October 28, 2014

Bangkok on Foot: The National Gallery: 24.10.2014

พยากรณ์อากาศวันนี้ ฝนตก 60 เปอร์เซนต์ของกรุงเทพฯ
ครึ้มฝนแต่เช้า สักพักฝนก็ตกหนัก
จุดหมายจึงควรเป็นพิพิธภัณฑ์

ใกล้เที่ยง ฝนซา ได้เวลาเดินเที่ยว
    นั่งรถเมล์เย็นไปลงสุดทางที่อนุสาวรีย์ทหารอาสา ใกล้เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า เมฆดำครึ้มก่อตัว มองเห็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป (The National Gallery) ถนนเจ้าฟ้า อยู่ตรงข้าม
    รีบเดินเลาะถนนราชินีไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ขนานถนนขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ลอดใต้สะพาน พอพ้นออกมาด้านถนนเจ้าฟ้า ฝนเทลงมาอย่างหนัก พายุลมแรง ดีที่สะพานบังฝนให้
    ฝนตกหนักและไม่มีท่าว่าจะซาลง รอไปก็เสียเวลา กางร่มลุยไปหอศิลป ซึ่งห่างไปไม่ถึง 200 เมตร ฝนซัดขากางเกงเปียก เย็นสบาย แวะตั้งหลักตรงป้อมยาม ทักทายยามอัธยาศัยดีครู่หนึ่ง ฝ่าฝนอีกนิด ถึงทางเข้า ขึ้นบันไดไป 4-5 ขั้น ก่อนเปิดประตูกระจกสู่ภายในหอศิลป

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ในอดีตเป็นที่ตั้งพระตำหนักของเจ้านาย กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) แต่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
    ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้สร้างโรงงานผลิตเงินเหรียญแห่งใหม่ที่ทันสมัย โดยเลือกพื้นที่บริเวณริมคลองคูเมืองเดิมใกล้วัดชนะสงคราม จึงต้องรื้อถอนพระตำหนักของเจ้านายฝ่ายวังหน้าที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตเหรียญดังกล่าว เมื่อสร้างแล้วเสร็จได้รับพระราชทานนามว่า 'โรงกษาปณ์สิทธิการ'
    โรงกษาปณ์สิทธิการ ออกแบบโดย Carlo Allegri สถาปนิกชาวอิตาเลียนประจำราชสำนักสยาม โดยได้แรงบันดาลใจจากโรงงานเครื่องจักรที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ อาคารหลักด้านหน้าเป็นทรงปั้นหยา สูงสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องว่าว สองข้างอาคารหลักต่อเป็นปีกทอดยาว เป็นอาคารชั้นเดียว หักมุมฉากสี่ด้าน บรรจบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเชื่อมต่อกัน บริเวณสันหลังคา เชิงชาย ช่องบานประตู หน้าต่าง ประดับด้วยไม้ฉลุลวดลายงดงาม
    โรงกษาปณ์สิทธิการผลิตเหรียญตั้งแต่ พ.ศ. 2445 ถึง พ.ศ. 2511 จึงหยุด เมื่อกรมธนารักษ์ย้ายไปสร้างโรงงานแห่งใหม่
    ในวาระครบ 100 ปีการพิพิธภัณฑ์ไทย (พ.ศ. 2517) กรมศิลปากรมีโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถาน ประเภทศิลปะสมัยใหม่ จึงขอใช้โรงกษาปณ์สิทธิการ จากกรมธนารักษ์ เพื่อปรับปรุงเป็นหอศิลป์

เที่ยงเศษ เจ้าหน้าที่อยู่ตรงประชาสัมพันธ์คนเดียว คนอื่นคงพักกินข้าวกลางวัน เขาให้ลงชื่อเข้าชม ไม่เสียค่าบัตรสำหรับคนไทย
เส้นทางชมไม่ซับซ้อน มีลูกศรนำที่พื้นชัดเจน
บรรยากาศสงบ ผู้ร่วมชมหอศิลปมีเพียง 4-5 คน ต่างดื่มด่ำกับการเดินชมสิ่งแสดงเงียบๆ

เริ่มที่ชั้นสอง
ห้องจิตรกรรมไทยประเพณี (Traditional Thai Paintings)
    โถงใหญ่ เพดานสูง ประดับงดงาม ผนังทาสีแดง หน้าต่างทรงสูง เหนือหน้าต่างมีช่องแสงครึ่งวงกลม รอบหน้าต่างและโค้งช่องแสง ตัดเส้นสีขาว เน้นชัดแยกจากพื้นผนังสีแดง
    จิตรกรรมไทยประเพณีมีแบบแผนเป็นเอกลักษณ์ เนื้อหาหลักเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา วรรณคดี วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ มักวาดประดับผนังอาคาร ศาสนสถาน หากวาดบนวัสดุ เช่น บนผืนผ้า เรียกว่าพระบฏ บนกระดาษ เรียกจิตรกรรมสมุดไทยหรือสมุดข่อย การเขียนภาพเป็นแนวระนาบสองมิติ เน้นตัดเส้นรอบนอกรูปทรงคมชัด และตัดเส้นรายละเอียดภายใน นิยมใช้สีเอกรงค์ (monochrome)
    การติดต่อสัมพันธ์และการเปิดรับศิลปวิทยาการจากตะวันตก โดยเฉพาะในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. 2394-2411) ส่งผลให้จิตรกรรมไทยประเพณีเปลี่ยนจากแนวอุดมคติเป็นแนวสมจริง ตามทัศนียวิทยา (perspective) ภาพมีความลึกแบบสามมิติ สีไม่จำกัดเฉพาะสีเอกรงค์ และเนื้อหามิได้มุ่งเน้นเพียงเรื่องพุทธประวัติ หากถ่ายทอดเหตุการณ์ในพงศาวดาร ประวัติศาสตร์ วรรณคดี ชีวิตประจำวัน
    สิ่งแสดงในโถงจิตรกรรมไทยประเพณี ได้แก่
    จิตรกรรมสีฝุ่นบนผืนผ้าหรือพระบฏ ขนาดใหญ่ หลายผืนสูงกว่าสองเมตร เขียนเรื่องพุทธประวัติ ใช้แขวนประดับศาสนสถาน น่าเสียดายส่วนใหญ่ไม่ปรากฏนามศิลปิน ผืนผ้าเป็นวัสดุไม่คงทน จิตรกรรมประเภทนี้จึงเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา หลงเหลือถึงปัจจุบันไม่มาก
    ภาพคัดลอกจิตรกรรมฝาผนังของวัดสำคัญที่เป็นโบราณสถาน ผลงานอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ที่เก็บไว้เป็นหลักฐานมรดกทางประวัติศาสตร์ศิลปะของชาติ
    จิตรกรรมแนวตะวันตกทั้งรูปแบบและกรรมวิธี แต่วาดเรื่องราวอุดมคติของไทย เช่น ชาดก อาทิ ผลงานขรัวอินโข่ง จิตรกรเรืองนามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    
กลับลงมาชั้นล่าง ห้องจัดแสดงเรียงต่อกันไปตามอาคารที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ล้อมสนามหญ้าเขียวและสวนสวยที่อยู่ตรงกลาง

ห้องจิตรกรรมแบบตะวันตก ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2394-2475) (Paintings in the Western Realistic Style 1851-1932)
    จิตรกรรมไทยผสมตะวันตกได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ศิลปินหลายท่านได้สร้างผลงานแบบตะวันตกแท้ควบคู่ไปด้วย เช่น ภาพเหมือนบุคคล ทั้งเดี่ยว และกลุ่ม ภาพทิวทัศน์ที่เน้นความยิ่งใหญ่ ความงดงามของธรรมชาติ ภาพหุ่นนิ่ง (still life) การใช้สี นิยมใช้สีน้ำมันมากขึ้น เพราะใช้งานง่าย ให้อิสระในการวาดมากกว่าสีฝุ่น วัสดุเปลี่ยนเป็นผ้าใบ แทนแผ่นไม้หรือผืนผ้าดิบ
    ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว นอกจากการเปิดรับศิลปวิทยาการตะวันตกแล้ว ยังเนื่องจากพระราชนิยม พระราโชบายในการพัฒนาประเทศให้เป็นอารยะ การเชื่อมสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจตะวันตก อาทิ รัสเซีย เพื่อถ่วงดุลเจ้าล่าอาณานิคมโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปสองครั้ง (พ.ศ. 2440 และ 2449) ทรงนำช่างฝีมือไทยตามเสด็จ เพื่อให้เห็นและคุ้นเคยกับศิลปะแบบตะวันตก นอกจากนี้ทรงจ้างช่างชาวต่างประเทศจำนวนมากเข้ามาทำงานในราชสำนัก และส่งช่างไทยไปศึกษาศิลปะ ณ ยุโรป ยังผลให้การสร้างงานศิลปะแบบตะวันตกในสมัยของพระองค์ก้าวหน้าอย่างยิ่ง
    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับปรุงด้านศิลปกรรม อาทิ จัดตั้งกรมศิลปากร (พ.ศ. 2455) ตั้งโรงเรียนเพาะช่าง (พ.ศ. 2456) จ้างศาสตราจารย์ Corrado Feroci ศิลปินอิตาเลียนเข้ามารับราชการ ตำแหน่งช่างปั้น สังกัดกรมศิลปากร (พ.ศ. 2466) ซึ่งต่อมาท่านเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันวงการศิลปะของชาติสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย และเปลี่ยนชื่อเป็น 'ศิลป์ พีระศรี'
    สิ่งแสดงในห้องจิตรกรรมแบบตะวันตก ได้แก่
    ภาพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สีน้ำมันบนไม้ ผลงาน E. Peyze-Ferry พ.ศ. 2399
    ภาพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาพพิมพ์หิน ไม่ปรากฏนามศิลปิน
    ภาพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และพระโอรส ธิดา สีน้ำมันบนผ้าใบ ไม่ปรากฏนามศิลปิน
    ภาพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สีน้ำมันบนผ้าใบ
    ภาพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี สีน้ำมันบนผ้าใบ
    สองภาพหลังเป็นผลงานพระสรลักษณ์ลิขิต (มุ่ย จันทรลักษณ์ พ.ศ. 2418-2501) ขนาด 150 x 275 ซม. วางคู่กันโดดเด่นบนผนังใหญ่

ห้องเฉลิมพระเกียรติ: จิตรกรรมภาพฝีพระหัตถ์
    ภาพเขียนฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นภาพเขียนสีน้ำ เล่าเรื่อง ศกุนตลา
    ภาพเขียนฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สีน้ำมันบนผ้าใบ

ห้องศิลปกรรมไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2510
    หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลมีบทบาทในการสนับสนุนศิลปกรรมแขนงต่างๆแทนราชสำนัก ปี พ.ศ. 2476 กรมศิลปากรจัดตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรม เพื่อฝึกสอนการเขียนภาพและปั้นรูปตามแบบยุโรป ภายใต้การอำนวยการของศาสตราจารย์ Corrado Feroci ใช้หลักสูตรของ Royal Academy of Fine Arts, Florence, Italy นักเรียนที่จบการศึกษาจึงมีฝีมือสูง จน พ.ศ. 2486 โรงเรียนประณีตศิลปกรรมได้ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร
    ภายหลังศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2505 อิทธิพลของศิลปะตามหลักวิชาการตะวันตกลดบทบาทลง พร้อมกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มศิลปินหัวก้าวหน้ากับงานศิลปะสมัยใหม่
    สิ่งแสดงในห้องศิลปกรรมไทย ได้แก่
    ประติมากรรม ภาพเหมือนบุคคล ผลงานของศิลปินหลายท่าน อาทิ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (พ.ศ. 2435-2505) พิมาน มูลประมุข (พ.ศ. 2455-2535) เฟื้อ หริพิทักษ์ (พ.ศ. 2453-2536) สิทธิเดช แสงหิรัญ (พ.ศ. 2459-2500) สนั่น ศิลากรณ์ (พ.ศ. 2462-2529) อุดร ฐาปโนสถ (พ.ศ. 2475- )
    ประติมากรรมชิ้นสำคัญ ได้แก่ รูปปั้นแบบร่างพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผลงานศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ปูนปลาสเตอร์ ปีที่สร้าง พ.ศ. 2469-2470 สูง 46 ซม.
    การออกแบบอนุสาวรีย์ เป็นผลงานที่โดดเด่นของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี จัดเป็นศิลปะแบบวิชาการ (academic art) รูปปั้นแบบร่างพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 นี้ มีลักษณะเหมือนจริง ดูน่าเกรงขาม การสร้างอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เป็นเสมือนการเน้นพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่กำลังอ่อนแอและถูกท้าทาย เป็นศิลปะแบบวิชาการชิ้นสุดท้ายที่กำหนดจากทางการโดยราชสำนัก ก่อนที่รัฐไทยสมัยใหม่จะเข้ารับช่วงการอุปถัมภ์ศิลปะแบบวิชาการนี้ต่อไป
    ประติมากรรม แนวอุดมคติ ผลงานของศิลปิน อาทิ ชิต เหรียญประชา (พ.ศ. 2451-2537) ชำเรือง วิเชียรเขตต์ (พ.ศ. 2474- ) เขียน ยิ้มศิริ (พ.ศ. 2465-2514)

ห้องจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน
    จัดแสดงผลงานของสองศิลปินแห่งชาติ ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ และอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ทั้งสองท่านถึงแก่กรรมเมื่อเดือนกันยายน 2557
ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ (28 ตุลาคม 2477 - 19 กันยายน 2557)
ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์)
  • ไก่ชน ไม้แกะระบายสี 2507
  • ยามเช้า แม่พิมพ์ไม้แกะ 2524
  • ความรักของแม่ แม่พิมพ์ไม้แกะ 2525
  • ครอบครัว แม่พิมพ์ไม้แกะ 2525
  • ครอบครัวตุ๊กแก แม่พิมพ์ไม้แกะ 2533
อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี (27 กันยายน 2482 - 3 กันยายน 2557)
ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม)
  • เรือสองลำ สีน้ำมันบนผ้าใบ 2506
  • ชาวนา สีน้ำมันบนผ้าใบ 2507
  • ไมยราพ สีน้ำมันบนผ้าใบ 2510
  • สุวรรณสาม สีน้ำมันบนผ้าใบ 2519

นิทรรศการศิลปะปูนปั้นแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 14
    ผลงานประกวดจำนวนมาก ภาพปั้นนูนสูง และภาพปั้นลอยตัว

เดินชมผลงานจัดแสดงกว่า 2 ชั่วโมง ฝนหยุดแล้ว จึงออกมาชมความงามของอาคารด้านนอก สวนและสนามหญ้าเขียวอยู่ภายในโอบล้อมของตึก ยิ่งงดงามหลังฝนตก

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป จัดลำดับ ประเภท สิ่งแสดงได้อย่างดี ให้ความรู้ ความเข้าใจในวิวัฒนาการงานศิลปะของชาติ ให้เห็นคุณค่า เอกลักษณ์ จิตรกรรมไทยประเพณี ให้เรียนรู้ถึงการคลี่คลายทางสังคม การเมือง อันส่งผลต่องานศิลปะ
ค่ารถไปกลับ 23.00 บาท

ข้อมูลจาก
    นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
    th.wikipedia.org

October 23, 2014

Bangkok on Foot: วัดราชบพิธ สวนสราญรมย์ วัดราชประดิษฐ์: 15.10.2014

สายวันนี้นั่งรถเมล์เย็นไปสนามหลวง รถจอดตรงศาลฎีกา ตึกใหญ่สีเทาที่เคยสง่างาม ขรึมขลัง กำลังถูกทุบเป็นกองอิฐ กองปูน หม่นหมองภายในรั้วกั้นที่ปิดไว้ลวกๆ
    เดินไปตามถนนราชดำเนินใน ถึงมุมศาลหลักเมือง เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหน้าหับเผย 'หับเผย' คือเรือนจำสำหรับนักโทษจำพวกลหุโทษซึ่งในอดีตเคยตั้งอยู่บริเวณนี้ ประตูเรือนจำ 'หับ' (ปิด) ในตอนเย็น และ 'เผย' (เปิด) ในตอนเช้า
    ผ่านสำนักงานอัยการสูงสุด ผ่านศาลเยาวชนและครอบครัวกลางร้างผู้คนเพราะย้ายออกไปอยู่ที่ใหม่ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2557

สุดถนนหน้าหับเผย เลี้ยวขวาเข้าถนนราชินี เลียบคลองคูเมืองเดิมด้านตะวันตก ฝั่งตรงข้ามเลียบด้านตะวันออกของคลองคือถนนอัษฎางค์ ถนน-คลอง-ถนน ต้นไม้ริมคลอง ตึกแถวแค่สองชั้น เก่าแก่แต่ครั้งรัชกาลที่ 5 บานหน้าต่างไม้ กรอบหน้าต่างปูนปั้นประดับ ลวดลายมีชั้นเชิง องค์ประกอบทั้งหมดชวนให้เพลิดเพลินยิ่ง

คลองคูเมืองเดิมมีสะพานคนข้ามสำคัญที่ยังคงรักษาของเก่าไว้ ได้แก่ สะพานปีกุน และสะพานหก
    สะพานปีกุนนั้นสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ให้สร้างขึ้นในวโรกาสพระชนมายุครบสี่รอบ (พ.ศ. 2454) เชิงสะพานทั้งสองฝั่ง มีเสาฝั่งละ 2 ต้น รวมทั้งหมด 4 ต้น เป็นเสาคอนกรีตเซาะร่อง หัวเสาเป็นรูปถ้วยประดับช่อมาลา มีวงรูปไข่สี่วงทุกเสา ต้นเสาหมายถึงเทียนประทีปพระชันษา แต่เป็นตะเกียงไม่มีแสง เสา 4 ต้นแทนสี่รอบพรรษานี้ เมื่อขาดพระราชสวามีไปก็คล้ายดวงชวาลาที่อับแสง ขาดความรุ่งโรจน์
    เชิงสะพานปีกุนฝั่งตะวันตกมีอนุสาวรีย์หมู อนุสาวรีย์นี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระยาพิพัฒนโกษา และพระยาราชสงคราม ร่วมกันสร้างเป็นอนุสรณ์ถวายสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เมื่อมีพระชนมายุครบ 50 พรรษา (พ.ศ. 2456) เป็นอนุสาวรีย์สหชาติของผู้เกิดปีกุน รูปปั้นหมูอยู่บนเขาหินจำลองมีท่อน้ำพุเป็นอุทกทานแก่ประชาชน มีจารึกถวายพระพรและชื่อผู้สร้างประดับไว้
    ส่วนสะพานหกสร้างขึ้นเมื่อคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี (พ.ศ. 2525) ตามแบบโบราณ มีโซ่ ลูกตุ้มถ่วง กลไกยกสะพานขึ้นได้เพื่อให้เรือผ่าน

ต้นทางจุดปล่อยรถเมล์ 4-5 สาย อยู่ต่อๆกันริมคลองด้านถนนราชินี กับเพิงขายอาหารตามสั่งหลายเพิง ทำบริเวณสกปรก รกรุงรัง เสียสภาพ

ริมรั้วกระทรวงมหาดไทย ถนนอัษฎางค์ ตึกหน้าคือศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ตึกเก่าสง่างามแต่ครั้งรัชกาลที่ 5 มีพระรูปสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดี ประทับนั่งอยู่ด้านหน้า แท่นใต้พระรูป จารึกปณิธานสำคัญ 'บำบัดทุกข์ บำรุงสุข'

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2412 มีลักษณะผสมระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตก คือ ลักษณะภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในออกแบบตกแต่งอย่างตะวันตก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม แปลว่า วัดพระมหากษัตริย์ทรงสร้าง ซึ่งมีสีมากว้างใหญ่รอบอาณาเขตวัด    ลักษณะพิเศษของมหาสีมาราม คือการทำสังฆกรรมไม่จำกัดเฉพาะในพระอุโบสถ แต่สามารถทำได้ทุกแห่งในเขตมหาสีมา
    วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงสุดท้าย ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างตามโบราณราชประเพณีของการสร้างวัดประจำรัชกาล
    ผังวัดมีพระเจดีย์ใหญ่ตรงกลาง พระอุโบสถอยู่ทิศเหนือของพระเจดีย์ พระวิหารทิศใต้ พระวิหารขนาดย่อมทิศตะวันออกและตะวันตก มีระเบียงโค้งรอบพระเจดีย์ ผนังทุกด้านประดับลวดลายกระเบื้องเคลือบวิจิตรงดงาม
    พระอุโบสถเปิด 9.00-9.30 น. และ 17.30-18.00 น.
    ผมไปถึงพระอุโบสถ 10.45 น. ก่อนหน้า มีคณะมาทำบุญ ประกอบพิธีในพระอุโบสถ เพิ่งเสร็จ คณะสงฆ์กำลังฉันเพล และพระอุโบสถปิดแล้ว ผมเดินดูภายนอกหลายรอบ เห็นประตูพระอุโบสถบานหนึ่งเปิดแง้มอยู่ มีรองเท้าวาง 2 คู่ ชะโงกหน้ามองดูภายใน ความงดงามที่เห็นและความสงบที่รู้สึก ชวนให้ถอดรองเท้า ก้าวเข้าไปภายใน
    พระอุโบสถภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย ภายในเป็นแบบตะวันตก คล้าย Hall of Mirrors, Versailles พระประธานคือพระอังคีรส ที่ฐานบัลลังก์ ภายในบรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีสุลาไลย และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าละม่อม กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร และพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชสรีรางคาร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
    เจ้าหน้าที่วัด 2 คนกำลังเปลี่ยนหลอดไฟหลายดวงที่ดับ ช่อไฟอยู่สูง ต้องใช้บันไดพาด จึงต้องช่วยกัน 2 คน ผมนั่งสงบกลางพระอุโบสถ ชื่นชมความงาม สันติสุข ปราศจากผู้คนจอแจ ราว 20 นาที รอจนเจ้าหน้าที่วัดเปลี่ยนหลอดไฟเสร็จและจะปิดประตูพระอุโบสถ จึงกลับออกมา

    นอกเขตกำแพงมหาสีมาด้านทิศตะวันตก ติดถนนอัษฎางค์ เป็นสุสานหลวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเป็นที่บรรจุพระอัฐิ และพระสรีรางคารของพระบรมราชเทวี พระราชเทวี เจ้าจอมมารดา พระราชโอรส และพระราชธิดาในพระองค์ รูปแบบสถาปัตยกรรมต่างๆ ทั้งพระเจดีย์ พระปรางค์ วิหารแบบไทย แบบขอม แบบโกธิค อยู่ในสวนซึ่งมีต้นลั่นทมและพุ่มพรรณไม้ต่างๆ ปลูกไว้อย่างสวยงาม
    อนุสาวรีย์ที่สำคัญคือ เจดีย์ทอง 4 องค์ เรียงลำดับจากเหนือไปใต้ มีชื่อคล้องจองกันดังนี้
    สุนันทานุสาวรีย์ บรรจุพระสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ บรมราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ พระราชธิดา
    รังษีวัฒนา บรรจุพระสรีรางคารพระราชโอรส พระราชธิดาอันประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี อาทิ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และพระราชนัดดา อาทิ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
    เสาวภาประดิษฐาน บรรจุพระสรีรางคารพระราชโอรส พระราชธิดาอันประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ และพระราชนัดดา เช่น สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
    สุขุมาลนฤมิตร์ บรรจุพระสรีรางคารพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต และพระนัดดา

ออกจากสุสานหลวงเดินเลียบคลองคูเมืองเดิม ข้ามสะพานหก เข้าสวนสราญรมย์ทางประตูด้านถนนราชินี
    สวนสราญรมย์เดิมเป็นเขตพระราชอุทยานของพระราชวังสราญรมย์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2409 สวนสราญรมย์ก่อสร้างขึ้นในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2417 โปรดเกล้าฯให้ เฮนรี อาลาบาศเตอร์ เป็นผู้ออกแบบและจัดสร้างสวนพฤกษศาสตร์ตามแบบอย่างในต่างประเทศ เมื่อเสด็จไปที่ใด พบพันธุ์ไม้แปลก ๆ ก็โปรดให้นำมาปลูกเพิ่มเติมที่สวนสราญรมย์อยู่เสมอ
    ปัจจุบัน สวนสราญรมย์เป็นสวนสาธารณะในความดูแลของกรุงเทพมหานคร
    ศาลาเรือนกระจก ตึกโถงชั้นเดียวกรุกระจก มีดาดฟ้าตกแต่งด้วยไม้ฉลุลวดลายวิจิตร เคยเป็นที่ตั้งของทวีปัญญาสโมสร และโรงละครทวีปัญญา เป็นสโมสรแบบตะวันตกของเจ้านายและข้าราชการชั้นสูง มีการออกหนังสือทวีปัญญารายเดือน การเล่นกีฬาในร่มและกลางแจ้ง ละครพูด และห้องอ่านหนังสือ ปัจจุบันสภาพเก่า ขาดการดูแล น่าเสียดาย

ทิศเหนือของสวนสราญรมย์เป็นที่ตั้งของวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร
    วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2407 ตามธรรมเนียมประเพณีโบราณที่ว่า ในราชธานีจะต้องมีวัดสำคัญประจำ 3 วัด คือ วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดราชประดิษฐ์
    วัดราชประดิษฐ์ฯ เป็นวัดฝ่ายธรรมยุติกนิกายวัดแรกที่สร้างขึ้นเพื่อพระสงฆ์ในนิกายนี้ เพราะวัดอื่น ๆ ของฝ่ายธรรมยุติเป็นวัดที่แปลงมาจากวัดของมหานิกาย
    พระวิหารหลวง ตั้งอยู่บนพื้นไพที ประดับด้วยหินอ่อนทั้งหลัง หน้าบันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นไม้สักแกะสลักลายรูปพระมหาพิชัยมงกุฎบนพระแสงขรรค์ มีพานแว่นฟ้ารองรับ พานแว่นฟ้าประดิษฐานอยู่บนหลังช้าง 6 เชือก ทั้งสองข้างประดับด้วยฉัตรห้าชั้น พื้นของหน้าบันเป็นลายกระหนก นับเป็นยอดสถาปัตยกรรมชิ้นหนึ่งของไทย
    ซุ้มประตูและหน้าต่างประดับด้วยรูปมงกุฎปูนปั้น บานประตูและหน้าต่างทำด้วยไม้สัก แกะสลักเป็นลายก้านแย่งซ้อนกันสองชั้น ลงรักปิดทองประดับกระจกสีงดงาม
    พระประธานประจำพระวิหารหลวงคือ พระพุทธสิหังคปฏิมากร จำลองมาจากพระพุทธสิหิงค์ที่ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
    บนผนังโดยรอบภายในพระวิหารหลวง เป็นภาพสีฝุ่น รูปเทพยดาดั้นเมฆ รูปพระราชพิธีสิบสองเดือน และรูปสุริยุปราคาที่หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์ ในสมัยรัชกาลที่ 4
    ปาสาณเจดีย์ อยู่ถัดจากพระวิหารหลวงไปด้านหลัง ภายนอกพระเจดีย์ประกอบด้วยหินอ่อนทั้งหมด
    ปราสาทยอดปรางค์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างปราสาทยอดปรางค์แบบขอมขึ้น 2 หลัง ตั้งอยู่บนลานไพทีด้านตะวันออก และด้านตะวันตกของพระวิหารหลวง
    ปราสาทด้านตะวันออก หน้าบันประดับด้วยรูปปูนปั้นนูน ภาพพุทธประวัติ ปางประสูติและปางปรินิพพาน ใช้เป็นหอไตร          
    ปราสาทด้านตะวันตก ยอดปรางค์ประดับด้วยพรหมสี่หน้า หน้าบันประดับรูปปูนปั้น นารายณ์บรรทมสินธุ์ ภายในปราสาทประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเรียกว่า 'หอพระจอม'
    หอระฆัง ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ ลวดลาย สีสันงดงาม หอระฆังนี้ไม่มีบันไดขึ้น ใช้เชือกโยงตุ้มระฆัง ดึงเคาะระฆังจากพื้นด้านล่าง

ย่านคลองคูเมืองเดิม วัดราชบพิธฯ สุสานหลวง สวนสราญรมย์ วัดราชประดิษฐ์ฯ พื้นที่เพียงหนึ่งในสี่ตารางกิโลเมตร แต่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ งานศิลปะชั้นยอด สถานที่รำลึก ความสุข ความทุกข์ ชวนให้ค้นคว้า เรียนรู้ ทำความเข้าใจ
ค่ารถไปกลับ 42.00 บาท (รถเมล์เย็น)

ข้อมูล ค้นจาก
         นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
         ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. ชื่อบ้าน นามเมือง. มติชน: 2538.
         th.wikipedia.org
         lib.su.ac.th

October 13, 2014

Bangkok on Foot: พิพิธบางลำพู: 10.10.2014

โรงพิมพ์คุรุสภาข้างป้อมพระสุเมรุ บางลำพู ถูกทิ้งร้างมาหลายสิบปี ดีที่กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน จึงไม่ถูกทุบทิ้ง
กรมธนารักษ์เจ้าของพื้นที่เป็นเจ้าภาพแปลงโฉมโรงพิมพ์เก่าให้เป็นพิพิธบางลำพู เพิ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อสิงหาคม 2557
พิพิธภัณฑ์นี้มีเพียง 2 อาคาร หลังหนึ่งเป็นปูน อีกหลังเป็นเรือนไม้ ชั้นสองของทั้งตึกปูนและเรือนไม้เป็นส่วนนำชม (guided tour) คราวละ 10-15 คน ใช้เวลาราว 30 นาที เดินชมเองไม่ได้
ผมไปถึงพิพิธภัณฑ์ 11.25 น. ได้ชมรอบ 11.30 น. ผู้เยี่ยมชมเพียง 3 คน

ที่ตึกปูนเน้นโฆษณากรมธนารักษ์ แจกแจงภารกิจของตน เข้าใจได้ว่าเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ แต่ภาพเสนอออกจะแปลกแยกจากสาระหลักของพิพิธภัณฑ์

ส่วนสำคัญหลักอยู่ที่ชั้นสองของเรือนไม้...
สีสันบางลำพู
ปูพื้นอดีตด้วยวิดีทัศน์ ฉายบนผนังไม้ จากนั้นเล่าเรื่องผ่านหนังสือเล่มเขื่อง 'พิพิธบางลำพู' เปิดประตูกลสู่...
เบาะแสจากริมคลอง
เงาผู้คนผ่านไปมาริมคลองบางลำพู จากคลอง สู่ถนน ชุมชนเล็ก ขยายข้ามสะพานนรรัตน์สถานสู่...
พระนครเซนเตอร์
จุดตัดรถราง คมนาคมหลัก คณะนาครบรรเทิงที่หนูมอมแมมแอบมองผ่านรูสังกะสีรั้ว โรงหนังบุศยพรรณกำลังฉาย 'เงิน เงิน เงิน'  ลิเกหอมหวลหยอกล้อกับผู้ชมซึ่งกลายร่างไปปรากฏบนเวที ห้างต.เง็กชวน ขายแผ่นเสียงตรากระต่าย ขายเข็มเครื่องเล่นแผ่นเสียง ร้านแก้วฟ้าเย็บรองเท้ายี่ห้อ Big Buffalo ที่โด่งดัง ร้านกาแฟนันทิยา บรรยากาศคลาสสิค ชวนนั่งกินกาแฟกับปาท่องโก๋ ร้านเสื้อนพรัตน์ ชุดนักเรียนเจ๋งจนคนใส่ขอแบะปกเสื้อโชว์ป้ายยี่ห้อนพรัตน์ ห้างตั้งฮั่วเส็ง ขายอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยและอื่นๆจิปาถะ เดินลัดเลาะต่อ...
ย่ำตรอกบอกเรื่องเก่า
บ้านตีทองคำเปลว บ้านปักดิ้นทองดิ้นเงินชุดโขน บ้านแทงหยวก บ้านดุริยประณีต มัศยิดจักรพงษ์ ผ่านไปยัง...
ห้องถิ่นคนดีศรีบางลำพู ต้นลำพูต้นสุดท้ายที่ตายไปเมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่ 2554
ปิดท้าย...
พระพุทธบางลำพูประชานาถที่สมเด็จพระสังฆราชฯประทานให้ชุมชน

ชั้นล่างเรือนไม้เป็นห้องสมุดชุมชน และที่จัดกิจกรรมต่างๆ
ชั้นล่างตึกปูน...
เอกบรมองค์ราชินี นิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถในวโรกาสพระชนมายุ 82 พรรษา
ป้อมเขตขัณฑ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ประตูคู่วิถี

พิพิธบางลำพูแสดงอดีต ความเป็นมา ชีวิตผู้คน ในลักษณะพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ที่น่าสนใจ
ส่วนดีที่สำคัญคือการได้รักษาอาคารโรงพิมพ์เก่าที่ถูกทิ้งร้างให้กลับมีชีวิตที่มีคุณค่าอย่างใหม่
ค่ารถไปกลับ 8 บาท (รถเมล์ฟรี 3 เที่ยว)

ข้อมูลพิพิธบางลำพูค้นได้จาก www.paiduaykan.com



October 8, 2014

Bangkok on Foot: วัดบวรนิเวศวิหาร: 07.10.2014

คนกรุงเทพฯ เห็นภาพเมืองกรุงชินตา จนไม่รับรู้ว่ากรุงเทพฯเป็นที่หมายสำคัญลำดับต้นๆที่ผู้คนทั่วโลกอยากมาเยือน
ผมเองก็เป็นอย่างเดียวกัน รู้จักกรุงเทพฯน้อยมาก ได้แต่ผ่านตรงนั้น ตรงนี้ ไม่เคยสำรวจสถานที่สำคัญที่มีอยู่มากมายอย่างจริงจัง หลังเกษียณอายุราชการมีเวลาว่างมากขึ้น จึงตั้งใจเดินเที่ยวลำพัง สัปดาห์ละ 1 วัน ครั้งละ 2-3 ชั่วโมง ใช้รถเมล์ รถไฟฟ้าจากที่พักไปที่หมาย

วันนี้ได้ฤกษ์เปิดโครงการ ตอนเช้าเขามาฉีดยากันปลวกที่พัก ผมไม่ใช่ปลวก คิดว่าควรหลบห่างยาไม่พึงประสงค์ ออกจากที่พักใกล้เที่ยง นั่งรถเมล์ไปเทเวศร์ แวะกินมื้อกลางวัน ต่อรถไปบางลำพู เดินไปวัดบวรนิเวศวิหาร

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ในรัชกาลที่ 3 (อุปราชาภิเษก 2367 - สวรรคต 2375) ทรงสร้าง'วัดใหม่' เพื่อปลงศพเจ้าจอมมารดา (น้อย) เจ้าจอมของพระองค์เจ้าดาราวดี พระราชชายา
ภายหลังกรมพระราชวังบวรสถานมงคลสวรรคต พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมิได้ทรงตั้งเจ้านายพระองค์ใดขึ้นแทน
2379 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุประทับอยู่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) เสด็จมาครองวัดใหม่นี้ โปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเข้าไปเลือกของในพระราชวังบวรฯได้ตามพระประสงค์ และพระราชทานชื่อวัดใหม่ว่า 'วัดบวรนิเวศวิหาร' เพื่อเทียบกับชื่อ 'บวรสถาน' เป็นเหมือนประกาศให้รู้ว่าทรงเทียบสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ไว้ในฐานะกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตำแหน่งมหาอุปราช เพื่อความสำคัญในการสืบราชสมบัติ และในการเสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหารของสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ก็โปรดให้จัดขบวนแห่เหมือนอย่างพระมหาอุปราช

วันนี้ วันอังคาร คนน้อย นักท่องเที่ยวหัวแดงไม่กี่คน หัวดำล้งเล้งไม่มี คนไทยมาไหว้พระ สงบ ผ่อนคลาย ลมเย็นสบาย แดดร่ม ครึ้มฝน
บริเวณวัดสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบ ป้ายรายละเอียดแต่ละจุดให้ข้อมูลพอดี ไม่ยาวเกินอ่าน
พระอุโบสถ ภายในวิจิตร ทั้งผนัง เพดาน พระประธาน พระพุทธสุวรรณเขต พระพุทธชินสีห์ สงบใจ
ชื่นชมความงามของศิลปะ องค์ประกอบทั้งหมด
พระเจดีย์ สีทองโดดเด่น บนฐานชั้นที่สอง สัตว์สี่ชนิดสี่ตัวสี่มุมบอกนัยการเมือง มุมมองรอบๆจากที่สูงช่วยให้เห็นลวดลายหลังคา หน้าบัน ลายปูนปั้นเคลือบงดงามของอาคารข้างเคียง
พระพุทธบาทโบราณสองพระบาทต่างจากที่อื่น
ตำหนักเพชรประดิษฐานพระศพของสมเด็จพระสังฆราชฯ ใกล้ครบ 1 ปีวันสิ้นพระชนม์ 24 ตุลาคม 2556 ยังคงสวดพระอภิธรรมพระศพทุกวัน วันละหลายเวลา
คณะรังษีจากวัดรังษีสุทธาวาส วัดเก่า ที่ผนวกเข้ากับวัดบวรฯแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อปี 2458 รวมอยู่ด้านหลัง

เดินเที่ยววันนี้ ได้เรียนรู้ความสำคัญและชื่นชมความงามของวัดบวรนิเวศวิหาร
ค่ารถไปกลับ 22.50 บาท

ข้อมูลวัดให้ความรู้อย่างดีที่ www.watbowon.comข