม 1954) นัยเพื่อการถอยออกจากอินโดจีน 'อย่างมีเกียรติ' ของฝรั่งเศส
การเจรจาที่ Geneva เป็นไปอย่างเคร่งเครียด กินเวลาถึง 75 วัน ที่สุด Geneva Accords จึงได้ลงนามกันในวันที่ 20 กรกฎาคม 1954
สาระสำคัญของ Geneva Accords ต่อกัมพูชา ได้แก่ การถอนทหารต่างด้าวออกจากกัมพูชา การห้ามไม่ให้กองทหารต่างด้าวใดๆ แทรกซึม
กัมพูชาดำเนินนโยบายเป็นกลางตลอดทศวรรษ 1950 และ 1960 ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเข้าแทรกแซงรัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนามใต้ ขัดขวางการรวมประเทศเวียดนาม และที่สุดนำสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง หรือสงครามเวียดนาม หรือสงครามอเมริกัน (1960-1975)
ปี 1959 Le Duan เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะปฏิวัติฝ่ายใต้ จึงก่อสร้างทาง Ho Chi Minh Trail จากตอนเหนือผ่านขุนเขาของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เพื่อใช้ลำเลียงกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์สู่ฝ่ายใต้ ปี 1960 กองกำลังต่อต้านรัฐบาลเวียดนามใต้ถูกจัดตั้งขึ้นในชื่อ The National Liberation Front (NLF) หรือ Viet Cong
ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1960 หลายจังหวัดทางตะวันออกของกัมพูชา ตลอดจนเมืองท่า Sihanoukville ถูกใช้เป็นฐานของกองทัพเวียดนามเหนือและ Viet Cong ในการรุกสู่เวียดนามใต้
ปี 1969 สหรัฐอเมริกาส่งเครื่องบินระดมทิ้งระเบิดที่มั่นของกองทัพเวียดนามเหนือและ Viet Cong ลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชากว่า 30 กิโลเมตร เป็นเวลาต่อเนื่องถึง 14 เดือน สมเด็จพระนโรดมสีหนุซึ่งไม่ต้องการให้การสู้รบลามเข้าไปยังกัมพูชาได้ประท้วงสหรัฐอเมริกาและไม่ยินยอมให้สหรัฐอเมริกาใช้สนามบินและน่านฟ้าของกัมพูชาในปฏิบัติการทางทหาร ยังความขัดเคืองแก่รัฐบาลประธานาธิบดี Richard M. Nixon เป็นอย่างยิ่ง
ตลอดทศวรรษ 1960 การเมืองภายในกัมพูชาแบ่งขั้วขัดแย้ง ฝ่ายซ้ายรวมกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาจากปารีส อาทิ Son Sen, Ieng Sary, และ Saloth Sar (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Pol Pot) จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งกัมพูชา (Communist Party of Kampuchea, CPK) เคลื่อนไหวทั้งทางการเมืองและการทหาร สมเด็จพระนโรดมสีหนุเรียกกลุ่มนี้ว่า ‘เขมรแดง’ (Khmer Rouge) อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งในปี 1966 ฝ่ายขวาได้รับชัยชนะ นายพล Lon Nol ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบาย ‘ใกล้ชิด’ กับสหรัฐอเมริกา ขัดแย้งกับสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ประมุขประเทศ
วันที่ 18 มีนาคม 1970 นายพล Lon Nol ก่อรัฐประหารขณะสมเด็จพระนโรดมสีหนุเยือนกรุงปักกิ่ง และนำกัมพูชาเป็น ‘พันธมิตร’ กับสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 1970 รัฐบาล Lon Nol ยกเลิกระบอบกษัตริย์ เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ‘สาธารณรัฐเขมร’ (Khmer Republic) และสั่งให้กองกำลังเวียดนามเหนือถอนออกจากกัมพูชาภายใน 48 ชั่วโมง เวลานั้นสหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนยุทโธปกรณ์แก่กองทัพกัมพูชาเพื่อต่อสู้กับทั้งกลุ่มเขมรแดงและกองทัพเวียดนามเหนือ ฝ่ายเวียดนามเหนือปฏิเสธไม่ถอนกำลัง เนื่องจากเขตตะวันออกของกัมพูชาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นส่วนหนึ่งของ Ho Chi Minh Trail จึงทุ่มกำลังรักษาที่มั่นนี้ไว้อย่างเข้มแข็งและยิ่งกว่านั้นยังรุกคืบเข้าถึงระยะ 24 กิโลเมตรห่างจากกรุงพนมเปญ พื้นที่ซึ่งยึดเพิ่มได้นี้ เวียดนามเหนือมอบให้กลุ่มเขมรแดง ส่วนสมเด็จพระนโรดมสีหนุก็ปลุกเร้าให้ประชาชนร่วมกันโค่นรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรลง สถานการณ์ตึงเครียดนำสู่สงครามกลางเมือง
ปี 1972 มีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ นายพล Lon Nol ขึ้นเป็นประธานาธิบดี หากความแตกแยกในกลุ่มผู้นำและคอรัปชั่นวงกว้างยิ่งทำให้รัฐบาลและกองทัพอ่อนแอลง ขณะที่ฝ่ายเขมรแดงเติบโตเข้มแข็งขึ้น Pol Pot และ Ieng Sary คุมอำนาจนำพรรคคอมมิวนิสต์ ลดการพึ่งพากองทัพเวียดนามเหนือลง ถึงปี 1973 เขมรแดงสามารถสู้รบกับฝ่ายรัฐบาลได้โดยปราศจากการสนับสนุนกำลังจากเวียดนามเหนือ ทั้งยึดพื้นที่ได้ถึงร้อยละ 60 ของประเทศ และยึดกุมประชาชนได้ร้อยละ 25
ปี 1974 กองกำลังเขมรแดงขยายเป็นระดับกองพล ฝ่ายรัฐบาลควบคุมพื้นที่ได้เพียงรอบเมืองใหญ่ พลเมืองกว่า 2 ล้านคนหนีภัยสงครามเข้าไปอาศัยในกรุงพนมเปญและในเมืองอื่นๆ
วันปีใหม่ 1975 กองทัพคอมมิวนิสต์เขมรแดงเปิดศึกใหญ่ รุกล้อมกรอบกรุงพนมเปญ การสู้รบรุนแรงต่อเนื่องนานนับเดือน ที่สุดเมื่อสถานการณ์คับขันเข้าตาจน สหรัฐอเมริกาจึงถอนกำลังทั้งหมดของตนออกจากกัมพูชา ถัดมาอีกเพียง 5 วัน วันที่ 17 เมษายน 1975 รัฐบาล Lon Nol ต้องยอมจำนน สาธารณรัฐเขมรถึงแก่การล่มสลาย เขมรแดงเข้ายึดครองประเทศ
ไม่กี่วันต่อมา ประชาชนกว่า 2 ล้านคนในกรุงพนมเปญและเมืองใหญ่อื่นๆ ถูกบังคับให้ออกจากเมืองไปเป็นแรงงานเกษตรกรรมในชนบท หลายพันคนเสียชีวิตระหว่างการอพยพอันฉุกละหุกนี้
การดำรงอยู่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งกัมพูชา และตัวตนของผู้นำพรรค ถูกปิดเป็นความลับต่อคนภายนอก ความลับเป็นหัวใจของปฏิบัติการตามสโลแกน ‘ความลับคือกุญแจสู่ชัยชนะ ยิ่งลับยิ่งยืนยง’ กลุ่มผู้นำเรียกขานตนเองว่า ‘โองการปฏิวัติ’ (Angkar Padevat)
เขมรแดงถือลัทธิเหมา มาร์กซ์ เลนิน แบบสุดโต่ง ต้องการเปลี่ยนประเทศสู่สังคมชนบท ปราศจากชนชั้น ไม่มีคนรวยคนจน ไม่มีการกดขี่ ‘โองการ’ สั่งยกเลิกเงิน ธนาคาร ตลาดเสรี ทรัพย์สินส่วนบุคคล เสื้อผ้าสไตล์ต่างประเทศ ระบบการศึกษา ศาสนกิจ ตลอดจนจารีตเดิม โรงเรียน มหาวิทยาลัย วัด โบสถ์ สุเหร่า ร้านค้า และสถานที่ราชการ ถูกปิดหรือเปลี่ยนเป็น คุก ค่ายปรับทัศนคติ โรงเก็บอาวุธ และคอกสัตว์ ไม่มีบริการขนส่งทั้งสาธารณะและเอกชน ไม่มีสิ่งบันเทิงใดๆ เว้นแต่สิ่งบันเทิงปฏิวัติ การพักผ่อนหย่อนใจถูกห้าม ทุกคนในประเทศต้องแต่งชุดดำ ชุดแห่งการปฏิวัติเท่านั้น
มกราคม 1976 พรรคคอมมิวนิสต์เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ‘กัมพูชาประชาธิปไตย’ (Democratic Kampuchea) หากประชาชนยิ่งถูกริดรอนสิทธิพื้นฐาน ห้ามออกนอกคอมมูน ห้ามรวมกลุ่มเสวนา สามคนคุยกันจะถูกจับกุมหรือประหาร
ความสัมพันธ์ครอบครัวเป็นประเด็นถูก ’วิจารณ์’ อย่างหนัก ผู้คนถูกห้ามแสดงอารมณ์ ไม่ว่าอารมณ์ขันหรือสลดใจ เขมรแดงโฆษณาให้ชาวกัมพูชาเชื่อ เชื่อฟัง และเคารพ ‘โองการปฏิวัติ’ ว่าเป็น ‘มารดาและบิดา’ ของทุกคน
เขมรแดงอ้างว่า ‘คนบริสุทธิ์’ เท่านั้นที่สมควรสร้างสังคมปฏิวัติ บรรดาทหารและข้าราชการจากสาธารณรัฐเขมรของรัฐบาล Lon Nol ไม่เข้าข่าย พวกนี้จึงถูกจับกุมและถูกสังหารนับพันคน เขมรแดงยังสังหารนักวิชาการ ชาวเมือง ชนกลุ่มน้อย อาทิ จาม เวียด จีน ตลอดจนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และทหารเขมรแดงเองที่ถูกกล่าวหาว่าทรยศ รวมอีกนับแสนคน
Tuol Sleng Prison
โรงเรียนมัธยมเจ้าพญายาต (Chao Ponhea Yat High School) สร้างเมื่อปี 1962 ถูกเปลี่ยนเป็นคุกสำคัญในชื่อรหัส S-21 (Security Office 21) ‘S’ คือ ‘security’ ‘21’ คือรหัสตำแหน่งที่ตั้งทางใต้ของกรุงพนมเปญ (Sangkat Tuol Svay Prey)
S-21 เป็นที่ลับสำหรับกักขัง สอบสวน ทรมาน และสังหารนักโทษ นับแต่กลางปี 1976 ไม่มีใครได้ออกจากคุกนี้เลย ในหมู่นักโทษราว 14,000 คน เหลือรอดชีวิตเพียง 12 คนภายหลังระบอบเขมรแดงล่มลง
Tuol Sleng ถูกล้อมด้วยแผ่นเหล็กและลวดไฟฟ้า มีตึกเรียน 4 หลัง ห้องเรียนชั้นล่างถูกซอยกั้นเป็นคอกขนาด 2x0.8 เมตรสำหรับขังเดี่ยว ห้องขนาด 8x6 เมตรสำหรับขังหมู่ ชั้นสองประกอบด้วยห้องใหญ่ใช้ขังนักโทษห้องละ 40-50 คน นอกจากนี้ ยังมีห้องทำงานของหัวหน้า Duch ห้องทะเบียนและธุรการ
นักโทษส่วนใหญ่ถูกข้อหาทรยศพรรค ต่อต้านการปฏิวัติ หรือร่วมงานกับผู้ที่ถูกจับกุมก่อนหน้า ยิ่งนานวันผู้นำเขมรแดงยิ่งระแวงสมาชิกและทหารของตนเอง อาทิ เดือนตุลาคม 1976 Pol Pot สั่งจับกุมสมาชิกพรรคระดับสูงจำนวนมากและกักขังที่ S-21 นัยเพื่อกระชับความมั่นคงของชาติ ผู้นำมองเห็นศัตรูอยู่ทุกหนทุกแห่ง สหายนับร้อยถูกจับกุมในแต่ละเดือน
กฎเหล็ก 10 ประการ (Santebal Regulations) สำทับนักโทษให้สยบต่อคำสั่งขณะถูกสอบสวน เขียนบนกระดานดำ ติดอยู่ทั่วบริเวณ
แรกรับที่ S-21 นักโทษถูกถ่ายรูป ถูกสอบประวัติย้อนแต่วัยเด็กจนถึงวันถูกจับ ให้ถอดเสื้อผ้าเหลือแต่ชั้นใน สมบัติส่วนตัวถูกยึด ในคอกขังเดี่ยวนักโทษถูกล่ามโซ่ที่ยึดกับผนังหรือพื้นปูน ในห้องรวมแต่ละคนถูกล่ามข้อเท้าทั้งสองกับขื่อเหล็กซึ่งยึดกับแท่งเหล็กบนพื้น นักโทษนอนบนพื้น ไม่มีเสื่อ ไม่มีฟูก ไม่มีมุ้ง ห้ามพูดกันเด็ดขาด
การสอบสวนใช้วิธีทรมานเป็นหลัก อาทิ ทุบตี ฟาดด้วยลวด ช็อตไฟฟ้า จี้ด้วยบุหรี่ เข็มแทง ถอดเล็บ มีดกรีด ถุงพลาสติกครอบหัว มัดแขนหรือมัดขาแขวนห้อยไว้ทั้งวัน ส่วนนักโทษหญิงถูกบังคับให้เปลื้องผ้า ถูกตัดเต้านม ถูกข่มขืน
หลายคนเสียชีวิตจากการสอบสวนดังกล่าว พวกที่ไม่ตายไม่อาจทนการทรมานจำต้องจินตนาการคำสารภาพตามความต้องการของผู้คุม
นักโทษส่วนใหญ่ถูกกักขังที่นี่ 2-3 เดือน หลังการสอบสวนและบันทึกคำสารภาพครบถ้วน ก็ถูก ‘จำหน่าย’
ในปีแรกของคุก S-21 ศพนักโทษถูกฝังบริเวณใกล้ๆ จนถึงปลายปี 1976 ไม่มีที่ว่างเหลือให้ฝังศพอีก กระบวนการ ‘จำหน่าย’ จึงเปลี่ยนไป นักโทษถูกขนโดยรถบรรทุกไปยัง Choeung Ek (ระยะทาง 13 กิโลเมตรไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงพนมเปญ) ในตอนค่ำ ที่นั่นนักโทษถูกตีด้วยพลั่ว ขวาน ไม้ หรือถูกยิง จนเสียชีวิต ร่างถูกฝังรวมในหลุมขนาดตั้งแต่ 6-100 ศพ
ปี 1979 ภายหลังการล่มสลายของระบอบเขมรแดง รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (The People’s Republic of Kampuchea, PRK) ได้ปรับเปลี่ยนคุก Tuol Sleng เป็น genocide museum และ Choeung Ek เป็นอนุสรณสถาน
Tuol Sleng Genocide Museum
พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่ถนน 113 ด้านหน้ายาว 600 เมตร ทางเข้าอยู่ตรงมุมทิศใต้
ตึก A ขนานรั้วทิศใต้ จัดแสดงห้องขัง ห้องสอบสวน
ลานหน้าตึก A มีหลุมศพนิรนาม 14 หลุม ข้างๆ เป็นเสา คาน โอ่ง และอุปกรณ์ของโรงเรียนที่ถูกแปลงเป็นเครื่องทรมาน
ตึก B ขนานรั้วทิศตะวันตก จัดแสดงภาพดังนี้
ผู้นำเขมรแดง: โฉมหน้า ‘โองการ’
หายนะของกรุงพนมเปญ: ปีที่ศูนย์แห่งศักราชใหม่
ผู้คุม S-21: ละอ่อนอันตราย
เหยื่อต่างด้าว: นาวาในทะเลแห่งความตาย
การค้นหาอันขมขื่น: คนรักต่างสาบสูญ
บันทึกความตาย: เบาบาง ชินชา ไร้ความหมาย
นอกจากนี้ยังจัดแสดง
ชามสังกะสี: ทาสแรงงานอดอยากในชนบท
ป้ายประจำตัว: คนเหลือเพียงหมายเลข
ขื่อเหล็ก: การจัดระเบียบนักโทษ
ตึก C ขนานรั้วทิศตะวันตก (ต่อจากตึก B) จัดแสดงบันทึกของผู้รอดชีวิต
ตึก D ขนานรั้วทิศเหนือ จัดแสดงภาพ
หัวใจสลายของบัวผัน (Bophana)
เด็กน้อยมองดูแม่
ภาพเขียน: ความทรงจำ: ความกล้าหาญของ Vann Nath
ผู้รอดชีวิต: เพียงหยิบมือ
ซากปรัก: มรดกของเขมรแดง
หลุมฝังหมู่: ปลายทางของทุกสิ่ง
นอกจากนี้ยังจัดแสดง
อุปกรณ์บันทึกภาพนักโทษ
เครื่องทรมาน
ตู้ใส่หัวกะโหลกนักโทษ
ลานหน้าตึก D เป็นสถูปอนุสรณสถานแก่เหยื่อของเขมรแดง
สามปีเศษที่เขมรแดงยึดครองประเทศ ประชาชนเสียชีวิตไปกว่า 2 ล้านคน
เป็นการยากที่จะเข้าใจถึงความโหดเหี้ยมไร้เหตุผลที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ได้อย่างขนานใหญ่เช่นนี้
ผมนั่งสงบใจอยู่นานที่ลานอนุสรณสถาน...
ออกจาก Tuol Sleng Genocide Museum ไปสมทบกับสองสาวซึ่งรออยู่ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วที่สองสาวขอไม่เข้าชมที่นี่!
ข้อมูลค้นจาก
wikitravel.org
wikipedia.org
รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง, ศานติ ภักดีคำ. ศิลปะเขมร. กรุงเทพฯ: มติชน. 2557.
Dy K. A History of Democratic Kampuchea (1975-1979). Documentation Center of Cambodia. Phnom Penh, Cambodia. 2007.