March 18, 2018

Nakhon Phanom: บ้านลุงโฮ: 18.11.2016

เมฆหนาทึบปกคลุมทิวเขา บดบังดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือโขง เพียงครู่เดียวแสงก็จ้าไปเสียแล้ว
ระหว่างรองท้องด้วยขนมปังกับกาแฟ ‘แก่น’ เด็กสาวผู้ทำทุกหน้าที่ในบ้านปันสุข โทรศัพท์ตาม ‘ลุงฮง’ เจ้าของรถตุ๊กตุ๊ก รถดัดแปลงจากมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่พ่วงท้ายด้วยกระบะโดยสาร ที่นั่งสองแถวตามยาวหันหน้าหากัน แต่ก่อนเรียก 'รถสกายแล็บ' (Skylab) เราตกลงเหมารถให้ลุงฮงขับตระเวนพาเที่ยวทั้งวันนี้

08.30 น. ออกเดินทาง จุดหมายสำคัญแรกคือบ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง
     ลุงฮงขับพาเลี่ยงรถติดในเมืองไปตามถนนสารภาณนุสรณ์ ถนนสายแรกของนครพนม ทางสัญจรดั้งเดิมของชุมชนคนญวน เลี้ยวขวาเข้าถนนเลี่ยงเมือง (240) ไปราว 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนนิตโย (22) ไปอีก 1 กิโลเมตรเศษ ข้ามคลอง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนทางไปที่ว่าการอำเภอเมือง ผ่านวัดภูเขาทอง เพียง 2 กิโลเมตร ก็ถึงบ้านลุงโฮ เวลา 09.00 น….

Ho Chi Minh (1890-1969)
     รัฐบุรุษ และประธานาธิบดี ผู้นำการปลดแอกอาณานิคมจากฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (1946-1954) ผู้นำการต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาในสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง (1960-1975) หรือสงครามเวียดนาม (ชื่อที่สหรัฐอเมริกาเรียก) หรือสงครามอเมริกัน (ชื่อที่เวียดนามเรียก) สู่การรวมประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด
     ตอนเกิดชื่อ Nguyen Sinh Cung ที่หมู่บ้านในจังหวัด Nghe An ตอนกลางประเทศ เวลานั้นเวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้วตั้งแต่ปี 1863
     อายุ 11 ปี บิดาเปลี่ยนชื่อให้เป็น Nguyen Tat Thanh (‘ผู้ประสบความสำเร็จ’) ตามจารีตในการเปลี่ยนชื่อเมื่อบุตรเข้าสู่วัยรุ่น
     ครูสอนภาษาฝรั่งเศสแนะเขาว่า ‘หากต้องการเอาชนะคนฝรั่งเศส คุณต้องเข้าใจเขา และหากต้องการเข้าใจเขา คุณต้องเรียนรู้ภาษาของเขา’
     ปี 1907-1909 Nguyen Tat Thanh เข้าศึกษาที่โรงเรียน Quoc Hoc (National Academy) เมือง Hue
     ปี 1911 Nguyen Tat Thanh โดยสารเรือฝรั่งเศสออกจากเวียดนาม หลายปีจากนั้น เขาใช้ชีวิตตามเมืองต่างๆ อาทิ นิวยอร์ค บอสตัน ลอนดอน จนถึงปลายปี 1917 จึงย้ายไปฝรั่งเศส
     ต้นปี 1919 เข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส ตีพิมพ์บทความต่อต้านลัทธิอาณานิคม
     ปี 1919 ภายใต้ชื่อ Nguyen Ai Quoc (‘ผู้รักชาติ’) เขาส่ง ‘ข้อเสนอ 8 ประการ’ ต่อที่ประชุม Versailles Peace Conference ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) ยุติลง เรียกร้องสิทธิปกครองตนเอง หรือเอกราชโดยสมบูรณ์ ของเวียดนาม
     ประธานาธิบดี Woodrow Wilson แห่งสหรัฐอเมริกา ตอบสนองต่อประเด็นอาณานิคมอย่างคลุมเครือ ขณะที่ Vladimir Lenin แห่งสหภาพโซเวียต ประกาศอย่างชัดเจนในปี 1920 เรียกร้องให้ประเทศคอมมิวนิสต์ในโลกตะวันตกร่วมต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชนทุกหนแห่งให้หลุดจากแอกอาณานิคม ท่าทีที่ต่างกันสุดขั้วดังกล่าวทำให้ Nguyen Ai Quoc เดินทางไปยังกรุงมอสโคว์เพื่อแสวงความสนับสนุนจากโซเวียต
     ปี 1923 ร่วมประชุม First International Congress of Farmers ของ Comintern (Communist International) ที่กรุงมอสโคว์
     ปี 1924-1927 ประจำที่ Guangzhou ในฐานะล่ามภาษารัสเซีย-จีน และเป็นผู้เชี่ยวชาญกิจการเอเชียของ Comintern นอกจากนี้ เขายังจัดฝึกอบรมทางการเมืองแก่ยุวชนปฏิวัติเวียดนาม
     พฤษภาคม 1927 Nguyen Ai Quoc หนีการจับกุมของรัฐบาลก๊กมินตั๋ง จาก Guangzhou ไปฮ่องกง และต่อไปยังมอสโคว์ จากนั้น Comintern ส่งเขาไปฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมนี เป็นเวลาสั้นๆ ก่อนย้อนกลับมาเอเชีย เขาเดินทางผ่านสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี แล้วโดยสารเรือญี่ปุ่นมายังสยาม
     กรกฎาคม 1928 Nguyen Ai Quoc ในวัยฉกรรจ์ (38 ปี) เดินทางถึงกรุงเทพฯ
     เวลานั้น ชาวเวียดนามส่วนหนึ่งที่ต่อต้านการยึดครองของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ได้อพยพมาปักหลักอยู่แถบภาคอีสานของสยาม ตั้งแต่ช่วงหลังของศตวรรษที่ 19    
     ปี 1928-1930 Nguyen Ai Quoc ซึ่งเรียกตนเองว่า ‘คุณพ่อจิ้น’ (Father Chin) เดินทางไปพำนักตามชุมชนชาวเวียดนามในจังหวัดต่างๆ อาทิ พิจิตร อุดรธานี หนองคาย สกลนคร มุกดาหาร นครพนม และอุบลราชธานี จุดประสงค์คือการจัดตั้ง ‘สันนิบาตยุวชนปฏิวัติแห่งเวียดนาม’ (Vietnam Revolutionary Youth League) เพื่อนำสู่ Comintern ในเอเชีย
     เขาหนุนกำลังใจชุมชนชาวเวียดนามให้ดำเนินชีวิตกลมกลืน ร่วมมือ และเป็นมิตรกับชาวสยามในพื้นที่ ตลอดจนให้เรียนรู้ภาษาไทย
     ที่บ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง นครพนม ‘คุณพ่อจิ้น’ พำนักกับ หว่อตร่องต่าย สหายสนิท…

ประตูรั้วเปิดกว้าง เสาปูนด้านซ้ายปักธงชาติไทย ด้านขวาปักธงชาติเวียดนาม ใต้ซุ้มประตูรั้วแขวนป้ายผ้าสีขาว 2 ผืนต่อกัน ผืนหนึ่งมีตัวหนังสือสีแดงเขียนว่า ‘บ้านลุงโฮจิมิน’ อีกผืนเขียนว่า ‘Ho Chi Minh’s House’
     ภายในบริเวณร่มครึ้มด้วยไม้ใหญ่ มีต้นมะเฟืองที่ปักป้ายไว้ว่าปลูกโดยลุงโฮ
     ถนนลูกรังโรยกรวด พาผ่านแนวไม้ดอกสองฝั่ง ตรงสู่บ้านไม้ชั้นเดียว
     ประตูบ้านอยู่ตรงกลาง ชายคาแขวนบังแดดทำด้วยไผ่ขัดแตะ บังประตูเกือบถึงพื้น ผนังด้านหน้ามีหน้าต่างข้างละช่อง เหนือหน้าต่างข้างซ้ายติดป้ายเขียนว่า ‘A place where President Ho Chi Minh used to stay.’
     ในบ้านแบ่งเป็นห้องนอนเล็กๆ 2 ห้อง และห้องโถงทำงาน ด้านหนึ่งตั้งหิ้งบูชา บนผนังหลังหิ้งบูชามีรูปหว่อตร่องต่าย และรูปโฮจิมินห์ (ในวัยอาวุโสซึ่งเป็นที่คุ้นตา) แขวนอยู่คู่กัน นอกจากนี้ยังมีรูปโฮจิมินห์ในหลายเหตุการณ์ หลายเวลา ติดบนผนังโดยรอบ
     หลังบ้านมีห้องครัวเล็กๆ
     ข้างบ้านมียุ้งฉางยกพื้นสูงตั้งบนเสา และมีเกวียนจอดอยู่
     คุณกรกนก วงศ์ประชาสุข เจ้าของบ้าน ทายาทรุ่นที่สาม เป็นหลานของปู่หว่อตร่องต่าย กับย่านำ วรหาญ และเป็นลูกสาวของพ่อเหงียนวันเตียว เธอนำชมบ้านอย่างกระตือรือร้น เป็นกันเอง อีกทั้งเล่าประวัติศาสตร์อย่างสนุก

บ้านลุงโฮหลังนี้ถูกปิดเป็นความลับมายาวนาน โดยเฉพาะระหว่างสงครามเวียดนาม (1960-1975) ที่รัฐบาลไทยสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ส่งกองทหารกว่าหนึ่งหมื่นนาย เข้าไปร่วมกับ ‘มหามิตร’ สหรัฐอเมริกา ‘รุมกินโต๊ะ’ เวียดนาม ในช่วงปี 1967-1972 อีกทั้งอำนวยความสะดวกให้สหรัฐอเมริกาใช้พื้นที่ของประเทศไทยในหลายด้าน ที่สำคัญคือ ฐานบิน 7 แห่ง สำหรับกองทัพสหรัฐอเมริกาใช้ส่งกำลังบำรุงและส่งเครื่องบินโจมตีทางอากาศต่อเวียดนาม ฐานบิน 7 แห่งนี้ได้แก่ อู่ตะเภา ตาคลี อุดร นครพนม อุบล โคราช และดอนเมือง นอกจากนี้ ยังมีศูนย์เรดาร์โทรคมนาคม ค่ายพักกองกำลังพิเศษ กองบัญชาการ CIA และค่ายฝึกทหาร
     วันที่ 30 เมษายน 1975 รถถังในบังคับบัญชาของพันเอก Bui Tin แห่งกองทัพเวียดนามเหนือแล่นชนพังประตูทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Independence Palace) กลางกรุงไซ่ง่อน เข้ายึดศูนย์อำนาจของฝ่ายใต้ทั้งหมด ปิดฉากสงครามเวียดนาม และเปิดทางสู่การรวมประเทศ
     วันที่ 6 สิงหาคม 1976 ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนาม และต่อมาเปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ในปี 1978
     Ho Chi Minh (ใช้ชื่อนี้ตั้งแต่ปี 1942) ได้รับความนับถือยกย่องอย่างสูงในประเทศสังคมนิยม ในฐานะรัฐบุรุษผู้รักชาติ อุทิศตนรับใช้ชาติ เอาชนะมหาอำนาจตะวันตกทั้งฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาผู้รุกรานด้วยอำนาจอธรรม จนที่สุดนำสู่การรวมประเทศเวียดนามที่มีเอกราช เสรีภาพ และสันติภาพ ชีวิตของท่านได้ให้นิยามแก่คำว่า ‘รักชาติ’ และ ‘รับใช้ชาติ’ ที่แท้จริง
     ปี 1987 UNESCO มีมติเป็นทางการ เชิญชวนประเทศสมาชิกร่วมรำลึกและจัดกิจกรรมในปี 1990 วาระ 100 ปี ชาตกาล Ho Chi Minh บุคคลสำคัญของโลก
     ความคลี่คลายของประวัติศาสตร์ทำให้ห้วงเวลาของ ‘คุณพ่อจิ้น’ ที่บ้านนาจอก มิใช่เรื่องต้องปิดลับอีกต่อไป บ้านลุงโฮที่คงรักษาสภาพดั้งเดิม ในสวนร่มครึ้ม จึงปรากฏแก่สาธารณะ โดยมีทายาทรุ่นที่สามของ หว่อตร่องต่าย สหายสนิทของ ‘คุณพ่อจิ้น’ ทำหน้าที่บันทึกและถ่ายทอดประวัติศาสตร์สำคัญในแบบ communicative memory
     ความทรงจำและการนำเสนออย่างเรียบง่ายตามความเป็นจริงเช่นนี้ ไม่ต้องรสนิยมและอัตวิสัยของ ‘ราชการ’ ประกอบกับบ้านลุงโฮเป็นที่ส่วนบุคคล ‘ราชการ’ ไม่อาจยุ่มย่ามตามอำเภอใจ จึงเกิดสิ่งปลูกสร้างในนาม ‘พิพิธภัณฑ์’ และ ‘อนุสรณ์สถาน’ ห่างจากบ้านลุงโฮ ไปทางตะวันตกเพียง 400 เมตร

พิพิธภัณฑ์ประธานโฮจิมินห์ หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม
     พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ส.ส. นครพนม ของบประมาณ จำนวน 7.5 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ 2 ชั้น สิ่งแสดงได้แก่ ชีวประวัติ Ho Chi Minh และแบบจำลองบ้านเกิดของท่านที่หมู่บ้านในจังหวัด Nghe An เป็นต้น
     นอกจากนี้ ยังมีอาคารเปิดโล่ง สำหรับจัดกิจกรรม
     พิพิธภัณฑ์ประธานโฮจิมินห์ หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม นี้ ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2004 โดย ฟามวันขาย นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ทั้งสองได้ปลูกต้นไม้ไว้เป็นอนุสรณ์คนละหนึ่งต้น

อนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์
     สร้างบนพื้นที่ 7 ไร่ ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ประธานโฮจิมินห์ หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม
     งบประมาณ 45 ล้านบาท จากรัฐบาลเวียดนาม ใช้เวลาก่อสร้างราว 2 ปี เพิ่งทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2016 ในวาระ 126 ปี ชาตกาล ประธานาธิบดี Ho Chi Minh
     ภูมิสถาปัตยกรรมเป็นแบบจารีตนิยมเวียดนาม จากซุ้มประตูอลังการ ผ่านเข้าภายใน ข้ามสะพานโค้งที่ทอดเหนือสระน้ำทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีฝูงปลาคาร์ปแหวกว่าย สู่เก๋งประธาน ภายในตั้งรูปปั้นประธานาธิบดี Ho Chi Minh บนแท่นบูชา ผนังด้านหลังประดับธงชาติเวียดนาม
     ด้านนอกเก๋งประธาน บริเวณส่วนหลังของอนุสรณ์สถาน มีภูเขาทำด้วยหินสลักขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายมีเรือนไม้ 3 หลัง จำลองเสมือนบ้านลุงโฮ ห้องครัว และยุ้งฉาง ยังขาดแต่เกวียนที่จอดข้างยุ้งฉาง เรือนทั้งสามนี้ถ่ายแบบและวางตำแหน่งตามของจริงในสวนของ หว่อตร่องต่าย ซึ่งอยู่ห่างอนุสรณ์สถานนี้ไปเพียง 400 เมตร
     นอกจากนี้ ร้านจำหน่ายของที่ระลึก ยังมีชุด Ao Dai สีสันงดงามจำนวนมาก ไว้ให้นักท่องเที่ยวเช่า เพื่อเซลฟี่ที่รื่นรมย์สมบรรยากาศ
     อนุสรณ์สถานแห่งนี้ถูกอวดอ้างว่าเป็นอนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก!

แต่เดิม ‘ราชการ’ เห็น Ho Chi Minh เป็นบุคคลต้องห้าม เป็นศัตรู ตามกำกับของ ‘มหามิตร’
ครั้น Ho Chi Minh ได้รับการนับถือยกย่องในฐานะบุคคลสำคัญของโลก ‘ราชการ’ ก็จำต้อง ‘ปรับทัศนคติใหม่’ บันดาลให้เกิด ‘พิพิธภัณฑ์’ และ ‘อนุสรณ์สถาน’ จัดแสดง ‘ของจำลอง’ ขึ้นที่บ้านนาจอก หมายเพื่อเป็นตัวแทนแห่งร่องรอยของ Ho Chi Minh ณ ที่นี้เมื่ออดีต ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่เพียงละเลยคุณค่าของความจริงในสถานที่จริงเท่านั้น หากยังสร้างความสับสนต่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างที่พึงประสงค์อีกด้วย


ข้อมูลค้นจาก
     Lady Borton. Ho Chi Minh: A Journey. Hanoi: Gioi Publishers. 2007.
     Duiker, WJ. Ho Chi Minh. Adelaide: Allen & Unwin. 2000.
     wikipedia.org    
     thaiembassy.org  
     Assmann J. Communicative and Cultural Memory. Cultural Memory Studies. An International and Interdisciplinary Handbook. Berlin, New York, 2008, S109-118.