June 19, 2016

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี: 08.01.2016

หลังจบการบรรยายวิชากุมารศัลยศาสตร์ 1 คาบ ในวาระ '80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จากรากแก้วที่มั่นคง สู่ผลิตผลความเป็นเลิศ' หมออุ้ง หมอจิ อาสาพาทัศนศึกษาเมืองอุบลในตอนบ่าย ก่อนผมขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ตอนเย็น...
     แปดปีที่ผมทำงานอยู่อุบล (2521-2524 และ 2527-2532) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ยังไม่เปิด บ่ายนี้ถือเป็นโอกาสดี จึงชวนหมออุ้ง หมอจิ ไปชม 'ห้องรับแขก' ของเมืองอุบล

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี
     ตั้งอยู่ที่ถนนเขื่อนธานี ตัดกับถนนอุปราช เดิมเป็นศาลากลางจังหวัด สร้างเมื่อ พ.ศ. 2461 บนที่ดินซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว ประทับ ณ อุบลราชธานี ได้ทรงขอจากทายาทของราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) คือหม่อมเจียงคำ (พระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์) เพื่อก่อสร้างสถานที่ราชการ
     ลักษณะอาคารเป็นตึกชั้นเดียว ก่ออิฐฉาบปูน ยกพื้นสูง หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องว่าว แผนผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศเหนือ ภายในอาคารประกอบด้วยห้องโถงใหญ่อยู่ตรงกลาง มีระเบียงทางเดินและห้องขนาดเล็กอยู่โดยรอบ เหนือกรอบประตูและหัวเสารับชายคาที่ระเบียงประดับด้วยไม้ฉลุลายพันธุ์พฤกษา
     ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเติบโตขึ้น ศาลากลางหลังนี้คับแคบไม่เพียงพอกับหน่วยงานราชการที่เพิ่มขึ้น จึงสร้างอาคารศาลากลางหลังใหม่ทางด้านตะวันตกของทุ่งศรีเมืองเมื่อ พ.ศ. 2511
     ปี พ.ศ. 2526 ผู้ว่าราชการจังหวัดได้มอบอาคารศาลากลางหลังเก่าให้กรมศิลปากรบูรณะและจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อการบูรณะซ่อมแซมอาคารและจัดแสดงนิทรรศการถาวรแล้วเสร็จ กรมศิลปากรได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2532...
   
บริเวณด้านนอกรอบอาคารพิพิธภัณฑ์ปลูกไม้ดอกและสนามหญ้างามสบายตา ตัวตึกทาสีเหลือง ประตูหน้าต่างไม้ทาสีเขียว หลังคากระเบื้องว่าวสีแดง
     ลานด้านทิศตะวันตกมีแผ่นป้ายคอนกรีตผิวหินล้างขนาดใหญ่ ข้อความ 'สะพานเสรีประชาธิปไตย 2497' จำนวน 4 แผ่นวางเรียงกัน
     ...ปี พ.ศ. 2496 มีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำมูลเชื่อมอำเภอวารินชำราบกับอำเภอเมือง ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดยกรมโยธาเทศบาล (ปัจจุบันคือกรมโยธาธิการ) สะพานกว้าง 9 เมตร ยาว 450 เมตร เป็นสะพานยาวที่สุดในประเทศไทยสมัยนั้น เริ่มต้นใช้เรือปั้นจั่นขนาดใหญ่ ตอกเสาเข็มกลางแม่น้ำมูล เพื่อสร้างตอม่อและเสาสะพาน ตอม่อสะพานเป็นชุดเสา 3 ต้นเรียงตามขวาง แต่ละชุดตั้งห่างกันเป็นระยะ คานสะพานเป็นคอนกรีตโปร่งรูปเหลี่ยมลักษณะเหมือนลูกกรงระเบียง ทางเดินเท้ายื่นออกจากข้างตัวสะพานไม่มีเสารับ
     แบบสะพานข้ามแม่น้ำมูลนี้แตกต่างจากสะพานข้ามแม่น้ำสายสำคัญอื่นในสมัยนั้น อาทิ สะพานพระพุทธยอดฟ้า สะพานพระรามหก ที่กรุงเทพฯ สะพานนวรัฐ เชียงใหม่ และสะพานเดชาติวงศ์ นครสวรรค์ ที่ล้วนมีโครงสร้างบึกบึน ตอม่อคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่เต็มความกว้างของสะพาน และคานโครงเหล็กยึดโยงเชื่อมกันอย่างแข็งแรง ชาวบ้านจึงวิตกวิจารณ์ไม่แน่ใจในความมั่นคงของสะพานข้ามแม่น้ำมูลดังกล่าว อย่างไรก็ตามชาวอุบลต่างตื่นเต้นดีใจ ถึงขนาดใช้ภาพถ่ายการก่อสร้างสะพานเป็นบัตรอวยพรปีใหม่ 2496
     จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ของรัฐบาลขณะนั้น กำลังต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นระบอบเผด็จการแต่โฆษณาว่าเป็น 'ประชาธิปไตย' แบบหนึ่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องการประกาศให้โลกรู้ว่า การปกครองของไทยเป็นแบบ 'เสรีประชาธิปไตย' (Free Democracy) จึงตั้งชื่อสะพานนี้ว่า 'สะพานเสรีประชาธิปไตย'
     สะพานเสรีประชาธิปไตยเปิดใช้เมื่อ พ.ศ. 2497 จนถึง พ.ศ. 2533 รวม 36 ปี จึงถูกรื้อถอนด้วยหมดอายุใช้งาน และจังหวัดได้สร้างสะพานใหม่ตรงที่เดิม ใช้ชื่อเดิม เปิดเมื่อ พ.ศ. 2535 ในวาระครบรอบ 200 ปี เมืองอุบลราชธานี แผ่นป้ายคอนกรีต 'สะพานเสรีประชาธิปไตย 2497' ทั้ง 4 แผ่นจึงได้เก็บรักษาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี...

อาคารพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็น 10 ห้องจัดแสดง เรียงต่อเนื่องกัน
ห้องจัดแสดงที่ 1: ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดอุบลราชธานี
     เกริ่นนำอาณาเขตของจังหวัด

ห้องจัดแสดงที่ 2: ภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
     อธิบายลักษณะทางกายภาพของภาคอีสาน

ห้องจัดแสดงที่ 3: สมัยก่อนประวัติศาสตร์
     แสดงแหล่งโบราณคดีของจังหวัด ที่สำคัญได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านโนนสาวเอ้ ตำบลกุดลาด อำเภอเมือง และแหล่งโบราณคดีบ้านก้านเหลือง ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง
     สิ่งจัดแสดงได้แก่ เครื่องมือหินกระเทาะ (จากเพิงผาถ้ำตาลาว บ้านไทรงาม ตำบลไทรงาม กิ่งอำเภอนาตาล) ขวานหินขัด (จากบ้านโนนสำราญ ตำบลหัวเรือ อำเภอเมือง) ภาชนะดินเผา ภาชนะดินเผาบรรจุกระดูก กำไลสำริด เครื่องประดับสำริด ขวาน ใบหอกและหัวธนูสำริด (จากบ้านก้านเหลือง ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง) กลองมโหระทึก สำริด (จากบ้านชีทวน อำเภอเขื่องใน และจากบ้านนาโพธิ์ใต้ ตำบลนาโพธิ์กลาง อำเภอโขงเจียม) ภาชนะเคลือบน้ำดินสีแดง (จากบ้านโพนเมือง ตำบลไม้กลอน อำเภอพนา อำนาจเจริญ) นอกจากนี้ ยังมีภาพเขียนสีที่ผาแต้ม อำเภอโขงเจียม

ห้องจัดแสดงที่ 4: สมัยประวัติศาสตร์เริ่มแรก วัฒนธรรมทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-15) และวัฒนธรรมเจนละ (ขอมหรือเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร) (พุทธศตวรรษที่ 12-13)
     สิ่งจัดแสดงได้แก่ ศิลาจารึก หินทราย อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต (จากฝั่งขวาปากแม่น้ำมูล อำเภอโขงเจียม) ใบเสมา หินทราย (จากวัดโพธิ์ศิลา บ้านเปือยหัวดง อำเภอเมือง อำนาจเจริญ) พระพุทธรูปปางสมาธิ หินทราย (จากวัดโพธิ์ศรี บ้านทุ่งใหญ่ อำเภอเขื่องใน) พระพุทธรูปยืน หินทราย (จากบ้านไผ่ใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ) อรรถนารีศวร (พระศิวะและพระอุมารวมกันเป็นองค์เดียว) เป็นอรรถนารีศวรที่เก่าที่สุดรูปหนึ่งเท่าที่พบในอุษาคเนย์ นับเป็นโบราณวัตถุชิ้นเอก (masterpiece) ของพิพิธภัณฑ์ เสาประดับกรอบประตู หินทราย ศิลปะขอมแบบไพรกแมง (จากโบราณสถานร้างวัดแก่งตอย อำเภอดอนมดแดง) ทับหลัง หินทราย ศิลปะขอมแบบกำพงพระ

ห้องจัดแสดงที่ 5: วัฒนธรรมขอมหรือเขมรสมัยเมืองพระนคร (พุทธศตวรรษที่ 15-18)
     สิ่งจัดแสดงได้แก่ พระคเณศ หินทราย ศิลปะขอมแบบเกาะแกร์ หรือแปรรูป (จากบ้านโนนกาเล็น อำเภอสำโรง) ชิ้นส่วนหน้าบัน ศิลปะขอมแบบบาปวน สิงห์ หินทราย ศิลปะขอมแบบบาปวน (จากบ้านดงเมืองเตย อำเภอคำเขื่อนแก้ว ยโสธร)

ห้องจัดแสดงที่ 6: วัฒนธรรมไทย-ลาว (พุทธศตวรรษที่ 23-25)
     สิ่งจัดแสดงได้แก่ พระพุทธรูป สำริด ศิลปะลาว พระพุทธรูปปางมารวิชัย สำริด ศิลปะลาว สกุลช่างเวียงจันทน์ (จากวัดไชยาติการาม อำเภอพนา อำนาจเจริญ) พระพุทธรูปปางมารวิชัย ไม้ลงรักปิดทอง ศิลปะลาว (จากวัดแจ้ง อำเภอเมือง) พระพุทธรูปนาคปรก ไม้ลงรักปิดทอง ศิลปะลาว (จากวัดหลวง อำเภอเขมราฐ) พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ (จากวัดหลวง อำเภอเมือง) พระพุทธรูป ลงรักปิดทองบนแผ่นหิน

ห้องจัดแสดงที่ 7: ผ้าโบราณและผ้าพื้นเมืองอุบลราชธานี
     สิ่งจัดแสดงได้แก่ ผ้าพื้นเมืองอุบล ลวดลายงดงาม ตลอดจนอุปกรณ์ทอผ้า และพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีถึงพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ที่ได้ส่งผ้าไหม (ผ้าเยียรบับลาว) จากเมืองอุบล ไปทูลเกล้าฯ ถวาย

ห้องจัดแสดงที่ 8: ดนตรีพื้นเมือง
     จัดแสดงเครื่องดนตรีพื้นเมือง อาทิ เครื่องสายใช้ดีด เช่น พิณสอง พิณสาม พิณไห เครื่องสายที่มีคันชัก เช่น ซอ เครื่องเคาะ เช่น โปงลาง หมากกั๊บแกบ กลองเส็ง โทนดินเผา พังฮาด เครื่องเป่า เช่น แคน โหวด

ห้องจัดแสดงที่ 9: ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน
     จัดแสดงเครื่องทองเหลืองบ้านปะอาวที่มีชื่อเสียง (จากบ้านปะอาว ตำบลหนองขอน อำเภอเมือง) เครื่องมือจับสัตว์ เครื่องครัว เชี่ยนหมาก

ห้องจัดแสดงที่ 10: การปกครองและงานประณีตศิลป์ในพุทธศาสนา
     อธิบายการปกครองเมืองอุบลตั้งแต่ครั้งเป็นหัวเมืองประเทศราช มีผู้ปกครองประกอบด้วย อาญาสี่ คือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร
     พ.ศ. 2433 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค ให้รวมหัวเมืองแต่เดิม แล้วแบ่งเป็น 4 กอง มีข้าหลวงกำกับกองละ 1 คน และมีข้าหลวงใหญ่กำกับราชการอยู่ที่เมืองจำปาสักอีก 1 คน เมืองอุบลรวมอยู่ในกองหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ
     พ.ศ. 2434 ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนกับฝรั่งเศสที่ยึดอาณานิคมอินโดจีน รัชกาลที่ 5 จึงทรงรวมหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก (เมืองจำปาสัก) กับฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือเข้าด้วยกัน ตั้งเป็นมณฑลลาวกาว และโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ ปกครองมณฑลลาวกาว ประจำ ณ เมืองอุบล
     พ.ศ. 2436 โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ ประจำ ณ เมืองอุบล
     พ.ศ. 2437 เริ่มใช้ระบบมณฑลเทศาภิบาล มณฑลลาวกาวเปลี่ยนชื่อเป็น มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ
     พ.ศ. 2455 แยกเป็นมณฑลอุบลราชธานี
     พ.ศ. 2468 ยุบมณฑลอุบลราชธานี ให้ไปสังกัดมณฑลนครราชสีมา
     พ.ศ. 2476 ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง สิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยกเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาล ให้จังหวัดเป็นหน่วยการปกครองหลัก
     งานประณีตศิลป์ในพุทธศาสนา จัดแสดงเครื่องใช้ในศาสนา ฝีมือช่างเมืองอุบลที่มีเอกลักษณ์ทรงคุณค่า อาทิ ธรรมาสน์ หีบพระธรรม สัตตภัณฑ์ รางสรงน้ำพระ (ไม้แกะสลัก จากวัดหลวง อำเภอเมือง) เชิงเทียน กากะเยีย

เราเดินชมแต่ละห้องอย่างผ่อนคลาย ไม่เร่งรีบ ที่นี่ก็เป็นเช่นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอื่นๆ ไม่แออัด ไม่มีนักท่องเที่ยว การเยือนพิพิธภัณฑ์จึงรื่นรมย์เสมอ
     พื้นที่สวนสวย สนามหญ้าเขียวสด สะอาด ตึกเก่าสง่างาม การจัดลำดับความรู้เป็นขั้นตอน สิ่งแสดงโบราณวัตถุทรงคุณค่าหลากหลาย
     พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี นับเป็นศูนย์ศึกษา อนุรักษ์ และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างน่าภาคภูมิใจ


ข้อมูลค้นจาก
     สุวิชช คูณผล. วารสารข่าวหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี. เดือนพฤษภาคม 2543.
     พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี. สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร. 2542.
     wikipedia.org





         

         


1 comment:

  1. ช่วงเวลาตี1 อันแสนเงียบสงบกับการอ่าน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี หลับตามองภาพตามคำบรรยายในคำเขียน... ตึกเก่างามสง่าบนผืนหญ้าเขียวขจี สวนสวยชวนรื่นรมย์ เดินชมห้องต่างๆจนลืมรู้สึกเมื่อยล้า (เพราะจินตนาการตามภาพที่พรรณนาไว้) ..ขอบคุณอาจารย์ไมตรี ที่มีความรู้ความสามารถในการจดจำ การค้นคว้า และการบรรยายที่ผสมผสาน..อ่านแล้วชวนติดตามตอนต่อไปเสมอค่ะ

    ReplyDelete