December 22, 2014

Bangkok on Foot: วัดสุทัศน์เทพวราราม: 11.12.2014

อากาศเย็นลง ความชื้นสัมพัทธ์ลดลง ได้เวลาเดินทาง
จุดหมายสำคัญคือวัดสุทัศน์เทพวราราม วัดที่ได้รับการยกย่องว่าการวางผังได้สัดส่วนงดงามที่สุด
บริเวณข้างเคียงมีสถานที่ควรไปเยือนด้วย ได้แก่ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ สวนรมณีนาถ พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์

11.00 น. นั่งรถเมล์เย็นไปลงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งอยู่ที่กึ่งกลางวงเวียนสี่แยกถนนราชดำเนินกลางตัดกับถนนดินสอ
ท้องฟ้าสีคราม แจ่มใส ไร้เมฆ ลานวงกลมของอนุสาวรีย์ตกแต่งด้วยไม้ดอกสีเหลือง สีส้ม และสีแดง อนุสาวรีย์เด่นเป็นสง่า ท้าทายความเป็นไป ท้าทายความเป็นจริงของการเมือง การปกครอง
    รัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้สร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขึ้น เพื่อเป็นที่ระลึกในการที่คณะราษฎรได้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ เริ่มก่อสร้างเมื่อกรกฎาคม พ.ศ. 2482 ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2483
    ลักษณะอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีความหมายดังนี้
    1. ปีกทั้ง 4 ด้านของอนุสาวรีย์ สูงจากแท่นพื้น 24 เมตร รัศมีจากจุดศูนย์กลางของป้อมที่ตั้งพานรัฐธรรมนูญถึงขอบสุดแท่นพื้น ยาว 24 เมตร หมายถึงวันที่ 24 มิถุนายน อันเป็นวันที่คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง
    2. ปืนใหญ่ ฝังไว้โดยรอบอนุสาวรีย์ มีโซ่ร้อย เว้นเฉพาะช่องทางขึ้น 4 ทาง จำนวนทั้งหมด 75 กระบอก หมายถึงปี พ.ศ. 2475 อันเป็นปีที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง
    3. ประติมากรรมปูนปั้นนูนสูง ประกอบโดยรอบส่วนล่างของปีกทั้งสี่ แสดงเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร
    4. พานรัฐธรรมนูญ ตั้งอยู่บนป้อมกลางของอนุสาวรีย์ ตัวพานทำด้วยสำริด สูง 3 เมตร หมายถึงเดือนที่ 3 คือเดือนมิถุนายน (นับตามปฏิทินไทยแบบเก่า) อันเป็นเดือนที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง
    5. รูปพระขรรค์ 6 เล่ม ประดับประตูป้อมกลางที่ตั้งพานรัฐธรรมนูญ ทั้ง 6 ด้าน หมายถึงหลัก 6 ประการอันเป็นนโยบายของคณะราษฎรที่จะใช้ในการปกครองประเทศสืบไป หลัก 6 ประการนั้นได้แก่ หลักเอกราช หลักความสงบภายใน หลักสิทธิเสมอภาค หลักเสรีภาพ หลักเศรษฐกิจ และหลักการศึกษา
    อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ประดิษฐานบนลานวงกลม ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ที่ฐานด้านนอกของปีกทั้งสี่ เป็นอ่างน้ำพุ เหนืออ่างเป็นรูปพญานาคพ่นน้ำพุ

จากถนนราชดำเนินกลาง เดินเลี้ยวเข้าถนนดินสอ ผ่านศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ลานคนเมือง ลานซีเมนต์ใหญ่ ไร้ต้นไม้ ไร้รสนิยม รู้สึกถึงไอร้อนระอุ ต่างจากบริเวณโดยรอบชัดเจน ลานคนเมืองนี้ ขุดเจาะทำที่จอดรถใต้ดิน ด้านบนทำเป็นลานซีเมนต์โล่งโจ้งอย่างที่เห็น นัยว่าไว้จัดกิจกรรมรองรับฝูงคนจำนวนมาก สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2543 สมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร
จากลานคนเมือง ข้ามถนนบำรุงเมือง...

วัดสุทัศน์เทพวราราม พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 มีพระราชประสงค์จะทำนุบำรุงกรุงรัตนโกสินทร์ ให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนครั้งกรุงศรีอยุธยา ได้ทรงสร้างวัดกลางพระนคร ใกล้ๆ เสาชิงช้า สำหรับประดิษฐานพระศรีศากยมุนี ทรงต้ังพระทัยจะสร้างวัดให้ใหญ่เท่าวัดพนัญเชิงที่กรุงเก่า โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระโต พระพุทธรูปหล่อ สมัยสุโขทัย มาแต่วิหารหลวง วัดมหาธาตุ สุโขทัย มาไว้ที่วัดนี้ และทรงขนานนามว่า วัดมหาสุทธาวาส แต่ทรงสร้างค้างไว้แต่เพียงรากพระวิหารหลวง ครั้นตั้งพระพุทธรูปไว้เรียบร้อยก็เสด็จสวรรคต
    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อ โดยสร้างพระวิหารกับทำบานประตูกลางจำหลัก เริ่มด้วยฝีพระหัตถ์ ค้างอยู่ ก็เสด็จสวรรคต
    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระวิหารจนสำเร็จ และทรงสร้างเพิ่มเติมทั้งวัด ทรงขนานนามพระพุทธรูปในวิหารหลวงว่า พระศรีศากยมุนี พระพุทธรูปในพระอุโบสถว่า พระตรีโลกเชษฐ และพระราชทานนามวัดว่า วัดสุทัศน์เทพวราราม

ศาลาลอย     
    ศาลาลอย มี 4 แห่ง สร้างชิดแนวกำแพงด้านหน้าพระวิหาร ทางทิศเหนือ ที่เรียกกันว่า ศาลาลอย เพราะมีพื้นสูงตั้งอยู่เหนือกำแพงมองดูเด่นเป็นสง่า มีหลังคาเป็นทรงไทยมุงกระเบื้องเคลือบสี ไม่มีช่อฟ้า หางหงส์ หน้าบันปั้นด้วยปูนลายดอกไม้ เสาทั้งหมดสี่เหลี่ยมมีบัวทองเปลวทาสีขาว โดยรอบเฉลียงไม่มีฝาเปิดโล่งทั้ง 4 ด้าน ศาลาหลังริมด้านตะวันออก เป็นศาลาเปลื้องเครื่องของพระมหากษัตริย์ ก่อนที่จะเสด็จเข้าสู่พระวิหาร ศาลาหลังที่สองถัดจากศาลาเปลื้องเครื่องมีเกยสำหรับเทียบเสด็จเข้าด้านหน้า สำหรับศาลาอีกสองหลังถัดไปนั้นเป็นสถานที่สำหรับประทับทอดพระเนตรพระราชพิธีโล้ชิงช้าของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยก่อน
    ปัจจุบันหลังที่สามใช้เป็นที่จำหน่ายบัตรเข้าชมวัด

วิหารคต หรือพระระเบียง
    สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ตัววิหารทั้งสี่มุม สร้างทรงหลังคาซ้อน เช่นเดียวกับซุ้มประตูทางเข้า หน้าบันสลักภาพพระนารายณ์ทรงสุบรรณ ปิดทองประดับกระจก วิจิตรงดงาม บานประตูปิดทองลายรดน้ำ เขียนภาพทวารบาล ด้านในเขียนเรื่องรามเกียรติ์ วิหารนี้ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น 156 องค์

พระวิหาร
    เริ่มก่อสร้างพ.ศ. 2350 ในสมัยรัชกาลที่ 1 สำเร็จเรียบร้อยในสมัยรัชกาลที่ 3 พระวิหารตั้งอยู่บนฐานไพที 2 ชั้น ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว และพระระเบียง ตัวพระวิหารเป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น ถ่ายแบบจากวัดมงคลบพิตร พระนครศรีอยุธยา หลังคาทรงไทยสองชั้น หนึ่งลด มีมุขเด็จด้านหน้าและด้านหลัง มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เสาเหลี่ยมมีบัวหัวเสา
    ที่ฐานไพทีชั้นล่าง ตั้งถะ 6 ชั้น (เจดีย์แบบจีน) ไว้บนฐาน ต่างกำแพงแก้วด้านละ 7 ถะ รวม 28 ถะ หมายถึงพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ที่มุมฐานไพทีชั้นล่างและบนมีม้าสำริดตั้งประจำมุมละ 1 ตัว 2 ชั้น เป็น 8 ตัว
    ด้านหน้าและด้านหลังพระวิหารมีประตูเข้าด้านละ 3 ประตู เป็นบานประตูแกะสลักในไม้แผ่นเดียว รูปสัตว์และป่าหิมพานต์ สลักปรุซ้อนลงไปหลายชั้น งดงามมาก กล่าวกันว่า บานประตูคู่กลางด้านหน้าเป็นฝีพระหัตถ์รัชกาลที่ 2 ต่อมาบานประตูคู่นี้ถูกไฟไหม้ จึงถอดเก็บไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แล้วถอดเอาบานประตูคู่หลังมาติดแทน
    ซุ้มหน้าต่างทำเป็นทรงเรือนแก้ว บานหน้าต่างเขียนลายรดน้ำ
    ภายในพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระศรีศากยมุนี จิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 2 ถึงรัชกาลที่ 3 ฝีมืองดงาม ยังเหลือเกือบบริบูรณ์ เขียนเรื่องไตรภูมิกถา รูปป่าหิมพานต์ มีสระบัว นางกินรี เหล่ากินนร กับบุตร บานประตู หน้าต่างเขียนรูปทวารบาล

พระศรีศากยมุนี
    พระประธานในพระวิหาร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยโลหะ หน้าตักกว้าง 3 วา 1 คืบ (6.25 เมตร) เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์หนึ่งของประเทศไทย พุทธลักษณะงดงาม เดิมประดิษฐานที่พระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ สุโขทัย หล่อขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย ฉลองเมื่อ พ.ศ. 1905 รัชกาลที่ 1 อัญเชิญลงมายังกรุงเทพฯ เพื่อประดิษฐานไว้ในพระนคร
    ที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพระพุทธบัลลังก์ เป็นที่บรรจุพระบรมราชสริรางคารของสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาบรรจุไว้เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2493
    ด้านหลังพระบัลลังก์มีภาพศิลาสลักศิลปกรรมสมัยทวารวดี สูง 2.40 เมตร ทำเป็นปางยมกปาฏิหารย์ และพระพุทธองค์ประทานเทศนาในสวรรค์ ปิดทองหมดทั้งแผ่น เป็นศิลปกรรมชิ้นเอกของวัดชิ้นหนึ่ง

วิหารทิศ
    ตั้งอยู่ที่มุมทั้งสี่ของพระวิหาร เป็นศาลาหลังเล็ก รูปทรงเดียวกับพระวิหาร แต่ไม่มีมุขเด็จหน้าหลัง เครื่องบนทำด้วยไม้ทั้งหมด แต่ละหลังประดิษฐานพระพุทธรูปหลังละ 2 องค์

พระอุโบสถ
    ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นพระอุโบสถที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่บนฐานไพที 2 ชั้น มีซุ้มเสมาคร่อมกำแพงแก้วโดยรอบ ทำด้วยศิลาจำหลักลายเลียนแบบศิลปะจีนงดงาม
    ตัวพระอุโบสถ หลังคาเป็นแบบทรงไทยโบราณ 4 ชั้น 3 ลด เสาสี่เหลี่ยม ไม่มีหัวเสา ทำเสาด้านข้างเป็นพาไลรอบ ไม่มีทวย มีมุขกระสัน มีช่อฟ้า หางหงส์ หน้าบันปิดทอง ประดับกระจก ด้านตะวันออกเป็นภาพพระอาทิตย์ประทับบนราชรถเทียมม้า 7 หัว ด้านตะวันตกเป็นภาพพระอินทร์ประทับบนราชรถ 3 ล้อ มีคันงอน เทียมด้วยม้า 10 ตัว
    ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังใหญ่โต ฝีมือช่างชั้นครูสมัยรัชกาลที่ 3 จัดภาพได้งามวิจิตร ส่วนใหญ่เป็นภาพเรื่องพุทธประวัติ ชาดก วรรณคดีไทย เช่น รามเกียรติ์ สังข์ทอง ไกรทอง นารายณ์สิบปาง เป็นต้น
    พระพุทธตรีโลกเชษฐเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ปางมารวิชัย รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นใหม่เมื่อทรงสถาปนาพระอาราม

สัตตมหาสถาน
    เป็นสถานที่เสวยวิมุติสุขของพระพุทธเจ้า รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสถานที่ทั้ง 7 นี้ขึ้นแทนเจดีย์ เรียงอยู่ริมกำแพงวัดด้านตะวันออก ติดถนนอุณากรรณ นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญของวัด ประกอบด้วย
    1. พระรัตนบัลลังก์ ต้นโพธิ์ตรัสรู้ มีบัลลังก์
    2. พระอนิมิสเจดีย์ ที่ประทับดูพระมหาโพธิ์โดยไม่กระพริบพระเนตร ทำเป็นรูปเก๋งจีน
    3. พระรัตนจงกรมเจดีย์
    4. พระรัตนฆรเจดีย์
    5. พระอัชปาลนิโครธ ต้นไทร
    6. พระมุจลินทพฤกษ์ ต้นจิก
    7. พระราชายตนพฤกษ์ ต้นเกตุ

หอระฆัง
    ตั้งอยู่ข้างศาลาการเปรียญ ในเขตสังฆาวาส ก่ออิฐถือปูนทรงแปดเหลี่ยม

วัดสุทัศน์เทพวรารามเป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่า มีเอกลักษณ์ต่างจากวัดอื่นหลายประการ
พระศรีศากยมุนี พระพุทธรูปขนาดใหญ่ อายุกว่า 650 ปี ศิลปะสุโขทัยที่งดงาม ล้ำค่า ชวนให้จินตนาการถึงวิธีการอัญเชิญจากสุโขทัยมากรุงเทพฯ เมื่อกว่า 200 ปีก่อน ว่าทำอย่างไร

สวนรมณีนาถ อยู่ทางตะวันออกของวัดสุทัศน์ฯ เพียงข้ามถนนอุณากรรณและถนนศิริพงษ์
    เป็นสวนสาธารณะที่จัดสร้างขึ้น เพื่อถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสที่มีพระชนมายุ 60 พรรษา พ.ศ. 2535 และได้รับพระราชทานนามว่า 'รมณีนาถ' ซึ่งมีความหมายว่า 'นางผู้เป็นที่พึ่ง' ตั้งอยู่บริเวณเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเดิม ถนนมหาไชย มีเนื้อที่กว่า 29 ไร่
    เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า ที่ต้องขังจองจำผู้กระทำความผิดต้องควบคู่ไปกับศาลสถิตยุติธรรม ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ให้จัดซื้อที่ดินตำบลตรอกคำ ทำการก่อสร้าง ทรงส่งพระยาไชยวิชิตสิทธิศาสตรา (นาค ณ ป้อมเพชร) ซึ่งเคยไปรับราชการสถานทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ไปดูรูปแบบที่สิงคโปร์ โดยนำแบบเรือนจำ Brixton อันเป็นเรือนจำระดับความมั่นคงสูงสุดมาใช้ การก่อสร้างเสร็จสิ้นสามารถย้ายนักโทษเข้าไปอยู่ได้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2434 ได้รับการขนานนามว่า 'คุกกองมหันต์โทษ' ต่อมาเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายใช้ชื่อว่า 'เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร'
    พ.ศ. 2534 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการปรับปรุงทัณฑสถานวัยหนุ่มบางเขน หรือ เรือนจำกลางคลองเปรม ให้ย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไปควบคุมรวมกัน และให้ปรับปรุงพื้นที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเป็นสวนสาธารณะ ภายในบริเวณสวนยังคงอนุรักษ์แนวรั้วกำแพง ป้อมยาม ซุ้มประตูทางเข้าไว้เป็นสัญลักษณ์ นอกจากนี้ยังจัดให้มีพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ ด้านถนนมหาไชย ประกอบด้วยอาคาร 4 หลังคือ
    อาคารศาลอาญา แสดงเครื่องมือลงทัณฑ์ และวิธีประหารชีวิตสมัยโบราณ รวมทั้งแสดงการประหารชีวิตในปัจจุบัน อุปกรณ์เกี่ยวกับเรือนจำและการป้องกันการหลบหนีของนักโทษ
    อาคารรักษาการณ์ แสดงภาพประวัติและอุปกรณ์เครื่องใช้ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และเอกสารเกี่ยวกับประวัติการราชทัณฑ์ในอดีต
    อาคารร้านค้ากรมราชทัณฑ์ จัดจำหน่ายสินค้าราชทัณฑ์และของที่ระลึก
    อาคารแดน 9 เป็นเรือนนอนผู้ต้องขังในอดีต แสดงสภาพการใช้ชีวิตประจำวันของนักโทษ ระบบการคุมขังและลักษณะอาคาร
    อาคารพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2540
    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสวนรมณีนาถ และพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2542

เข้าไปเดินเล่น ผ่อนคลายในสวนสวย ไม้ใหญ่ร่มครึ้ม
พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ปิด ไม่มีสิ่งแสดงภายใน ข้อมูลจาก webpage ตรงข้ามกับสภาพที่เห็น ถามยามในสวน ได้ความว่าพิพิธภัณฑ์ปิดมาราว 2 เดือน เจ้าหน้าที่ขนสิ่งแสดงออกไปหมด มีโครงการใหม่ที่จะใช้พื้นที่ของอาคารเหล่านี้ รวมทั้งพื้นที่สวน รวมกว่า 15 ไร่ น่าเสียดายพื้นที่พักผ่อน ออกกำลังกาย ของสาธารณะที่ถูกทอนให้เล็กลง

จากสวน เดินย้อนกลับไปทางเสาชิงช้า

เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ตั้งอยู่เลยโค้งถนนดินสอ ตัดกับถนนบำรุงเมือง
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น พร้อมกับเสาชิงช้า เมื่อ พ.ศ. 2327 มีโบสถ์ทั้งหมด 3 หลัง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว
    สถานพระอิศวร (โบสถ์ใหญ่) ไม่มีพาไล หลังคาทำชั้นลด 1 ชั้น หน้าบันด้านหน้ามีเทวรูปปูนปั้น รูปพระอิศวร พระอุมา และเครื่องมงคลรูปสังข์ กลศ กุมภ์ อยู่ในวิมาน ใต้รูปวิมานมีปูนปั้นเป็นรูปเมฆและโคนันทิ หน้าบันด้านหลังไม่มีลวดลาย ภายในโบสถ์มีเทวรูปพระอิศวรทำด้วยสำริด ประทับยืน ปางประทานพร                        
    สถานพระพิฆเนศวร (โบสถ์กลาง) มีพาไลทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ศิลปะอยุธยา ตัวโบสถ์ไม่มีลวดลาย หลังคามีชั้นลด 1 ชั้น หน้าบันเรียบ ภายในโบสถ์มีเทวรูปพระพิฆเนศวร 5 องค์ ทำด้วยหินแกรนิต 1 องค์ หินทราย 1 องค์ หินเขียว 2 องค์ สำริด 1 องค์
    สถานพระนารายณ์ (โบสถ์ริม) มีพาไลทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ภายในทำชั้นยกตั้งบุษบก 3 หลัง หลังกลางประดิษฐานพระนารายณ์ ทำด้วยปูน ประทับยืน
เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ร่มรื่น สะอาดสะอ้าน เรียบง่าย โบสถ์ทั้งสามเปิดให้เข้าได้เฉพาะวันพฤหัสและวันอาทิตย์

ย่านเสาชิงช้าประกอบด้วยโบราณสถานสำคัญหลายแห่ง
นิราศกรุงเทพวันนี้ ได้ชื่นชมศิลปะ สถาปัตยกรรม ทรงคุณค่ายิ่ง
ค่ารถไปกลับ 24.00 บาท

ข้อมูล ค้นจาก
    นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
    watsuthat.net
    th.wikipedia.org
    lib.su.ac.th
    correct.go.th
    devasthan.org









        

     

December 8, 2014

Time Out: ซอหัวม้า: 03.12.2014

สองสัปดาห์นี้ ความกดอากาศสูง ความชื้นสัมพัทธ์สูง อบอ้าว งดเดินเที่ยว
ค่ำวันที่ 2 ธันวาคม 2557 ข่าวศิลปะบันเทิงเสนอเรื่อง 'ซอหัวม้า' จากมองโกเลีย เป็นเรื่องใหม่ น่าสนใจ ชวนให้ค้นข้อมูลต่อ

คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับโครงการ 9 ในดวงใจ และองค์กรเครือข่าย ได้เชิญคณะศิลปินซอหัวม้า 'Khan Khuur Quartet' จากประเทศมองโกเลีย มาเยือนประเทศไทย เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมมองโกเลีย โดยมีซอหัวม้า (Morin Khuur) และบทเพลงมองโกเลียเป็นสื่อ ชื่องาน 'จากมองโกเลียอัลไต สู่ไทยเจ้าพระยา' จัด ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 2-4 ธันวาคม 2557
กิจกรรมประกอบด้วย
    2 ธันวาคม 2557 สัมมนาวิชาการ: ซอหัวม้ามองโกเลียและเครือญาติซอตระกูล Spike Fiddle ในเอเชีย     
    3 ธันวาคม 2557 คอนเสิร์ตมิตรภาพไทย-มองโกเลีย
    4 ธันวาคม 2557 Music Workshop: เทคนิคการบรรเลงและบทเพลงซอหัวม้า

เย็นวันนี้ 3 ธันวาคม 2557 นั่ง BTS ไปหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
รายการเริ่ม 16.40 น.
เสวนา 'มองโกเลีย มองเห็นอะไร อัลไตทำไมกัน'
แสดงภาพอดีต ปัจจุบัน ของมองโกเลีย ดินแดนแห่งทุ่งหญ้า ขุนเขา ชีวิตผู้คน ฝูงม้า ปศุสัตว์
    ผศ. สุดแดน วิสุทธิลักษณ์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    ทรงยศ กมลทวิกุล นักเขียน-นักถ่ายภาพสารคดีท่องเที่ยว
    ดำเนินรายการโดย พันชนะ วัฒนเสถียร ที่ปรึกษามูลนิธิอมตะ
    อ่านบทกวี 'มองโกเลีย เสรีภาพสุดสายตา' โดยนายทิวา รางวัลกวีนิพนธ์ดีเด่น สพฐ. ปี 2557

ภาพยนตร์สารคดีจากฝรั่งเศส เรื่องซอหัวม้า
(Arts du mythe: Viele Mongole à Tête de Cheval)
    แสดงวิถีชนเผ่ามองโกล บทเพลงแห่งท้องทุ่ง ขุนเขาในชีวิตประจำวัน การสื่อสารกับสัตว์เลี้ยง อาทิ ม้า อูฐ ผ่านดนตรี ทั้งเสียงร้องกังวาน ประสานกับเสียงสดใสของซอหัวม้า เสียงเพลงขับกล่อมซาบซึ้งจนอูฐน้ำตาไหล ยอมให้ลูกอูฐกำพร้าดูดนมของตน ทั้งที่ก่อนหน้าขัดขืนและขับไล่ลูกอูฐกำพร้านั้น
    แสดงการสร้างซอหัวม้า กล่องเสียงรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ด้านหน้าตรึงด้วยหนังม้า หัวคันซอทำเป็นรูปหัวม้า สายซอสองสายทำจากหางม้า แต่ละสายประกอบด้วยหางม้าเล็กๆ หลายเส้น คันชักทำด้วยหางม้าเช่นกัน
    แสดงวิธีการเล่นอันซับซ้อน ต่างจากซอหรือเครื่องสีอื่น นั่นคือ การกดเสียงไม่กดลงบนสาย แต่ดันสายทางด้านข้างโดยใช้หลังนิ้ว ซอหัวม้าให้กำเนิดเสียงได้หลากหลาย น่าฉงน

คอนเสิร์ต 'จากมองโกเลียอัลไต สู่ไทยเจ้าพระยา'
ดำเนินรายการโดย ปิยะนุช นาคคง
1. Khan Khuur Quartet ประกอบด้วย Munkhjin Purevkhuu, Batdorj Tuvshinjargal, Bat-ulzii Ganbat และ Amarbayar Renching
    บทเพลงมองโกเลีย ได้แก่
    Tsetseg nuuriin khuvuund (On the Bank of the Lake with Flowers) ประพันธ์โดย Ts. Sukhbaatar
    Khuleg (The Horse in Mind) ประพันธ์โดย P. Munkhjin
    Bolzoo (Dating) ประพันธ์โดย B. Sharav
    Uulen bor (Quick Horse) ประพันธ์โดย Ts. Sukhbaatar
    Altain Magtaal (The Praise of Altai) เพลงพื้นบ้านโบราณ
    Friends ประพันธ์โดย Ennio Morricone จากภาพยนตร์ Once Upon a Time in America
2. Munkhjin Purevkhuu โซโลซอหัวม้าร่วมกับวงสีหยด คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
    บทเพลงไทยร่วมสมัย ได้แก่
    เดือนเพ็ญ ประพันธ์โดย นายผี
    ม้าย่อง ประพันธ์โดย มนตรี ตราโมท
    ความฝันอันสูงสุด เพลงพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
3. One World Project
    บทเพลงตะวันออกร่วมสมัย ได้แก่
    ขบวนการไดโนเสาร์ จูเรนเจอร์
    ซูคุเอ็น
4. Khan Khuur Quartet ร่วมบรรเลงกับวงดุริยางค์เครื่องลม KU Wind Band คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ควบคุมวงโดย อ. สุรพล ธัญวิบูลย์
    บทเพลงที่แสดง ได้แก่
    Medley เพลงพระราชนิพนธ์: ลมหนาว สายฝน แผ่นดินของเรา
    Spring จาก The Four Seasons ประพันธ์โดย Antonio Lucio Vivaldi
    Ekiliin egshigt nutag (The Land of the Ikel Khuur) ประพันธ์โดย Tsogbadrakh Purevkhuu
    Czardas ประพันธ์โดย Vittorio Monti
5. อิสระ: ด้นไปตามใจฝัน (Improvisation Session) ประชันดนตรีซอหัวม้าและศิลปินรับเชิญ เสาวคล ม่วงครวญ (cello), Dr. Jean-David Caillouët (multimedia)

'จากมองโกเลียอัลไต สู่ไทยเจ้าพระยา' ค่ำวันนี้ เปิดโลกทัศน์หลายประการ
    ดนตรีเป็นภาษาสากล ไม่มีพรมแดน ไม่มีสัญชาติ ศิลปินจากมองโกเลียบรรเลงร่วมกับวงของนิสิต นักศึกษาไทยสองมหาวิทยาลัยได้อย่างกลมกลืน ทั้งบทเพลงมองโกเลีย บทเพลงไทยร่วมสมัย เพลงพระราชนิพนธ์ บทเพลงคลาสสิค กังวาน ไพเราะ จับใจ ดนตรีเป็นสื่อสันติภาพ ไม่เพียงระหว่างมนุษย์ แต่รวมถึงสัตว์เลี้ยงด้วย
    ซอหัวม้า (Morin Khuur) เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติที่สำคัญของมองโกเลีย นักประวัติศาสตร์ดนตรีหลายท่านเชื่อว่าซอหัวม้าเป็นเครื่องดนตรีตระกูลซอที่เก่าแก่ที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก และในปี 2003 UNESCO ขึ้นทะเบียนซอหัวม้าเป็นหนึ่งใน Masterpieces of the Oral and Intangible Heritage of Humanity
ค่ารถ BTS ไปกลับ 26.00 บาท (บัตรราษฎรอาวุโส)

ข้อมูล ค้นจาก
    ซอหัวม้า เอกสารประกอบงาน 'จากมองโกเลียอัลไต สู่ไทยเจ้าพระยา' 2-4 ธันวาคม 2557
    bacc.or.th
    boutique.arte.tv