การอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร เปลี่ยนแปลงการปกครองของสยาม จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎรได้ประกาศแนวทางการปกครองประเทศด้วยหลัก 6 ประการ ข้อสำคัญหนึ่งคือรัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลราษฎรทุกคนอย่างเสมอภาค
ต่อมารัฐบาลพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระหว่าง พ.ศ. 2476-2481) ได้ประกาศพระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2477 อันเป็นรากฐานสำคัญของการสาธารณสุข กล่าวคือให้จัดตั้งเทศบาลขึ้นทั่วประเทศแทนสุขาภิบาล โดยเทศบาลเป็นสถาบันส่งเสริมการสาธารณสุขตามหัวเมืองชนบท นอกจากนี้ ให้กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย จัดทำโครงการสร้างโรงพยาบาลขึ้นทุกจังหวัด
ในชั้นต้นให้จัดสร้างโรงพยาบาลตามชายแดนก่อน เพื่อแสดงเกียรติภูมิของชาติไทยแก่ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เรียกว่า นโยบาย 'อวดธง'
เริ่มที่จังหวัดชายแดนด้านติดกับลาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีน อาณานิคมของฝรั่งเศส ทั้งนี้เพื่ออวดธงไทยแก่พี่น้องชาวลาว เป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยในยุคประชาธิปไตยเอาใจใส่ห่วงใยชีวิตความเป็นอยู่ และความเจ็บไข้ของราษฎรไทยในท้องถิ่นห่างไกล รวมทั้งพี่น้องในประเทศเพื่อนบ้านตามชายแดนด้วย
โรงพยาบาลที่สร้างขึ้นตามนโยบายอวดธงในยุคแรก ได้แก่ โรงพยาบาลประจำจังหวัดหนองคาย นครพนม และอุบลราชธานี
โรงพยาบาลประจำจังหวัดอุบลราชธานีสร้างบนพื้นที่ 'สวนโนนดง' ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ (พระนามอ่านว่า สัน-พะ-สิด-ทิ-ประ-สง) พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาพึ่ง พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2400 ทรงเป็นต้นราชสกุล 'ชุมพล' ทรงเป็นข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (มณฑลอีสาน) ระหว่างปี พ.ศ. 2436-2453
หลังการสิ้นพระชนม์ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เมื่อ พ.ศ. 2465 หม่อมเจียงคำ พระชายา (นามเดิม อัญญานางเจียงคำ บุตโรบล ธิดาท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เจ้าเมืองอุบลราชธานี) ได้มอบที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน จำนวน 6 แปลง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการ ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ทุ่งศรีเมือง โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี และพระโอรสคือหม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล ได้อุทิศที่ดิน 'สวนโนนดง' อันเป็นมรดกตกทอด จำนวน 27 ไร่ ให้เป็นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2474
การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2478 และจังหวัดได้ประกอบพิธีเปิดโรงพยาบาลเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2479 ใช้ชื่อว่า 'โรงพยาบาลอุบลราชธานี' สังกัดกองแพทย์สังคม กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย
วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2485 กรมสาธารณสุขได้ปรับยกขึ้นเป็นกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย 7 กรม โรงพยาบาลอุบลราชธานีสังกัดกองโรงพยาบาลภูมิภาค กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
พ.ศ. 2511 โรงพยาบาลเปลี่ยนชื่อเป็น 'โรงพยาบาลประจำจังหวัดสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี'
พ.ศ. 2514 ได้มีการรวมงานกรมการแพทย์ กับบางส่วนของกรมอนามัยและสำนักงานปลัดกระทรวง เป็น 'กรมการแพทย์และอนามัย'
วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2517 แยกกรมการแพทย์และอนามัย กลับคืนเป็น 'กรมการแพทย์' และ 'กรมอนามัย' อีกทั้งให้กองโรงพยาบาลภูมิภาคและกองสาธารณสุขภูมิภาค ไปสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง โรงพยาบาลประจำจังหวัดสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี จึงสังกัดกองโรงพยาบาลภูมิภาค สำนักงานปลัดกระทรวง
พ.ศ. 2533 โรงพยาบาลเปลี่ยนชื่อเป็น 'โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์'
วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559 เป็นวันครบรอบ 80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์...
โรงพยาบาลจัดประชุมวิชาการเพื่อฉลองวาระสำคัญนี้ ในชื่อ '80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จากรากแก้วที่มั่นคง สู่ผลิตผลความเป็นเลิศ' ระหว่างวันที่ 7-8 มกราคม พ.ศ. 2559
ผมได้รับเชิญในฐานะศิษย์เก่า (แพทย์ฝึกหัด 2521-2522 และกุมารศัลยแพทย์ 2527-2532) เป็นวิทยากรบรรยายวิชากุมารศัลยศาสตร์ 1 คาบ ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559
วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559
'ยิ้มไทย' บินจากสุวรรณภูมิ 7.45 น. เพียง 1.10 ชั่วโมงก็ถึงอุบลฯ
รถตู้โรงพยาบาลพร้อมทีมปฏิคมมารอรับ หมออุ้ง หมอจิ ศิษย์เก่ากุมารศัลยศาสตร์ของเรา มารับเช่นกัน
การประชุมจัดที่ห้องประชุมชั้น 6 อาคาร 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์
เดือนมีนาคม ปีที่แล้ว ผมร่วมคณะศัลยแพทย์ โรงพยาบาลเด็ก เยี่ยมศิษย์เก่ากุมารศัลยศาสตร์ที่นี่ ได้เห็นสภาพแออัดของตึกที่สร้างซ้อนกันไปเรื่อยๆ ภูมิศาสตร์ของโรงพยาบาลที่อันตราย เสี่ยงต่อโศกนาฏกรรมอย่างยิ่ง มาวันนี้จึงไม่ตระหนกกับภาพที่เห็น แต่ยังคงสังเวชกับวิสัยทัศน์ของผู้รับผิดชอบ
การนำองค์กรในระบบราชการสำคัญยิ่ง ผู้นำที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดสามัญสำนึก ทำให้องค์กรเสียหาย เสียเวลา เสียโอกาส และส่งผลเสียระยะยาวเกินกว่าวาระของผู้นำนั้น
9.30 น. พิธีการเริ่มด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวต้อนรับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรายงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวเปิดประชุม จากนั้นมอบโล่แก่ผู้บริจาคทรัพย์ให้โรงพยาบาล
10.30-12.00 น. เสวนา 'สรรพสิทธิประสงค์กับการปลูกถ่ายอวัยวะ ก้าวอย่างกล้ากับคุณค่าต่อผู้ป่วยและสังคม' โดย
นายแพทย์ประวิทย์ วิริยสิทธาวัฒน์ ศัลยแพทย์อาวุโส ผู้ริเริ่มผ่าตัดปลูกถ่ายไตรายแรกของโรงพยาบาล
นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อายุรแพทย์อาวุโส ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไต เมื่อสมัยเริ่มต้นการปลูกถ่ายไต
รศ. นายแพทย์สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ซึ่งได้ปลูกถ่ายไตไปกว่า 1,000 ราย มากที่สุดของประเทศ
รศ. นายแพทย์เกรียงศักดิ์ วารีแสงทิพย์ นายกสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้พัฒนาการปลูกถ่ายอวัยวะต่างๆ ดังนี้
ไต ตั้งแต่ปี 2540 เริ่มต้นด้วย living donor ต่อมาในปี 2550 ปลูกถ่ายจาก cadaveric donor ถึงวันนี้มีผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายไตกว่า 100 ราย
ไขกระดูก เตรียมการตั้งแต่ปี 2553 ปลูกถ่ายสำเร็จรายแรกในผู้ป่วย lymphoma เมื่อปี 2556 ถึงวันนี้ปลูกถ่ายไขกระดูกไปแล้ว 6 ราย
กระจกตา เริ่มปี 2558 จำนวน 11 ราย
กระดูก เริ่มในปี 2557
โรงพยาบาลวางแผนปลูกถ่ายตับในปี 2559-2560 และปลูกถ่ายหัวใจเป็นลำดับถัดไป
13.00-14.30 น. เสวนา 'จากอดีต ปัจจุบัน สู่อนาคต โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์' โดย
นายแพทย์มนัส กนกศิลป์ อดีตผู้อำนวยการ
นายแพทย์ชลิต ทองประยูร ผู้อำนวยการ
แพทย์หญิงวิภาดา เชาวกุล อายุรแพทย์อาวุโส
หลังจบการเสวนา ทีมปฏิคมพาไปเข้าพักที่โรงแรมสุนีย์แกรนด์ ถนนชยางกูร
โรงแรมสุนีย์แกรนด์ ปรับปรุงดัดแปลงสถานที่จากโรงพยาบาลพญาไท-อุบล ซึ่งเลิกกิจการภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี พ.ศ. 2540
18.00-22.00 น. งานเลี้ยง 'จากก้าวที่มุ่งมั่น สู่วันนี้ที่ภูมิใจ ราตรี 80 ปี แห่งความยิ่งใหญ่และดีงาม'
ณ ห้องทับทิมสยาม โรงแรมสุนีย์แกรนด์
ได้พบปะรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน พยาบาลห้องผ่าตัด วิสัญญีพยาบาล พยาบาลหอผู้ป่วย ที่คุ้นเคย ที่ร่วมงานกันมาเมื่อ 30 ปีก่อน นับเป็นโอกาสพิเศษยิ่ง
วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559
ห้องอาหารเช้าของโรงแรม ผู้คนขวักไขว่ ด้วยกีฬามหาวิทยาลัยครั้งที่ 43 'กันเกราเกมส์' (9-18 มกราคม 2559) จะเริ่มขึ้นวันพรุ่งนี้ ณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
มุมอาหารพื้นเมือง ไข่กระทะ กวยจั๊บญวน ทำให้มื้อเช้านี้รื่นรมย์ยิ่งขึ้น
8.00 น. Check-out ทีมปฏิคมมารับที่โรงแรมไปยังห้องประชุมโรงพยาบาล
8.30 น. บรรยาย 'วัฒนธรรมองค์กรเพื่อความอยู่รอด' โดยนายแพทย์อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (มหาชน)
ครึ่งชั่วโมงที่เหลือหลังจบการบรรยาย วิทยากรเชิญศิษย์เก่าสรรพสิทธิประสงค์อีก 3 คน ได้แก่ นายแพทย์มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเดชอุดม แพทย์หญิงจิตสุดา บัวขาว ที่ปรึกษากรมการแพทย์ และนายแพทย์สมเกียรติ โพธิสัตย์ ร่วมเสวนาประเด็นคุณภาพในทางปฏิบัติของโรงพยาบาล โดยแพทย์หญิงวิภาดา เชาวกุล อายุรแพทย์อาวุโส เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย แม้รายการจัดอย่างปัจจุบัน แต่ผู้ร่วมเสวนาสามารถนำเสนอสาระได้อย่างรัดกุม และผู้ดำเนินการอภิปรายสามารถเปิดประเด็นและสรุปได้อย่างมืออาชีพ
10.30-12.00 น. แยกห้องประชุมย่อย ผมไปบรรยายที่ห้องประชุม 3 เรื่อง 'Acute Abdomen in Neonates and Infants: The Pitfalls'
ผู้ฟังเป็นแพทย์ พยาบาล ที่เกี่ยวข้องกับงานกุมารศัลยกรรม
ก่อนจบการบรรยาย ผมขอบคุณศัลยแพทย์รุ่นพี่ตั้งแต่สมัยผมเป็นแพทย์ฝึกหัด ท่านเหล่านี้ถือเป็น 'ครู' เป็นแบบอย่างน่านับถือ ได้แก่
นายแพทย์ฉายา ลิ้มตระกูล ท่านสอนการผ่าตัด Suprapubic lithotomy และสร้างความมั่นใจแก่แพทย์ฝึกหัดให้สามารถผ่าตัดด้วยตนเองได้ภายในวันเดียว ด้วยสมัยนั้นการผ่าตัดนี้มีถึงวันละ 4-5 ราย
นายแพทย์ประวิทย์ วิริยสิทธาวัฒน์ ท่านมีทักษะการผ่าตัดงดงาม ใช้มือทั้งสองข้างได้ชนิดดูไม่ออกว่าท่านถนัดข้างไหน ท่านไม่ค่อยพูดขณะทำงาน ยิ่งทำให้ผมมีสมาธิสังเกตการผ่าตัดที่งดงามนั้น
นายแพทย์ปรีชา ยุวรี ท่านสอนทักษะการใช้กรรไกรในการ dissection และเปิด plane ต่างๆ อย่างนุ่มนวลงดงาม
นายแพทย์ชวนะ เอี่ยมเพชราพงศ์ ท่านสอนเรื่องหน้าที่ ความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร ในการตอบสนองหน้าที่ ความรับผิดชอบของฝ่ายดูแลรักษาผู้ป่วย
จบการบรรยาย เพื่อนพ้องน้องพี่ ที่เคยร่วมงาน ได้มาทักทาย ถ่ายรูปร่วมกัน อบอุ่นจริงๆ
หมอเจน หมออุ้ง หมอจิ กุมารศัลยแพทย์ที่เข้มแข็งน่านิยมทั้งสามของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พาผมไปกินมื้อกลางวันที่ร้านส้มตำจินดา ถนนพิชิตรังสรรค์
หมออุ้ง หมอจิ อาสาพาทัศนศึกษาเมืองอุบลในตอนบ่าย ก่อนผมขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ตอนเย็น...
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์เป็นที่ที่ผมเริ่มต้นชีวิตทำงาน เริ่มด้วยแพทย์ฝึกหัด (2521-2522) ได้เรียนรู้การดูแลคนไข้อย่างจริงจัง
สรรพสิทธิประสงค์เป็นที่พึ่งให้ส่งต่อคนไข้ ตอนผมชดใช้ทุนเรียนแพทย์ อยู่โรงพยาบาลศรีเมืองใหม่ โรงพยาบาลอำเภอขนาด 10 เตียง ชายแดนจังหวัดอุบล ซึ่งมีผมเป็นแพทย์คนเดียว (2522-2524)
สรรพสิทธิประสงค์เป็นต้นสังกัดส่งผมฝึกอบรมกุมารศัลยศาสตร์ที่โรงพยาบาลเด็ก (2524-2527)
ภายหลังสำเร็จการฝึกอบรม ผมกลับไปทำหน้าที่กุมารศัลยแพทย์คนเดียวของโรงพยาบาล (2527-2532) เริ่มต้นครอบครัวที่นี่ ลูก 2 คน คลอดที่นี่ ผมตั้งใจปักหลักอยู่อุบล แต่สุดท้ายต้องลาออกจากราชการ ย้ายติดตามบุตรกลับกรุงเทพฯ...
วาระ 80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ที่ผมได้รับเชิญเป็นวิทยากรนี้ ถือเป็นเกียรติอย่างสูง ด้วยวิชากุมารศัลยศาสตร์เป็นสาขาย่อย อยู่นอกสายตา กลุ่มวัยทารก วัยเด็กเล็ก เป็นกลุ่มไม่มีเสียง (voiceless) ในสังคมไทย แถมโรคหลักเป็นความพิการแต่กำเนิด สถานการณ์ของสาขาวิชาจึงยิ่ง 'มิดจีลี'! ไม่เป็นที่สนใจ
การได้รับเชิญ ได้มาบรรยาย ได้ร่วมรับรู้พัฒนาการของโรงพยาบาล และได้พบปะกัลยาณมิตรที่เคยร่วมงานกันเมื่อ 30 ปีก่อน จึงเป็นวาระพิเศษ เป็นวาระที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
ข้อมูลค้นจาก
60 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์. อุบลราชธานี: อุบลยงสวัสดิ์ออฟเซ็ท. 2539.
70 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์. อุบลราชธานี: อุบลกิจออฟเซทการพิมพ์. 2549.
80 ปี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์. อุบลราชธานี: อุบลกิจออฟเซทการพิมพ์. 2559.
สันติ ตั้งรพีพากร. ชีวิตที่ลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ: ชีวประวัติ ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์สายธาร. 2544.
wikipedia.org