December 9, 2016

Bangkok on Foot: ปราสาทพระเทพบิดร: 06.04.2016

วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325...
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานี
     ปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4 พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมา พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง โดยโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูปไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ต่อมามีการย้ายสถานที่ประดิษฐานหลายครั้ง ได้แก่ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท และพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท    
     ปี พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ย้ายพระบรมรูปมาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 ทั้งมีพระบรมราชโองการประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปในวันที่ 6 เมษายนปีนั้น และให้เรียกวันที่ 6 เมษายนว่า 'วันจักรี'
     ปัจจุบัน ปราสาทพระเทพบิดรเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะได้เฉพาะในวันจักรี และวันฉัตรมงคล

วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559...
กรุงเทพฯ อายุ 234 ปี
     09.30 น. ผมนั่งรถเมล์เย็นไปวัดพระแก้ว จุดหมายสำคัญของกรุงเทพฯ รถบัสนักท่องเที่ยวจีนจอดเรียงแถวยาวตลอดถนนหน้าพระธาตุฝั่งตรงข้ามสนามหลวง รถเมล์ถูกบังคับเปลี่ยนเส้นทางไปท่าเตียน
     ผมลงจากรถที่ท่าเตียน เดินตามถนนมหาราชเลาะกำแพงพระบรมมหาราชวังด้านทิศตะวันตก เลี้ยวขวาที่หัวมุมตัดกับถนนหน้าพระลาน เดินต่อไปจนถึงประตูวิมานเทเวศร์เข้าไปยังพระบรมมหาราชวัง นักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มเต็มไปหมด เกือบทุกคนถือไม้ selfie ยาวมาก ระเกะระกะ ผมรีบเดินหลบไปทางทิศตะวันออก ผ่านประตูพระระเบียงเข้าไปในวัดพระแก้ว มุ่งหน้าสู่ปราสาทพระเทพบิดร

ปราสาทพระเทพบิดร
     สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2398 เดิมเรียกว่า 'พุทธปรางค์ปราสาท' เป็นปราสาทจตุรมุข ยอดปรางค์ นภศูลมีมงกุฎ ยอดปรางค์ประดับกระเบื้องเคลือบ มุขหน้าอยู่ทางตะวันออก เป็นมุขลดโถง มีซุ้มทิศโดยรอบ ส่วนตอนบนยอดมีกาบขนุนประดับ มุขต่างๆ ประกอบด้วย ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นับเป็นปราสาทยอดปรางค์องค์เดียวในประเทศไทย ซุ้มพระทวารและซุ้มพระบัญชรทำเป็นรูปทรงมงกุฎ บานประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำ ผนังด้านนอกประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทำเป็นลายพุ่มดอกไม้
     เดิมรัชกาลที่ 4 มีพระประสงค์จะอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ ณ ที่นี้ แต่พื้นที่คับแคบไม่เหมาะแก่พระราชพิธี ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระเจดีย์กาไหล่ทองของรัชกาลที่ 4 ประดิษฐาน ในปี พ.ศ. 2446 เกิดเพลิงไหม้พุทธปรางค์ปราสาท พระเจดีย์นี้ละลายสูญหายไป จึงโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมปราสาทขึ้นใหม่ แต่มาสำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามใหม่เป็น 'ปราสาทพระเทพบิดร' และให้อัญเชิญพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 5 พระองค์ ประดิษฐานภายในพระปราสาทนี้
     แม้คนมากแต่ก็เข้าไปภายในได้ มีเวลานั่งสงบใจ ชมพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8
     ปราสาทพระเทพบิดรตั้งบนฐานไพทีซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ถมที่ออกไปทั้งด้านตะวันออกและด้านตะวันตกของพระมณฑป เป็นฐาน 2 ชั้น มีบันไดทางขึ้น 7 แห่ง เป็นบันไดชนิดซุ้มประตูยอดมณฑป 2 ซุ้ม ซุ้มด้านพระศรีรัตนเจดีย์เป็นซุ้มประดับกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องถ้วย ส่วนซุ้มด้านหน้าพระมณฑปเป็นซุ้มปูนปั้นปิดทองประดับกระจก บนไพทีเป็นที่ตั้งพระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ ปราสาทพระเทพบิดร นครวัดจำลอง และบุษบกประดิษฐานพระบรมราชสัญลักษณ์ หน้ากำแพงไพทีตอนมุมเป็นย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง บนพนักกำแพงแต่ละมุมมีกรวยตั้งบนพาน 2 ชั้น เรียกว่าพนมหมาก ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีงดงาม บนลานทักษิณของไพทีตั้งรูปหล่อกินนร กินรี ประดับเป็นคู่ๆ

พระมณฑป
     เดิมคือหอมณเฑียรธรรม ตั้งอยู่กลางสระ ถูกไฟไหม้เมื่อปี พ.ศ. 2332 แต่ยกเอาตู้ประดับมุกทรงมณฑปพร้อมทั้งพระไตรปิฎกฉบับทองใหญ่ ซึ่งสังคายนาในสมัยรัชกาลที่ 1 ออกมาได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างที่ประดิษฐานพระไตรปิฎกใหม่ โดยถมสระเดิมสร้างฐานไพทีให้สูงเป็นที่ประดิษฐานพระมณฑป พระมณฑปนี้ทำเครื่องยอดเป็นไม้ประดับกระจก มีซุ้มประตูเข้าทั้ง 4 ด้าน ฐานปัทม์มีรูปยักษ์ ครุฑ และเทพนม ทำด้วยโลหะหล่อปิดทองประดับโดยรอบ ผนังด้านนอกติดลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ทางขึ้นสู่พระมณฑป มีรูปพญายักษ์หล่อด้วยโลหะ ตั้งประจำบันไดนาคทั้ง 4 ทิศ ทิศละ 2 ตน เสานางเรียงที่รับไขรารอบมณฑปเป็นเสาบัวจงกลย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง ทั้งสี่มุมของลานพระมณฑปตั้งพระพุทธรูปศิลา ศิลปะสมัยศรีวิชัยช่างชวา ซึ่งรัฐบาลฮอลันดาได้ถวายรัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสเกาะชวา

ตราประจำรัชกาลและรูปหล่อช้าง
     สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่รายรอบพระมณฑป ทำเป็นรูปช้างสำริดขนาดเล็กยืนบนแท่นล้อมรอบบุษบกโลหะมีฉัตรล้อมรอบ ถือเป็นช้างเผือกประจำรัชกาล เหนือช้างขึ้นไปเป็นตราประจำรัชกาล ด้านเหนือประจำรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 ด้านตะวันออกเฉียงใต้ประจำรัชกาลที่ 4 และด้านใต้ประจำรัชกาลที่ 5

พระศรีรัตนเจดีย์
     สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2398 โปรดเกล้าฯ ให้ถ่ายแบบจากพระมหาสถูป วัดพระศรีสรรเพชญ พระนครศรีอยุธยา เป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา มีซุ้มเข้า 4 ทิศ และมีเจดีย์เล็กๆ ลักษณะเดียวกันอยู่บนซุ้มทั้ง 4 ทิศ ภายในเจดีย์เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระศรีรัตนเจดีย์ได้ประดับกระเบื้องสีทองในสมัยรัชกาลที่ 5

นครวัดจำลอง
     อยู่บนลานพระมณฑปด้านเหนือ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาสามภพพ่าย (หนู) ไปจำลองแบบมาจากปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2409-2410 สร้างด้วยศิลาเลียนของจริงทุกประการ

เจดีย์ทอง 2 องค์
     สร้างมาแต่รัชกาลที่ 1 แต่เดิมอยู่ตรงที่เป็นปราสาทพระเทพบิดรในปัจจุบัน เมื่อรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ถมที่ต่อไพทีและสร้างปราสาทพระเทพบิดร จึงให้ชลอเจดีย์ทั้ง 2 องค์ไปไว้ที่ด้านข้างปราสาท ถึงรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ชลอมาไว้ด้านหน้าดังปัจจุบัน ลักษณะเจดีย์เป็นเจดีย์เหลี่ยมทรงเครื่องย่อไม้ยี่สิบ หุ้มทองแดงทั้งองค์ ปิดทองคำเปลวบัวเชิงบาตร ฐานเจดีย์ประดับด้วยมารแบกกระบี่แบก โดยรอบองค์เจดีย์อย่างละ 20 ตน

ศิลปสถาปัตยกรรมบนฐานไพทีแห่งนี้ หลากหลาย วิจิตรงดงาม
ชวนให้พิศวงในฝีมือช่างโบราณยิ่งนัก


ข้อมูลค้นจาก
     นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. 2525
     th.wikipedia.org