Ho Chi Minh City ชื่อเดิมคือ Saigon เป็นเมืองที่ชาวตะวันตกหลงใหลมาแต่ครั้งอดีต เมืองใหญ่ทันสมัยนี้ดึงดูดรายได้จากนักเดินทางนานาชาติเกือบครึ่งหนึ่งของเวียดนามทั้งประเทศ
เดิมพวกขอมอาศัยอยู่ ต่อมาพวกเวียดขยายอาณาเขตลงมายังดินดอนปากแม่น้ำโขงอันอุดม ปี 1698 Nguyen Huu Canh ก่อตั้งเขต Gia Dinh พวกฝรั่งเศสเข้ามาในปี 1859 ตั้งอาณานิคม Cochinchina โดยมี Saigon เป็นเมืองหลวง ระยะ 20 ปีแรกของอาณานิคม Saigon รุ่งเรืองยิ่ง พวกฝรั่งเศสสร้างถนนกว้างขวาง ปลูกต้นมะขามเรียงรายสองฟากถนน สร้างศาสนวิหาร โรงโอเปร่า ตำหนัก วิลล่า ราวกับว่าการยึดครองบ้านเมืองคนอื่นของตนจะยืนยงไปนับสหัสวรรษ
ทศวรรษ 1870 นักเดินทางกล่าวขาน ขนานนามเมืองว่า 'ไข่มุกแห่งตะวันออก' 'ปารีสตะวันออก' ทุกวันนี้ร่องรอยความรุ่งเรืองและเสน่ห์นั้น ยังคงรู้สึกได้
ประชากรราว 8 ล้านคนอาศัยในพื้นที่ 2,000 ตารางกิโลเมตร แม้ประวัติศาสตร์ไม่ยาวนานเท่า Hanoi หรือ Hue และวัด อาราม พิพิธภัณฑ์ ธรรมชาติงดงาม เทียบเมืองทั้งสองไม่ได้ แต่ชีวิตชีวาที่พบเห็นในตลาด ในโรงแรมหรู และในธุรกิจ เป็นคุณลักษณ์ที่อาจชดเชยกัน กลิ่นอายของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ของ GI อเมริกัน ของสาวบาร์บนถนน rue Catinat หรือปัจจุบันคือถนน Dong Khoi ยังพอรับรู้ได้
ตึกรามโอ่อ่าที่จัตุรัส Lam Son อาทิ โรงโอเปร่า โรงแรม Continental โรงแรม Caravelle ล้วนชวนให้ความคิดย้อนกลับไปในอดีต
ในอีกด้านหนึ่ง ความทรงจำเรื่องสงครามโหดร้ายยังคงเด่นชัดในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ War Remnants Museum, Reunification Palace และ Cu Chi Tunnels
หลังมื้อเช้าในห้องอาหารขนาดย่อมมากของโรงแรม ได้เวลาสำรวจเมือง
จากหัวมุมถนน Ly Tu Trong หน้าที่พัก เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Thu Khoa Huan ถัดไปบล็อคเดียวเลี้ยวขวาเข้าถนน Nguyen Du ถนนสายนี้สวยมาก ต้นไม้ใหญ่สูงกว่า 20 เมตร เรียงรายทั้งสองฟาก ไม้ใหญ่ขนาดนี้ในบ้านเราเห็นแต่ตามป่าเขา พื้นดินแถบนี้ต้องอุดมจริง จึงสามารถเลี้ยงต้นไม้ไว้ได้ขนาดนี้ ร้านรวงโอ่อ่า ทันสมัย ไม่นานก็ถึง Reunification Palace (106 Nguyen Du) เราแวะเข้าไป พบว่าปิดพักเที่ยง จึงเดินต่อไปอีกสองบล็อคถึงแยกตัดกับถนน Dong Khoi ตรงนี้คือจัตุรัสปารีส (Paris Square) หัวถนน Dong Khoi คือ Notre Dame Cathedral
Notre Dame Cathedral
ศาสนวิหารคาธอลิกที่พวกฝรั่งเศสสร้างไว้อย่างอลังการ ด้านหน้ามีหอระฆังคู่สูง 56 เมตรเหนือจัตุรัสปารีส หอระฆังคู่นี้มองเห็นแต่ไกล ประดับขอบฟ้า Saigon มากว่าศตวรรษ
สถาปนิกฝรั่งเศส Jules Bourard ออกแบบวิหารนี้เมื่อกลางทศวรรษ 1870 เริ่มก่อสร้าง 1877 อิฐนำเข้าจาก Marseilles หินแกรนิตขนจาก Bien Hoa ค่าก่อสร้าง 2.5 ล้านฟรังก์ ระฆัง 6 ใบ มีน้ำหนักรวม 27 ตัน การก่อสร้างแล้วเสร็จและวิหารเปิดเมื่อ 1880
ปี 1962 Vatican ยกฐานะ Notre Dame เป็นระดับ basilica อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามรุกจากหัวเมืองเข้ามาถึงใจกลาง Saigon ฐานะของ Notre Dame ไม่อาจปกป้องตัวเองได้ ร่องรอยความเสียหายจากการสู้รบจึงปรากฏบนผนังอิฐด้านนอกของวิหาร
น่าเสียดาย วิหารปิด จึงไม่ได้ชมด้านใน
ที่ทำการไปรษณีย์กลาง (Main Post Office)
ตั้งอยู่ตรงข้าม Notre Dame Cathedral ออกแบบโดยบริษัทของ Gustav Eiffel ก่อสร้างระหว่าง 1886-1891 หลังคาโค้งครึ่งวงกลม แสงแดดผ่านได้ ลักษณะแบบเดียวกับสถานีรถไฟในยุโรปยุคนั้น โถงกลางใหญ่งดงาม บนผนังฝั่งตรงข้ามทางเข้า ใต้หลังคาโค้ง แขวนภาพ Ho Chi Minh โถงปีก 2 ข้างสมมาตรกัน บนผนังใต้หลังคา ด้านหนึ่งเป็นภาพเขียนแผนที่สมัย 1892 แสดง Saigon เมื่อยังแยกจาก Cholon ด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ อีกด้านหนึ่งเป็นภาพเขียนแผนที่สมัย 1939 แสดงผังเส้นทางโทรเลข
ที่ทำการไปรษณีย์กลางนี้ให้บริการปกติ ขายแสตมป์ รับฝากจดหมาย พัสดุ ท่ามกลางนักท่องเที่ยวมากมายที่เข้ามาชมความงามของอาคาร ตลอดจนซื้อแสตมป์สวยๆ ส่งโปสการ์ด บรรยากาศวุ่นวายไม่น้อย
จากจัตุรัสปารีสเดินย้อนกลับไปตามถนน Nguyen Du แวะกิน Pho ร้านข้างทางเป็นมื้อกลางวัน ไปถึง Reunification Palace เปิดให้เข้าชมรอบบ่ายแล้ว
Reunification Palace
วันที่ 30 เมษายน 1975 รถถังในบังคับบัญชาของพันเอก Bui Tin แห่งกองทัพเวียดนามเหนือแล่นชนพังประตูทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Independence Palace) เข้ายึดศูนย์อำนาจของฝ่ายใต้ทั้งหมด ปิดฉากสงครามเวียดนาม สงครามที่คนเวียดนามเรียกว่า American War of Aggression อันยาวนานกว่า 10 ปี และเปิดทางสู่การรวมประเทศ อาคารนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Dinh Thong Nhat (Reunification Palace) ตัวอาคารและองค์ประกอบภายในทั้งหมดถูกเก็บรักษาไว้เช่นที่เป็นอยู่ขณะนั้น เสมือนหยุดไว้ในกาลเวลา เสมือนเป็นเครื่องเตือนใจและหลอกหลอนถึงรัฐฝ่ายใต้ที่สลายไป
แม้อาคารเปิดใช้ปี 1966 แต่พื้นที่นี้ในฐานะทำเนียบย้อนไปถึงปี 1868 เมื่อพวกฝรั่งเศสสร้างทำเนียบผู้ว่าการอินโดจีน (Palace for the Governor General of Indochina) สถาปัตยกรรมงดงาม โอ่อ่าแบบโรมันและกรีก บนพื้นที่ 75 ไร่ ในปี 1962 ระหว่างการพยายามรัฐประหาร นักบิน 2 คนนำเครื่องบินทิ้งระเบิดทำเนียบ ซึ่งขณะนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น Independence Palace เสียหายยับเยิน ประธานาธิบดี Ngo Dinh Diem สั่งให้สร้างทำเนียบใหม่บนพื้นที่เดิม สถาปนิกเวียดนามใต้ Ngo Viet Thu ออกแบบด้านหน้าตึกเป็นม่านปูนรูปปล้องไม้ไผ่ เป็นบังตาแก่ผนังกระจกภายในที่สูงจากพื้นถึงเพดาน โถงกลางตึกตกแต่งด้วยบันไดกว้างใหญ่ หรูหรา ตึกสูง 5 ชั้น มี 95 ห้อง
ประธานาธิบดี Ngo Dinh Diem ไม่มีโอกาสเข้าพักในทำเนียบที่เขาให้สร้างใหม่นี้ ด้วยถูกสังหารในรัฐประหารปี 1963 ทำเนียบนี้สร้างเสร็จในปี 1966 ประธานาธิบดี Nguyen Van Thieu เข้าพำนักพร้อมครอบครัว รสนิยมของเขายังคงปรากฏชัดทั้งทำเนียบ อาทิ ลานเต้นรำพื้นปาร์เกต์บนดาดฟ้า นิตยสาร Tennis World ในห้องสมุด
ชั้น 1 ประกอบด้วย ห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ห้องอาหาร ยังคงสภาพเดิมที่โอ่อ่าอย่างสมบูรณ์
ชั้น 2 ประกอบด้วย ห้องทำงานประธานาธิบดี บนผนังมีภาพชายทะเล Ninh Thuan จังหวัดบ้านเกิดของ Nguyen Van Thieu จากห้องนี้มีทางลับลงสู่บังเกอร์ใต้ดิน
โถงกลางปูด้วยพรมวงกลมผืนใหญ่สีแดง ขอบทอเป็นภาพมังกร 4 ตัวล้อมรอบ ตรงกลางจารึกอักษรจีน 'อายุมั่นขวัญยืน'
ห้องที่หรูหราสุดคือห้องรับรองทูตต่างประเทศ ผนังประดับภาพทิวทัศน์เวียดนามสมัยศตวรรษที่ 15 ภาพเขียนแลคเกอร์ต่อเนื่องกัน 40 ชิ้น เป็นงานศิลปะชั้นยอด
นอกจากนี้ ยังมีห้องรับรองแขกของประธานาธิบดี ห้องรับรองแขกของรองประธานาธิบดี ห้องนอน และห้องอาหาร
ชั้น 3 ประกอบด้วย ห้องสมุด ห้องจัดเลี้ยง ห้องฉายภาพยนตร์ 42 ที่นั่ง ห้องเล่นไพ่
ตรงดาดฟ้ามีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมีเส้นวงกลมสีแดง 2 วงเขียนไว้ แสดงตำแหน่งระเบิด 2 ลูกที่หย่อนใส่ทำเนียบนี้โดยนักบินเวียดนามใต้ที่แปรพักตร์ช่วงท้ายสงคราม
ชั้น 4 ประกอบด้วย ห้องเต้นรำ และลานจอดเฮลิคอปเตอร์
ชั้นใต้ดิน ประกอบด้วย ห้องบัญชาการ ห้องวิทยุ ห้องประชุม และห้องนอนประธานาธิบดี
อุปกรณ์อิเลคโทรนิค เครื่องมือสื่อสาร ทั้งเครื่องวิทยุ โทรศัพท์ ของ GE และ Motorola จำนวนมากในยุคนั้นกลายเป็น time capsule ที่น่าสนใจ
ชั้นพื้นดิน ประกอบด้วย ห้องครัวขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์ทันสมัย ห้องจัดแสดงภาพสงครามและประวัติทำเนียบ ห้องฉายภาพยนตร์ประวัติศาสตร์เวียดนามโดยย่อความยาวครึ่งชั่วโมง
ภายนอกตึก เป็นสวน สนามหญ้าเขียว พื้นที่กว้างขวางถึง 75 ไร่ ข้างประตูใหญ่ทางเข้า จัดแสดงรถถัง 2 คัน เป็นตัวแทนคันที่พังประตูทำเนียบเข้ามาเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1975 (คันจริงเก็บรักษาไว้ที่ Hanoi) และเครื่องบิน F-5E เป็นตัวแทนลำที่หย่อนระเบิดใส่ทำเนียบเมื่อวันที่ 8 เมษายน 1975
ออกจาก Reunification Palace ทำเนียบประธานาธิบดีที่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ เราเดินไปที่จัตุรัสปารีสอีกครั้ง เลี้ยวขวาเข้าถนน Dong Khoi ถนนเส้นนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Saigon ได้สมญาว่า 'ปารีสตะวันออก' ที่นี่ทหารอเมริกันที่เหนื่อยหน่ายจากสงครามได้มาพัก ผ่อนคลายกับสาวบาร์ พวกฝรั่งเศสเรียกชื่อถนนนี้ว่า rue Catinat คนเวียดนามใต้เรียก Tu Do ('อิสรภาพ') ปัจจุบันเรียก Dong Khoi ('การลุกฮือ') ถนนนี้เป็นย่านร้านรวงหรูหรา
อาคารเลขที่ 164 Dong Khoi ตึก 2 ชั้น ยาว 90 เมตร สร้างปี 1917 เคยเป็นที่ตั้งของ Surete หน่วยความมั่นคงของตำรวจฝรั่งเศสสมัยอาณานิคม ใช้จองจำกลุ่มชาตินิยมชาวเวียดนามที่ต่อต้านฝรั่งเศส หนึ่งในกลุ่มนักโทษคือ Pham Van Dong ผู้ที่ต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีเวียดนาม
ถึงแยกแรกเลี้ยวซ้าย เดินไปนิดเดียว ตึก apartment 9 ชั้น เลขที่ 22 Ly Tu Trong เคยเป็นที่อยู่ของเจ้าหน้าที่ CIA สมัยสงคราม ประตูยังคงปิดแน่นหนา เดินย้อนกลับเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Dong Khoi ไปจนถึง Ce Square สวนสาธารณะเล็กๆ ซึ่งเปิดเมื่อปี 1935 จากตรงนี้มองไปยังหลังคา apartment 9 ชั้นนั้น จะเห็นปล่องลิฟท์ หลังคาปล่องลิฟท์นี้เองที่ใช้จอดเฮลิคอปเตอร์เพื่ออพยพคนหนีตอน Saigon แตก ภาพถ่ายการอพยพอย่างลุกลี้ลุกลนตอนนั้นเป็นภาพที่คุ้นตาไปทั่วโลกและทำเอามหาอำนาจเสียหน้าไปไม่น้อย
จาก Ce Square เลี้ยวขวาเข้าถนน Le Thanh Ton ไปจนถึงแยกหัวถนน Nguyen Hue เป็นที่ตั้งของ People's Committee Building บางคนยังเรียกว่า Hotel de Ville สร้างเมื่อ 1908 พวกฝรั่งเศสเคยใช้เป็นศาลาว่าการเมืองสมัยอาณานิคม สถาปัตยกรรมงดงาม กำลังบูรณะ ช่างหลายคนบนโครงนั่งร้านทำงานอย่างตั้งใจ
จากหัวถนน Nguyen Hue ไปไม่ถึงหนึ่งบล็อค โรงแรม Rex ตั้งอยู่ ระหว่างสงคราม ตรงชั้นล่างของตึกนี้ ทหารอเมริกันใช้เป็นที่แถลงข่าวทุกวัน นักข่าวขนานนามว่า 'Five O'Clock Follies' ('เรื่องงี่เง่าตอนห้าโมง') ถนน Nguyen Hue เป็นถนนที่สวยงามที่สุดสายหนึ่งของเมือง น่าเสียดาย ขณะนี้ปิดทั้งเส้น ด้วยกำลังขุดวางรางรถไฟใต้ดินสายแรกของ Ho Chi Minh City ป้ายประกาศแสดงความร่วมมือกับ Japan Bank for International Cooperation ซึ่งร่วมลงทุนกว่าร้อยละ 80 เราจึงต้องลัดเลาะไปถนนย่อยอื่นๆ ระหว่างทางเจอร้านหนังสือ Artbook ร้านใหญ่ หนังสือน่าสนใจมากมาย แวะหาซื้อหนังสือ ก่อนเดินต่อจนถึงถนน Ton Duc Thang ถนนเลียบแม่น้ำ Saigon
ยามเย็น แดดร่มลมตก นั่งเล่นผ่อนคลาย ริมแม่น้ำ พักใหญ่จึงเดินขึ้นเหนือไปตามถนน Ton Duc Thang ผ่านท้ายถนน Nguyen Hue ซึ่งปิดอยู่ เดินต่อไปอีกหนึ่งบล็อคถึงท้ายถนน Dong Khoi ฟ้าเริ่มมืด ร้านรวง ถนนหนทางเปิดไฟ บรรยากาศยามราตรียิ่งงดงาม
แวะกินมื้อค่ำที่ร้าน Popeyes Burger เปลี่ยนจากอาหารพื้นเมืองที่กินมา 6 วัน อาหารที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องจ่ายแพงกว่าคนท้องถิ่น ไม่เลือกว่าเพิงริมทางหรือร้านอาหารชั้นดี มีเมนูแสดงราคาหรือไม่ ไม่ต่างกัน หากไม่รู้ภาษาเวียดนาม ก็ต้องจ่ายด้วยราคาตามเมนูภาษาอังกฤษ แต่สำหรับ Fast-food Chain ข้ามชาติแบบนี้มีข้อดีตรงที่ทุกคนจ่ายเท่ากัน ตามราคาที่แสดงบนผนังหลังเคาน์เตอร์ ไม่มี 'สองบัญชี'
หลังอาหารค่ำ เราเดินเข้าท้ายถนน Dong Khoi ย้อนทางเพื่อชมถนนนี้ตลอดสาย ตรงมุมท้ายถนนฝั่งซ้ายเป็นโรงแรม Majestic เปิดเมื่อ 1925 ระเบียงด้านนอกห้องพักประดับด้วยราวเหล็กโค้งเป็นเอกลักษณ์ ตรงข้ามโรงแรม ฝั่งขวาถนน เป็นวุฒิศักดิ์คลินิก ทำเลเยี่ยม เราเดินต่อไปจนถึงจัตุรัส Lam Son (Lam Son Square)
จัตุรัสนี้เป็นที่ตั้งของ Municipal Theatre ตึกเก่างดงาม ทางเข้าด้านหน้าเป็นโถงสูง ด้านบนโค้งครึ่งวงกลม ประดับปูนปั้นวิจิตร เดิมคือ Saigon Opera House เปิดเมื่อ 1 มกราคม 1900 บูรณะใหญ่ในโอกาสครบ 100 ปี ปัจจุบัน Municipal Theatre ขนาด 800 ที่นั่งนี้เป็นศูนย์ศิลปะการแสดง
Municipal Theatre ขนาบข้างด้วยโรงแรม ข้างหนึ่งคือโรงแรม Continental (เปิด 1880) อีกข้างหนึ่งคือโรงแรม Caravelle (เปิด 1959) นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ Graham Greene และ Somerset Maugham ต่างเคยพักที่ Continental และใช้สถานที่นั้นเป็นฉากในนิยายของตน ส่วน Caravelle ถูกใช้เป็นสำนักข่าวของ CBS และ ABC ในระหว่างสงคราม
ตึกทั้งสามที่ประกอบเป็นจัตุรัส Lam Son ยิ่งงดงามในแสงไฟยามราตรี เราเตร่อยู่พักใหญ่ก่อนเดินกลับที่พัก
วันนี้เดินสำรวจถนน Dong Khoi ได้ตลอดสาย จากหัวถนน ที่ตั้ง Notre Dame Cathedral จนถึงท้ายถนนที่บรรจบกับถนนริมแม่น้ำ Saigon
ได้ชม Reunification Palace ทำเนียบที่ถูกหยุดไว้ในกาลเวลา เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเตือนใจถึงยุคสมัยที่ประเทศถูกแบ่งแยก ถูกปลุกปั่นความขัดแย้งโดยมหาอำนาจต่างชาติ
Ho Chi Minh City มีต้นไม้สูงใหญ่เรียงรายสองฟากถนนโดยทั่วไป มีสวนสาธารณะแทรกตรงนั้น ตรงนี้ ไม้ดอกสีสันสวยงาม อย่างไรก็ตาม ในแม่น้ำกลับเต็มไปด้วยขยะ ชนิดจงใจทิ้งโดยไม่ยั้งคิด เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ฉงนว่า...คนรักต้นไม้แต่ไม่รักน้ำ...
ข้อมูลค้นจาก
Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
wikipedia.org
wikitravel.org