March 20, 2015

Ubon Revisited: สรรพสิทธิประสงค์: 11.03.2015

ผมฝันหลายครั้งหลายคราว่ากลับเข้าไปอยู่ที่หอพักครอบครัว ด้านหลังโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ถนนสุริยาตร ตรงข้ามวัดสารพัฒนึก หอพักนี้เป็น 'บ้าน' ที่ผมเริ่มครอบครัวเมื่อปี 2527-2532 ลูก 2 คน คลอดที่สรรพสิทธิ์ และโตที่นี่ในช่วงขวบสองขวบสามขวบ เพื่อนบ้านล้วนน่ารัก
โครงการเยี่ยมศิษย์เก่ากุมารศัลยแพทย์ เที่ยวนี้กำหนดไปอุบลราชธานี รู้สึกดีใจที่จะได้กลับไปเยือน 'บ้าน' เดิม

นกบินจากดอนเมือง 7.25 น. เราไปกัน 5 คน เพียง 1 ชั่วโมงก็ถึงอุบล
เจ้าบ้าน 3 คน: หมอเจน หมออุ้ง หมอจิ มารอรับ น่ายินดีที่ได้พบกันพร้อมหน้า
แวะร้านครัวเช้า กินมื้อเช้าแบบอุบล ไข่กระทะ กับกาแฟ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ทุกคนร่าเริง ผ่อนคลาย สบายใจ

10.30 น. รถพาไปถึงโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ตึกอำนวยการแต่ดั้งเดิมที่ชั้นล่างเป็น ER วงเวียนเสาธง และลานโล่งสำหรับจอดรถส่งคนไข้ด้านหน้า หายไปหมด กลายเป็นตึกขนาดใหญ่ เรียงซ้อนกันหลายแถว จนประชิดแนวรั้ว แถมตึกที่อยู่ริมนอกสุดประดับด้วยไม้สักแกะสลักทำนองพลับพลาทรงไทย ดูแปลกแยก ไม่เห็นประโยชน์ใช้สอยและไม่เห็นกาลเทศะในเชิงศิลป์ อีกทั้งกีดขวางทางเข้าออกรถส่งผู้ป่วย ตึก 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ ยาวไปจนประชิดรั้วทิศตะวันตกด้านถนนเทพโยธี บ้านพักและต้นไม้ที่เคยปลูกเรียงตามแนวถนนเทพโยธีไม่เหลืออยู่ ด้านหลังโรงพยาบาลที่แต่ก่อนเป็นส่วนที่อยู่อาศัย ได้แก่ หอพักแพทย์ฝึกหัด หอพักแพทย์ใช้ทุน หอพักครอบครัว หอพักนักศึกษาแพทย์ สนามเทนนิส ล้วนถูกทุบทิ้ง และกำลังก่อสร้างตึก Excellent Centers ฝุ่นตลบ

โรงพยาบาลตั้งอยู่บนพื้นที่ 'สวนโนนดง' ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาพึ่ง พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2400 ทรงเป็นต้นราชสกุล 'ชุมพล' ทรงเป็นข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (มณฑลอีสาน) ระหว่างปี พ.ศ. 2436-2453
     หลังการสิ้นพระชนม์ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เมื่อ พ.ศ. 2465 หม่อมเจียงคำ พระชายา (นามเดิม อัญญานางเจียงคำ บุตโรบล ธิดาท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เจ้าเมืองอุบลราชธานี) ได้มอบที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน จำนวน 6 แปลง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการ ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ทุ่งศรีเมือง โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี และพระโอรสคือหม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล ได้อุทิศที่ดิน 'สวนโนนดง' อันเป็นมรดกตกทอด จำนวน 27 ไร่ ให้เป็นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2474 การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2478 และจังหวัดได้ประกอบพิธีเปิดโรงพยาบาลเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2479

เจ้าบ้านพาชมโรงพยาบาลในส่วนของศัลยกรรม ศัลยแพทย์มีครบทุกอนุสาขา รวมกว่า 40 คน
     OPD ศัลยกรรม ชั้น 2 ตึก 50 พรรษาฯ คนไข้แน่นขนัด ตึกสร้างแบบปิด ปรับอากาศ หน้าร้อนอากาศร้อนจัด คนไข้จำนวนมาก เครื่องปรับอากาศเก่า จึงยิ่งอึดอัด อย่างไรก็ตาม แม้สภาพทางกายภาพไม่น่าอภิรมย์ แต่คนทำงานกลับแข็งขัน หมอเปียซึ่งอยู่ในคณะเราจากกรุงเทพฯ เคยทำงานที่นี่หลายปี เล่าว่าทีมคัดกรองคนไข้มีประสิทธิภาพสูง สามารถส่งผู้ป่วยพร้อมบันทึกข้อมูลสำคัญไปแต่ละห้องตรวจของศัลยแพทย์อนุสาขาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ผิดพลาดน้อย เธอเปรยว่าโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ควรมาเรียนรู้จากที่นี่
     ห้องประชุมศัลยกรรมอยู่ถัดจาก OPD เราเข้าไปนั่งคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน หมอเจนปูพื้นภาพใหญ่ของปัจจุบัน และที่วางเป้าหมายต่อไปในอนาคต ทิศทางชัดเจน หมออุ้งบรรยายสรุปรายละเอียดของงาน
     หอผู้ป่วยกุมารศัลยกรรมมี 1 หอ อยู่ชั้น 2 เป็นส่วนต่อเติมขวางด้านหัวตึกระหว่างตึก 1-2 ทางทิศตะวันออกของโรงพยาบาล รับคนไข้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด -15 ปี รวม 30 เตียง พื้นที่ใน ward มีพอแค่ 20 เตียง อีก 10 เตียงต้องตั้งที่ระเบียงเป็นการถาวร ครุภัณฑ์การแพทย์ อาทิ ตู้อบทารก เครื่องช่วยหายใจ Bedside Monitor มีพร้อมมูล ทีมพยาบาลแข็งขัน หัวหน้าหอผู้ป่วยเป็นพยาบาลรุ่นแรกที่มาประจำตั้งแต่แยกเป็นหอผู้ป่วยกุมารศัลยกรรมเมื่อปี 2529
     ห้องผ่าตัด อยู่ชั้น 3-6 ตึก 50 พรรษาฯ และอีก 2 ชั้นของตึกวิชิต รวมกว่า 20 ห้อง แต่ยังไม่เพียงพอ

ผังรวมของโรงพยาบาล การทุบตึกเก่า การเกิดตึกใหม่ในลักษณะซ้อนไปเรื่อยๆ แรงกดดันจากจำนวนคนไข้และปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่มีพื้นที่เพิ่ม เส้นทางขนส่งคนไข้จาก OPD ไปหอผู้ป่วย จากหอผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด จากห้องผ่าตัดกลับหอผู้ป่วย ซับซ้อน ไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย ยิ่งกว่านั้น หากเกิดเพลิงไหม้ รถดับเพลิงไม่อาจเข้าทำหน้าที่ได้ ด้วยตึกที่ซ้อนกันอย่างแออัด ปิดทางเข้าถึงโดยสิ้นเชิง
     การเจรจาขอแลกเปลี่ยนพื้นที่ ในระดับหน่วยงานท้องถิ่น กับส่วนราชการรอบโรงพยาบาล ได้แก่ วิทยาลัยพยาบาล (ด้านทิศตะวันออก) สถานีตำรวจ (ด้านทิศตะวันตก) และวัดสารพัฒนึก (ด้านทิศเหนือ) ไม่บรรลุผล วิกฤตทางภูมิศาสตร์ของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์นี้ เป็นเรื่องใหญ่ เร่งด่วน ท้าทายฝีมือในการแก้ปัญหาระดับกระทรวง
     อย่างไรก็ตามในความคับขันทางโครงสร้างกายภาพ แต่บุคลากรกลับเป็นส่วนที่เข้มแข็ง ภารกิจหลักของโรงพยาบาลจึงดำเนินและพัฒนาไปได้อย่างน่านิยม

12.30 น. กินมื้อกลางวันที่ร้านอินโดจีน ร้านอาหารเวียดนามเก่าแก่ เปิดมากว่า 40 ปี
หลังอาหาร แวะไปชมบ้านหมอจิ ถนนพโลรังฤทธิ์
     หมอจิสำเร็จการฝึกอบรมกุมารศัลยศาสตร์ มาทำงานที่สรรพสิทธิ์ได้ 4 ปี มีบ้านเดี่ยว 2 ชั้นของตนเอง ในทำเลดีกลางเมือง มีรถส่วนตัวอีก 5 คัน (จักรยาน) นับว่าประสบความสำเร็จ น่ายินดี

14.00 น. เดินทางไปเขื่อนสิรินธร ใช้เวลา 1.15 ชั่วโมง คืนนี้เราพักค้างที่นี่ เจ้าบ้าน 2 คน หมออุ้ง หมอจิ ร่วมคณะไปด้วยกัน

เขื่อนสิรินธร เป็นเขื่อนหินถม แกนดินเหนียว สร้างกั้นลำโดมน้อย ลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล ที่บริเวณแก่งแซน้อย ตำบลนิคมลำโดมน้อย อำเภอสิรินธร (เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอพิบูลมังสาหาร) จังหวัดอุบลราชธานี ตัวเขื่อนสูง 42 เมตร ยาว 940 เมตร สันเขื่อนกว้าง 7.50 เมตร อ่างเก็บน้ำ มีพื้นที่ประมาณ 288 ตารางกิโลเมตร กักเก็บน้ำได้ 1,966.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่ระดับน้ำสูงสุด 142.20 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) โรงไฟฟ้าพลังน้ำมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 3 เครื่อง กำลังผลิตเครื่องละ 12,000 กิโลวัตต์ รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 36,000 กิโลวัตต์
     เขื่อนสิรินธร ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2511 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2514 ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
     ส่วนบริการต่างๆ ของเขื่อนอยู่ริมอ่างเก็บน้ำ ได้แก่ บ้านพัก ห้องประชุม ร้านอาหาร สนามกอล์ฟ สวนและสนามหญ้าโดยรอบตกแต่งงดงาม
     สันเขื่อนเป็นที่ที่ควรเดินเล่น ชมความขัดแย้งของสองฝั่ง อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนคือสุสานแห่งป่าไม้เดิมที่จมน้ำตาย คลุมพื้นที่ 288 ตารางกิโลเมตร ฝั่งใต้เขื่อน ลำโดมน้อยกลายเป็นลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ ออกจากโรงไฟฟ้า
     แดดร่มลมตก ออกจากเขื่อน ไปยังวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ตามเส้นทางไปช่องเม็ก

วัดภูพร้าวเป็นวัดเก่าของหลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ ศิษย์รุ่นใหญ่ของพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล (2402-2484) ผู้เป็นที่นับถือฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน และพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต (2413-2492) พระอาจารย์ใหญ่สายวัดป่า หลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญเดินทางจากจำปาสักมาพักปักกลดที่ภูพร้าว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 ต่อมาท่านได้ขอบิณฑบาตสถานที่บนภูจากหน่วยทหารและนายอำเภอพิบูลมังสาหารสร้างวัดภูพร้าว ปี พ.ศ. 2510-2511 มีการสำรวจระดับเพื่อสร้างเขื่อนสิรินธร ทางราชการจึงให้ตั้งชื่อวัดเป็น วัดสิรินธรวราราม ปี พ.ศ. 2516 หลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญเดินทางกลับไปวัดภูมะโรง จำปาสัก วัดสิรินธรวรารามทรุดโทรมลงตามกาลเวลา ความทุรกันดาร และขาดการบูรณะ ปี พ.ศ. 2542 หลวงพ่อสีทน กมโล (2493-2549) แห่งวัดภูหล่น ตำบลสงยาง อำเภอศรีเมืองใหม่ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ ได้ขึ้นมาพัฒนาวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว...
     สิม (อุโบสถ) ตั้งโดดเด่นบนเนินสูงสุด สร้างตามแบบวัดเชียงทอง หลวงพระบาง ศิลปะล้านช้าง เอกลักษณ์ที่สำคัญ ได้แก่ หลังคาปีกนก ทรงผายกว้างออก ทำให้มองดูเหมือนหลังคาต่ำกว่าปกติ หลังคาซ้อนสามชั้นประดับช่อฟ้า หน้าบันแกะสลักรูปแจกัน ปักดอกบัวตูม พื้นหลังลายก้านขดงดงาม เชิงชายไม้แกะลายกระหนกโดยรอบ ชายคารับด้วยเสากลมมีบัวหัวเสาและตีนเสา เสาทาสีทอง วาดลายเส้นสีดำรูปดอกไม้อ่อนช้อย เสาเรียงแถวเป็นระเบียบฝั่งละ 2 แถว ยกเว้นช่วงกลางเพิ่มอีก 1 แถวรับหลังคาที่เป็น 3 ปีก สิมเปิดโล่งแบบศาลา ไม่มีผนังโดยรอบ ลมโกรกเย็นสบาย พื้นปูกระเบื้องเคลือบขัดเงา สะท้อนแสงทองของอาทิตย์อัสดงอย่างงดงาม สิมยกสูงจากฐานไพที บันไดทางขึ้นขนาบด้วยนาคสามเศียร ลำตัวนาคทอดยาวไปบนกำแพงแก้วรอบสิม บันไดด้านหลังขนาบด้วยนาคสามเศียรเช่นเดียวกัน ด้านหลังสิมหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ผนังสลักลายต้นทอง ทำนองเดียวกับวัดเชียงทองเช่นกัน แต่ที่พิเศษคือต้นทองนี้ตัดเส้นด้วยวัสดุที่ดูดซับ photon จากแสงอาทิตย์ยามตะวันตกดิน และเรืองแสงสีเขียวเมื่อฟ้ามืดสนิท
     พระประธานเป็นปางตรัสรู้ ผนังด้านหลังองค์พระแกะเป็นรูปต้นโพธิ์ หน้าพระประธานตั้งรูปถ่ายของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ และหลวงพ่อสีทน กมโล
     ที่ฐานไพที ตรงมุมซ้ายด้านหน้า มีอนุสรณ์เจดีย์พระครูกมลภาวนากร (หลวงพ่อสีทน กมโล) ด้านหลังมีเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุหลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ รูปทรงเลียนแบบพระธาตุพนม เจดีย์นี้มองเห็นได้จากฝั่งลาว
     เราเดินชื่นชมความงามของวัด และไปนั่งชมผนังด้านหลังพักใหญ่ น่าเสียดายที่ไม่อาจรอดูต้นทองเรืองแสงได้

กลับลงจากภูพร้าว รถแล่นไปยังโขงเจียม สุดชายแดนไทยตรงที่แม่น้ำมูลไหลลงแม่น้ำโขง
กินมื้อค่ำที่ห้องอาหารริมโขง โรงแรมทอแสงโขงเจียม
หลังอาหาร กลับที่พัก บ้านก้องนทีธาร เขื่อนสิรินธร...

เราเปิดวงเสวนายามค่ำ เริ่มด้วยความเป็นไปของอนุสาขา บุคลิกภาพ ชีวทัศน์ และโลกทัศน์ของผู้คน อันก่อร่างจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก จึงให้น่าสังเกตว่าบางคนคงผ่านวัยเด็กอย่างมืดมน (miserably)
     ต่อด้วยประวัติศาสตร์ สงครามเวียดนาม สงครามที่ไม่ประกาศในลาว CIA กับทหารรับจ้างไทยในลาว การเมืองการปกครองของไทย ช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความสัมพันธ์วังหลวง วังหน้า
     ปิดท้ายด้วยการปฏิบัติงานในระบบราชการ ระเบียบและกฎหมายต่างๆ
     ปิดวงเสวนาราว 23.00 น.

เยือนอุบลวันนี้ ถือเป็นการเยี่ยม 'บ้าน' เดิม
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์โตจนล้น หากไม่สามารถขยายพื้นที่ อาจเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่หลวง
ส่วนดีข้อสำคัญที่ยังคงอยู่คือความแข็งขัน เอาการเอางาน และการพัฒนาตนเองของบุคลากร
ลูกศิษย์ 3 คน ความรู้ ทักษะ เจตคติ สมบูรณ์แบบ ความรับผิดชอบสูง น่าภาคภูมิใจ
การนำองค์กรในระบบราชการสำคัญยิ่ง ผู้นำที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดสามัญสำนึก ทำให้องค์กรเสียหาย เสียเวลา เสียโอกาส และส่งผลเสียระยะยาวเกินกว่าวาระของผู้นำนั้น

ข้อมูลค้นจาก
     th.wikipedia.org
     ศรัณย์ บุญประเสริฐ. หลวงพระบาง. สำนักพิมพ์สารคดี. 2549.




       

March 9, 2015

Vietnam on Foot: American War Crimes: 04.01.2015

วันสุดท้ายของ Vietnam Trip เรามีเวลาเดินเที่ยวเต็มวัน เครื่องบินกลับกรุงเทพฯ 18.15 น.
หลังอาหารเช้า check-out ฝากสัมภาระไว้
จุดหมายสำคัญวันนี้คือ War Remnants Museum
    จากหัวมุมถนน Ly Tu Trong หน้าที่พัก เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Thu Khoa Huan หนึ่งบล็อคถึงแยกตัดกับถนน Nguyen Du เดินตรงต่อไปเป็นถนน Huyen Tran Cong Chua ขวามือคือสวนป่าด้านหลังของ Reunification Palace ซ้ายมือเป็นสนามกีฬา ทั้งสนามฟุตบอล บาสเกตบอล คอร์ทเทนนิส ภายในสวนสาธารณะใหญ่ชื่อ 'Culture Park' เส้นทางนี้จึงร่มรื่นยิ่ง สุดทางเลี้ยวขวาเข้าถนน Nguyen Thi Minh Khai เลียบด้านข้าง Reunification Palace ไปครึ่งด้าน เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Le Quy Don ไปเพียงหนึ่งบล็อคตรงแยกตัดกับถนน Vo Van Tan ที่นี่คือ War Remnants Museum

War Remnants Museum
    หลายเมืองในเวียดนามมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงถึงการต่อสู้กับพวกฝรั่งเศสและพวกอเมริกัน แต่ไม่มีพิพิธภัณฑ์ใดที่สำแดงถึงความโหดร้ายและการล้างผลาญ ได้ชัดแจ้งเท่าที่นี่ พิพิธภัณฑ์ที่เดิมเรียกว่า Museum of American War Crimes
    สหรัฐอเมริกาใช้จ่ายกว่า 130 พันล้านดอลลาร์ในสงคราม ละทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์อีกหลายพันล้านดอลลาร์ไว้ในเวียดนามตอนแพ้สงครามและอพยพหนีกลับบ้าน ของที่ละทิ้งไว้บางส่วนจัดแสดงด้านนอกอาคารที่นี่ อาทิ ปืนใหญ่ขนาด 175 มม. วิถีโค้ง พิกัด 32 กม. รถถัง M-48 (ช่วงรบรุนแรงปี 1969 มีรถถังชนิดนี้ประจำการถึง 370 คัน) เฮลิคอปเตอร์ Huey (UH-1 Bell helicopter) เฮลิคอปเตอร์ Chinook เครื่องบินขับไล่ รถไถขนาดยักษ์ที่ใช้ในการโค่นป่าไม้ รถลำเลียงพล นับเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากที่ไม่มีที่ใดเหมือน ด้วยเป็นอาวุธของประเทศหนึ่ง แต่จัดแสดงในอีกประเทศหนึ่ง
    อาคารพิพิธภัณฑ์นี้ เดิมเป็นที่ทำการสำนักข่าวสารอเมริกัน (United States Information Services, USIS) มี 3 ชั้น สิ่งแสดงส่วนใหญ่เป็นภาพถ่าย บอกเล่าประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่การประกาศเอกราชไม่ยอมเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสของ Ho Chi Minh ที่จัตุรัส Ba Dinh กรุง Hanoi เมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 ต้นฉบับคำประกาศจัดเก็บในตู้กระจก
    ประวัติศาสตร์สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งกับฝรั่งเศส (1945-1954) จนถึงชัยชนะที่ Dien Bien Phu
    ประวัติศาสตร์สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง หรือสงครามเวียดนาม หรือสงครามอเมริกัน กับสหรัฐอเมริกา (1960-1975)
    ข้อมูลปริมาณระเบิด ลูกปืนใหญ่ ที่ถล่มใส่ประเทศเวียดนาม
    ข้อมูลกำลังพลของสหรัฐอเมริกา และพันธมิตร รวมทั้งประเทศไทยสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ที่ร่วม 'กินโต๊ะ' เวียดนามในสงคราม ข้อมูลส่วนของไทยแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ดังนี้
    กองกำลังเดินทางถึง: 19 กันยายน 1967
    กองกำลังถอนกลับ: มีนาคม 1972
    กำลังพลสูงสุด: 11,570 นาย (ปลาย 1969)
    กองกำลังหลัก: กองพันจงอางศึก (Queen's Cobra) กองพลเสือดำ (Black Panthers) กองพลที่ 2 (อาสาสมัคร)
    ฐานปฏิบัติการ: Bear Cat (Long Thanh - Bien Hoa)
    นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังอำนวยความสะดวกให้สหรัฐอเมริกาใช้พื้นที่ของประเทศไทยในหลายด้าน อาทิ
       ฐานบิน 7 แห่ง สำหรับกองทัพสหรัฐอเมริกาใช้ส่งกำลังบำรุงและส่งเครื่องบินโจมตีทางอากาศต่อเวียดนาม ได้แก่ อู่ตะเภา อุดร นครพนม ตาคลี อุบล โคราช และดอนเมือง
       ศูนย์เรดาร์และโทรคมนาคม
       ค่ายพักกองกำลังพิเศษ กองบัญชาการ CIA
       ค่ายฝึกทหาร
    ภาพสมรภูมิรบ ผลงานของช่างภาพนักข่าวทั่วโลก หลายภาพได้รับรางวัล Pulitzer Prize บันทึกเหล่านี้เป็นหลักฐานแสดงความโหดร้ายของทหารอเมริกัน ภายใต้นโยบายโหดเหี้ยมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อาทิ ภาพการฆ่าล้างหมู่บ้านที่ My Lai ซึ่งอยู่ห่าง 13 กม. ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Quang Ngai เมื่อเช้าวันที่ 16 มีนาคม 1968 ทหารอเมริกัน 1 หน่วย จู่โจมหมู่บ้าน เผา ข่มขืนผู้หญิง ทรมาน และสังหารคนทั้งหมู่บ้าน จำนวนทั้งสิ้น 504 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็ก และคนแก่ ใช้เวลาปฏิบัติการ 4 ชั่วโมง การสังหารหมู่เช่นนี้ มิใช่เป็นแค่เหตุการณ์เดียวที่สนองนโยบาย 'Free-fire Zone' (เขตยิงตามอำเภอใจ) ของกองทัพอเมริกัน เพียงแต่การกระทำครั้งนี้ถูกบันทึกและนำเสนอต่อสาธารณะ สร้างความตระหนกไปทั่วโลก
    ภาพการใช้นาปาล์ม (napalm) เผาทำลายชีวิตและทรัพย์สิน
    ภาพการใช้อาวุธเคมี อาทิ ระเบิดฟอสฟอรัส
    ภาพการพ่นโปรย  Agent Orange จากเครื่องบินภายใต้ยุทธการ Operation Ranch Hand นัยว่า Agent Orange เป็น dioxin ทำให้ต้นไม้ทิ้งใบ ยืนต้นตายในที่สุด เพื่อมิให้มีป่าไม้เป็นที่หลบซ่อนของฝ่าย Viet Cong รัฐบาลสหรัฐอเมริกาอ้างว่า Agent Orange เป็นผลิตภัณฑ์ทางเกษตร (herbicides and defoliants) มิใช่อาวุธเคมี สหรัฐอเมริกาจึงมิได้ละเมิด Geneva Protocol (1925) ของสหประชาชาติว่าด้วยอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ทหารอเมริกันที่ทำหน้าที่ผสมและพ่นโปรยสาร กลับต้องใส่หน้ากากป้องกันพิษเต็มรูปแบบและใส่ถุงมืออย่างแน่นหนา หน้ากากป้องกันพิษจำนวนมากจัดแสดงอยู่ในตู้กระจกข้างๆ Agent Orange นี้ผลิตเพื่อจำหน่ายให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดย Monsanto Corporation และ Dow Chemical
    ห้องแสดงผลระยะยาวของ Agent Orange ต่อป่าไม้ ดิน น้ำ สิ่งแวดล้อม ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังของป่าไม้ที่หายไป ผลต่อมนุษย์อันทำให้คนเวียดนามในพื้นที่ที่ถูกพ่น Agent Orange เป็นมะเร็งมากขึ้น เด็กพิการแต่กำเนิดมากขึ้น บาปกรรมนี้ยังตามข้ามทวีปไปถึงทหารผ่านศึกอเมริกันที่มีส่วนในการผสมและโปรยสารนี้ เกิดมะเร็งในรุ่นตนและพิการแต่กำเนิดในรุ่นลูก
    ห้อง Agent Orange นี้แสดงกิตติกรรมประกาศแก่ช่างภาพนักข่าวชาวญี่ปุ่น Goro Nakamura ผู้เอาการเอางานศึกษา วิจัย ตีพิมพ์ ปาฐกถา เผยแพร่ความรู้ ให้สาธารณะรับทราบถึงหายนะที่เกิดจาก dioxin ของ Agent Orange ทั้งต่อป่าไม้ สิ่งแวดล้อม และต่อมนุษยชาติสืบเนื่องไปอีกหลายรุ่น ผลงานหนังสือชิ้นเอกของเขาได้แก่ Vietnam War and Dioxin พิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่น ผลงานวิจัยอีกหลายชิ้นตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Environmental Studies และในรายงานของมหาวิทยาลัยเกียวโต
    Agent Orange ถูกลำเลียงมาประเทศไทยและทดลองใช้รอบๆ ฐานทัพอเมริกัน ตั้งแต่ปี 1961 ภายหลังสงคราม ในปี 1999 ระหว่างการปรับปรุงสนามบินบ่อฝ้าย หัวหิน คนงานขุดพบถังขนาด 200 ลิตร จำนวนมาก ถังผุพัง ขึ้นสนิม บรรจุสารซึ่งยืนยันภายหลังตรวจสอบว่าเป็น Agent Orange ถังพวกนี้ถูกลักลอบฝังทิ้งไว้ตั้งแต่ครั้งสงครามเวียดนาม คนงานหลายคนประสบชะตากรรมจากการสัมผัสสารพิษนี้
    โถงชั้น 3 อุทิศแก่ผลงานของช่างภาพนักข่าวจากทั่วโลกกว่า 60 คน ที่ลุยไปในสมรภูมิเวียดนาม ช่างภาพนักข่าวเหล่านี้เสียชีวิตหรือสาบสูญไปขณะทำหน้าที่ ผลงานต่างๆ จึงมีคุณค่าอย่างยิ่งด้วยเป็นบันทึกจากแนวหน้า โดยมืออาชีพที่ทุ่มเทเต็มกำลัง อาทิ ภาพที่ได้รางวัล Pulitzer Prize 1965 ของ Kyoichi Sawada (1936-1970) แห่ง United Press International (UPI) เป็นภาพแม่พาลูกๆ ตะเกียกตะกายข้ามแม่น้ำที่ Loc Thuong, Binh Dinh หนีการทิ้งระเบิดของเครื่องบินอเมริกัน สีหน้าแววตาชัดเจน ช่างภาพคนอื่นๆ ได้แก่ Larry Burrows แห่ง Life Magazine, Henri Huet แห่ง Associated Press (AP), Dana Stone แห่ง CBS News, Sean Flynn แห่ง Time Magazine เป็นต้น
    ห้องสุดท้ายจัดแสดงสาร สิ่งพิมพ์ โปสเตอร์ จากทั่วโลก ต่อต้านสงครามโหดร้ายที่ก่อโดยสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังจัดแสดงเหรียญกล้าหาญของทหารอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่ได้รับจากกองทัพ หากภายหลัง ผ่านศึกเหล่านี้รู้สึกผิดและละอายในสัญลักษณ์แห่งเหรียญเครื่องหมายดังกล่าว จึงส่งมายังพิพิธภัณฑ์นี้ หนึ่งในเหรียญกล้าหาญ เป็นระดับ Purple Heart ของจ่าสิบเอกคนหนึ่งพร้อมความในใจที่จารึกไว้ในแผ่นทองเหลืองว่า 'To the people of a United Vietnam. I was wrong. I am sorry.'
    ในห้องก่อนหน้านี้ มีโปสเตอร์แสดงข้อความที่คัดมาจากหนังสือบันทึกความทรงจำของ Robert S. McNamara (1916-2009) ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริการะหว่าง 1961-1968 เขามีบทบาทสำคัญในสงครามเวียดนามสมัยประธานาธิบดี John F. Kennedy และ Lyndon B. Johnson หนังสือบันทึกความทรงจำนี้ชื่อ In Retrospect: The Tragedy and Lessons of Vietnam ตีพิมพ์ปี 1995 ภายหลัง McNamara พ้นตำแหน่งกว่า 27 ปี และภายหลังสหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้สงคราม อพยพหนีกลับบ้านไปกว่า 20 ปี McNamara เขียนไว้ดังนี้
    'Yet we were wrong, terribly wrong. We owe it to future generations to explain why.'

War Remnants Museum มีสาระประวัติศาสตร์อย่างละเอียด เราไม่สามารถเรียนได้หมดในช่วงเช้า พิพิธภัณฑ์ปิดพัก 12.00-13.30 น. เราพักกินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารเกาหลี Kang Nam Ga ที่อยู่แถวนั้น และกลับเข้าไปเรียนประวัติศาสตร์ต่อในภาคบ่ายจนพิพิธภัณฑ์ปิด
    ข้อมูล หลักฐาน ที่ได้เห็น ได้เรียนวันนี้ ทำให้สะท้อนใจถึงผู้ปกครองที่โหยหา 'มหาอำนาจ' ซึ่งตนอุปาทานว่าเป็น 'มหามิตร' โดยลืมคำพระที่สอนว่า นตฺถิ พาเล สหายตา ความเป็นสหาย ไม่มีในคนพาล

จากพิพิธภัณฑ์เดินกลับที่พัก ขนสัมภาระที่ฝากไว้ พนักงานโรงแรมผิวปากเรียกแท็กซี่ Vinasun สีขาวปราดเข้ามาจอดรับเรา ไปส่งที่สนามบิน Tan Son Nhat
เครื่องบินใช้เวลาบินเพียง 1.30 ชั่วโมง กลับถึงกรุงเทพฯ

ข้อมูลค้นจาก
    Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
    wikipedia.org
    wikitravel.org

    

    
    
     

March 4, 2015

Vietnam on Foot: Cu Chi Tunnels: 03.01.2015

Cu Chi Tunnels
    ไม่มีพื้นที่ใดในสงครามเวียดนามที่น่าฉงนเท่า Cu Chi ที่ซึ่งชาวนา ชาวบ้าน 18,000 คนร่วมรบแบบกองโจร จากอุโมงค์ขุดด้วยมือเป็นโครงข่ายใต้ดินรวมยาวกว่า 200 กม. ในอุโมงค์นี้เองที่ Viet Cong วางแผนโจมตี Saigon ในการรบ 'Tet Offensive' ปี 1968
    ชาวบ้าน Cu Chi จำต้องมุดหลบลงใต้ดินตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1940 ระหว่างสงครามอินโดจีนกับพวกฝรั่งเศส ถึงปี 1967 โครงข่ายอุโมงค์ซับซ้อนประกอบด้วยโรงพยาบาล โรงครัว โรงมหรสพ ที่พัก คลังอาวุธ บ่อเก็บน้ำ โรงพิมพ์ และอื่นๆ แบ่งเป็น 3 ชั้น ลึก 3-9 เมตรใต้พื้นดิน ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางจนขนาดกองร้อยทหารราบที่ 25 ของสหรัฐอเมริกา (นามเรียกขาน 'Tropic Lightning') ตั้งฐานอยู่เหนือส่วนหนึ่งของอุโมงค์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง Cu Chi โดยไม่ระแคะระคาย
    กองทัพบกสหรัฐอเมริกาพยายามส่งสายลับเรียกว่า 'หนูอุโมงค์' เสาะหาข้อมูลและทำลายฐานใต้ดินเหล่านี้ ระหว่างยุทธการต้นไม้ล้ม (Operation Cedar Falls) ปี 1967 รถไถโค่นทำลายป่าไม้บริเวณนี้ไปกว่า 11 ตารางกิโลเมตร นัยว่าเพื่อไม่ให้พวก Viet Cong มีที่หลบซ่อน ในช่วงรุนแรงที่สุดของสงคราม กองทัพสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดใส่ที่นี่มากกว่า 200,000 ลูกต่อเดือน ทำให้ Cu Chi เป็นที่ที่ 'ถูกทิ้งระเบิด ถูกระดมยิง ถูกรมแกสพิษ ถูกโค่นทำลายป่าไม้ ถูกทำให้ราบเป็นหน้ากลอง มากที่สุดในประวัติศาสตร์การรบของมนุษยชาติ' ตามบันทึกในหนังสือ The Tunnels of Cu Chi ปี 1985 ของนักข่าวชาวอังกฤษ Tom Mangold และ John Penycate แม้โครงข่ายอุโมงค์ถูกระเบิดทำลายกว่าร้อยละ 70 แต่ Cu Chi ยังคงเป็นฐานสำคัญของ Viet Cong ในการรบตลอดสงคราม
    ปี 1990 รัฐบาลเวียดนามเปิดโครงข่ายอุโมงค์ 2 ส่วนให้สาธารณะเยี่ยมชม ได้แก่ ศูนย์บัญชาการที่ Ben Duoc และส่วนอุโมงค์ที่ Ben Dinh

วันนี้เราซื้อทัวร์เยือน Cu Chi Tunnels ที่ Ben Dinh ระยะทาง 50 กม. ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Ho Chi Minh City รถรับนักท่องเที่ยวจากโรงแรมต่างๆ และมารับเรา 2 คนสุดท้ายตอน 9.00 น.
    คณะบนรถ ราว 20 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป อาทิ ฝรั่งเศส สวีเดน สวิส เยอรมัน ชาวเอเชียมี 4 คน สิงคโปร์ 2 คน ไทย 2 คน นอกจากนี้ มีชาวบราซิล 2 คน อเมริกัน 3-4 คน หนึ่งในนั้นเป็นทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม ตัวใหญ่หนา หนวดเคราเฟิ้ม ผมยาวรวบมัดเป็นมวยตรงท้ายทอย ใส่แว่นดำปิดบังดวงตา ลักษณะแบบนี้เดาไม่ยาก และ Mickey ไกด์หนุ่มชาวเวียดนาม รูปร่างผอมเกร็ง ก็รู้ทันทีเช่นกัน ลีลาประชด เหน็บแนมอย่างแยบคายต่อผ่านศึกตัวโตนี้ จึงมีเป็นระยะ
    Mickey ปูพื้นเรื่องสงครามโดยย่อ แต่ไม่ลืมขยายความเหตุจูงใจของสหรัฐอเมริกาทั้งต่อทรัพยากรของเวียดนามและรายได้มหาศาลจากอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ เขาพูดต่อถึงโลกทัศน์ของคนเวียดนามปัจจุบันว่าทุกคนล้วนใฝ่หาและมุ่งสู่สันติภาพ ความสงบสุข และความก้าวหน้า หนึ่งพันปีที่รบกับจีน หนึ่งร้อยปีใต้แอกอาณานิคมฝรั่งเศส เกือบสิบปีของสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งกับกองทัพฝรั่งเศส และอีกกว่าสิบห้าปีของสงครามอินโดจีนครั้งที่สองหรือสงครามเวียดนามหรือสงครามอเมริกันกับกองทัพสหรัฐอเมริกา มากเกินพอ สันติภาพเพิ่งหยั่งรากไม่นานในรุ่นปัจจุบัน เวียดนามต้อนรับนักลงทุน นักเดินทางจากทุกทิศ เขาว่าคนเวียดนามไม่ต้องการ 'ฟื้นกุมฝอยหาตะเข็บ' ของอดีต แต่ผมรู้ดีว่า Mickey และคนเวียดนามไม่ไช่คนประเภทที่ไม่รู้และไม่จดจำประวัติศาสตร์ของตนเอง

9.50 น. รถแวะที่ Cu Chi Handicapped Handicraft Centre (ก่อตั้งปี 1976)
    ที่นี่เป็นศูนย์รวมงานฝีมือของชาวบ้านแถบนี้ คนพิการจากสงครามที่ไม่อาจทำมาหากินอย่างเดิม ต้องรับการฝึกและหันมาทำงานฝีมือเพื่อยังชีพแทน สินค้าที่จัดแสดงหลากหลาย ทั้งขนาด ชนิด ฝีมือ ความประณีต และราคา บริการจัดส่งทั่วโลก

11.15 น. ถึง Ben Dinh บริเวณเป็นป่าโปร่งแบบชนบททางอิสานของไทย จุดสนใจต่างๆ ทำเป็นกระท่อมใหญ่น้อย หลังคามุงจาก นักท่องเที่ยวขวักไขว่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทัวร์แบบคณะของเรา
    เราเริ่มที่มุมชมภาพยนตร์แสดงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน Cu Chi ก่อนสงคราม และระหว่างสงคราม ผังอุโมงค์ ขวากกับดัก หนังยาวราว 10 นาที
    เดินต่อไปชมหลุมขวากลักษณะต่างๆ ที่ไว้ดักทหารอเมริกัน หลักการเดียวกับกับดักสัตว์ บ้างใช้ไม้ไผ่เหลาปลายแหลม บ้างใช้เหล็กแหลม ทหารอเมริกันตัวใหญ่ น้ำหนักมาก เวลาตกลงไป ขวากยิ่งทะลุทะลวงไม่เว้นแม้พื้นรองเท้าบูท กับดักบ้านๆ แบบนี้เป็นที่หวาดกลัวและทำเอา GI อเมริกันสติแตก
    ถัดไป บนพื้นดินธรรมดา มีทางลงอุโมงค์พรางตาไว้ ดูไม่ออก เป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดพอคนร่างผอมลงไปได้ มีแผ่นไม้ปิด ก่อนลงและหลังขึ้นมาต้องเอาใบไม้แห้งรอบๆ มาคลุมแผ่นไม้ปิดปากทางให้แนบเนียน นักท่องเที่ยว 2 คนในกลุ่มเรา ทดลองลงไปในหลุม ทำได้ดีทีเดียว
    เดินต่อไป แวะชมซากรถถัง M-41 ของสหรัฐอเมริกาที่แล่นทับกับระเบิดเมื่อปี 1970 หมดสภาพ ถูกลากมาจัดแสดงริมทางเดินในป่าโปร่งนี้ ใกล้ๆ กันเป็นโรงผลิตอาวุธ หลังคามุงจาก ดินปืนแคะจากลูกระเบิดด้าน และลูกปืนใหญ่ด้านของอเมริกัน โรงผลิตรองเท้าแตะทำจากยางรถยนต์ พื้นรองเท้าออกแบบให้ทิ้งรอยบนพื้นดินในลักษณะกลับทิศทางเพื่อลวงศัตรู รองเท้าแตะลุยพื้นเปียก ข้ามลำห้วย ฝ่าฝน ได้สะดวก ส่วนบูทอเมริกันลุยข้ามน้ำ หรือเจอฝนตกหนักเมื่อไร เจ้าของบูทเป็นเท้าแฉะไม่ยอมแห้ง ย่ำแย่ไม่น้อย
    ใกล้ร้านค้าขายอาหาร มีสนามยิงปืนสงคราม อาทิ M-16 AK-47 (ชุด 10 นัด ราคา VND 400,000 ราว 600 บาท) คาร์บิน ลูกซอง
    ปิดท้ายทัวร์ด้วยการมุดอุโมงค์จริง อุโมงค์ดินที่แคบ มืด ชื้น ต้องนั่งยองหรือคลาน ช่องทางถูกทำให้คดเคี้ยว ซิกแซ็ก เพื่อหลบทิศทางกระสุน ผนังดินช่วยลดความรุนแรง ความเสียหายจากไฟ สารเคมี และน้ำที่กองทัพอเมริกันพ่นใส่อุโมงค์ ผนังดินแข็งแรงเหมือนซีเมนต์ ดินจากการขุดอุโมงค์นี้ ชาวบ้านนำไปถมที่นา ถมหลุมระเบิด และลำคลอง ไม่ทิ้งให้เห็นร่องรอยการขุดอุโมงค์ Mickey ท้าชวนให้พวกเรามุด บอกเป็นประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต ไม่ควรพลาด แถมเหน็บด้วยว่าอุโมงค์นี้ล้างผนังจนปลอดสารพิษจากระเบิดเคมีที่ทหารอเมริกันโยนใส่แล้ว และไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครหย่อนระเบิด พ่นไฟนาปาล์ม หรือฉีดน้ำให้ท่วมจากปากหลุมเหมือนที่ชาวบ้าน Cu Chi โดนกระทำ

รถพากลับถึง Ho Chi Minh City 14.30 น. เราลงที่ Ben Thanh Market
    Ben Thanh Market เปิดเมื่อปี 1914 หอนาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์เด่นตั้งตรงประตูทิศใต้ ตลาดครอบคลุมพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น 4 ส่วนโดยทางเดินหลัก 2 ทางตั้งฉากกัน และทางย่อยอีกมากมาย ประตูใหญ่เปิดเข้าแต่ละส่วน ประตูย่อยอีก 12 แห่งอยู่โดยรอบ
    เริ่มจากหอนาฬิกาทางทิศใต้ เป็นส่วนขายเสื้อผ้า ถัดเข้าไปเป็นรองเท้า กระเป๋า หมวก ด้านในเป็นร้านอาหาร ทางด้านทิศเหนือเป็นตลาดสด ขายผัก ของทะเล เนื้อสัตว์
    เดินชมบรรยากาศทั่วๆ แวะกินมื้อกลางวันที่ร้านด้านใน ย้อนกลับออกมาหาซื้อหมวก ลูกชายเลือกมา 2 ใบ สาวคนขายเปิดที่ราคา VND 280,000 ใจดีคิดแค่ 200,000 ลูกต่อราคาเหลือ 80,000 ผมรู้สึกตกใจว่าทำไมไปต่อราคาเขาขนาดนั้น และสาวคนขายก็ไม่ยอม แต่ไม่มีท่าทีเคือง เราเดินต่อ สาวขอ 140,000 เมื่อเราไม่เห็นด้วย เธอจึงตกลงที่ 80,000 มารู้ภายหลังว่าแผงขายของกว่า 1,200 แผงในตลาด ต่างตั้งราคาสินค้าสูงเป็น 4-5 เท่าของราคาที่ควรกันทั้งนั้น
    ตรงข้ามตลาด ด้านตะวันตก พื้นที่แคบๆ ตลอดความยาวระหว่างถนน Le Lai และถนน Pham Ngu Lao เป็นสวนสาธารณะ ปลูกไม้ดอกประดับ สีสันสวยงาม เราเข้าไปนั่งเล่น พักสบายๆ สวนนี้ชื่อ '23-9 Park' เป็นที่ระลึกถึงวันที่ 23 กันยายน 1945 วันที่ Ho Chi Minh ปลุกระดมให้ชาวเวียดนามลุกขึ้นต่อสู้กับพวกฝรั่งเศสที่ไม่ยอมรับการประกาศเอกราชของ Ho Chi Minh เมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 และส่งกองทัพกลับเข้ามายึดครองเวียดนามอีกภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง
    เดินเลาะถนน Pham Ngu Lao ย้อนกลับ ตั้งใจไปชมตลาดเก่าที่อยู่ไกลออกไปทางริมแม่น้ำ เมื่อถึงวงเวียนใหญ่ทางทิศใต้ของ Ben Thanh Market แผนที่แสดงว่าหากเลี้ยวขวาเข้าถนน Pho Duc Chinh ไปไม่ถึงหนึ่งบล็อคเป็นที่ตั้งของ Ho Chi Minh City Fine Arts Museum เราจึงเลี้ยวเข้าไป...

Ho Chi Minh City Fine Arts Museum
    ตึกพิพิธภัณฑ์ใหญ่โต งดงามแบบ colonial ประตูกระจกสี (stained-glass) แบบฝรั่งเศส ระเบียงด้านนอกตึกโอ่อ่า หลากหลายรูปแบบ เดิมเป็นคฤหาสน์ของคหบดี เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์เมื่อ 1991
    ชั้น 1 จัดแสดงจิตรกรรมโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda art)
    ชั้น 2 จัดแสดงภาพเขียนแลคเกอร์ และภาพเขียนบนผ้าไหม ล้วนฝีมือยอดเยี่ยม โดยเฉพาะห้องแสดงภาพเขียนแลคเกอร์ 9 แผ่นต่อกัน ผลงานชิ้นเอก (masterpiece) ของ Nguyen Gia Tri (1908-1993) ศิษย์รุ่นบุกเบิกของ Indochina School of Fine Arts
    ชั้น 3 จัดแสดงประติมากรรมสำริด ไม้แกะ เครื่องปั้นดินเผายุคศตวรรษที่ 19-20 พระพุทธรูป ไม้แกะรูปเคารพตามลัทธิขงจื๊อ ประติมากรรมจาม ประติมากรรมขอม
    ศิลปสถาปัตยกรรมของตัวตึกพิพิธภัณฑ์เองวิจิตรงดงาม ชวนให้พินิจรายละเอียด มีเวลาเดินชมเพียง 1 ชั่วโมงก่อนพิพิธภัณฑ์ปิด 17.30 น. จึงชมสิ่งแสดงได้เพียง 2 ชั้น ไปไม่ถึงชั้น 3

นิราศเวียดนามวันนี้ได้ไปถึง Cu Chi Tunnels ได้มุดอุโมงค์รับรู้ความลำบากของชาวบ้านที่ต้องหนีภัยสงครามลงใต้ดิน สงครามที่มหาอำนาจจากอีกซีกโลกกระหน่ำอาวุธทำลายล้างหลากรูปแบบเท่าที่มนุษย์จินตนาการได้เข้าใส่เจ้าของบ้านโดยไม่มีเหตุโกรธเคืองชัดเจน ได้เห็นการดิ้นรน ต่อสู้ และเอาชนะศัตรูของชาวบ้านอย่างน่านับถือ
    ได้ชม Ho Chi Minh City Fine Arts Museum ที่งดงามทั้งตัวอาคารและงานศิลปะที่จัดแสดง เป็นโบนัสที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า

ข้อมูลค้นจาก
    Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
    wikipedia.org
    wikitravel.org