February 27, 2015

Vietnam on Foot: Ho Chi Minh City: 02.01.2015

Ho Chi Minh City ชื่อเดิมคือ Saigon เป็นเมืองที่ชาวตะวันตกหลงใหลมาแต่ครั้งอดีต เมืองใหญ่ทันสมัยนี้ดึงดูดรายได้จากนักเดินทางนานาชาติเกือบครึ่งหนึ่งของเวียดนามทั้งประเทศ
    เดิมพวกขอมอาศัยอยู่ ต่อมาพวกเวียดขยายอาณาเขตลงมายังดินดอนปากแม่น้ำโขงอันอุดม ปี 1698 Nguyen Huu Canh ก่อตั้งเขต Gia Dinh พวกฝรั่งเศสเข้ามาในปี 1859 ตั้งอาณานิคม Cochinchina โดยมี Saigon เป็นเมืองหลวง ระยะ 20 ปีแรกของอาณานิคม Saigon รุ่งเรืองยิ่ง พวกฝรั่งเศสสร้างถนนกว้างขวาง ปลูกต้นมะขามเรียงรายสองฟากถนน สร้างศาสนวิหาร โรงโอเปร่า ตำหนัก วิลล่า ราวกับว่าการยึดครองบ้านเมืองคนอื่นของตนจะยืนยงไปนับสหัสวรรษ
    ทศวรรษ 1870 นักเดินทางกล่าวขาน ขนานนามเมืองว่า 'ไข่มุกแห่งตะวันออก' 'ปารีสตะวันออก' ทุกวันนี้ร่องรอยความรุ่งเรืองและเสน่ห์นั้น ยังคงรู้สึกได้
    ประชากรราว 8 ล้านคนอาศัยในพื้นที่ 2,000 ตารางกิโลเมตร แม้ประวัติศาสตร์ไม่ยาวนานเท่า Hanoi หรือ Hue และวัด อาราม พิพิธภัณฑ์ ธรรมชาติงดงาม เทียบเมืองทั้งสองไม่ได้ แต่ชีวิตชีวาที่พบเห็นในตลาด ในโรงแรมหรู และในธุรกิจ เป็นคุณลักษณ์ที่อาจชดเชยกัน กลิ่นอายของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ของ GI อเมริกัน ของสาวบาร์บนถนน rue Catinat หรือปัจจุบันคือถนน Dong Khoi ยังพอรับรู้ได้
    ตึกรามโอ่อ่าที่จัตุรัส Lam Son อาทิ โรงโอเปร่า โรงแรม Continental โรงแรม Caravelle ล้วนชวนให้ความคิดย้อนกลับไปในอดีต
    ในอีกด้านหนึ่ง ความทรงจำเรื่องสงครามโหดร้ายยังคงเด่นชัดในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ War Remnants Museum, Reunification Palace และ Cu Chi Tunnels

หลังมื้อเช้าในห้องอาหารขนาดย่อมมากของโรงแรม ได้เวลาสำรวจเมือง
จากหัวมุมถนน Ly Tu Trong หน้าที่พัก เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Thu Khoa Huan ถัดไปบล็อคเดียวเลี้ยวขวาเข้าถนน Nguyen Du ถนนสายนี้สวยมาก ต้นไม้ใหญ่สูงกว่า 20 เมตร เรียงรายทั้งสองฟาก ไม้ใหญ่ขนาดนี้ในบ้านเราเห็นแต่ตามป่าเขา พื้นดินแถบนี้ต้องอุดมจริง จึงสามารถเลี้ยงต้นไม้ไว้ได้ขนาดนี้ ร้านรวงโอ่อ่า ทันสมัย ไม่นานก็ถึง Reunification Palace (106 Nguyen Du) เราแวะเข้าไป พบว่าปิดพักเที่ยง จึงเดินต่อไปอีกสองบล็อคถึงแยกตัดกับถนน Dong Khoi ตรงนี้คือจัตุรัสปารีส (Paris Square) หัวถนน Dong Khoi คือ Notre Dame Cathedral

Notre Dame Cathedral
    ศาสนวิหารคาธอลิกที่พวกฝรั่งเศสสร้างไว้อย่างอลังการ ด้านหน้ามีหอระฆังคู่สูง 56 เมตรเหนือจัตุรัสปารีส หอระฆังคู่นี้มองเห็นแต่ไกล ประดับขอบฟ้า Saigon มากว่าศตวรรษ
    สถาปนิกฝรั่งเศส Jules Bourard ออกแบบวิหารนี้เมื่อกลางทศวรรษ 1870 เริ่มก่อสร้าง 1877 อิฐนำเข้าจาก Marseilles หินแกรนิตขนจาก Bien Hoa ค่าก่อสร้าง 2.5 ล้านฟรังก์ ระฆัง 6 ใบ มีน้ำหนักรวม 27 ตัน การก่อสร้างแล้วเสร็จและวิหารเปิดเมื่อ 1880
    ปี 1962 Vatican ยกฐานะ Notre Dame เป็นระดับ basilica อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามรุกจากหัวเมืองเข้ามาถึงใจกลาง Saigon ฐานะของ Notre Dame ไม่อาจปกป้องตัวเองได้ ร่องรอยความเสียหายจากการสู้รบจึงปรากฏบนผนังอิฐด้านนอกของวิหาร
    น่าเสียดาย วิหารปิด จึงไม่ได้ชมด้านใน

ที่ทำการไปรษณีย์กลาง (Main Post Office)
    ตั้งอยู่ตรงข้าม Notre Dame Cathedral ออกแบบโดยบริษัทของ Gustav Eiffel ก่อสร้างระหว่าง 1886-1891 หลังคาโค้งครึ่งวงกลม แสงแดดผ่านได้ ลักษณะแบบเดียวกับสถานีรถไฟในยุโรปยุคนั้น โถงกลางใหญ่งดงาม บนผนังฝั่งตรงข้ามทางเข้า ใต้หลังคาโค้ง แขวนภาพ Ho Chi Minh โถงปีก 2 ข้างสมมาตรกัน บนผนังใต้หลังคา ด้านหนึ่งเป็นภาพเขียนแผนที่สมัย 1892 แสดง Saigon เมื่อยังแยกจาก Cholon ด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ อีกด้านหนึ่งเป็นภาพเขียนแผนที่สมัย 1939 แสดงผังเส้นทางโทรเลข
    ที่ทำการไปรษณีย์กลางนี้ให้บริการปกติ ขายแสตมป์ รับฝากจดหมาย พัสดุ ท่ามกลางนักท่องเที่ยวมากมายที่เข้ามาชมความงามของอาคาร ตลอดจนซื้อแสตมป์สวยๆ ส่งโปสการ์ด บรรยากาศวุ่นวายไม่น้อย

จากจัตุรัสปารีสเดินย้อนกลับไปตามถนน Nguyen Du แวะกิน Pho ร้านข้างทางเป็นมื้อกลางวัน ไปถึง Reunification Palace เปิดให้เข้าชมรอบบ่ายแล้ว

Reunification Palace
    วันที่ 30 เมษายน 1975 รถถังในบังคับบัญชาของพันเอก Bui Tin แห่งกองทัพเวียดนามเหนือแล่นชนพังประตูทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Independence Palace) เข้ายึดศูนย์อำนาจของฝ่ายใต้ทั้งหมด ปิดฉากสงครามเวียดนาม สงครามที่คนเวียดนามเรียกว่า American War of Aggression อันยาวนานกว่า 10 ปี และเปิดทางสู่การรวมประเทศ อาคารนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Dinh Thong Nhat (Reunification Palace) ตัวอาคารและองค์ประกอบภายในทั้งหมดถูกเก็บรักษาไว้เช่นที่เป็นอยู่ขณะนั้น เสมือนหยุดไว้ในกาลเวลา เสมือนเป็นเครื่องเตือนใจและหลอกหลอนถึงรัฐฝ่ายใต้ที่สลายไป
    แม้อาคารเปิดใช้ปี 1966 แต่พื้นที่นี้ในฐานะทำเนียบย้อนไปถึงปี 1868 เมื่อพวกฝรั่งเศสสร้างทำเนียบผู้ว่าการอินโดจีน (Palace for the Governor General of Indochina) สถาปัตยกรรมงดงาม โอ่อ่าแบบโรมันและกรีก บนพื้นที่ 75 ไร่ ในปี 1962 ระหว่างการพยายามรัฐประหาร นักบิน 2 คนนำเครื่องบินทิ้งระเบิดทำเนียบ ซึ่งขณะนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น Independence Palace เสียหายยับเยิน ประธานาธิบดี Ngo Dinh Diem สั่งให้สร้างทำเนียบใหม่บนพื้นที่เดิม สถาปนิกเวียดนามใต้ Ngo Viet Thu ออกแบบด้านหน้าตึกเป็นม่านปูนรูปปล้องไม้ไผ่ เป็นบังตาแก่ผนังกระจกภายในที่สูงจากพื้นถึงเพดาน โถงกลางตึกตกแต่งด้วยบันไดกว้างใหญ่ หรูหรา ตึกสูง 5 ชั้น มี 95 ห้อง
    ประธานาธิบดี Ngo Dinh Diem ไม่มีโอกาสเข้าพักในทำเนียบที่เขาให้สร้างใหม่นี้ ด้วยถูกสังหารในรัฐประหารปี 1963 ทำเนียบนี้สร้างเสร็จในปี 1966 ประธานาธิบดี Nguyen Van Thieu เข้าพำนักพร้อมครอบครัว รสนิยมของเขายังคงปรากฏชัดทั้งทำเนียบ อาทิ ลานเต้นรำพื้นปาร์เกต์บนดาดฟ้า นิตยสาร Tennis World ในห้องสมุด     
    ชั้น 1 ประกอบด้วย ห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ห้องอาหาร ยังคงสภาพเดิมที่โอ่อ่าอย่างสมบูรณ์
    ชั้น 2 ประกอบด้วย ห้องทำงานประธานาธิบดี บนผนังมีภาพชายทะเล Ninh Thuan จังหวัดบ้านเกิดของ Nguyen Van Thieu จากห้องนี้มีทางลับลงสู่บังเกอร์ใต้ดิน
    โถงกลางปูด้วยพรมวงกลมผืนใหญ่สีแดง ขอบทอเป็นภาพมังกร 4 ตัวล้อมรอบ ตรงกลางจารึกอักษรจีน 'อายุมั่นขวัญยืน'
    ห้องที่หรูหราสุดคือห้องรับรองทูตต่างประเทศ ผนังประดับภาพทิวทัศน์เวียดนามสมัยศตวรรษที่ 15 ภาพเขียนแลคเกอร์ต่อเนื่องกัน 40 ชิ้น เป็นงานศิลปะชั้นยอด
    นอกจากนี้ ยังมีห้องรับรองแขกของประธานาธิบดี ห้องรับรองแขกของรองประธานาธิบดี ห้องนอน และห้องอาหาร
    ชั้น 3 ประกอบด้วย ห้องสมุด ห้องจัดเลี้ยง ห้องฉายภาพยนตร์ 42 ที่นั่ง ห้องเล่นไพ่
    ตรงดาดฟ้ามีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมีเส้นวงกลมสีแดง 2 วงเขียนไว้ แสดงตำแหน่งระเบิด 2 ลูกที่หย่อนใส่ทำเนียบนี้โดยนักบินเวียดนามใต้ที่แปรพักตร์ช่วงท้ายสงคราม
    ชั้น 4 ประกอบด้วย ห้องเต้นรำ และลานจอดเฮลิคอปเตอร์
    ชั้นใต้ดิน ประกอบด้วย ห้องบัญชาการ ห้องวิทยุ ห้องประชุม และห้องนอนประธานาธิบดี
    อุปกรณ์อิเลคโทรนิค เครื่องมือสื่อสาร ทั้งเครื่องวิทยุ โทรศัพท์ ของ GE และ Motorola จำนวนมากในยุคนั้นกลายเป็น time capsule ที่น่าสนใจ
    ชั้นพื้นดิน ประกอบด้วย ห้องครัวขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์ทันสมัย ห้องจัดแสดงภาพสงครามและประวัติทำเนียบ ห้องฉายภาพยนตร์ประวัติศาสตร์เวียดนามโดยย่อความยาวครึ่งชั่วโมง
    ภายนอกตึก เป็นสวน สนามหญ้าเขียว พื้นที่กว้างขวางถึง 75 ไร่ ข้างประตูใหญ่ทางเข้า จัดแสดงรถถัง 2 คัน เป็นตัวแทนคันที่พังประตูทำเนียบเข้ามาเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1975 (คันจริงเก็บรักษาไว้ที่ Hanoi) และเครื่องบิน F-5E เป็นตัวแทนลำที่หย่อนระเบิดใส่ทำเนียบเมื่อวันที่ 8 เมษายน 1975
    
ออกจาก Reunification Palace ทำเนียบประธานาธิบดีที่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ เราเดินไปที่จัตุรัสปารีสอีกครั้ง เลี้ยวขวาเข้าถนน Dong Khoi ถนนเส้นนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Saigon ได้สมญาว่า 'ปารีสตะวันออก' ที่นี่ทหารอเมริกันที่เหนื่อยหน่ายจากสงครามได้มาพัก ผ่อนคลายกับสาวบาร์ พวกฝรั่งเศสเรียกชื่อถนนนี้ว่า rue Catinat คนเวียดนามใต้เรียก Tu Do ('อิสรภาพ') ปัจจุบันเรียก Dong Khoi ('การลุกฮือ') ถนนนี้เป็นย่านร้านรวงหรูหรา
    อาคารเลขที่ 164 Dong Khoi ตึก 2 ชั้น ยาว 90 เมตร สร้างปี 1917 เคยเป็นที่ตั้งของ Surete หน่วยความมั่นคงของตำรวจฝรั่งเศสสมัยอาณานิคม ใช้จองจำกลุ่มชาตินิยมชาวเวียดนามที่ต่อต้านฝรั่งเศส หนึ่งในกลุ่มนักโทษคือ Pham Van Dong ผู้ที่ต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีเวียดนาม
    ถึงแยกแรกเลี้ยวซ้าย เดินไปนิดเดียว ตึก apartment 9 ชั้น เลขที่ 22 Ly Tu Trong เคยเป็นที่อยู่ของเจ้าหน้าที่ CIA สมัยสงคราม ประตูยังคงปิดแน่นหนา เดินย้อนกลับเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Dong Khoi ไปจนถึง Ce Square สวนสาธารณะเล็กๆ ซึ่งเปิดเมื่อปี 1935 จากตรงนี้มองไปยังหลังคา apartment 9 ชั้นนั้น จะเห็นปล่องลิฟท์ หลังคาปล่องลิฟท์นี้เองที่ใช้จอดเฮลิคอปเตอร์เพื่ออพยพคนหนีตอน Saigon แตก ภาพถ่ายการอพยพอย่างลุกลี้ลุกลนตอนนั้นเป็นภาพที่คุ้นตาไปทั่วโลกและทำเอามหาอำนาจเสียหน้าไปไม่น้อย
    จาก Ce Square เลี้ยวขวาเข้าถนน Le Thanh Ton ไปจนถึงแยกหัวถนน Nguyen Hue เป็นที่ตั้งของ People's Committee Building บางคนยังเรียกว่า Hotel de Ville สร้างเมื่อ 1908 พวกฝรั่งเศสเคยใช้เป็นศาลาว่าการเมืองสมัยอาณานิคม สถาปัตยกรรมงดงาม กำลังบูรณะ ช่างหลายคนบนโครงนั่งร้านทำงานอย่างตั้งใจ
    จากหัวถนน Nguyen Hue ไปไม่ถึงหนึ่งบล็อค โรงแรม Rex ตั้งอยู่ ระหว่างสงคราม ตรงชั้นล่างของตึกนี้ ทหารอเมริกันใช้เป็นที่แถลงข่าวทุกวัน นักข่าวขนานนามว่า 'Five O'Clock Follies' ('เรื่องงี่เง่าตอนห้าโมง') ถนน Nguyen Hue เป็นถนนที่สวยงามที่สุดสายหนึ่งของเมือง น่าเสียดาย ขณะนี้ปิดทั้งเส้น ด้วยกำลังขุดวางรางรถไฟใต้ดินสายแรกของ Ho Chi Minh City ป้ายประกาศแสดงความร่วมมือกับ Japan Bank for International Cooperation ซึ่งร่วมลงทุนกว่าร้อยละ 80 เราจึงต้องลัดเลาะไปถนนย่อยอื่นๆ ระหว่างทางเจอร้านหนังสือ Artbook ร้านใหญ่ หนังสือน่าสนใจมากมาย แวะหาซื้อหนังสือ ก่อนเดินต่อจนถึงถนน Ton Duc Thang ถนนเลียบแม่น้ำ Saigon
    ยามเย็น แดดร่มลมตก นั่งเล่นผ่อนคลาย ริมแม่น้ำ พักใหญ่จึงเดินขึ้นเหนือไปตามถนน Ton Duc Thang ผ่านท้ายถนน Nguyen Hue ซึ่งปิดอยู่ เดินต่อไปอีกหนึ่งบล็อคถึงท้ายถนน Dong Khoi ฟ้าเริ่มมืด ร้านรวง ถนนหนทางเปิดไฟ บรรยากาศยามราตรียิ่งงดงาม
    แวะกินมื้อค่ำที่ร้าน Popeyes Burger เปลี่ยนจากอาหารพื้นเมืองที่กินมา 6 วัน อาหารที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องจ่ายแพงกว่าคนท้องถิ่น ไม่เลือกว่าเพิงริมทางหรือร้านอาหารชั้นดี มีเมนูแสดงราคาหรือไม่ ไม่ต่างกัน หากไม่รู้ภาษาเวียดนาม ก็ต้องจ่ายด้วยราคาตามเมนูภาษาอังกฤษ แต่สำหรับ Fast-food Chain ข้ามชาติแบบนี้มีข้อดีตรงที่ทุกคนจ่ายเท่ากัน ตามราคาที่แสดงบนผนังหลังเคาน์เตอร์ ไม่มี 'สองบัญชี'
    หลังอาหารค่ำ เราเดินเข้าท้ายถนน Dong Khoi ย้อนทางเพื่อชมถนนนี้ตลอดสาย ตรงมุมท้ายถนนฝั่งซ้ายเป็นโรงแรม Majestic เปิดเมื่อ 1925 ระเบียงด้านนอกห้องพักประดับด้วยราวเหล็กโค้งเป็นเอกลักษณ์ ตรงข้ามโรงแรม ฝั่งขวาถนน เป็นวุฒิศักดิ์คลินิก ทำเลเยี่ยม เราเดินต่อไปจนถึงจัตุรัส Lam Son (Lam Son Square)
    จัตุรัสนี้เป็นที่ตั้งของ Municipal Theatre ตึกเก่างดงาม ทางเข้าด้านหน้าเป็นโถงสูง ด้านบนโค้งครึ่งวงกลม ประดับปูนปั้นวิจิตร เดิมคือ Saigon Opera House เปิดเมื่อ 1 มกราคม 1900 บูรณะใหญ่ในโอกาสครบ 100 ปี ปัจจุบัน Municipal Theatre ขนาด 800 ที่นั่งนี้เป็นศูนย์ศิลปะการแสดง
    Municipal Theatre ขนาบข้างด้วยโรงแรม ข้างหนึ่งคือโรงแรม Continental (เปิด 1880) อีกข้างหนึ่งคือโรงแรม Caravelle (เปิด 1959) นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ Graham Greene และ Somerset Maugham ต่างเคยพักที่ Continental และใช้สถานที่นั้นเป็นฉากในนิยายของตน ส่วน Caravelle ถูกใช้เป็นสำนักข่าวของ CBS และ ABC ในระหว่างสงคราม
    ตึกทั้งสามที่ประกอบเป็นจัตุรัส Lam Son ยิ่งงดงามในแสงไฟยามราตรี เราเตร่อยู่พักใหญ่ก่อนเดินกลับที่พัก

วันนี้เดินสำรวจถนน Dong Khoi ได้ตลอดสาย จากหัวถนน ที่ตั้ง Notre Dame Cathedral จนถึงท้ายถนนที่บรรจบกับถนนริมแม่น้ำ Saigon
    ได้ชม Reunification Palace ทำเนียบที่ถูกหยุดไว้ในกาลเวลา เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเตือนใจถึงยุคสมัยที่ประเทศถูกแบ่งแยก ถูกปลุกปั่นความขัดแย้งโดยมหาอำนาจต่างชาติ
    Ho Chi Minh City มีต้นไม้สูงใหญ่เรียงรายสองฟากถนนโดยทั่วไป มีสวนสาธารณะแทรกตรงนั้น ตรงนี้ ไม้ดอกสีสันสวยงาม อย่างไรก็ตาม ในแม่น้ำกลับเต็มไปด้วยขยะ ชนิดจงใจทิ้งโดยไม่ยั้งคิด เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ฉงนว่า...คนรักต้นไม้แต่ไม่รักน้ำ...

ข้อมูลค้นจาก
    Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
    wikipedia.org
    wikitravel.org

    

    
    
  

   

February 20, 2015

Vietnam by Boat: Hue: 01.01.2015

ตื่นนอนเช้านี้ สดชื่น ไม่ปวดเมื่อย ไม่เดี้ยง อย่างที่หวั่นเกรง หลังขี่จักรยานเที่ยวเมื่อวานทั้งวัน
หลังอาหารเช้า check-out ฝากสัมภาระไว้ วันนี้มีเวลาเต็มวันสำหรับ Hue ค่ำจึงบินไป Ho Chi Minh City
พนักงานสาวถามว่าวันนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหน ไปอย่างไร เราตั้งใจนั่งแท็กซี่ไป Thien Mu และ Citadel ฝั่งเหนือของแม่น้ำ เธอเสนอว่าน่าจะไปทางเรือ ทวนแม่น้ำ Huong ไป Thien Mu ก่อน แล้วล่องมา Citadel จาก Citadel เดินกลับมาโรงแรมได้ ค่าเรือเหมาไม่ต่างจากแท็กซี่ แต่ได้ประสบการณ์ต่างไป

11.00 น. คนเรือหญิงมารับตามนัด เดินจากที่พักไปไม่ไกลก็ถึงที่เรือจอดรออยู่
เรือเป็นบ้าน คนขับคือพ่อ คนที่มารับเราคือแม่ ลูกชาย 2 คน คนโต 3 ขวบ คนเล็กขวบเดียว อาศัยอยู่ในบ้านเรือ บรรยากาศน่ารัก เรือค่อยๆ แล่นทวนน้ำขึ้นไป ลมโกรก เย็นสบาย ในแม่น้ำมีเรือแล่นขวักไขว่ เป็นโอกาสดีที่เห็นทิวทัศน์เมืองจากแม่น้ำ เด็ก 2 คนเล่นกัน ไม่งอแง ไม่ร้องไห้เลย พอคนเล็กง่วงจะนอน แม่ก็เอาลงเปลผ้าที่ผูกไว้ เปลแกว่งตามจังหวะเรือที่แล่นไปในน้ำ ชีวิตเรียบง่ายจริงๆ เรือลอดสะพาน 3 แห่ง สะพาน Trang Tien สะพาน Phu Xuan และสะพานคู่ Da Vien (สะพานรถ) กับ Bach Ho (สะพานรถไฟ) ถึงท่าเรือวัด Thien Mu ตอนเที่ยง

วัด Thien Mu ('สตรีจากสวรรค์')
    จากถนนริมแม่น้ำ Huong หน้าวัด เดินขึ้นบันไดสูงไปยังเสาเหลี่ยม 4 ต้น จารึกอักษรจีน เป็นคำสรรเสริญพระพุทธศาสนาและวัด
    เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมเจ็ดชั้น ชื่อ Phuoc Duyen ('แหล่งกำเนิดความสุข') สูง 21 เมตร ตั้งอยู่บนลานด้านหน้าของวัด งามโดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง Hue แผ่นหินด้านขวาบันทึกรายละเอียดการสร้างเจดีย์เมื่อปี 1844 แผ่นหินด้านซ้ายจารึกบทกวีของจักรพรรดิ์ Thieu Tri
    ปี 1710 Nguyen Phuc Chu ให้หล่อระฆังสำริดขนาด 2.50 เมตร ตั้งในศาลาหกเหลี่ยม ด้านซ้ายของเจดีย์ ต่อมาในปี 1715 เขาให้แกะสลักหินอ่อนรูปเต่าแบกแผ่นหินจารึกบทเพลงสรรเสริญพระพุทธศาสนา ตั้งในศาลาด้านขวาของเจดีย์
    จากลานด้านหน้าผ่านประตูที่มี 3 ช่องเข้าสู่ลานด้านใน ภายในอาคารประดิษฐานพระพุทธรูปสำริด ปางต่างๆ จำนวนมาก
    ในห้องขนาดย่อมห้องหนึ่ง ด้านหน้าเขตสังฆาวาส มีรถสีฟ้าสดใส ยี่ห้อ Austin รุ่น Westminster จอดอยู่ รถคันนี้นำพระภิกษุ Thich Quang Duc แห่งวัด Thien Mu ไปนั่งสมาธิ จุดไฟเผาตัว กลางสี่แยกในกรุง Saigon เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 1963 ประท้วงนโยบายศาสนาของรัฐบาล Ngo Dinh Diem ภาพพระภิกษุ Thich Quang Duc สงบนิ่งในไฟลุกโชนปรากฏเป็นข่าวไปทั่วโลกในวันถัดมา
    ด้านหลังของวัดอยู่บนเนิน รอบๆ เป็นป่าไม้เขียวขจี สงบสันติ
    วัด Thien Mu มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ลักษณะเป็นสวนป่า การเดินชมจึงผ่อนคลายยิ่ง แม้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากก็ตาม

ลงเรือแล่นย้อนกลับเมือง ขากลับล่องตามน้ำจึงเร็วกว่าขาไป ราว 40 นาทีก็ถึง Citadel เรือหันหัวเข้าหาตลิ่งดินที่มีหญ้าปกคลุม เราขึ้นฝั่งได้โดยง่าย เรือถอยออก แล่นต่อไปยังที่จอดบ้านเรือ เป็นอันหมดภารกิจของเขา
บริเวณที่ขึ้นฝั่งนี้ เป็นสวนสาธารณะริมน้ำ ตกแต่งไว้พองาม มีบ่อน้ำพุขนาดย่อม ถัดมามีศาลาท่าเรือโบราณที่กำลังบูรณะอยู่ ผู้คนใช้พื้นที่สวนทำกิจกรรมหลากหลาย หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเต้น breakdance กันสนุกสนาน กลุ่มผู้ใหญ่เล่นเปตองกันจริงจัง เราเดินออกมาริมถนน Le Duan ทางเท้ากว้างขวาง พื้นอัดแน่น ปูแผ่นอิฐเรียบ แข็งแรง มองเห็นป้อมธง (Flag Tower) ขนาดใหญ่ตรงด้านหน้าของ Citadel อยู่ไกลออกไป จากถนน Le Duan เลี้ยวซ้ายเข้าสะพานข้ามคูเมือง คูเมืองกว้างราว 50 เมตร อยู่ล้อมรอบนอกกำแพง Citadel สุดสะพานผ่านประตู Ngan เข้าไปภายในเขตกำแพง Citadel

The Citadel
    ป้อมปราการใหญ่นี้ปกป้อง Imperial City และ Forbidden Purple City ไว้ภายใน เป็นศูนย์รวมอำนาจปกครองและเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์ Nguyen ตั้งแต่องค์แรกคือจักรพรรดิ์ Gia Long เมื่อปี 1802 จนถึงองค์สุดท้ายคือจักรพรรดิ์ Bao Dai ที่จำต้องสละราชสมบัติเมื่อปี 1945
    Citadel ครอบคลุมพื้นที่ 4 ตารางกิโลเมตร กำแพงสูง 6.50 เมตร ด้านหน้ามีป้อมธงสูงใหญ่น่าเกรงขามตั้งเด่นริมแม่น้ำ Huong สร้างตามแบบของ Sebastien de Vauban สถาปนิกทหารชาวฝรั่งเศสยุคศตวรรษที่ 17 รอบนอกกำแพงเป็นคูเมืองลึก 4 เมตร กว้าง 40-50 เมตร Citadel แม้ดูแข็งแกร่งยากที่ข้าศึกจะทะลวงผ่านได้ แต่อันที่จริงแบบแผนนี้ล้าหลังกว่ายุทธวิธีทางทหารตั้งแต่ตอนสร้างแล้ว อย่างไรก็ตาม ระหว่างการลุกฮือเปิดแนวรบทั่วประเทศที่เรียก 'Tet Offensive' ปี 1968 กองกำลังฝ่ายเวียดนามเหนือและ Viet Cong สามารถยึดพื้นที่ภายใน Citadel นาน 25 วัน ในการรบดุเดือดกับนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา ร่องรอยของสงครามยังปรากฏให้เห็น แม้ซากปรักจะถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว และ UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1992
    Imperial City อยู่ภายในกำแพงและคูชั้นที่สอง ผังตามแบบ Forbidden City ที่ปักกิ่ง ทางเข้าผ่านประตู Ngo Mon (Noon Gate) สร้างเมื่อ 1833 โดยจักรพรรดิ์ Minh Mang ประตูกว้าง 57 เมตร ลึก 4.50 เมตร สูง 2 ชั้น ช่องตรงกลางเป็นทางสำหรับจักรพรรดิ์เท่านั้น ชั้นบน เป็น Belvedere of Five Phoenixes ที่ซึ่งจักรพรรดิ์ประทับชมรัฐพิธี ประตู Ngo Mon กำลังบูรณะ ไม่เปิดให้ชมชั้นบน
    ข้ามสะพาน Trung Dao ผ่านทะเลสาบ Thai Dich เข้าสู่ลานพิธี อันเป็นที่ตั้งแถวเหล่าขุนนาง เบื้องหน้า Thai Hoa Palace (Palace of Supreme Harmony) ซึ่งเป็นที่จักรพรรดิ์ประทับบัลลังก์ในพิธีต่างๆ Thai Hoa Palace มีเสาสีแดงเคลือบเงางดงาม บัลลังก์ที่ประทับยังคงตั้งอยู่
    ด้านหลัง Thai Hoa Palace เป็นที่โล่งโจ้งกว่า 50 ไร่ มีเพียงพื้นดินแซมหญ้า บนที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของอาคารต่างๆ ใน Imperial City ตลอดจน Forbidden Purple City พระราชฐานฝ่ายในทั้งหมด โครงสร้างเหล่านี้ถูกทำลายลงหมดสิ้นไม่หลงเหลือแม้ซากให้เห็น จากการทิ้งระเบิดอย่างหนักของเครื่องบินรบสหรัฐอเมริการะหว่าง Tet Offensive เมื่อปี 1968
    ถนนทางซ้ายด้านหลัง Thai Hoa Palace ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ นำสู่ประตู Chuong Duc ก่อนถึงประตู มีวัด The Mieu สร้างโดยจักรพรรดิ์ Minh Mang เมื่อ 1821 เพื่อบูชาจักรพรรดิ์ Gia Long พระบิดา ภายในตกแต่งด้วยเสาสีแดงและงานแกะสลักไม้งดงาม
    ภายนอกกำแพง Imperial City ด้านตะวันออกตรงข้ามประตู Hien Nhon เป็น Museum of Royal Fine Arts จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้หลากหลายของจักรพรรดิ์ ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ทำด้วยไม้หลังใหญ่ เก่าแก่ งดงาม สนามหญ้าและสวนภายนอกร่มรื่น เดินชมจนพิพิธภัณฑ์ปิด 17.30 น.
    ออกจาก Museum of Royal Fine Arts นั่งแท็กซี่กลับที่พัก

19.00 น. รถที่ว่าจ้างให้ไปส่งที่สนามบินมารับตามนัด รถ van คันใหญ่มาก พาเรา 2 คนไปยังสนามบิน Hue
21.15 น. เครื่องบินออก ใช้เวลาบิน 1.20 ชั่วโมง ถึง Ho Chi Minh City
ที่สนามบิน Tan Son Nhat เรียกแท็กซี่สีขาว Vinasun ไปยังโรงแรมที่พัก

วันนี้มีโอกาสดีได้นั่งเรือที่เป็นบ้านล่องแม่น้ำ Huong เห็นวิถีชาวเรือที่เรียบง่าย
    ได้ชมวัด Thien Mu เจดีย์แปดเหลี่ยมเจ็ดชั้นอันเป็นสัญลักษณ์ของเมือง Hue ได้เห็นรถ Austin สีฟ้าคันสำคัญในประวัติศาสตร์
    ได้ชม Citadel ได้เห็นวิญญาณของ Imperial City และ Forbidden Purple City ซึ่งเคยรุ่งเรือง อายุเกือบ 150 ปี กลับกลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าอย่างน่าเสียดายและน่าหดหู่

ข้อมูลค้นจาก
    Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
    wikipedia.org
    wikitravel.org

February 11, 2015

Vietnam by Bike: Hue: 31.12.2014

Hue เมืองหลวงแต่ครั้งจักรพรรดิ์ปกครอง ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมแบบเดิมยังคงเก็บรักษาไว้อย่างงาม แม่น้ำ Huong ไหลผ่านกลางเมือง ฝั่งเหนือของแม่น้ำ จักรพรรดิ์ Nguyen ประทับอยู่ ณ The Forbidden Purple City ภายในเขตกำแพง Imperial City ประกอบด้วยอาคารและโครงสร้างสำคัญ อาทิ Palace of Supreme Harmony, Noon Gate, Mieu Temple โบราณสถานเหล่านี้รอดพ้นการทำลายระหว่างสงครามอินโดจีนกับฝรั่งเศส แต่เสียหายมากระหว่างสงครามเวียดนามกับสหรัฐอเมริกา Imperial City อยู่ภายในกำแพงอีกชั้นของ The Citadel ซึ่งรวมพื้นที่โดยรอบเข้าไว้ด้วย ได้แก่ ถนน สวน พิพิธภัณฑ์ ตลาด ร้านอาหาร เป็นต้น
     ฝั่งใต้ของแม่น้ำ พวกฝรั่งเศสสร้างบ้านเมืองแบบยุโรป ทั้งอาคารงดงามสไตล์ art deco วิลล่า โบสถ์ ศาลาว่าการ มีสะพานข้ามแม่น้ำ 3 แห่ง มุมมองจากสะพานแลเห็นทิวเขางดงามยามอาทิตย์อัสดง
     จาก The Citadel ทวนสายน้ำขึ้นไป เจดีย์ใหญ่วัด Thien Mu ตั้งโดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำ Huong เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง Hue
     ทางทิศใต้ ถนน Dien Bien Phu นำออกนอกเมืองสู่ปริมณฑลที่เป็นเนินเขางดงาม สุสานจักรพรรดิ์กระจายครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวาง

อาหารเช้าของโรงแรมอร่อยและหลากหลายกว่า 2 เมืองที่ผ่านมา
บรรยากาศเมืองเก่า วิถีที่ไม่เร่งรีบเหมือนเมืองใหญ่ ชวนให้เช่าจักรยานขี่เที่ยววันนี้
ออกจากโรงแรมไปตามถนน Le Loi รถราขวักไขว่ไม่น้อย ทั้งจักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถบรรทุก ตอนนั่งรถแท็กซี่ รถเมล์ ผมคิดสงสัยว่าทำไมคนขับบีบแตรอยู่เรื่อย พอขี่จักรยานเองจึงเข้าใจและขอบคุณที่รถใหญ่บีบแตรเตือนรถเล็ก ไม่คุกคาม รถวิ่งไม่เร็วและอะลุ้มอล่วยแบ่งทางกัน อย่างไรก็ตาม จักรยานก็ต้องรักษาเส้นทางของตนให้ปลอดภัยเช่นกัน
     ฝรั่งเศสยึด Hue ในปี 1885 โดยไม่แตะต้อง The Imperial City แต่ยึดครองฝั่งใต้ของแม่น้ำ ปรับปรุงถนนเลียบแม่น้ำที่จักรพรรดิ์ Gia Long สร้างไว้ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1800 ตั้งชื่อถนนใหม่ตามชื่อนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส Jules Ferry ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Le Loi ถนนสายงามร่มรื่นด้วยต้นมะขามเรียงรายทั้งสองฟาก กิ่งก้านแผ่ปกคลุมจนถนนดูคล้ายอุโมงค์ Le Loi ทอดยาวไปจนถึงสถานีรถไฟ Hue

ผ่านหมู่ตึกสีเหลืองฝั่งริมน้ำ ตึกสวยชวนให้แวะเข้าไป ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตรงจุดตรวจภายในรั้ว เขาเชิญให้เดินชมได้ตามอัธยาศัย ไม่เสียค่าเข้าชม หนึ่งในหมู่ตึกเป็น Phong Trung Bay Gallery ซึ่งเจ้าหน้าที่สตรีรีบเดินมาเปิดให้เราเข้าไป ภายในจัดแสดงภาพการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมือง Hue ในสงครามเวียดนาม ประวัติศาสตร์การรบที่นี่หนักหนาสาหัส ผู้คนล้มตายไม่ใช่น้อย ธงแดงดาวเหลืองแต่คราวนั้นจัดแสดงในตู้กระจก อาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วนตั้งแสดงอยู่อีกด้าน เมื่อเรากลับออกมา เขาก็ปิดล็อคประตูไว้อย่างเดิม ขอบคุณเขาอย่างยิ่งที่กรุณาเปิดให้เราชมเป็นการส่วนตัว

เยื้องกับสะพาน Phu Xuan ตรงข้ามถนน เป็นที่ตั้งโรงพยาบาล Hue's General Hospital สร้างเมื่อ 1968 ภายหลังการรบในปีนั้น ถัดไปเป็น People's Committee Building เราขี่รถต่อไปจอดที่หน้าโรงเรียน Quoc Hoc High School วันนี้เป็นวันสิ้นปี โรงเรียนหยุด ยามอนุญาตให้เข้าไปได้
     โรงเรียนนี้ก่อตั้งเมื่อปี 1896 สมัยจักรพรรดิ์ Thanh Thai ครูใหญ่คนแรกคือ Ngo Dinh Kha บิดาของ Ngo Dinh Diem ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ อาคารเรียนสองชั้น สีแดง raspberry เรียงรอบ 3 ด้านของสนามหญ้าใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ให้เงาร่มรื่น สุดถนนหลักทางเข้าจากหน้าโรงเรียน ก่อนถึงสนามหญ้าใหญ่ มีรูปปั้นเต็มตัวนักเรียนหนุ่ม Nguyen Tat Thanh ยืนเด่นอยู่ตรงกลาง เขาเข้าเรียนที่นี่เมื่อปี 1907 หลายปีต่อมา Nguyen Tat Thanh คือผู้นำยิ่งใหญ่นาม Ho Chi Minh (1890-1969) ประธานาธิบดีเวียดนามเหนือ ศิษย์เก่าสำคัญอีก 2 คนคือ Pham Van Dong (1906-2000) นายกรัฐมนตรีเวียดนามเหนือ (1955-1976) และนายกรัฐมนตรีเวียดนามหลังการรวมประเทศ (1976-1987) และ Vo Nguyen Giap (1911-2013) นายพล ผู้บัญชาการทหารคนสำคัญในสงครามอินโดจีนกับฝรั่งเศส (1946-1954) และสงครามเวียดนามกับสหรัฐอเมริกา (1960-1975) อีกทั้งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล Ho Chi Minh ด้วย
     เราเดินเล่น นั่งเล่นอยู่พักใหญ่ ในโรงเรียนที่มีพื้นที่กว้างขวาง ร่มรื่น บรรยากาศสงบ โรงเรียนที่สร้างผู้นำแข็งแกร่ง ยึดมั่นอุดมการณ์ ปลดแอกอาณานิคม เอาชนะผู้รุกรานต่างชาติ และรวมประเทศเป็นหนึ่งได้ในที่สุด

ตรงข้ามประตูโรงเรียนเป็น Imperial Monument ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ สร้างขึ้นเมื่อปี 1920 เป็นอนุสรณสถานแก่ทหารฝรั่งเศสและทหารเวียดนามที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ขี่รถต่อไปถึงสถานีรถไฟ เลี้ยวซ้ายลงใต้เข้าถนน Dien Bien Phu แวะกินอาหารริมทางที่ร้านตรงหัวถนนก่อน เพราะจากนี้ต้องขี่รถทางไกลไปสุสานจักรพรรดิ์นอกเมือง
     ถนน Dien Bien Phu กำลังขุดซ่อมตลอดเส้น รถยนต์จึงหลบไปทางอื่น แม้ไม่ต้องระวังรถใหญ่แต่ทางขรุขระทอนแรงไปไม่น้อย ขี่ไปสักพักเห็นเจดีย์ใหญ่ทรงซ้อนหลายชั้น สวยงาม อยู่แยกไปถนนข้างๆ เราแวะเข้าไปชม วัดสงบ ร่มเย็น นั่งพักหายเหนื่อยจึงกลับเข้าถนน Dien Bien Phu
     สุดถนนก่อนออกนอกเมือง มีสวนป่าสนสองใบ พื้นที่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างขวางสุดสายตา มีกำแพงล้อมรอบ ดูน่าสนใจ แวะเข้าไป เจ้าหน้าที่ตรงป้อมภายในอนุญาตให้เดินชมได้ตามอัธยาศัย ถัดเข้าไปมีลานโล่งใหญ่รูปวงกลม ยกสูงจากพื้นหลายขั้นบันได มีรั้วปูนโปร่งสูง 60 ซม. กั้นเป็นขอบรอบ ตรงกลางลาน มีกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว นัยว่าเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา น่านิยมที่มีสวนป่าสนกว้างขวางอยู่ใกล้เมืองเช่นนี้
     สุดถนน Dien Bien Phu เข้าถนน Minh Mang ผ่านภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาขึ้นๆ ลงๆ ส่วนใหญ่ทางลาดลงต่อเนื่องยาวหลายกิโลเมตร ให้หวาดหวั่นว่าขากลับคงปั่นขึ้นไม่ไหว
     เราถึงสุสานจักรพรรดิ์ Khai Dinh ราว 14.00 น. รถทัวร์หลายคัน และรถยนต์จำนวนมากจอดเรียงราย นักท่องเที่ยวคราคร่ำ

สุสานจักรพรรดิ์ Khai Dinh (ครองราชย์ 1916-1925)
     สุสานตั้งชิดริมผาชัน ประกอบด้วยซีเมนต์ คอนกรีต หินอ่อน ปราศจากต้นไม้ และน้ำ ดูแห้งแล้งขัดแย้งกับคติ 'ฮวงจุ้ย' ลานด้านนอกประดับด้วยศิลาแกะรูปขุนนาง รูปช้าง ม้า เข้าแถวรับเสด็จจักรพรรดิ์ผู้ล่วงลับ ภายใน Thien Dinh Palace ผนังประดับกระเบื้องเคลือบและกระจก ฉูดฉาด อลังการ แผงแห่งฤดูกาลเป็นภาพไผ่แทนฤดูหนาว ดอกท้อบานแทนฤดูใบไม้ผลิ ดอกลิลลี่แทนฤดูร้อน และดอกเบญจมาศแทนฤดูใบไม้ร่วง ส่วนแผงใต้เพดานเป็นภาพสิ่งมีค่าแปดอย่าง อาทิ ม้วนหนังสือ พิณ น้ำเต้า รวมทั้งของสมัยใหม่ เช่น ไม้เทนนิส นาฬิกาปลุก อันแสดงถึงความนิยมชมชอบวิถีตะวันตกของจักรพรรดิ์ Khai Dinh ที่ฝังพระศพอยู่ลึกลงไป 9 เมตร ใต้พระแท่นที่มีรูปปั้นของพระองค์ ภายในโถงใหญ่ ประดับภาพมังกรและหมู่เมฆ
   
15.00 น. แล้ว สุสานจักรพรรดิ์ Minh Mang สุสานสำคัญที่ตั้งใจไปชม อยู่ไกลออกไปอีก 5 กม. หากรวมกับที่ผ่านมา 10 กม. ขากลับต้องขี่จักรยานถึง 15 กม. แถมทางเป็นเนินขึ้นเสียมากและคงมืดก่อนจะถึงตัวเมือง สองจิตสองใจจะไปต่อหรือกลับเสียตั้งแต่ตอนนี้ ปรึกษากันแล้วตกลงไปต่อด้วยเราต่างอยากเห็นสุสาน Minh Mang เรื่องอื่นไว้แก้ปัญหาทีหลัง...
     จากสุสาน Khai Dinh ขี่จักรยานไปตามทางมุ่งสู่ตะวันตกเฉียงใต้ จากทางเล็กต้องเข้าสู่ทางหลวงหลักเพื่อข้ามแม่น้ำ Huong แสงทองยามเย็นฉาบท้องฟ้าและสะท้อนผิวน้ำงดงาม เราจอดรถกลางสะพาน อ้อยอิ่งชื่นชมภาพธรรมชาติพักใหญ่ จากทางหลวงหลักหลังข้ามสะพานไปสักพัก แยกออกทางเล็ก ไม่ปรากฏป้ายบอกทางสุสาน Minh Mang เลย ผ่านไป 5 กม. น่าจะใกล้ถึงแล้ว เราจอดแวะถามชาวบ้าน เธอชี้ให้ไปต่อ ขณะนั้นมีเด็กหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์ตามเข้ามาจอด บอกเราว่าเราเลยทางเข้าสุสานไปแล้ว ควรจะเชื่อใครดี บอกเด็กหนุ่มให้แน่ใจว่าเราจะไปสุสาน มิใช่ไปซื้อของหรือไปพักโรงแรม เขายืนยันว่าเป็นทางเข้าสุสาน เราจึงย้อนกลับ ตามเขาไป...
     'ทางเข้าสุสาน' ที่เขาอุตส่าห์ขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาเรียกเราเป็นที่ส่วนตัว มองไม่เห็นวี่แววของสุสาน เขาเปิดเป็นที่ขายน้ำ ขายขนม ชายวัยกลางคนเชื้อเชิญให้พักดื่มน้ำเย็นก่อน ส่วนทางไปสุสานต้องเดินไปตามทางเล็กๆ รกๆ เลียบคูน้ำไปราว 300 เมตร ทางเลาะด้านนอกกำแพงสุสาน ตีโค้งไปราวหนึ่งด้านครึ่ง จึงถึงทางเข้าสุสาน เวลานั้นราว 16.00 น. มุมแดดกำลังงาม นักท่องเที่ยวมีไม่มาก เป็นชาวฝรั่งเศส 4-5 คน ต่างเดินชม คุยกันเสียงเบาๆ เป็นบรรยากาศที่พึงประสงค์ยิ่ง

สุสานจักรพรรดิ์ Minh Mang (ครองราชย์ 1820-1841)
     สุสานตั้งอยู่ภายในกำแพงสูง 3 เมตร กำแพงยาวเกือบ 2 กม. ครอบคลุมพื้นที่สวน ทะเลสาบ หลายสิบไร่ อาคารทั้งหมดจัดวางตามแนวตะวันออก-ตะวันตก ขนาบด้วยทะเลสาบ Trung Minh จากประตูทางเข้า Dai Hong Mon (Great Red Gate) ซึ่งถูกปิดตายหลังพระศพผ่าน วิญญาณของจักรพรรดิ์ Minh Mang ผ่าน Court of Honor ขึ้นไปยัง Stela Pavilion ผ่านออกสู่ลานโล่งสูงขึ้นไปทีละระดับอีก 3 ระดับ ผ่านประตู Hien Duc เข้าวิหาร Dien Sung An (Temple of Infinite Grace) อันเป็นที่เก็บสมบัติล้ำค่าส่วนพระองค์ ข้ามสะพาน Trung Dao ขึ้นไปบน Minh Lau Pavilion (Pavilion of Light) ผ่านลงมาอีกด้าน ข้ามสะพาน Thong Minh Chinh Truc ที่ทอดข้ามทะเลสาบ Ton Nguyet เข้าสู่เนินฝังพระศพ ที่มีกำแพงล้อม และประตูถูกปิดตาย ระยะทางจากประตู Dai Hong Mon ถึงเนินฝังพระศพ 700 เมตร
     ปี 1885 ทหารฝรั่งเศสบุกสุสาน Minh Mang และสุสานอื่นๆ ปล้นสะดมสมบัติต่างๆ ไป ปัจจุบันจึงไม่เหลือสมบัติส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ์ Minh Mang ในวิหาร Dien Sung An ให้เห็น

การวางผัง การจัดองค์ประกอบ สวน ทะเลสาบ สะพาน ลาน พลับพลา เป็นระเบียบงดงาม โครงสร้างต่างๆ ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ รู้สึกยินดีที่ตัดสินใจขี่จักรยานต่อมา 5 กม. เพื่อชมสุสานเก่าอายุกว่า 170 ปี ที่สวยงามแห่งนี้

17.30 น. เราเดินย้อนกลับทางเดิมเลียบกำแพงสุสานไปยังร้านขายน้ำดื่มที่ฝากรถจักรยานไว้ ชายวัยกลางคนไม่อยู่แล้ว เหลือแต่หนุ่มสาว 4-5 คน เราเจรจาขอให้เขาช่วยโทรเรียกแท็กซี่ขนาดใหญ่เพื่อบรรทุกจักรยานและพาเรากลับที่พัก ด้วยระยะทางขากลับ 15 กม. ทางขึ้นเนินเป็นส่วนใหญ่ และฟ้าเริ่มมืด เราขี่จักรยานไปไม่ไหวแน่ พวกเขาบอกว่าไม่รู้จะเรียกแท็กซี่อย่างไร และแท็กซี่ก็ไม่น่าจะขนเอาจักรยาน 2 คันเข้าไปได้ พวกเขาเสนอให้เอาจักรยาน 2 คันหงายขึ้นวางบนเบาะหลังมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง หนุ่มคนซ้อนท้ายจับยึดพยุงจักรยานทั้งสองไป ส่วนเรา 2 คนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่ง พวกเขายืนยันว่าสามารถไปได้โดยปลอดภัย เพียงแต่ส่งได้แค่ถนน Dien Bien Phu เพราะถ้าเลยเข้าเมือง มอเตอร์ไซค์คันที่ขนจักรยานในลักษณะหมิ่นเหม่แบบนั้นจะถูกตำรวจจับ หากตกลงเราจะย่นระยะทางไปได้ 10 กม. เหลือขี่ต่อถนนในเมืองเพียง 5 กม. เราไม่มีทางเลือก ต่อรองราคาค่าบริการ และตกลงตามข้อเสนอ
     เรา 2 คนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันแรกนำไป คันที่สองขนจักรยาน หนุ่มคนซ้อนท้ายยึดจักรยานทั้งสองคันมั่นคง คนขับมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันระมัดระวัง ไม่มีอาการคึกคะนอง ผมรู้สึกผ่อนคลาย รถวิ่งไป ลมเย็นสบาย ครู่เดียวฟ้ามืดสนิท หากต้องขี่จักรยานเองตลอดทางขากลับคงแย่ ราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงถนน Dien Bien Phu มอเตอร์ไซค์จอดที่หน้าสวนป่าสนสองใบที่เราแวะเมื่อตอนบ่าย เอาจักรยานลงเรียบร้อยปลอดภัยทุกคน ขอบคุณหนุ่มทั้ง 3 คน และถ่ายรูปหมู่พวกเขาไว้เป็นที่ระลึกว่า 'ทุกอย่างเป็นไปได้ในจินตนาการของคนหนุ่มสาว'
     เราขี่จักรยานต่ออีก 5 กม. กลับที่พัก

ขี่จักรยานเที่ยววันนี้ ได้ประสบการณ์และมีโอกาสดีหลายประการ
     ได้ค่อยๆ สำรวจ เยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ที่สงบ สวยงาม สองข้างถนน Le Loi เฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียน Quoc Hoc High School
     ได้เยือนสุสานจักรพรรดิ์ Minh Mang ที่องค์ประกอบและการวางผังสมบูรณ์ยิ่ง เป็นสุสานเดียวที่ตั้งใจจะมาชม การแวะเข้าสุสานจักรพรรดิ์ Khai Dinh ซึ่งถึงก่อน ถือเป็นโบนัส
     ได้ขี่จักรยานรวม 20 กม. เป็นระยะทางไกลที่สุด เท่าที่เคยขี่มา รู้สึกดีที่ทำสำเร็จแม้ในวัยเกษียณ

ข้อมูลค้นจาก
     Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
     wikipedia.org
     wikitravel.org

February 3, 2015

Vietnam on Foot: Hoi An - Hue: 30.12.2014

ตื่นเช้า อากาศเย็นสบาย
9.00 น. หลังอาหารเช้า เดินไป Old Town นักท่องเที่ยวยังมาไม่ถึง บ้านเรือน ถนนหนทาง มีชีวิตปกติอย่างที่ควร
เดินข้ามสะพานญี่ปุ่น มีเวลาพินิจรายละเอียดที่งดงามของสะพาน ฝั่งตะวันตกร้านค้าเริ่มเปิดรอนักท่องเที่ยว ถนน Nguyen Thi Minh Khai โล่ง คุณยายเข็นรถให้หลานตัวน้อยนั่งไปช้าๆ สุนัขเดินเล่นบนถนน ผู้คนส่งเสียงคุยทักทายกัน บ้างล้อมวงดื่มกาแฟตรงหน้าบ้าน แสงแดดอ่อนยามเช้าให้แสงนุ่มนวล บรรยากาศผ่อนคลาย ปลอดนักท่องเที่ยว เหมาะแก่การถ่ายรูป

Phung Hung House (4 Nguyen Thi Minh Khai) ใช้บัตรชุดใบสุดท้ายที่นี่
    สร้างเมื่อปี 1780 ระเบียงชั้นบนเป็นแบบจีน โครงสร้างหลังคาแบบญี่ปุ่น โถงแบบเวียดนาม บ้านหลังนี้เป็นของตระกูลเวียดนามตกทอดมา 8 รุ่น เสาและกำแพงปูนมีรอยระดับน้ำท่วม 1.50 เมตรเมื่อปี 1999 และ 2.50 เมตรเมื่อปี 1964
    สถาปัตยกรรมและการตกแต่งน่าสนใจ น่าเสียดาย บ้านเปิดให้ชมเฉพาะโถงใหญ่ด้านหน้าและชั้นสอง

เดินเล่นไปตามถนนอีกพักหนึ่ง แวะชิม Cao Lau จากหาบข้างทางซึ่งยังปลอดผู้คน กลับเข้าที่พัก check-out
11.00 น. รถเช่าเหมากลับ Da Nang มารับตรงตามเวลานัด
12.00 น. ถึง Marble Mountains อยู่ห่าง 8 กม. ทางใต้ของ Da Nang

Marble Mountains (Ngu Hanh Son)
    กลุ่มเขาหินปูนและหินอ่อนประกอบด้วย 5 เขาหลัก มีชื่อเสียงในด้านความงามทางธรรมชาติของภูเขา ถ้ำ ตลอดจนสิ่งก่อสร้าง อาทิ เจดีย์ และวัด ระหว่างสงครามเวียดนาม บริเวณนี้เป็นที่มั่นสำคัญของ Viet Cong จากยอดเขามองเห็นชายหาดยาวที่สมัยนั้นทหารอเมริกันตั้งชื่อว่า 'China Beach' อันเป็น R&R (Rest & Recuperation) center ซึ่งนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาสร้างขึ้น น่ายินดีที่ปัจจุบันไม่มีร่องรอยของ R&R center ดังกล่าวหลงเหลืออยู่ ชายหาดขาวยาว 30 กม. จึงงดงามยิ่ง
    บริเวณตีนเขาเป็นหมู่บ้านเก่าแก่อายุ 500 ปี ชื่อ 'Lang Da' แปลว่า 'หมู่บ้านหิน' ชาวบ้านมีฝีมือเป็นช่างแกะสลักหินอ่อน
    เรามีเวลาเพียง 1 ชั่วโมง จึงขึ้นลิฟท์จากเชิงเขาขึ้นไป เขาสวยงาม เส้นทางเดินชมมากมาย ใหญ่โต เราวางแผนเดินเพียงหนึ่งส่วนเล็กๆ
    Xa Loi Tower หอ 7 ชั้น สูงเด่น งดงาม
    Tang Chon Cave บันไดหินสูงพาสู่ทางเดินไปยังถ้ำ ลึกเข้าไปในถ้ำ ทางแคบลงเหลือเพียงช่อง ลอดได้ทีละคน ผ่านเข้ายังโถงกว้าง ประดับด้วยหินงอกหินย้อย แสงแดดส่องเป็นลำจากช่องเปิดบนเพดานถ้ำ ขับให้โถงนั้นงามยิ่ง
    Linh Ung Pagoda อยู่ใกล้ทางเดินลงเขา อาคารตกแต่งลวดลายวิจิตร ด้านข้างมีพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ แกะด้วยหินอ่อน สีขาวเด่นตัดกับผนังหินสีเทาเข้มด้านหลัง

เดินลงจากเขาถึงที่จอดรถ 13.00 น.
รถวิ่งต่อยัง Da Nang ไปตามถนนเลียบชายหาด วันนี้แดดส่องจ้า ฟ้าโปร่ง ไม่มีฝน หาดทรายขาวงดงาม ลมทะเลพัดแรง คลื่นซัดแรง ชายหาดคึกคัก ต่างจากสองวันก่อน
รถส่งเราที่สถานีรถไฟ Da Nang 13.30 น.

รถไฟออกจาก Da Nang ตรงเวลา 14.13 น. ขบวนนี้เป็น Reunification Express วิ่งยาวจาก Ho Chi Minh City ไป Hanoi ระยะทาง 1,726 กม.
ทางรถไฟช่วง Da Nang - Hue เลียบทะเลจีนใต้ ชายฝั่งเป็นเขาสูงชัน คลื่นแรงจากทะเลซัดเข้าฝั่งซึ่งเป็นโขดหินมากกว่าทราย แตกฟองขาวเป็นระลอกไม่ขาดสาย อยู่ลึกลงไปจากทางรถไฟ ทางสายนี้ได้ชื่อว่างดงามที่สุด เริ่มจาก Bay of Da Nang ต่อไปยัง An Cu Lagoon และ Cau Hai Lagoon
รถไฟถึงสถานี Hue 16.40 น. ตรงเวลา
กลิ่นอายของเมืองเก่ารู้สึกได้ตั้งแต่ที่สถานีรถไฟ สถานี Hue อิฐสีแดง raspberry เปิดเมื่อ 1906 เราลงจากรถยืนรอตรงชานชาลา แดดยามเย็นฉายทำมุมเข้ามา เกิดเงาที่สวยงาม ผู้โดยสารลงจากรถและออกจากสถานีไปจนหมด ชานชาลาโล่ง รถไฟค่อยๆ เคลื่อนออกไป เป็นภาพงดงามให้บันทึกไว้

ออกจากสถานี คนขับรถแท็กซี่เข้ามาอาสาพาไปที่พัก เสนอราคาที่เราไม่คิดจะต่อรองด้วย ฝั่งตรงข้ามมีรถแท็กซี่สีเขียวของ Mai Linh จอดอยู่ พอเราขยับข้ามไป เขารีบบอกว่าใช้มิเตอร์ก็ได้ แน่นอนว่ามิเตอร์ของเขาคงไม่ธรรมดา เราขึ้นรถ Mai Linh ที่ขยับออกมารับ
    รถแล่นไปตามถนน Le Loi เลียบแม่น้ำ Huong ผ่าน Imperial Monument บ้านเมืองเก่า ถนนหนทางยามเย็นไม่พลุกพล่าน วิถีของผู้คนไม่เร่งรีบ รู้สึกผ่อนคลาย ราว 10 นาที ก็ถึงโค้งแม่น้ำที่ขึ้นไปทางทิศเหนือรถเลี้ยวขวาเข้าถนน Nguyen Cong Tru ถึงที่พัก Than Thien Hotel ชื่อแปลว่า 'เป็นมิตร'

วันนี้มีโอกาสดีหลายประการ การค้างแรมที่ Hoi An ทำให้ได้เดินเที่ยวยามเช้าก่อนนักท่องเที่ยวที่มาเช้าเย็นกลับจาก Da Nang จะมาถึง สภาพ Old Town เช้านี้จึงต่างและน่าอภิรมย์กว่าวานนี้มาก
    Marble Mountains ซึ่งอยู่ระหว่าง Da Nang และ Hoi An มีภูมิประเทศที่งดงาม การได้แวะเยือนแม้มีเวลาเพียง 1 ชั่วโมง นับว่าคุ้มค่า
    รถไฟเวียดนามไม่หรูหรา สภาพเก่า แต่ห้องสุขาสะอาดพอควร ไม่มีกลิ่น ไม่ชวนให้ขยะแขยง ที่สำคัญคือตรงเวลา แม้เส้นทางยาวถึง 1,726 กม. กลับรักษาเวลาได้อย่างน่าทึ่ง นอกจากนั้น การเดินทางวันนี้ได้ผ่านทางช่วงที่ชื่อว่างดงามที่สุด

ข้อมูลค้นจาก
    Vietnam. National Geographic Traveler. 2006.
    wikipedia.org
    wikitravel.org