Hue เมืองหลวงแต่ครั้งจักรพรรดิ์ปกครอง ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมแบบเดิมยังคงเก็บรักษาไว้อย่างงาม แม่น้ำ Huong ไหลผ่านกลางเมือง ฝั่งเหนือของแม่น้ำ จักรพรรดิ์ Nguyen ประทับอยู่ ณ The Forbidden Purple City ภายในเขตกำแพง Imperial City ประกอบด้วยอาคารและโครงสร้างสำคัญ อาทิ Palace of Supreme Harmony, Noon Gate, Mieu Temple โบราณสถานเหล่านี้รอดพ้นการทำลายระหว่างสงครามอินโดจีนกับฝรั่งเศส แต่เสียหายมากระหว่างสงครามเวียดนามกับสหรัฐอเมริกา Imperial City อยู่ภายในกำแพงอีกชั้นของ The Citadel ซึ่งรวมพื้นที่โดยรอบเข้าไว้ด้วย ได้แก่ ถนน สวน พิพิธภัณฑ์ ตลาด ร้านอาหาร เป็นต้น
ฝั่งใต้ของแม่น้ำ พวกฝรั่งเศสสร้างบ้านเมืองแบบยุโรป ทั้งอาคารงดงามสไตล์ art deco วิลล่า โบสถ์ ศาลาว่าการ มีสะพานข้ามแม่น้ำ 3 แห่ง มุมมองจากสะพานแลเห็นทิวเขางดงามยามอาทิตย์อัสดง
จาก The Citadel ทวนสายน้ำขึ้นไป เจดีย์ใหญ่วัด Thien Mu ตั้งโดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำ Huong เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง Hue
ทางทิศใต้ ถนน Dien Bien Phu นำออกนอกเมืองสู่ปริมณฑลที่เป็นเนินเขางดงาม สุสานจักรพรรดิ์กระจายครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวาง
อาหารเช้าของโรงแรมอร่อยและหลากหลายกว่า 2 เมืองที่ผ่านมา
บรรยากาศเมืองเก่า วิถีที่ไม่เร่งรีบเหมือนเมืองใหญ่ ชวนให้เช่าจักรยานขี่เที่ยววันนี้
ออกจากโรงแรมไปตามถนน Le Loi รถราขวักไขว่ไม่น้อย ทั้งจักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถบรรทุก ตอนนั่งรถแท็กซี่ รถเมล์ ผมคิดสงสัยว่าทำไมคนขับบีบแตรอยู่เรื่อย พอขี่จักรยานเองจึงเข้าใจและขอบคุณที่รถใหญ่บีบแตรเตือนรถเล็ก ไม่คุกคาม รถวิ่งไม่เร็วและอะลุ้มอล่วยแบ่งทางกัน อย่างไรก็ตาม จักรยานก็ต้องรักษาเส้นทางของตนให้ปลอดภัยเช่นกัน
ฝรั่งเศสยึด Hue ในปี 1885 โดยไม่แตะต้อง The Imperial City แต่ยึดครองฝั่งใต้ของแม่น้ำ ปรับปรุงถนนเลียบแม่น้ำที่จักรพรรดิ์ Gia Long สร้างไว้ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1800 ตั้งชื่อถนนใหม่ตามชื่อนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส Jules Ferry ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Le Loi ถนนสายงามร่มรื่นด้วยต้นมะขามเรียงรายทั้งสองฟาก กิ่งก้านแผ่ปกคลุมจนถนนดูคล้ายอุโมงค์ Le Loi ทอดยาวไปจนถึงสถานีรถไฟ Hue
ผ่านหมู่ตึกสีเหลืองฝั่งริมน้ำ ตึกสวยชวนให้แวะเข้าไป ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตรงจุดตรวจภายในรั้ว เขาเชิญให้เดินชมได้ตามอัธยาศัย ไม่เสียค่าเข้าชม หนึ่งในหมู่ตึกเป็น Phong Trung Bay Gallery ซึ่งเจ้าหน้าที่สตรีรีบเดินมาเปิดให้เราเข้าไป ภายในจัดแสดงภาพการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมือง Hue ในสงครามเวียดนาม ประวัติศาสตร์การรบที่นี่หนักหนาสาหัส ผู้คนล้มตายไม่ใช่น้อย ธงแดงดาวเหลืองแต่คราวนั้นจัดแสดงในตู้กระจก อาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วนตั้งแสดงอยู่อีกด้าน เมื่อเรากลับออกมา เขาก็ปิดล็อคประตูไว้อย่างเดิม ขอบคุณเขาอย่างยิ่งที่กรุณาเปิดให้เราชมเป็นการส่วนตัว
เยื้องกับสะพาน Phu Xuan ตรงข้ามถนน เป็นที่ตั้งโรงพยาบาล Hue's General Hospital สร้างเมื่อ 1968 ภายหลังการรบในปีนั้น ถัดไปเป็น People's Committee Building เราขี่รถต่อไปจอดที่หน้าโรงเรียน Quoc Hoc High School วันนี้เป็นวันสิ้นปี โรงเรียนหยุด ยามอนุญาตให้เข้าไปได้
โรงเรียนนี้ก่อตั้งเมื่อปี 1896 สมัยจักรพรรดิ์ Thanh Thai ครูใหญ่คนแรกคือ Ngo Dinh Kha บิดาของ Ngo Dinh Diem ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ อาคารเรียนสองชั้น สีแดง raspberry เรียงรอบ 3 ด้านของสนามหญ้าใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ให้เงาร่มรื่น สุดถนนหลักทางเข้าจากหน้าโรงเรียน ก่อนถึงสนามหญ้าใหญ่ มีรูปปั้นเต็มตัวนักเรียนหนุ่ม Nguyen Tat Thanh ยืนเด่นอยู่ตรงกลาง เขาเข้าเรียนที่นี่เมื่อปี 1907 หลายปีต่อมา Nguyen Tat Thanh คือผู้นำยิ่งใหญ่นาม Ho Chi Minh (1890-1969) ประธานาธิบดีเวียดนามเหนือ ศิษย์เก่าสำคัญอีก 2 คนคือ Pham Van Dong (1906-2000) นายกรัฐมนตรีเวียดนามเหนือ (1955-1976) และนายกรัฐมนตรีเวียดนามหลังการรวมประเทศ (1976-1987) และ Vo Nguyen Giap (1911-2013) นายพล ผู้บัญชาการทหารคนสำคัญในสงครามอินโดจีนกับฝรั่งเศส (1946-1954) และสงครามเวียดนามกับสหรัฐอเมริกา (1960-1975) อีกทั้งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล Ho Chi Minh ด้วย
เราเดินเล่น นั่งเล่นอยู่พักใหญ่ ในโรงเรียนที่มีพื้นที่กว้างขวาง ร่มรื่น บรรยากาศสงบ โรงเรียนที่สร้างผู้นำแข็งแกร่ง ยึดมั่นอุดมการณ์ ปลดแอกอาณานิคม เอาชนะผู้รุกรานต่างชาติ และรวมประเทศเป็นหนึ่งได้ในที่สุด
ตรงข้ามประตูโรงเรียนเป็น Imperial Monument ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ สร้างขึ้นเมื่อปี 1920 เป็นอนุสรณสถานแก่ทหารฝรั่งเศสและทหารเวียดนามที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ขี่รถต่อไปถึงสถานีรถไฟ เลี้ยวซ้ายลงใต้เข้าถนน Dien Bien Phu แวะกินอาหารริมทางที่ร้านตรงหัวถนนก่อน เพราะจากนี้ต้องขี่รถทางไกลไปสุสานจักรพรรดิ์นอกเมือง
ถนน Dien Bien Phu กำลังขุดซ่อมตลอดเส้น รถยนต์จึงหลบไปทางอื่น แม้ไม่ต้องระวังรถใหญ่แต่ทางขรุขระทอนแรงไปไม่น้อย ขี่ไปสักพักเห็นเจดีย์ใหญ่ทรงซ้อนหลายชั้น สวยงาม อยู่แยกไปถนนข้างๆ เราแวะเข้าไปชม วัดสงบ ร่มเย็น นั่งพักหายเหนื่อยจึงกลับเข้าถนน Dien Bien Phu
สุดถนนก่อนออกนอกเมือง มีสวนป่าสนสองใบ พื้นที่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างขวางสุดสายตา มีกำแพงล้อมรอบ ดูน่าสนใจ แวะเข้าไป เจ้าหน้าที่ตรงป้อมภายในอนุญาตให้เดินชมได้ตามอัธยาศัย ถัดเข้าไปมีลานโล่งใหญ่รูปวงกลม ยกสูงจากพื้นหลายขั้นบันได มีรั้วปูนโปร่งสูง 60 ซม. กั้นเป็นขอบรอบ ตรงกลางลาน มีกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว นัยว่าเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา น่านิยมที่มีสวนป่าสนกว้างขวางอยู่ใกล้เมืองเช่นนี้
สุดถนน Dien Bien Phu เข้าถนน Minh Mang ผ่านภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาขึ้นๆ ลงๆ ส่วนใหญ่ทางลาดลงต่อเนื่องยาวหลายกิโลเมตร ให้หวาดหวั่นว่าขากลับคงปั่นขึ้นไม่ไหว
เราถึงสุสานจักรพรรดิ์ Khai Dinh ราว 14.00 น. รถทัวร์หลายคัน และรถยนต์จำนวนมากจอดเรียงราย นักท่องเที่ยวคราคร่ำ
สุสานจักรพรรดิ์ Khai Dinh (ครองราชย์ 1916-1925)
สุสานตั้งชิดริมผาชัน ประกอบด้วยซีเมนต์ คอนกรีต หินอ่อน ปราศจากต้นไม้ และน้ำ ดูแห้งแล้งขัดแย้งกับคติ 'ฮวงจุ้ย' ลานด้านนอกประดับด้วยศิลาแกะรูปขุนนาง รูปช้าง ม้า เข้าแถวรับเสด็จจักรพรรดิ์ผู้ล่วงลับ ภายใน Thien Dinh Palace ผนังประดับกระเบื้องเคลือบและกระจก ฉูดฉาด อลังการ แผงแห่งฤดูกาลเป็นภาพไผ่แทนฤดูหนาว ดอกท้อบานแทนฤดูใบไม้ผลิ ดอกลิลลี่แทนฤดูร้อน และดอกเบญจมาศแทนฤดูใบไม้ร่วง ส่วนแผงใต้เพดานเป็นภาพสิ่งมีค่าแปดอย่าง อาทิ ม้วนหนังสือ พิณ น้ำเต้า รวมทั้งของสมัยใหม่ เช่น ไม้เทนนิส นาฬิกาปลุก อันแสดงถึงความนิยมชมชอบวิถีตะวันตกของจักรพรรดิ์ Khai Dinh ที่ฝังพระศพอยู่ลึกลงไป 9 เมตร ใต้พระแท่นที่มีรูปปั้นของพระองค์ ภายในโถงใหญ่ ประดับภาพมังกรและหมู่เมฆ
15.00 น. แล้ว สุสานจักรพรรดิ์ Minh Mang สุสานสำคัญที่ตั้งใจไปชม อยู่ไกลออกไปอีก 5 กม. หากรวมกับที่ผ่านมา 10 กม. ขากลับต้องขี่จักรยานถึง 15 กม. แถมทางเป็นเนินขึ้นเสียมากและคงมืดก่อนจะถึงตัวเมือง สองจิตสองใจจะไปต่อหรือกลับเสียตั้งแต่ตอนนี้ ปรึกษากันแล้วตกลงไปต่อด้วยเราต่างอยากเห็นสุสาน Minh Mang เรื่องอื่นไว้แก้ปัญหาทีหลัง...
จากสุสาน Khai Dinh ขี่จักรยานไปตามทางมุ่งสู่ตะวันตกเฉียงใต้ จากทางเล็กต้องเข้าสู่ทางหลวงหลักเพื่อข้ามแม่น้ำ Huong แสงทองยามเย็นฉาบท้องฟ้าและสะท้อนผิวน้ำงดงาม เราจอดรถกลางสะพาน อ้อยอิ่งชื่นชมภาพธรรมชาติพักใหญ่ จากทางหลวงหลักหลังข้ามสะพานไปสักพัก แยกออกทางเล็ก ไม่ปรากฏป้ายบอกทางสุสาน Minh Mang เลย ผ่านไป 5 กม. น่าจะใกล้ถึงแล้ว เราจอดแวะถามชาวบ้าน เธอชี้ให้ไปต่อ ขณะนั้นมีเด็กหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์ตามเข้ามาจอด บอกเราว่าเราเลยทางเข้าสุสานไปแล้ว ควรจะเชื่อใครดี บอกเด็กหนุ่มให้แน่ใจว่าเราจะไปสุสาน มิใช่ไปซื้อของหรือไปพักโรงแรม เขายืนยันว่าเป็นทางเข้าสุสาน เราจึงย้อนกลับ ตามเขาไป...
'ทางเข้าสุสาน' ที่เขาอุตส่าห์ขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาเรียกเราเป็นที่ส่วนตัว มองไม่เห็นวี่แววของสุสาน เขาเปิดเป็นที่ขายน้ำ ขายขนม ชายวัยกลางคนเชื้อเชิญให้พักดื่มน้ำเย็นก่อน ส่วนทางไปสุสานต้องเดินไปตามทางเล็กๆ รกๆ เลียบคูน้ำไปราว 300 เมตร ทางเลาะด้านนอกกำแพงสุสาน ตีโค้งไปราวหนึ่งด้านครึ่ง จึงถึงทางเข้าสุสาน เวลานั้นราว 16.00 น. มุมแดดกำลังงาม นักท่องเที่ยวมีไม่มาก เป็นชาวฝรั่งเศส 4-5 คน ต่างเดินชม คุยกันเสียงเบาๆ เป็นบรรยากาศที่พึงประสงค์ยิ่ง
สุสานจักรพรรดิ์ Minh Mang (ครองราชย์ 1820-1841)
สุสานตั้งอยู่ภายในกำแพงสูง 3 เมตร กำแพงยาวเกือบ 2 กม. ครอบคลุมพื้นที่สวน ทะเลสาบ หลายสิบไร่ อาคารทั้งหมดจัดวางตามแนวตะวันออก-ตะวันตก ขนาบด้วยทะเลสาบ Trung Minh จากประตูทางเข้า Dai Hong Mon (Great Red Gate) ซึ่งถูกปิดตายหลังพระศพผ่าน วิญญาณของจักรพรรดิ์ Minh Mang ผ่าน Court of Honor ขึ้นไปยัง Stela Pavilion ผ่านออกสู่ลานโล่งสูงขึ้นไปทีละระดับอีก 3 ระดับ ผ่านประตู Hien Duc เข้าวิหาร Dien Sung An (Temple of Infinite Grace) อันเป็นที่เก็บสมบัติล้ำค่าส่วนพระองค์ ข้ามสะพาน Trung Dao ขึ้นไปบน Minh Lau Pavilion (Pavilion of Light) ผ่านลงมาอีกด้าน ข้ามสะพาน Thong Minh Chinh Truc ที่ทอดข้ามทะเลสาบ Ton Nguyet เข้าสู่เนินฝังพระศพ ที่มีกำแพงล้อม และประตูถูกปิดตาย ระยะทางจากประตู Dai Hong Mon ถึงเนินฝังพระศพ 700 เมตร
ปี 1885 ทหารฝรั่งเศสบุกสุสาน Minh Mang และสุสานอื่นๆ ปล้นสะดมสมบัติต่างๆ ไป ปัจจุบันจึงไม่เหลือสมบัติส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ์ Minh Mang ในวิหาร Dien Sung An ให้เห็น
การวางผัง การจัดองค์ประกอบ สวน ทะเลสาบ สะพาน ลาน พลับพลา เป็นระเบียบงดงาม โครงสร้างต่างๆ ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ รู้สึกยินดีที่ตัดสินใจขี่จักรยานต่อมา 5 กม. เพื่อชมสุสานเก่าอายุกว่า 170 ปี ที่สวยงามแห่งนี้
17.30 น. เราเดินย้อนกลับทางเดิมเลียบกำแพงสุสานไปยังร้านขายน้ำดื่มที่ฝากรถจักรยานไว้ ชายวัยกลางคนไม่อยู่แล้ว เหลือแต่หนุ่มสาว 4-5 คน เราเจรจาขอให้เขาช่วยโทรเรียกแท็กซี่ขนาดใหญ่เพื่อบรรทุกจักรยานและพาเรากลับที่พัก ด้วยระยะทางขากลับ 15 กม. ทางขึ้นเนินเป็นส่วนใหญ่ และฟ้าเริ่มมืด เราขี่จักรยานไปไม่ไหวแน่ พวกเขาบอกว่าไม่รู้จะเรียกแท็กซี่อย่างไร และแท็กซี่ก็ไม่น่าจะขนเอาจักรยาน 2 คันเข้าไปได้ พวกเขาเสนอให้เอาจักรยาน 2 คันหงายขึ้นวางบนเบาะหลังมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง หนุ่มคนซ้อนท้ายจับยึดพยุงจักรยานทั้งสองไป ส่วนเรา 2 คนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่ง พวกเขายืนยันว่าสามารถไปได้โดยปลอดภัย เพียงแต่ส่งได้แค่ถนน Dien Bien Phu เพราะถ้าเลยเข้าเมือง มอเตอร์ไซค์คันที่ขนจักรยานในลักษณะหมิ่นเหม่แบบนั้นจะถูกตำรวจจับ หากตกลงเราจะย่นระยะทางไปได้ 10 กม. เหลือขี่ต่อถนนในเมืองเพียง 5 กม. เราไม่มีทางเลือก ต่อรองราคาค่าบริการ และตกลงตามข้อเสนอ
เรา 2 คนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันแรกนำไป คันที่สองขนจักรยาน หนุ่มคนซ้อนท้ายยึดจักรยานทั้งสองคันมั่นคง คนขับมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันระมัดระวัง ไม่มีอาการคึกคะนอง ผมรู้สึกผ่อนคลาย รถวิ่งไป ลมเย็นสบาย ครู่เดียวฟ้ามืดสนิท หากต้องขี่จักรยานเองตลอดทางขากลับคงแย่ ราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงถนน Dien Bien Phu มอเตอร์ไซค์จอดที่หน้าสวนป่าสนสองใบที่เราแวะเมื่อตอนบ่าย เอาจักรยานลงเรียบร้อยปลอดภัยทุกคน ขอบคุณหนุ่มทั้ง 3 คน และถ่ายรูปหมู่พวกเขาไว้เป็นที่ระลึกว่า 'ทุกอย่างเป็นไปได้ในจินตนาการของคนหนุ่มสาว'
เราขี่จักรยานต่ออีก 5 กม. กลับที่พัก
ขี่จักรยานเที่ยววันนี้ ได้ประสบการณ์และมีโอกาสดีหลายประการ
ได้ค่อยๆ สำรวจ เยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ที่สงบ สวยงาม สองข้างถนน Le Loi เฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียน Quoc Hoc High School
ได้เยือนสุสานจักรพรรดิ์ Minh Mang ที่องค์ประกอบและการวางผังสมบูรณ์ยิ่ง เป็นสุสานเดียวที่ตั้งใจจะมาชม การแวะเข้าสุสานจักรพรรดิ์ Khai Dinh ซึ่งถึงก่อน ถือเป็นโบนัส
ได้ขี่จักรยานรวม 20 กม. เป็นระยะทางไกลที่สุด เท่าที่เคยขี่มา รู้สึกดีที่ทำสำเร็จแม้ในวัยเกษียณ
ข้อมูลค้นจาก
Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
wikipedia.org
wikitravel.org
ฝั่งใต้ของแม่น้ำ พวกฝรั่งเศสสร้างบ้านเมืองแบบยุโรป ทั้งอาคารงดงามสไตล์ art deco วิลล่า โบสถ์ ศาลาว่าการ มีสะพานข้ามแม่น้ำ 3 แห่ง มุมมองจากสะพานแลเห็นทิวเขางดงามยามอาทิตย์อัสดง
จาก The Citadel ทวนสายน้ำขึ้นไป เจดีย์ใหญ่วัด Thien Mu ตั้งโดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำ Huong เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง Hue
ทางทิศใต้ ถนน Dien Bien Phu นำออกนอกเมืองสู่ปริมณฑลที่เป็นเนินเขางดงาม สุสานจักรพรรดิ์กระจายครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวาง
อาหารเช้าของโรงแรมอร่อยและหลากหลายกว่า 2 เมืองที่ผ่านมา
บรรยากาศเมืองเก่า วิถีที่ไม่เร่งรีบเหมือนเมืองใหญ่ ชวนให้เช่าจักรยานขี่เที่ยววันนี้
ออกจากโรงแรมไปตามถนน Le Loi รถราขวักไขว่ไม่น้อย ทั้งจักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถบรรทุก ตอนนั่งรถแท็กซี่ รถเมล์ ผมคิดสงสัยว่าทำไมคนขับบีบแตรอยู่เรื่อย พอขี่จักรยานเองจึงเข้าใจและขอบคุณที่รถใหญ่บีบแตรเตือนรถเล็ก ไม่คุกคาม รถวิ่งไม่เร็วและอะลุ้มอล่วยแบ่งทางกัน อย่างไรก็ตาม จักรยานก็ต้องรักษาเส้นทางของตนให้ปลอดภัยเช่นกัน
ฝรั่งเศสยึด Hue ในปี 1885 โดยไม่แตะต้อง The Imperial City แต่ยึดครองฝั่งใต้ของแม่น้ำ ปรับปรุงถนนเลียบแม่น้ำที่จักรพรรดิ์ Gia Long สร้างไว้ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1800 ตั้งชื่อถนนใหม่ตามชื่อนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส Jules Ferry ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Le Loi ถนนสายงามร่มรื่นด้วยต้นมะขามเรียงรายทั้งสองฟาก กิ่งก้านแผ่ปกคลุมจนถนนดูคล้ายอุโมงค์ Le Loi ทอดยาวไปจนถึงสถานีรถไฟ Hue
ผ่านหมู่ตึกสีเหลืองฝั่งริมน้ำ ตึกสวยชวนให้แวะเข้าไป ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตรงจุดตรวจภายในรั้ว เขาเชิญให้เดินชมได้ตามอัธยาศัย ไม่เสียค่าเข้าชม หนึ่งในหมู่ตึกเป็น Phong Trung Bay Gallery ซึ่งเจ้าหน้าที่สตรีรีบเดินมาเปิดให้เราเข้าไป ภายในจัดแสดงภาพการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมือง Hue ในสงครามเวียดนาม ประวัติศาสตร์การรบที่นี่หนักหนาสาหัส ผู้คนล้มตายไม่ใช่น้อย ธงแดงดาวเหลืองแต่คราวนั้นจัดแสดงในตู้กระจก อาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วนตั้งแสดงอยู่อีกด้าน เมื่อเรากลับออกมา เขาก็ปิดล็อคประตูไว้อย่างเดิม ขอบคุณเขาอย่างยิ่งที่กรุณาเปิดให้เราชมเป็นการส่วนตัว
เยื้องกับสะพาน Phu Xuan ตรงข้ามถนน เป็นที่ตั้งโรงพยาบาล Hue's General Hospital สร้างเมื่อ 1968 ภายหลังการรบในปีนั้น ถัดไปเป็น People's Committee Building เราขี่รถต่อไปจอดที่หน้าโรงเรียน Quoc Hoc High School วันนี้เป็นวันสิ้นปี โรงเรียนหยุด ยามอนุญาตให้เข้าไปได้
โรงเรียนนี้ก่อตั้งเมื่อปี 1896 สมัยจักรพรรดิ์ Thanh Thai ครูใหญ่คนแรกคือ Ngo Dinh Kha บิดาของ Ngo Dinh Diem ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ อาคารเรียนสองชั้น สีแดง raspberry เรียงรอบ 3 ด้านของสนามหญ้าใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ให้เงาร่มรื่น สุดถนนหลักทางเข้าจากหน้าโรงเรียน ก่อนถึงสนามหญ้าใหญ่ มีรูปปั้นเต็มตัวนักเรียนหนุ่ม Nguyen Tat Thanh ยืนเด่นอยู่ตรงกลาง เขาเข้าเรียนที่นี่เมื่อปี 1907 หลายปีต่อมา Nguyen Tat Thanh คือผู้นำยิ่งใหญ่นาม Ho Chi Minh (1890-1969) ประธานาธิบดีเวียดนามเหนือ ศิษย์เก่าสำคัญอีก 2 คนคือ Pham Van Dong (1906-2000) นายกรัฐมนตรีเวียดนามเหนือ (1955-1976) และนายกรัฐมนตรีเวียดนามหลังการรวมประเทศ (1976-1987) และ Vo Nguyen Giap (1911-2013) นายพล ผู้บัญชาการทหารคนสำคัญในสงครามอินโดจีนกับฝรั่งเศส (1946-1954) และสงครามเวียดนามกับสหรัฐอเมริกา (1960-1975) อีกทั้งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล Ho Chi Minh ด้วย
เราเดินเล่น นั่งเล่นอยู่พักใหญ่ ในโรงเรียนที่มีพื้นที่กว้างขวาง ร่มรื่น บรรยากาศสงบ โรงเรียนที่สร้างผู้นำแข็งแกร่ง ยึดมั่นอุดมการณ์ ปลดแอกอาณานิคม เอาชนะผู้รุกรานต่างชาติ และรวมประเทศเป็นหนึ่งได้ในที่สุด
ตรงข้ามประตูโรงเรียนเป็น Imperial Monument ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ สร้างขึ้นเมื่อปี 1920 เป็นอนุสรณสถานแก่ทหารฝรั่งเศสและทหารเวียดนามที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ขี่รถต่อไปถึงสถานีรถไฟ เลี้ยวซ้ายลงใต้เข้าถนน Dien Bien Phu แวะกินอาหารริมทางที่ร้านตรงหัวถนนก่อน เพราะจากนี้ต้องขี่รถทางไกลไปสุสานจักรพรรดิ์นอกเมือง
ถนน Dien Bien Phu กำลังขุดซ่อมตลอดเส้น รถยนต์จึงหลบไปทางอื่น แม้ไม่ต้องระวังรถใหญ่แต่ทางขรุขระทอนแรงไปไม่น้อย ขี่ไปสักพักเห็นเจดีย์ใหญ่ทรงซ้อนหลายชั้น สวยงาม อยู่แยกไปถนนข้างๆ เราแวะเข้าไปชม วัดสงบ ร่มเย็น นั่งพักหายเหนื่อยจึงกลับเข้าถนน Dien Bien Phu
สุดถนนก่อนออกนอกเมือง มีสวนป่าสนสองใบ พื้นที่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างขวางสุดสายตา มีกำแพงล้อมรอบ ดูน่าสนใจ แวะเข้าไป เจ้าหน้าที่ตรงป้อมภายในอนุญาตให้เดินชมได้ตามอัธยาศัย ถัดเข้าไปมีลานโล่งใหญ่รูปวงกลม ยกสูงจากพื้นหลายขั้นบันได มีรั้วปูนโปร่งสูง 60 ซม. กั้นเป็นขอบรอบ ตรงกลางลาน มีกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว นัยว่าเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา น่านิยมที่มีสวนป่าสนกว้างขวางอยู่ใกล้เมืองเช่นนี้
สุดถนน Dien Bien Phu เข้าถนน Minh Mang ผ่านภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาขึ้นๆ ลงๆ ส่วนใหญ่ทางลาดลงต่อเนื่องยาวหลายกิโลเมตร ให้หวาดหวั่นว่าขากลับคงปั่นขึ้นไม่ไหว
เราถึงสุสานจักรพรรดิ์ Khai Dinh ราว 14.00 น. รถทัวร์หลายคัน และรถยนต์จำนวนมากจอดเรียงราย นักท่องเที่ยวคราคร่ำ
สุสานจักรพรรดิ์ Khai Dinh (ครองราชย์ 1916-1925)
สุสานตั้งชิดริมผาชัน ประกอบด้วยซีเมนต์ คอนกรีต หินอ่อน ปราศจากต้นไม้ และน้ำ ดูแห้งแล้งขัดแย้งกับคติ 'ฮวงจุ้ย' ลานด้านนอกประดับด้วยศิลาแกะรูปขุนนาง รูปช้าง ม้า เข้าแถวรับเสด็จจักรพรรดิ์ผู้ล่วงลับ ภายใน Thien Dinh Palace ผนังประดับกระเบื้องเคลือบและกระจก ฉูดฉาด อลังการ แผงแห่งฤดูกาลเป็นภาพไผ่แทนฤดูหนาว ดอกท้อบานแทนฤดูใบไม้ผลิ ดอกลิลลี่แทนฤดูร้อน และดอกเบญจมาศแทนฤดูใบไม้ร่วง ส่วนแผงใต้เพดานเป็นภาพสิ่งมีค่าแปดอย่าง อาทิ ม้วนหนังสือ พิณ น้ำเต้า รวมทั้งของสมัยใหม่ เช่น ไม้เทนนิส นาฬิกาปลุก อันแสดงถึงความนิยมชมชอบวิถีตะวันตกของจักรพรรดิ์ Khai Dinh ที่ฝังพระศพอยู่ลึกลงไป 9 เมตร ใต้พระแท่นที่มีรูปปั้นของพระองค์ ภายในโถงใหญ่ ประดับภาพมังกรและหมู่เมฆ
15.00 น. แล้ว สุสานจักรพรรดิ์ Minh Mang สุสานสำคัญที่ตั้งใจไปชม อยู่ไกลออกไปอีก 5 กม. หากรวมกับที่ผ่านมา 10 กม. ขากลับต้องขี่จักรยานถึง 15 กม. แถมทางเป็นเนินขึ้นเสียมากและคงมืดก่อนจะถึงตัวเมือง สองจิตสองใจจะไปต่อหรือกลับเสียตั้งแต่ตอนนี้ ปรึกษากันแล้วตกลงไปต่อด้วยเราต่างอยากเห็นสุสาน Minh Mang เรื่องอื่นไว้แก้ปัญหาทีหลัง...
จากสุสาน Khai Dinh ขี่จักรยานไปตามทางมุ่งสู่ตะวันตกเฉียงใต้ จากทางเล็กต้องเข้าสู่ทางหลวงหลักเพื่อข้ามแม่น้ำ Huong แสงทองยามเย็นฉาบท้องฟ้าและสะท้อนผิวน้ำงดงาม เราจอดรถกลางสะพาน อ้อยอิ่งชื่นชมภาพธรรมชาติพักใหญ่ จากทางหลวงหลักหลังข้ามสะพานไปสักพัก แยกออกทางเล็ก ไม่ปรากฏป้ายบอกทางสุสาน Minh Mang เลย ผ่านไป 5 กม. น่าจะใกล้ถึงแล้ว เราจอดแวะถามชาวบ้าน เธอชี้ให้ไปต่อ ขณะนั้นมีเด็กหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์ตามเข้ามาจอด บอกเราว่าเราเลยทางเข้าสุสานไปแล้ว ควรจะเชื่อใครดี บอกเด็กหนุ่มให้แน่ใจว่าเราจะไปสุสาน มิใช่ไปซื้อของหรือไปพักโรงแรม เขายืนยันว่าเป็นทางเข้าสุสาน เราจึงย้อนกลับ ตามเขาไป...
'ทางเข้าสุสาน' ที่เขาอุตส่าห์ขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาเรียกเราเป็นที่ส่วนตัว มองไม่เห็นวี่แววของสุสาน เขาเปิดเป็นที่ขายน้ำ ขายขนม ชายวัยกลางคนเชื้อเชิญให้พักดื่มน้ำเย็นก่อน ส่วนทางไปสุสานต้องเดินไปตามทางเล็กๆ รกๆ เลียบคูน้ำไปราว 300 เมตร ทางเลาะด้านนอกกำแพงสุสาน ตีโค้งไปราวหนึ่งด้านครึ่ง จึงถึงทางเข้าสุสาน เวลานั้นราว 16.00 น. มุมแดดกำลังงาม นักท่องเที่ยวมีไม่มาก เป็นชาวฝรั่งเศส 4-5 คน ต่างเดินชม คุยกันเสียงเบาๆ เป็นบรรยากาศที่พึงประสงค์ยิ่ง
สุสานจักรพรรดิ์ Minh Mang (ครองราชย์ 1820-1841)
สุสานตั้งอยู่ภายในกำแพงสูง 3 เมตร กำแพงยาวเกือบ 2 กม. ครอบคลุมพื้นที่สวน ทะเลสาบ หลายสิบไร่ อาคารทั้งหมดจัดวางตามแนวตะวันออก-ตะวันตก ขนาบด้วยทะเลสาบ Trung Minh จากประตูทางเข้า Dai Hong Mon (Great Red Gate) ซึ่งถูกปิดตายหลังพระศพผ่าน วิญญาณของจักรพรรดิ์ Minh Mang ผ่าน Court of Honor ขึ้นไปยัง Stela Pavilion ผ่านออกสู่ลานโล่งสูงขึ้นไปทีละระดับอีก 3 ระดับ ผ่านประตู Hien Duc เข้าวิหาร Dien Sung An (Temple of Infinite Grace) อันเป็นที่เก็บสมบัติล้ำค่าส่วนพระองค์ ข้ามสะพาน Trung Dao ขึ้นไปบน Minh Lau Pavilion (Pavilion of Light) ผ่านลงมาอีกด้าน ข้ามสะพาน Thong Minh Chinh Truc ที่ทอดข้ามทะเลสาบ Ton Nguyet เข้าสู่เนินฝังพระศพ ที่มีกำแพงล้อม และประตูถูกปิดตาย ระยะทางจากประตู Dai Hong Mon ถึงเนินฝังพระศพ 700 เมตร
ปี 1885 ทหารฝรั่งเศสบุกสุสาน Minh Mang และสุสานอื่นๆ ปล้นสะดมสมบัติต่างๆ ไป ปัจจุบันจึงไม่เหลือสมบัติส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ์ Minh Mang ในวิหาร Dien Sung An ให้เห็น
การวางผัง การจัดองค์ประกอบ สวน ทะเลสาบ สะพาน ลาน พลับพลา เป็นระเบียบงดงาม โครงสร้างต่างๆ ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ รู้สึกยินดีที่ตัดสินใจขี่จักรยานต่อมา 5 กม. เพื่อชมสุสานเก่าอายุกว่า 170 ปี ที่สวยงามแห่งนี้
17.30 น. เราเดินย้อนกลับทางเดิมเลียบกำแพงสุสานไปยังร้านขายน้ำดื่มที่ฝากรถจักรยานไว้ ชายวัยกลางคนไม่อยู่แล้ว เหลือแต่หนุ่มสาว 4-5 คน เราเจรจาขอให้เขาช่วยโทรเรียกแท็กซี่ขนาดใหญ่เพื่อบรรทุกจักรยานและพาเรากลับที่พัก ด้วยระยะทางขากลับ 15 กม. ทางขึ้นเนินเป็นส่วนใหญ่ และฟ้าเริ่มมืด เราขี่จักรยานไปไม่ไหวแน่ พวกเขาบอกว่าไม่รู้จะเรียกแท็กซี่อย่างไร และแท็กซี่ก็ไม่น่าจะขนเอาจักรยาน 2 คันเข้าไปได้ พวกเขาเสนอให้เอาจักรยาน 2 คันหงายขึ้นวางบนเบาะหลังมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง หนุ่มคนซ้อนท้ายจับยึดพยุงจักรยานทั้งสองไป ส่วนเรา 2 คนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่ง พวกเขายืนยันว่าสามารถไปได้โดยปลอดภัย เพียงแต่ส่งได้แค่ถนน Dien Bien Phu เพราะถ้าเลยเข้าเมือง มอเตอร์ไซค์คันที่ขนจักรยานในลักษณะหมิ่นเหม่แบบนั้นจะถูกตำรวจจับ หากตกลงเราจะย่นระยะทางไปได้ 10 กม. เหลือขี่ต่อถนนในเมืองเพียง 5 กม. เราไม่มีทางเลือก ต่อรองราคาค่าบริการ และตกลงตามข้อเสนอ
เรา 2 คนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันแรกนำไป คันที่สองขนจักรยาน หนุ่มคนซ้อนท้ายยึดจักรยานทั้งสองคันมั่นคง คนขับมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันระมัดระวัง ไม่มีอาการคึกคะนอง ผมรู้สึกผ่อนคลาย รถวิ่งไป ลมเย็นสบาย ครู่เดียวฟ้ามืดสนิท หากต้องขี่จักรยานเองตลอดทางขากลับคงแย่ ราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงถนน Dien Bien Phu มอเตอร์ไซค์จอดที่หน้าสวนป่าสนสองใบที่เราแวะเมื่อตอนบ่าย เอาจักรยานลงเรียบร้อยปลอดภัยทุกคน ขอบคุณหนุ่มทั้ง 3 คน และถ่ายรูปหมู่พวกเขาไว้เป็นที่ระลึกว่า 'ทุกอย่างเป็นไปได้ในจินตนาการของคนหนุ่มสาว'
เราขี่จักรยานต่ออีก 5 กม. กลับที่พัก
ขี่จักรยานเที่ยววันนี้ ได้ประสบการณ์และมีโอกาสดีหลายประการ
ได้ค่อยๆ สำรวจ เยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ที่สงบ สวยงาม สองข้างถนน Le Loi เฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียน Quoc Hoc High School
ได้เยือนสุสานจักรพรรดิ์ Minh Mang ที่องค์ประกอบและการวางผังสมบูรณ์ยิ่ง เป็นสุสานเดียวที่ตั้งใจจะมาชม การแวะเข้าสุสานจักรพรรดิ์ Khai Dinh ซึ่งถึงก่อน ถือเป็นโบนัส
ได้ขี่จักรยานรวม 20 กม. เป็นระยะทางไกลที่สุด เท่าที่เคยขี่มา รู้สึกดีที่ทำสำเร็จแม้ในวัยเกษียณ
ข้อมูลค้นจาก
Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
wikipedia.org
wikitravel.org
Excellent trip.I excite , imagine and have been sweet dream by your amazing and excited adventure.I almost stop my breathing.Oh..my God !! Everywhere you had gone are wonderful and most famous places of Vietnam. I can't write to tell you that I am very happy, enjoy and exciting also.Many thanks for your beautiful writing..
ReplyDelete