ปีนี้ ร้อนและฝนทอดยาวกว่าปีก่อน
วันนี้ อากาศยังคงอบอ้าว ครึ้มฝน ไม่อาจไปไกล...
ตึกนริศรา จักรพงษ์ (Narisa Chakrabongse Building)
ตึกทรงเรียบง่ายสูง 2 ชั้น ยาว 23 เมตร กว้าง 11 เมตร ตั้งอยู่ตรงมุมตะวันตก ด้านหน้าโรงพยาบาลเด็ก หน้าตึกหันไปทางทิศตะวันออก มีร่องรอยบันไดเยื้องไปทางขวา ปัจจุบันเหลือเพียงขั้นเดียว เป็นทางขึ้น ผ่านประตูเข้าตึก บนผนังด้านซ้ายถัดจากประตูเข้าไป ติดภาพสลักสำริด พระรูปด้านข้าง ครึ่งพระองค์ ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ในกรอบวงกลม ด้านล่างจารึกพระนาม ผู้ให้กำเนิดมูลนิธิ 'จุลจักรพงษ์บุญนิธิ' หลังตึกประชิดรั้วที่กั้นโรงพยาบาลเด็กกับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผนังตึกทั้งชั้นบนและล่าง ประกอบด้วยช่องหน้าต่างทรงสูงกว้างโดยรอบ เพื่อให้ลมไหลเวียนถ่ายเทดี ผนังตึกชั้นบนด้านทิศเหนือ ใต้กรอบหน้าต่าง ติดรูปจักรกับตะบอง อันเป็นตราประจำราชสกุลจักรพงษ์ ถัดลงมาจารึกชื่อตึกด้วยตัวอักษรโลหะเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษคนละแถว มองเห็นได้จากหน้าโรงพยาบาล พื้นที่นอกตึกด้านทิศใต้จัดเป็นสวนหย่อมแคบๆ
เมื่อต้นพุทธศักราช 2501 หม่อมเอลิสะเบธ จักรพงษ์ ได้ปรารภกับคณะกรรมการ 'จุลจักรพงษ์บุญนิธิ' ว่า ได้ไปเยี่ยมโรงพยาบาลหญิงและโรงพยาบาลเด็ก รู้สึกว่าโรงพยาบาลทั้งสองดำเนินกิจการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และโดยมีสมรรถภาพเท่าเทียมโรงพยาบาลชั้นดีในต่างประเทศ หากมีทางใดที่คณะกรรมการจะพิจารณาให้ 'จุลจักรพงษ์บุญนิธิ' ช่วยเหลือโรงพยาบาลที่กล่าวแล้วได้บ้าง ก็จะเป็นกุศลยิ่ง
ประจวบเหมาะกับเวลานั้น คณะกรรมการจุลจักรพงษ์บุญนิธิอันประกอบด้วย หลวงประกอบนิติสาร เป็นประธาน หม่อมเจ้าทองประทาศรี ทองใหญ่ และ ร.อ.พิศดาร จุลเสวก เป็นกรรมการ มีความดำริอยู่ว่า จะสร้างถาวรวัตถุ เพื่อเฉลิมฉลองท่านผู้ประทานกำเนิดมูลนิธิ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ที่ได้ทรงมีทายาทเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2499 คือ หม่อมราชวงศ์หญิงนริศรา จักรพงษ์ จึงมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ที่จะสร้างตึกค้นคว้าเกี่ยวกับโรคเด็กเพื่อการศึกษา โดยได้บริจาคเงินให้โรงพยาบาล 485,000 บาท สำหรับใช้ดำเนินการก่อสร้างต่อไป และได้รับพระอนุญาตจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ให้ชื่อตึกนี้ว่า 'นริศรา จักรพงษ์' เพื่อเฉลิมฉลองการที่พระองค์ท่านและหม่อมเอลิสะเบธ จักรพงษ์ ได้มีทายาทผู้สืบสายโลหิต เป็นมงคลนามต่อไป
ตึกนริศรา จักรพงษ์ เป็นตึกคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ยาว 23 เมตร กว้าง 11 เมตร ชั้นล่างเป็นห้องปฏิบัติการทดลอง บริเวณผู้ป่วยรอตรวจ ชั้นบนเป็นห้องประชุม ห้องสมุด และห้องทำงานแพทย์ ตึกนี้ออกแบบโดย นางสาวธารี เทพหัสดิน ณ อยุธยา แห่งกองแบบแผน กรมโยธาธิการ โดยมีนายชัย จงพีรเพียร ควบคุมการก่อสร้าง นายศรชัย สาลิมาน ตกแต่งสวนบริเวณหน้าตึก ทำการก่อสร้างโดย บริษัทสุนทราภา เป็นเงิน 485,000 บาท ตึกนี้สร้างแล้วเสร็จและกระทำพิธีเปิดโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2502
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เป็นพระโอรสพระองค์เดียวในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ กับ หม่อมคัทริน (นามเดิม Ekaterina Ivanova Desnitsky) ชาวรัสเซีย ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2450 เวลา 23.58 น. ณ ห้องแดง วังปารุสกวัน
เมื่อรู้ข่าวว่าพระนัดดาพระองค์แรกประสูติ สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ที่แต่เดิมเคยกริ้วเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ พระโอรส ที่สมรสกับ 'นางต่างด้าว' ก็ทรงตื่นเต้นและหายกริ้ว รีบเสด็จมาทอดพระเนตร เอาพระทัยใส่ทั้งการจัดห้องหับ การดูแลเรื่องต่างๆ มีพิธีการทำขวัญเดือนตามธรรมเนียมโบราณ
เมื่อแรกประสูติทรงมีฐานันดรศักดิ์เป็นหม่อมเจ้า สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ พระราชทานพระนามว่า 'พงษ์จักร' ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามใหม่ว่า 'จุลจักรพงษ์' โดยเป็นการเอาอย่างพระนามของทูลกระหม่อมปู่ คือ จุลจอมเกล้า ทั้งยังเป็นการล้อพระนามพระบิดา คือ เล็ก ไปในขณะเดียวกัน
พระนัดดานี้ได้นำความปลาบปลื้มปิติยินดีให้กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถยิ่งนัก อีกทั้งทรงพระเมตตาที่มิได้รับพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าดังที่ควรจะเป็น จึงพระราชทานข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ให้เป็นพิเศษเทียบเท่ากับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอแทบทุกประการ ทรงห่วงใยหม่อมคัทรินที่มีเชื้อชาติยุโรป ว่าจะไม่สามารถอบรมฝึกฝนจริตมารยาทของพระโอรส ให้เข้ากับระเบียบแบบแผนเจ้านาย ตามพระราชประเพณีไทยได้ดี
ส่วนทูลกระหม่อมปู่ (รัชกาลที่ 5) ไม่ทรงรับพระนัดดาองค์ใหม่อย่างเปิดเผย แต่ในที่สุดก็ได้โปรดให้พระนัดดาเข้าเฝ้าที่พระราชวังพญาไท ในปี พ.ศ. 2453 เมื่อหม่อมเจ้าจุลจักรพงษ์อายุครบ 2 ขวบ พระองค์ทรงเล่าให้ สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ถึงพระนัดดาว่า 'วันนี้ฉันได้พบกับหลานชายของเธอ ดูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนพ่อ ฉันรู้สึกรักและหลงใหลคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสายเลือดเชื้อไขของฉันเอง และไม่มีเค้าว่า มีเชื้อสายฝรั่งติดมาด้วยเลย'
พ.ศ. 2458 สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงมอบหมายให้พระสารสาสน์พลขันธ์ เป็นผู้สอนหนังสือในฐานะเป็นครูคนแรกแก่พระโอรสวัย 7 ขวบ ที่วังปารุสกวัน จากนั้นอีก 2 ปี คือ พ.ศ. 2460 หม่อมเจ้าจุลจักรพงษ์เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยประถม
พ.ศ. 2462 พระองค์ต้องพลัดพรากจากพระมารดา หลังการหย่าร้างของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ กับหม่อมคัทริน ต่อมาอีก 3 เดือน สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ สมเด็จย่า เสด็จสวรรคต (20 ตุลาคม พ.ศ. 2462) ตามด้วยการทิวงคตของพระบิดาด้วยไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish influenza) ในอีก 8 เดือนต่อมา (13 มิถุนายน พ.ศ. 2463)
หลังจากพระบิดาทิวงคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทูลกระหม่อมลุง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระยศขึ้นเป็นพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงวางแผนการศึกษาให้พระนัดดาได้ศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่อพระชันษาครบ 13 ปี ทรงต้องการให้พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ รู้จักปกครองดูแลตนเอง โดยออกมาเรียนตามลำพังและอนุญาตให้แม่มาเยี่ยมได้เป็นครั้งคราวเมื่อหยุดภาคเรียน
เมื่อถึงประเทศอังกฤษ ทรงได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดจากครอบครัวของพระยาบุรีนวราษฐ์ (ชวน สิงหเสนี) อัครราชทูตไทยประจำประเทศอังกฤษ ในระยะแรกทรงอยู่กับครูที่เมืองไบรตัน ห่างจากกรุงลอนดอน 86 กิโลเมตร เพื่อซึมซับภาษาอังกฤษโดยไม่ได้พบปะคนไทยเลยเป็นเวลา 6 เดือน ต่อมาทรงสอบเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนแฮร์โรว์เมื่อ พ.ศ. 2466 - 2470 และระดับอุดมศึกษา ที่วิทยาลัยตรินิตี้ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้านประวัติศาสตร์ ทรงได้รับปริญญาตรี (B.A. เกียรตินิยม) เมื่อปี พ.ศ. 2473 และปริญญาโท (M.A. เกียรตินิยม) เมื่อปี พ.ศ. 2477 ขณะยังเรียนอยู่ทรงได้รับเลือกเป็นสภานายกสามัคคีสมาคม หลังจบการศึกษาทรงรับราชการเป็นนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ปฏิบัติหน้าที่ ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงลอนดอน
พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่อยู่ในฐานะจะได้รับสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ต่อจากรัชกาลที่ 7 มีผู้ไปสัมภาษณ์ท่านว่าท่านมีความเห็นเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระองค์ตอบว่า 'จะไม่มีใครมาเชิญฉันหรอก และถึงจะมีคนมาเชิญจริงๆ ฉันก็ยินดีรับไม่ได้ เพราะได้ถูกตัดออกอย่างเด็ดขาดมานานแล้ว ถ้าจะรบเร้ากันจริงๆ ซึ่งก็ไม่เชื่อว่า จะมีใครมารบเร้า ฉันต้องยืนยันให้มีประชามติกันเสียก่อน'
ทั้งนี้ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ออกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467 เกี่ยวกับลำดับชั้นเชื้อพระบรมวงศ์ ซึ่งจะสืบราชสันตติวงศ์ได้นั้น ในหมวดที่ 5 ว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสันตติวงศ์...
มาตรา 11 เจ้านายผู้เป็นเชื้อพระบรมราชวงศ์ ถ้าแม้ว่า เป็นผู้มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งกล่าวไว้ข้างล่างนี้ไซร้ ท่านว่า ให้ยกเว้นเสียจากลำดับสืบราชสันตติวงศ์ ลักษณะที่กล่าวนี้คือ...
(4) มีพระชายาเป็นนางต่างด้าว กล่าวคือ นางที่มีสัญชาติเดิมเป็นชาวประเทศอื่น นอกจากชาวไทยโดยแท้
มาตรา 12 ท่านพระองค์ใด ตกอยู่ในเกณฑ์มีลักษณะบกพร่องดังกล่าวมาแล้วในมาตรา 11 แห่ง กฎมณเฑียรบาลนี้ไซร้ ท่านว่า พระโอรสอีกทั้งบรรดาเชื้อสายโดยตรงของท่านพระองค์นั้น ก็ให้ยกเสียจากลำดับสืบราชสันตติวงศ์ด้วยทั้งสิ้น
พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ จึงถูกตัดออกจากลำดับตั้งแต่คราวที่รัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต (25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) พระองค์อธิบายไว้ในหนังสือ 'เกิดวังปารุสก์' ว่า 'ข้าพเจ้ามิได้เคยนึกว่า ตนถูกตัดจากสิทธิอะไรเลย ข้าพเจ้าไม่เคยนึกและบัดนี้ก็มิได้นึกว่า ข้าพเจ้ามีสิทธิอย่างใดเกินกว่าที่คนไทยทุกๆ คนย่อมมีอยู่ตามกฎหมาย'
พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงพบ หม่อมเอลิสะเบธ (นามเดิม Elisabeth Hunter) เมื่อครั้งไปเรียนศิลปะการวาดภาพ และรักกัน แต่ขณะนั้นท่านตั้งพระทัยจะไม่รักสตรีต่างชาติ เนื่องจากรัชกาลที่ 7 รับสั่งมาทางจดหมายว่า อย่าทำตามที่ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ พระบิดาทรงทำ คือแต่งงานกับสตรีต่างด้าว จนกระทั่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรงรู้สึกเป็นอิสระจากภาระหน้าที่ตามพระราชประเพณี จึงตัดสินพระทัยเสกสมรสกับหม่อมเอลิสะเบธ เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2481
เมื่อเสกสมรส พระองค์ทรงดำริที่จะไม่มีบุตร ในจดหมายฉบับหนึ่งที่มีถึงหม่อมเอลิสะเบธ เขียนว่า 'ถ้าเผื่อเราแต่งงานกัน อย่ามีลูกกันเลย เพราะเด็กที่เกิดมาหลายเชื้อชาติ จะมีปัญหาตลอด' อย่างไรก็ตาม หลังเสกสมรสเป็นเวลา 18 ปี หม่อมเอลิสะเบธจึงตั้งครรภ์หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ เมื่อหม่อมอายุ 41 ปี
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 พระองค์ประชวรเป็นมะเร็งหลอดอาหาร และได้รับการรักษาด้วยการฉายแสงที่โรงพยาบาลในกรุงลอนดอน พระอาการดีขึ้นตามลำดับ แม้พระโรคจะกำเริบขึ้นในบางระยะ แต่พระองค์ทรงมีกำลังพระทัยเข้มแข็ง ทรงพยายามดูแลรักษาพระองค์อย่างดีที่สุด และปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทรงน้อมรับความเป็นจริงของชีวิตด้วยสติและเตรียมความพร้อมในทุกเรื่องโดยไม่ประมาท ตลอดจนสั่งเรื่องการจัดการพระศพไว้ล่วงหน้า
สิ่งหนึ่งที่ทรงทำมาตลอดพระชนมชีพ คือการบริจาคทรัพย์เพื่อการกุศล โดยเฉพาะแก่โรงพยาบาลต่างๆ แม้ในช่วงสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์ไม่กี่วัน ยังทรงประทานเงินแก่กระทรวงสาธารณสุขจำนวน 1 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งเป็นกองทุนเก็บดอกผลสำหรับใช้จ่ายช่วยเหลือในการค้นคว้าเกี่ยวกับโรคมะเร็งและช่วยเหลือผู้ป่วยยากจน
วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ณ พระตำหนักเทรเดซี่ ตั้งแต่ 14.30 น. ทรงหลับสงบไม่รู้สึกพระองค์จนในที่สุด สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 19.20 น.
วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2507 มีการนิมนต์พระสงฆ์ชาวลังกาชื่อ ภิกษุด็อกเตอร์สัทธาทิศา มาสวด นายบุญมั่น ปุญญถิโร ข้าราชการประจำสถานทูตไทยในกรุงลอนดอนมาช่วยทำพิธีและอาราธนาศีล ผู้มาร่วมพิธีมีเฉพาะคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทไม่กี่คน วันรุ่งขึ้นจึงเคลื่อนพระศพไปยังสุสาน หีบพระศพคลุมด้วยธงชาติไทย มีธงจักรตะบอง ตราสัญลักษณ์ของราชสกุลจักรพงษ์คลุมทับเฉพาะพระเศียร บนหีบพระศพมีช่อดอกไม้วางอยู่สองช่อ ตามที่ทรงอนุญาตเฉพาะ ช่อหนึ่งของหม่อมเอลิสะเบธเป็นกุหลาบแดง อีกช่อหนึ่งเป็นของหม่อมราชวงศ์นริศรา เป็นดอกทิวลิปและแดฟโฟดิล ที่สุสานเพนเมาต์เครเมโทเรียม เมืองทรูโร มีแขกร่วมพิธีทั้งสิ้น 22 คน วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2507 มีงานบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานที่บ้านจักรพงษ์ ท่าเตียน ถัดมาวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2507 มีพิธีไว้อาลัยที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอน
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 อัญเชิญพระอัฐิจากอังกฤษกลับมายังประเทศไทย หม่อมเอลิสะเบธและหม่อมราชวงศ์นริศราได้บำเพ็ญกุศลถวายและเชิญพระอังคารไปบรรจุในพระเจดีย์เสาวภาประดิษฐาน ณ สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ อายุเพียง 7 ปี เมื่อพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์สิ้นพระชนม์ แปดปีต่อมา หม่อมเอลิสะเบธ ก็ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งเช่นกัน (27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514)
หม่อมราชวงศ์นริศรา (ชื่ออ่านว่า นะ-ริด-สา) เกิดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งชื่อโดยพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เธอใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ในบ้านบนเนินเขา ณ มณฑลคอร์นวอลล์ เขตชนบทของอังกฤษ แต่ติดตามพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ไปมา ระหว่างประเทศไทย กับประเทศอังกฤษ บ่อยครั้ง
การศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนจิตรลดา ชั้นมัธยมที่ Cornwall ระดับอุดมศึกษาด้านภาษาจีน แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นสาขาประวัติศาสตร์ศิลปวิทยา จนจบปริญญาบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จาก Courtauld Institute จากนั้นจึงมาเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปวิทยา ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร และสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนจิตรลดา
ท่านใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ เป็นประธานมูลนิธิโลกสีเขียว เป็นประธานกรรมการสำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่เน้นพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมไทย
ตึกนริศรา จักรพงษ์ เป็นที่ระลึกแห่งความรักของพ่อแม่แก่ลูกสาว...
ตึกนริศรา จักรพงษ์ จึงเป็นสิ่งทรงจำ (memorabilia) สำคัญของลูกสาว ในการระลึกถึงความรักของพ่อและแม่ ซึ่งจากไปตั้งแต่ตนยังเด็ก ความทรงจำในวัยเด็กนี้มีคุณค่า สมควรรื้อฟื้น
ตึกนริศรา จักรพงษ์ อายุกว่าครึ่งศตวรรษ มุมมองทางประวัติศาสตร์ ความสำคัญของผู้อุทิศเงินสร้าง และสถาปัตยกรรม น่าจะเข้าเกณฑ์การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานอาคารของกรมศิลปากร สมควรได้รับการบูรณะอย่างเหมาะสม เช่นนี้ย่อมเป็นการให้เกียรติแก่ทุกคน และสร้างคุณค่าแก่โรงพยาบาลเด็กเอง
ข้อมูลค้นจาก
อนุสรณ์พิธีเปิดตึกโรงพยาบาลเด็ก 10 ธันวาคม 2525
หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ และ ไอรีน ฮันเตอร์. แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม. สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์. 2538
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์. เกิดวังปารุสก์. สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์. 2557
th.wikipedia.org