พยากรณ์อากาศวันนี้ ฝนตก 60 เปอร์เซนต์ของกรุงเทพฯ
ครึ้มฝนแต่เช้า สักพักฝนก็ตกหนัก
จุดหมายจึงควรเป็นพิพิธภัณฑ์
ใกล้เที่ยง ฝนซา ได้เวลาเดินเที่ยว
นั่งรถเมล์เย็นไปลงสุดทางที่อนุสาวรีย์ทหารอาสา ใกล้เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า เมฆดำครึ้มก่อตัว มองเห็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป (The National Gallery) ถนนเจ้าฟ้า อยู่ตรงข้าม
รีบเดินเลาะถนนราชินีไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ขนานถนนขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ลอดใต้สะพาน พอพ้นออกมาด้านถนนเจ้าฟ้า ฝนเทลงมาอย่างหนัก พายุลมแรง ดีที่สะพานบังฝนให้
ฝนตกหนักและไม่มีท่าว่าจะซาลง รอไปก็เสียเวลา กางร่มลุยไปหอศิลป ซึ่งห่างไปไม่ถึง 200 เมตร ฝนซัดขากางเกงเปียก เย็นสบาย แวะตั้งหลักตรงป้อมยาม ทักทายยามอัธยาศัยดีครู่หนึ่ง ฝ่าฝนอีกนิด ถึงทางเข้า ขึ้นบันไดไป 4-5 ขั้น ก่อนเปิดประตูกระจกสู่ภายในหอศิลป
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ในอดีตเป็นที่ตั้งพระตำหนักของเจ้านาย กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) แต่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้สร้างโรงงานผลิตเงินเหรียญแห่งใหม่ที่ทันสมัย โดยเลือกพื้นที่บริเวณริมคลองคูเมืองเดิมใกล้วัดชนะสงคราม จึงต้องรื้อถอนพระตำหนักของเจ้านายฝ่ายวังหน้าที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตเหรียญดังกล่าว เมื่อสร้างแล้วเสร็จได้รับพระราชทานนามว่า 'โรงกษาปณ์สิทธิการ'
โรงกษาปณ์สิทธิการ ออกแบบโดย Carlo Allegri สถาปนิกชาวอิตาเลียนประจำราชสำนักสยาม โดยได้แรงบันดาลใจจากโรงงานเครื่องจักรที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ อาคารหลักด้านหน้าเป็นทรงปั้นหยา สูงสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องว่าว สองข้างอาคารหลักต่อเป็นปีกทอดยาว เป็นอาคารชั้นเดียว หักมุมฉากสี่ด้าน บรรจบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเชื่อมต่อกัน บริเวณสันหลังคา เชิงชาย ช่องบานประตู หน้าต่าง ประดับด้วยไม้ฉลุลวดลายงดงาม
โรงกษาปณ์สิทธิการผลิตเหรียญตั้งแต่ พ.ศ. 2445 ถึง พ.ศ. 2511 จึงหยุด เมื่อกรมธนารักษ์ย้ายไปสร้างโรงงานแห่งใหม่
ในวาระครบ 100 ปีการพิพิธภัณฑ์ไทย (พ.ศ. 2517) กรมศิลปากรมีโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถาน ประเภทศิลปะสมัยใหม่ จึงขอใช้โรงกษาปณ์สิทธิการ จากกรมธนารักษ์ เพื่อปรับปรุงเป็นหอศิลป์
เที่ยงเศษ เจ้าหน้าที่อยู่ตรงประชาสัมพันธ์คนเดียว คนอื่นคงพักกินข้าวกลางวัน เขาให้ลงชื่อเข้าชม ไม่เสียค่าบัตรสำหรับคนไทย
เส้นทางชมไม่ซับซ้อน มีลูกศรนำที่พื้นชัดเจน
บรรยากาศสงบ ผู้ร่วมชมหอศิลปมีเพียง 4-5 คน ต่างดื่มด่ำกับการเดินชมสิ่งแสดงเงียบๆ
เริ่มที่ชั้นสอง
ห้องจิตรกรรมไทยประเพณี (Traditional Thai Paintings)
โถงใหญ่ เพดานสูง ประดับงดงาม ผนังทาสีแดง หน้าต่างทรงสูง เหนือหน้าต่างมีช่องแสงครึ่งวงกลม รอบหน้าต่างและโค้งช่องแสง ตัดเส้นสีขาว เน้นชัดแยกจากพื้นผนังสีแดง
จิตรกรรมไทยประเพณีมีแบบแผนเป็นเอกลักษณ์ เนื้อหาหลักเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา วรรณคดี วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ มักวาดประดับผนังอาคาร ศาสนสถาน หากวาดบนวัสดุ เช่น บนผืนผ้า เรียกว่าพระบฏ บนกระดาษ เรียกจิตรกรรมสมุดไทยหรือสมุดข่อย การเขียนภาพเป็นแนวระนาบสองมิติ เน้นตัดเส้นรอบนอกรูปทรงคมชัด และตัดเส้นรายละเอียดภายใน นิยมใช้สีเอกรงค์ (monochrome)
การติดต่อสัมพันธ์และการเปิดรับศิลปวิทยาการจากตะวันตก โดยเฉพาะในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. 2394-2411) ส่งผลให้จิตรกรรมไทยประเพณีเปลี่ยนจากแนวอุดมคติเป็นแนวสมจริง ตามทัศนียวิทยา (perspective) ภาพมีความลึกแบบสามมิติ สีไม่จำกัดเฉพาะสีเอกรงค์ และเนื้อหามิได้มุ่งเน้นเพียงเรื่องพุทธประวัติ หากถ่ายทอดเหตุการณ์ในพงศาวดาร ประวัติศาสตร์ วรรณคดี ชีวิตประจำวัน
สิ่งแสดงในโถงจิตรกรรมไทยประเพณี ได้แก่
จิตรกรรมสีฝุ่นบนผืนผ้าหรือพระบฏ ขนาดใหญ่ หลายผืนสูงกว่าสองเมตร เขียนเรื่องพุทธประวัติ ใช้แขวนประดับศาสนสถาน น่าเสียดายส่วนใหญ่ไม่ปรากฏนามศิลปิน ผืนผ้าเป็นวัสดุไม่คงทน จิตรกรรมประเภทนี้จึงเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา หลงเหลือถึงปัจจุบันไม่มาก
ภาพคัดลอกจิตรกรรมฝาผนังของวัดสำคัญที่เป็นโบราณสถาน ผลงานอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ที่เก็บไว้เป็นหลักฐานมรดกทางประวัติศาสตร์ศิลปะของชาติ
จิตรกรรมแนวตะวันตกทั้งรูปแบบและกรรมวิธี แต่วาดเรื่องราวอุดมคติของไทย เช่น ชาดก อาทิ ผลงานขรัวอินโข่ง จิตรกรเรืองนามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
กลับลงมาชั้นล่าง ห้องจัดแสดงเรียงต่อกันไปตามอาคารที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ล้อมสนามหญ้าเขียวและสวนสวยที่อยู่ตรงกลาง
ห้องจิตรกรรมแบบตะวันตก ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2394-2475) (Paintings in the Western Realistic Style 1851-1932)
จิตรกรรมไทยผสมตะวันตกได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ศิลปินหลายท่านได้สร้างผลงานแบบตะวันตกแท้ควบคู่ไปด้วย เช่น ภาพเหมือนบุคคล ทั้งเดี่ยว และกลุ่ม ภาพทิวทัศน์ที่เน้นความยิ่งใหญ่ ความงดงามของธรรมชาติ ภาพหุ่นนิ่ง (still life) การใช้สี นิยมใช้สีน้ำมันมากขึ้น เพราะใช้งานง่าย ให้อิสระในการวาดมากกว่าสีฝุ่น วัสดุเปลี่ยนเป็นผ้าใบ แทนแผ่นไม้หรือผืนผ้าดิบ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว นอกจากการเปิดรับศิลปวิทยาการตะวันตกแล้ว ยังเนื่องจากพระราชนิยม พระราโชบายในการพัฒนาประเทศให้เป็นอารยะ การเชื่อมสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจตะวันตก อาทิ รัสเซีย เพื่อถ่วงดุลเจ้าล่าอาณานิคมโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปสองครั้ง (พ.ศ. 2440 และ 2449) ทรงนำช่างฝีมือไทยตามเสด็จ เพื่อให้เห็นและคุ้นเคยกับศิลปะแบบตะวันตก นอกจากนี้ทรงจ้างช่างชาวต่างประเทศจำนวนมากเข้ามาทำงานในราชสำนัก และส่งช่างไทยไปศึกษาศิลปะ ณ ยุโรป ยังผลให้การสร้างงานศิลปะแบบตะวันตกในสมัยของพระองค์ก้าวหน้าอย่างยิ่ง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับปรุงด้านศิลปกรรม อาทิ จัดตั้งกรมศิลปากร (พ.ศ. 2455) ตั้งโรงเรียนเพาะช่าง (พ.ศ. 2456) จ้างศาสตราจารย์ Corrado Feroci ศิลปินอิตาเลียนเข้ามารับราชการ ตำแหน่งช่างปั้น สังกัดกรมศิลปากร (พ.ศ. 2466) ซึ่งต่อมาท่านเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันวงการศิลปะของชาติสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย และเปลี่ยนชื่อเป็น 'ศิลป์ พีระศรี'
สิ่งแสดงในห้องจิตรกรรมแบบตะวันตก ได้แก่
ภาพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สีน้ำมันบนไม้ ผลงาน E. Peyze-Ferry พ.ศ. 2399
ภาพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาพพิมพ์หิน ไม่ปรากฏนามศิลปิน
ภาพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และพระโอรส ธิดา สีน้ำมันบนผ้าใบ ไม่ปรากฏนามศิลปิน
ภาพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สีน้ำมันบนผ้าใบ
ภาพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี สีน้ำมันบนผ้าใบ
สองภาพหลังเป็นผลงานพระสรลักษณ์ลิขิต (มุ่ย จันทรลักษณ์ พ.ศ. 2418-2501) ขนาด 150 x 275 ซม. วางคู่กันโดดเด่นบนผนังใหญ่
ห้องเฉลิมพระเกียรติ: จิตรกรรมภาพฝีพระหัตถ์
ภาพเขียนฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นภาพเขียนสีน้ำ เล่าเรื่อง ศกุนตลา
ภาพเขียนฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สีน้ำมันบนผ้าใบ
ห้องศิลปกรรมไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2510
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลมีบทบาทในการสนับสนุนศิลปกรรมแขนงต่างๆแทนราชสำนัก ปี พ.ศ. 2476 กรมศิลปากรจัดตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรม เพื่อฝึกสอนการเขียนภาพและปั้นรูปตามแบบยุโรป ภายใต้การอำนวยการของศาสตราจารย์ Corrado Feroci ใช้หลักสูตรของ Royal Academy of Fine Arts, Florence, Italy นักเรียนที่จบการศึกษาจึงมีฝีมือสูง จน พ.ศ. 2486 โรงเรียนประณีตศิลปกรรมได้ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร
ภายหลังศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2505 อิทธิพลของศิลปะตามหลักวิชาการตะวันตกลดบทบาทลง พร้อมกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มศิลปินหัวก้าวหน้ากับงานศิลปะสมัยใหม่
สิ่งแสดงในห้องศิลปกรรมไทย ได้แก่
ประติมากรรม ภาพเหมือนบุคคล ผลงานของศิลปินหลายท่าน อาทิ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (พ.ศ. 2435-2505) พิมาน มูลประมุข (พ.ศ. 2455-2535) เฟื้อ หริพิทักษ์ (พ.ศ. 2453-2536) สิทธิเดช แสงหิรัญ (พ.ศ. 2459-2500) สนั่น ศิลากรณ์ (พ.ศ. 2462-2529) อุดร ฐาปโนสถ (พ.ศ. 2475- )
ประติมากรรมชิ้นสำคัญ ได้แก่ รูปปั้นแบบร่างพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผลงานศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ปูนปลาสเตอร์ ปีที่สร้าง พ.ศ. 2469-2470 สูง 46 ซม.
การออกแบบอนุสาวรีย์ เป็นผลงานที่โดดเด่นของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี จัดเป็นศิลปะแบบวิชาการ (academic art) รูปปั้นแบบร่างพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 นี้ มีลักษณะเหมือนจริง ดูน่าเกรงขาม การสร้างอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เป็นเสมือนการเน้นพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่กำลังอ่อนแอและถูกท้าทาย เป็นศิลปะแบบวิชาการชิ้นสุดท้ายที่กำหนดจากทางการโดยราชสำนัก ก่อนที่รัฐไทยสมัยใหม่จะเข้ารับช่วงการอุปถัมภ์ศิลปะแบบวิชาการนี้ต่อไป
ประติมากรรม แนวอุดมคติ ผลงานของศิลปิน อาทิ ชิต เหรียญประชา (พ.ศ. 2451-2537) ชำเรือง วิเชียรเขตต์ (พ.ศ. 2474- ) เขียน ยิ้มศิริ (พ.ศ. 2465-2514)
ห้องจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน
จัดแสดงผลงานของสองศิลปินแห่งชาติ ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ และอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ทั้งสองท่านถึงแก่กรรมเมื่อเดือนกันยายน 2557
ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ (28 ตุลาคม 2477 - 19 กันยายน 2557)
ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์)
- ไก่ชน ไม้แกะระบายสี 2507
- ยามเช้า แม่พิมพ์ไม้แกะ 2524
- ความรักของแม่ แม่พิมพ์ไม้แกะ 2525
- ครอบครัว แม่พิมพ์ไม้แกะ 2525
- ครอบครัวตุ๊กแก แม่พิมพ์ไม้แกะ 2533
อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี (27 กันยายน 2482 - 3 กันยายน 2557)
ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม)
- เรือสองลำ สีน้ำมันบนผ้าใบ 2506
- ชาวนา สีน้ำมันบนผ้าใบ 2507
- ไมยราพ สีน้ำมันบนผ้าใบ 2510
- สุวรรณสาม สีน้ำมันบนผ้าใบ 2519
นิทรรศการศิลปะปูนปั้นแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 14
ผลงานประกวดจำนวนมาก ภาพปั้นนูนสูง และภาพปั้นลอยตัว
เดินชมผลงานจัดแสดงกว่า 2 ชั่วโมง ฝนหยุดแล้ว จึงออกมาชมความงามของอาคารด้านนอก สวนและสนามหญ้าเขียวอยู่ภายในโอบล้อมของตึก ยิ่งงดงามหลังฝนตก
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป จัดลำดับ ประเภท สิ่งแสดงได้อย่างดี ให้ความรู้ ความเข้าใจในวิวัฒนาการงานศิลปะของชาติ ให้เห็นคุณค่า เอกลักษณ์ จิตรกรรมไทยประเพณี ให้เรียนรู้ถึงการคลี่คลายทางสังคม การเมือง อันส่งผลต่องานศิลปะ
ค่ารถไปกลับ 23.00 บาท
ข้อมูลจาก
นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
th.wikipedia.org