16.00 น. ถึง 'บ้านดำ' ตำบลนางแล...
ถวัลย์ ดัชนี (พ.ศ. 2482-2557) เป็นคนเชียงรายโดยกำเนิด บิดาชื่อ ศรี ดัชนี เดิมอยู่โคราช เป็นจ่าทหารบกฝ่ายกบฏบวรเดช (พ.ศ. 2476) ภายหลังพ่ายแพ้ฝ่ายรัฐบาล จ่าศรีหนีไปอยู่ที่พม่า แล้วย้อนกลับมาอยู่เชียงราย ไม่กลับโคราช ต่อมาแต่งงานกับแม่บัวคำ พรมสา ชาวเชียงราย มีลูกชายด้วยกัน 4 คน ถวัลย์เป็นคนสุดท้อง
ถวัลย์เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ของสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย เรียนชั้นมัธยม 1 ที่โรงเรียนพะเยาวิทยาคม และมัธยม 2-6 ที่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดเชียงราย ผลการเรียนดี ฝีมือในการวาดรูปดี เมื่อจบมัธยม 6 ได้รับทุนจากจังหวัดให้เรียนต่อที่โรงเรียนเพาะช่าง กรุงเทพฯ เพื่อจะได้กลับไปเป็นครูสอนวิชาวาดเขียน
ตอนนั้นปี พ.ศ. 2497 ถวัลย์ต้องนั่งรถคอกหมูที่มีหมูอยู่ข้างล่าง มีไม้พาดให้คนนั่งข้างบน จากเชียงรายสองวันถึงลำปาง รอต่อรถไฟที่แล่นมาจากเชียงใหม่ นั่งรถไฟจากลำปางอีกสองวันถึงกรุงเทพฯ
เมื่อไปรายงานตัวที่กระทรวงศึกษาธิการ ก่อนไปโรงเรียนเพาะช่าง มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดว่า 'ผลการเรียนถึงเก้าสิบกว่าเปอร์เซนต์ ทำไมมาเรียนเพาะช่าง' ทำเอาถวัลย์ไม่เหลือความภูมิใจ ไม่ตื่นเต้นกับความเป็นนักเรียนทุน
โรงเรียนเพาะช่างไม่มีหอพัก และกำลังก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ เพราะตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนถูกระเบิดจากเครื่องบินสัมพันธมิตรพังเสียหายยับ ตลอด 3 ปีที่เรียนอยู่นี่ ถวัลย์ไม่มีที่พัก อาศัยหลบซ่อนตามซอกตึก เมื่อจบหลักสูตรครูประถมการช่าง (ป.ป.ช.) ถวัลย์ไม่ยอมกลับไปใช้ทุน แต่มุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยศิลปากร
ถวัลย์เข้าเรียนที่ศิลปากร ช่วง พ.ศ. 2500-2505 เป็นลูกศิษย์รุ่นที่ 15 ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (พ.ศ. 2435-2505) (Corrado Feroci, 1892-1962) หกเดือนแรก เขาตั้งใจเรียน ขยัน และทำงานหนัก ด้วยตระหนักว่ารากฐานยังไม่มั่นคง แต่เสมือนปราศจากความเข้าใจ ทำให้ผลการเรียนตกต่ำ อาจารย์ศิลป์บอกถวัลย์ว่า
'นายคนภูเขา (ชื่อที่อาจารย์ศิลป์เรียกถวัลย์ ด้วยเขามาจากภูสูงของผ้าห่มปกและผีปันน้ำ) นายมันโง่แล้วขยัน ไม่ดีนะนาย นายยิ่งทำงานหนัก ยิ่งล่มจม เหมือนอียิปต์และเขมร ประเทศชาติล่มจมเพราะทำปิรามิด สร้างเทวาลัยมากเกินไป นายหัดคิดเสียบ้าง อย่าเอาแต่ทำ ขยันเกินไป โง่เกินไป ทำปุ๋ยยังไม่ดีนาย'
'นายคนภูเขา งานของนายมีแต่ถูกต้อง มันเป็นงานเรียน เป็นอะคาเดมิคนะนาย มันไม่มีชีวิต
ปลาของนายว่ายน้ำไม่ได้ ไม่มีกลิ่นคาว
ม้าของนายตายแล้ว ยืนตาย วิ่งไม่ได้ ร้องไม่ได้
วัดของนายเหมือนฉากลิเก
ฟ้าของนายไม่มีอากาศ หายใจไม่ได้
รูปของนายไม่มีมิสติคเลย นายไม่เข้าใจนะ นายคนภูเขา'
ถวัลย์หยุด ทบทวนตนเองใหม่ เรียน เสาะแสวง ค้นคว้า ไต่ถาม อีกปีต่อมาคะแนนทุกวิชา โดยเฉพาะวาดเส้น วิจัยศิลปะไทย ได้ถึงขั้นดีเป็นเลิศ ตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 เขาพูดได้ถึง 3 ภาษา ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน นอกจากฝีมือเยี่ยมยอดในเชิงศิลปะแล้ว เขายังมีความจำดีมาก ถวัลย์ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ให้สอบชิงทุนไปเรียนต่อ ด้านจิตรกรรมฝาผนัง อนุสาวรีย์ ผังเมือง และปริญญาเอก ด้านอภิปรัชญาและสุนทรียศาสตร์ ณ Rijksakademie van Beeldende Kunsten, Amsterdam, Netherlands เป็นเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2507-2511) หลังเรียนจบปริญญาตรีที่ศิลปากร
ถวัลย์รำลึกถึงอาจารย์ไว้ว่า 'ผมไม่เคยภาคภูมิใจในกิจกรรมอันใด ของสมมุติสัจจะในชีวิตที่เคยได้มี ได้ทำ ได้เป็น ไม่เคยให้ความสลักสำคัญกับโลกธรรมเหล่านั้น มีเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว ที่เคยได้มี เคยได้เป็น นั่นคือ เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี'
ช่วงปีท้ายๆ ที่ Amsterdam งานของถวัลย์โดดเด่น มีพลังมาก ภาพเขียนของเขาได้จัดแสดงเดี่ยว ครั้งหนึ่งที่ Fodor Museum และอีกครั้งหนึ่งที่ Museum of Amsterdam Nord นอกจากนี้ เขายังได้รับเชิญให้ไปบรรยาย สัมมนา ณ สถาบันศิลปะอีกหลายแห่งในยุโรป
ภายหลังสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก ถวัลย์กลับประเทศไทย ตั้งใจหาเลี้ยงชีพด้วยการวาดรูป เขามั่นใจในแนวคิด รูปแบบ และการสร้างงานศิลป์ของตนเอง
ปี พ.ศ. 2512 เขาบรรยายวิชาศิลปนิยม (art appreciation) ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์ ธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ศิลปากร ขอนแก่น และเชียงใหม่
ปี พ.ศ. 2514 ถวัลย์จัดนิทรรศการแสดงเดี่ยว ณ สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน กรุงเทพฯ หลังเปิดการแสดงผลงาน ได้มีนักเรียนอาชีวะกลุ่มหนึ่ง บุกทำลายภาพเขียนด้วยของมีคม จนภาพเขียนเสียหายยับ ด้วยแรงยั่วยุของสังคม เฉพาะอย่างยิ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 6 ตุลาคม 2514 ถวัลย์ถูกกล่าวหาว่า 'ศิลปินบ้าบิ่น เขียนภาพลบหลู่ดูหมิ่นพระพุทธศาสนา'
ถวัลย์พูดถึงเรื่องนี้ว่า 'การที่เขียนรูปคางคกปนกับเศียรพระ รูปช้างผสมกับคน หรือรูปผู้หญิงเปลือยกายกับพระสงฆ์ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่คนดูไม่เข้าใจ ว่าเป็นภาพเขียนที่ดูหมิ่นพุทธศาสนานั้น นับว่าไม่ถูกต้อง เพราะมีความเชื่อในเรื่องของความดี ความเลว เช่น บรรดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นย่อมจะอยู่ในสภาพที่เลวทรามต่ำช้ากว่าคน อุปมาเช่น คางคกนั้น น่าเกลียดเหลือกำลัง เป็นของที่สกปรก ซึ่งเปรียบได้กับความเลวทรามต่ำช้าของมนุษย์ ส่วนเศียรพระนั้น เป็นสิ่งแทนพระพุทธศาสนาอันเป็นของสูงยิ่ง แสดงถึงความดี ความบริสุทธิ์ ความมีปัญญา เมื่อนำมารวมกันแล้ว ก็จะเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความดีและความเลว ซึ่งเราจะเลือกเอาทางไหน'
'ถ้าโลกนี้ไม่มีความเลวแล้ว เราจะรู้ว่าคนดีนั้นเป็นอย่างไร'
'ดังนั้น จึงอาจเป็นไปได้ว่าคนที่ดูภาพเขียนนั้น ได้แปลความหมายของภาพเขียนนั้นผิดไป ซึ่งความจริงแล้วไม่ควรจะแปล เพราะงานศิลปะนั้น ถ้าเรามัวไปแปลอยู่ บางครั้งก็เกิดมีอคติต่องานศิลปะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานประเภท abstract แล้ว อย่าไปแปลให้ยุ่งยากเลย เพราะการแปลก็มิได้มีคำตอบให้ แต่ถ้าจำเป็น ควรจะพิจารณาว่าชอบหรือไม่ชอบ เท่านั้นคงจะพอ เราจะไม่พูดว่าเราเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เพราะการที่จะเข้าใจอะไรนั้น นับเป็นเรื่องที่ยาก'
การบรรยายพุทธปรัชญาด้วยจิตรกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของถวัลย์ ในห้วงเวลานั้น ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่เป็นที่ยอมรับในเมืองไทย หากกลับโดดเด่นในเวทีโลก อาทิ ผลงานจิตรกรรมฝาผนัง ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และผลงานแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลายแห่ง ได้แก่ นิวยอร์ค บอสตัน ชิคาโก วอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมนี และประเทศสวีเดน
ปี 1977 (พ.ศ. 2520) Count Hermann Hatzfeldt ทายาทผู้ครอบครองมรดก ปราสาท Crottof อายุกว่า 700 ปี อยู่ทางตะวันตกของเมือง Friesenhagen, Rheinland-Pfalz, Germany เชิญถวัลย์ให้ไปเขียนภาพประดับผนังใต้โดมใหญ่ของปราสาท ถวัลย์ใช้เวลา 3 ปี ทำสมาธิ ออกแบบ เขียนภาพ ตกแต่งองค์ประกอบ สำเร็จเป็น 'ห้องพุทธสมาธิ' (Buddhist Meditation Room) เป็นผลงาน masterpiece...
...บนผนังทางเข้าด้านทิศเหนือทาสีดำ คือความสงบแห่งรัตติกาล แผงสามเหลี่ยมมุมฉากสีทองแห่งรัตนตรัย ขนาบข้างกรอบประตูข้างละแผง เขียนลายวิจิตร แทนธาตุลม เหนือกรอบประตู เป็นวงกลมรูปราหูอมจันทร์
...ผนังที่เหลือทั้งหมดทาสีแดง คือความปรารถนา มีแผงสามเหลี่ยมหน้าจั่วสีทอง 3 แผง เขียนลายอย่างละเอียด แทนธาตุดิน น้ำ และไฟ ตรงกลางระหว่างสองแผงด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งแทนธาตุน้ำและธาตุไฟ เป็นซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืน บ่งถึงชัยชนะเหนือความปรารถนาของพุทธองค์ เหนือซุ้มพระ เป็นภาพดวงจันทร์สีทองล้อมดวงอาทิตย์แดงให้อยู่ตรงกลาง ในดวงจันทร์ปรากฏภาพหัวสัตว์ 4 ชนิด ช้าง ม้า วัว และแมวป่า แทนวรรณะทั้งสี่
ถวัลย์สร้างบ้านหลังแรกที่ตำบลนางแล เป็นบ้านสามเหลี่ยมทรงปิรามิด โครงสร้างไม้ไผ่ มุงหญ้าคา ฝาขัดแตะ ใต้ถุนสูง ถูกลมพายุพัดพังเสียหายถึง 3 ครั้ง ที่สุดเปลี่ยนเป็นโครงสร้างไม้จริง หลังคาไม้แป้นเกล็ด บ้านทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตามแนวตะวันออก-ตก มีระเบียงทางขึ้นสองด้าน ประดับตกแต่งด้วยกาแลและหางหงส์เป็นไม้แกะสลัก ทาสีดำทั้งหลัง จึงเป็นที่มาของชื่อ 'บ้านดำ'
บ้านหลังที่สองสร้างในปี พ.ศ. 2520 ชื่อ 'บ้านยุ้งข้าว' โครงสร้างเป็นไม้ ตง คาน เสา เข้าเดือย เจาะร่อง หลังคาทรงสามเหลี่ยมมุงแป้นเกล็ด กาแลไม้แกะสลัก มีใต้ถุนเตี้ย ทาสีดำทั้งหลัง
บ้านหลังที่สามสร้างในปี พ.ศ. 2521 ชื่อ 'บ้านกระบวยลุงแสง' ใช้จัดเก็บกระบวย ทรงบ้านคล้ายยุ้งข้าว แต่ประดับตกแต่งด้วยบราลี หูช้าง และกาแล เป็นไม้แกะสลัก ทาสีดำทั้งหลัง
บ้านหลังที่สี่สร้างในปี 2525 ชื่อ 'บ้านดำกาแลเกี่ยวฟ้า' เป็นเรือนไม้ต่อกันสามหลัง มีกาแลเป็นจุดเด่นที่จั่วหลังคา
ถวัลย์ได้สร้างบ้านดำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2-3 ปีต่อหลัง จนถึงปี พ.ศ. 2542 เขาสร้างหลังใหญ่ที่สุด เรียกชื่อว่า 'มหาวิหาร' เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามแนวตะวันออก-ตก กว้าง 20 เมตร ยาว 44 เมตร สูง 44 เมตร มีเสาไม้รับโครงสร้าง 44 ต้น ยกพื้นสูงจากดิน 2.80 เมตร บนฐานก่ออิฐถือปูน หลังคาทรงสามเหลี่ยม สี่ชั้นลด มุงด้วยกระเบื้องดินเผาไม่เคลือบ เครื่องประดับอาคาร ได้แก่ ฉัตร บราลี หางหงส์ ค้ำยัน มีบานประตูไม้ขนาดใหญ่ แกะสลักภาพนูนต่ำ มหาวิหารนี้สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2552
บ้านในยุคหลัง เปลี่ยนรูปแบบจากเดิม ไปเป็นรูปทรงคล้ายสถูป ก่ออิฐฉาบปูน เช่น อูปเปลวปล่องฟ้า อูปหยาดน้ำตาบนแก้มกาลเวลา อูปนอแรดในรุ้งดาว อูปนกกก อูปนกเงือก เป็นต้น
ถึงวันนี้ 'บ้านดำ' มีบ้าน 35 หลัง ตั้งห่างกันอย่างเหมาะสม ในท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ผืนหญ้าเขียวขจี บนที่ดินกว่า 100 ไร่ แต่ละหลังใช้สอยต่างกันไป เช่น บ้านที่เป็นที่วาดรูป บ้านรับแขก บ้านจัดแสดงผลงาน บ้านจัดประชุมสัมมนา เป็นต้น
ถวัลย์พูดถึงบ้านว่า 'บ้านที่กรุงเทพฯ เป็นภาชนะสำหรับใส่ร่างกาย แต่ที่บ้านดำ เป็นภาชนะใส่จิตวิญญาณ' ผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และมัณฑนศิลป์ หลากทำนองที่ถวัลย์สร้างสรรค์ไว้ เป็นสมบัติที่ฝากฝังไว้ให้แก่แผ่นดิน รวมกันอยู่ที่บ้านดำ
'ผมทำที่นี่เป็นเทวาลัยสำหรับความคิดเห็นของตนเอง ทำความรักปรากฏรูป ถ้าไข่มุกคือน้ำตาแห่งความอาลัยของหอย เทวาลัยแห่งนี้ก็คือ น้ำตาแห่งความปลื้มปิติของผม'
ต้นปี พ.ศ. 2554 สำนักวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายริเริ่มโครงการ 'เปิดบ้านศิลปิน' เพื่อเชิดชูศิลปินชาวเชียงราย ต่อมา กระทรวงวัฒนธรรมขยายโครงการดังกล่าวเป็นทั่วประเทศ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ได้มีพิธีเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติ ถวัลย์ ดัชนี ณ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ อย่างเป็นทางการ วันนั้น ถวัลย์กล่าวย้ำกับแขกผู้มาเยือนว่า
'ครั้งแรกผมเสาะแสวงหาสำหรับดำรงชีวิต บ้านเป็นที่อยู่แก่ร่างกาย เป็นภาชนะของร่างกายสำหรับดำรงชีวิต เมื่อเติบโตและผ่านพ้นการดำรงชีวิต ผมไม่ใช่ผู้เสาะแสวงหา แต่ผมเป็นผู้ค้นพบ ผมจึงนำการค้นพบของผมออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ และบ้าน 35 หลัง ที่ผมทำที่นี่ไม่ใช่ภาชนะใส่ร่างกายของผมอีกต่อไป แต่เป็นภาชนะที่ผมเอาไว้บรรจุดวงวิญญาณของผม เพื่อคืนทั้งหมดให้แก่แผ่นดิน เหมือนที่ ไมเคิล แองเจโล พูดว่าขอคืนงานศิลปะทั้งหมดให้แก่มวลมนุษยชาติและแผ่นดิน ในฐานะที่ผมเป็นจิตรกร ผมทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหมือนแสงหิ่งห้อยส่องก้นตนเอง ขอใช้ชีวิตทั้งหมดทำงานศิลปะเพื่อคืนให้แก่แผ่นดิน เรื่องอย่างอื่น ผมไม่ปรารถนาที่จะทำ...'
เรามีเวลาเดินชมบ้านดำเพียง 1 ชั่วโมง แสงแดดยามเย็นทำมุมให้อาณาบริเวณงดงามยิ่ง
ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. 2544 ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557 สิริอายุ 74 ปี
ขอคารวะท่านถวัลย์ ดัชนี ช่างวาดรูปผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ใช้โลกเป็นเวที
ข้อมูลค้นจาก
wikipedia.org
thawan-duchanee.com
ฉลอง พินิจสุวรรณ. ตำนานชีวิตของช่างวาดรูป ผู้ใช้โลกเป็นเวที ถวัลย์ ดัชนี. เชียงใหม่: สุเทพการพิมพ์. 2558.
Marcus R. Thawan Duchanee: Modern buddhist artist. Chiang Mai: Silkworm Books. 2013.
นิพนธ์ ขำวิไล. อาจารย์ศิลป์กับลูกศิษย์. กรุงเทพ: สำนักวิจัยศิลป์ พีระศรี. 2551.